Group Blog
 
<<
เมษายน 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
2 เมษายน 2553
 
All Blogs
 
O คือ..ฝันที่ลอยฟ่อง..! O









สุโขทัย - ชัยภัค


O โอ-วาบร่วงหล่นแล้ว..เก็จแก้วรุ้ง
จากโค้งคุ้งรังรองอันผ่องแผ้ว
เมื่อกาลหมุนผ่านเวียนก็เปลี่ยนแวว
แดดโรยแนวผงฝุ่นก็หมุนวน

O งำแสงเคยจำรัส..โลมปัถวี
หรือราศีเคยช่วง..รอ-ร่วงหล่น ?
ท่ามหมู่เมฆทึมทาทั่วฟ้าบน
งามหรือ-เมื่อมืดหม่นหมุนวนมา

O นับนานที่ครอบฟ้า..ครองป่าฝน
กี่วัฏฏ์วนหมุนวง..ทุกองศา
ทุกถิ่นที่ความ คำ..ก็ค้ำคา-
รองรับภาวะกระพริบไกลลิบโพ้น

O แน่ใจหรือมือเรียว..จะเหนี่ยวรั้ง-
ความงดงามเปล่งปลั่งให้พังโค่น
แน่แล้วหรือช่วงตอนแสนอ่อนโยน-
จำต้องโอนถ่ายมอบ..สู่กรอบเกณฑ์

O เนิ่นนานอยู่หนักหนา..คุณค่านั้น
คงตั้งมั่นเป็นเอก..อยู่เฉกเช่น-
เสาหลักแห่งปรารมภ์กลางหล่มเลน
ที่อาจเบนบิดความออกตามใจ

O รอ-รับรองเจตจินต์..ที่-ภินท์พัง
โดยกลบฝังศรัทธา..อันสาไถย
เพื่อแสงดาวที่กระพริบจากลิบไกล
จักช่วยไขขับงาม..ผ่านข้ามคืน

O ลองดูหรือมือเรียว..ลองเหนี่ยวดึง-
ทั้งใจขึ้งขุ่นอยู่..ลองสู้ขืน-
ขึ้นด้วยแรงฉวยฉุด..ของจุดยืน-
พร้อมแววตาตอบตื่น..ร่วม-ยืนยัน ?

O เรียวปากผู้เย้ยหยัน..จะพลันแย้ม-
ลงแต่งแต้มความนัย..สู่ใจนั่น
หยอกยั่วจินตนาการ..แห่งวานวัน
ล่มภาพฝันทับทาบ..ด้วยภาพจริง

O โอ..ฝันที่ลุกลามไปสามภพ
หวาม-ครันครบเมื่อใด, ที่ใหญ่ยิ่ง-
คือช่วงใจเบนห่าง..จุดอ้างอิง-
ยอม-หล่นกลิ้งแทรกซุก..ลงคลุกทราย

O เกณฑ์กรอบความคิดอ่าน..แว่วผ่านหู-
ก็ผ่านอยู่นั่นแล้ว..ไม่แล้วหาย
ปลีกพ้นหรือ..นิรมิต..ในจิต-กาย
แต่วนว่ายเวียนอยู่..ไม่รู้ตน

O ดูทีหรือมือเรียว..ร่วมเกี่ยวข้อง-
กับไตร่ตรองแน่นหนัก..ดูสักหน
ให้แสงดาวจากฟ้า..ทาบทา..บน-
ความสับสนซัดส่าย..ที่ปลายจร

O เพื่อร่องรอยงดงามจักวามแวว
อยู่บนแก้วตาเต้น..ภาพ-เร้นซ่อน-
ตอบรับรู้-เปลี่ยวเหงา, ความเว้าวอน-
เผื่อ-อาจผ่อน”ฝัน”พักลงสักครา

O หยิบดูหรือ..ดวงดาวอันวาวแสง
แล้วลองแปลงเปลี่ยนวง..ปรับองศา
ให้โอภาสงดงามอันวามตา
ได้ลบมืดบอดบ้า..ให้ล้าโรย

O ไหนเล่าภาพงดงามทั้งสามโลก
หรือ-เศร้าโศก, ปวดแปลบ, เสียงแหบโหย-
หรือ-พร่ำพร้องบอดบ้า..ที่ปร่าโปรย-
ล้อลมโชยเร้ารัว..บางหัวใจ ?

O โอ - วาบหล่นร่วงแล้ว..เก็จแก้วรุ้ง
กับฝันฟุ้งเฟ้นฟอน..ที่ว่อนไหว-
อยู่กลางจินตนาการผู้ผ่าน-วัย
เพียงเพื่อให้ปรารมภ์...นั้น-สมจริง !




Create Date : 02 เมษายน 2553
Last Update : 26 มิถุนายน 2561 19:51:13 น. 33 comments
Counter : 1425 Pageviews.

 
O กลางเสียงความบอดบ้า, แววตานั้น-
ก็เชื่อมส่งถึงกัน..เกินกั้นขวาง
ในความมืดหม่นดำคอยอำพราง-
ก็นำย่างยกก้าว..ด้วยคาวคำ

O ขับเคลื่อนความเชื่อเชื่องอย่างเงื่องหงอย
แววตาลอยเลื่อนอยู่..เพียงรู้ย่ำ-
ก้าวซ้ายขวาตามปาก..เขาพากย์นำ
ให้หัวหูจดจำ..ท่วงทำนอง

O โอ..เสียงเมฆเลื่อนมา..ก่อนห่าฝน-
จะหลั่งหล่นกรรโชกสู่โลกผอง
เสียงปลุกเร้าแว่วไหว..หัวใจพอง-
ร่วมแผดเสียงร่ำร้อง..เสียงท่องจำ !


โดย: สดายุ... วันที่: 2 เมษายน 2553 เวลา:10:55:48 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณสดายุ
บทกวีอย่างงดงาม นะค่ะ

แม่เอื้องมีเรื่องที่ขอเรียนถามเกี่ยวกับ"วงจรปฎิจจสมุปบาท" แม่เอื้องไม่คิดไปถึงข้ามภพข้ามชาตินะค่ะ ขอเป็นในสภาพความเป็นจริงในปัจจุปัน

แม่เอื้องไม่เข้าใจตรงอุปทานเป็นเหตุให้เกิดภพ ตรงการกำหนดภพแห่งการกระทำขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอุปทานใช่ไหม่ค่ะ ถึงได้กำหนด "รูปภพ อรูปภพ และกามภพออกมา" เช่นตัวอย่างความอยากมีบ้าน ความอยากมีรถ

หากการกระทำนั้นเป็น"รูปภพ"จะออกมาเป็นรูปอย่างไร?
" ยังไม่ซื้อแต่ขอรายละเอียดไปดูก่อน"

อรูปภพ " ดูแล้วยังไม่เซื้อ เอาไว้ก่อน

กามภพ "ซื้อเลย ด้วยเงินสด เงินผ่อน หรือปล้น โกงเอา
หรือโกรธมาก อุปทานคือโกรธจะต้องกระทำต่อคนนี้แน่ๆ

"รูปภพ" ตือการเข้าไปสั่งสอน เตือนให้รู้จักทำความดี

"อรูป" แผ่เมตตา อโหสิกรรม ให้อภัย

" กามภพ " เข้าไปด่า ค่าในใจ ต่อยตี ทำร้ายร่างกาย ฆ่าให้ตาย
ไม่รู้แม่เอื้องเข้าใจถูกหรือเปล่า ขอคุณสดายุช่วยพิจารณาให้ด้วยค่ะ


ขอให้มีความสุขนะค่ะ
แม่เอื้อง



โดย: mae_eaung IP: 118.172.20.223 วันที่: 2 เมษายน 2553 เวลา:10:56:29 น.  

 
สวัสดีครับแม่เอื้อง...
ไม่ได้เจอกันนาน...สบายดีนะครับ

เรื่องที่ถามมา...ผมพูดในที่นี้คงยืดยาวมาก
เพราะมันมีเรื่องปลีกย่อยมากมายที่แตกแยกออกไป

ลองดูที่นี่ครับ...
เขาอธิบายไว้ค่อนข้างเข้าใจง่าย

//www.nkgen.com/704.htm

แล้วมีเวลาผมจะไปเขียนไว้คุยที่ห้อง - - ธรรมะวิภาษ
อีกทีครับ


โดย: สดายุ... วันที่: 2 เมษายน 2553 เวลา:11:58:25 น.  

 
แล้วที่นี่คือ...คำอธิบายศัพท์ในปฏิจจสมุปบาทครับ

//www.nkgen.com/ex3.htm#ภพ

เผื่อว่าอ่านไปแล้วจะได้ค้นคว้าให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ต่อไป...

ขออนุโมทนาในกุศลจิตครับ


โดย: สดายุ... วันที่: 2 เมษายน 2553 เวลา:12:01:06 น.  

 
.....สวัสดีตอนเที่ยงค่ะ

........มีความสุขที่ได้มาอ่านทุกครั้งค่ะ

.......ขอให้มีความสุขกับการทำงานค่ะ


โดย: จิดา IP: 97.123.85.29 วันที่: 2 เมษายน 2553 เวลา:12:58:16 น.  

 
พาดยาวโค้งเป็นสายที่ปลายฟ้า
ภาพมายาทอดมาให้หาฝัน
ปลายคุ้งฟ้าเส้นรุ้งทอดหยอดจำนรรจ์
เถิดสร้างสรรค์สิ่งงามทุกยามย่ำ


ภาพประกอบงามค่ะ..


โดย: .. IP: 124.122.188.251 วันที่: 2 เมษายน 2553 เวลา:13:33:45 น.  

 
ประเด็นตาม คห ที่ สอง น่าสนใจนะคะ
แม้อ่านแล้ว จะไม่เห็นไปในแนวนั้นก็ตาม .. กับการแบ่งเช่นนั้น
แต่เห็นด้วยค่ะ ว่า ไม่ต้องรอข้ามภพข้ามชาติ
เห็นกัน จะจะ เอากันตรงหน้านี่แหละ

..กี่ภพชาติผ่านล่วงเพียงช่วงใจ.. นี่นะคะ


รออ่าน จขบ ชี้แจงดีกว่า ^^


โดย: .. IP: 124.122.188.251 วันที่: 2 เมษายน 2553 เวลา:13:54:21 น.  

 
จิดา...
สวัสดีครับ...ขอให้ทำงานอย่างมีความสุข




..
ครับ...พศ.นี้แล้วชั้นปัญญาชนคงเห็นตรงกัน
หมดแล้ว..สำหรับเรื่องนี้...

ทั้งๆที่ท่านพุทธทาสท่านอธิบายไว้ตั้งแต่ พศ.2504
ก่อนนายกอภิสิทธิ์เกิดอีก

การตีความปฏิจจสมุปบาทที่เป็นสัมมาทิฏฐิ
อยู่ที่นี่ครับ...

//www.nkgen.com/739.htm

ท่าทางจะสนใจเรื่องเดียวกันอีกแล้ว
ใช่ไหม ?


โดย: สดายุ... วันที่: 2 เมษายน 2553 เวลา:15:32:40 น.  

 


โดย: medkhanun วันที่: 2 เมษายน 2553 เวลา:16:27:07 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณสดายุ
แม่เอื้องเข้าไปดูเรื่องภพของจิต ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ..

แม่เอื้องเรียนทางสายการแพทย์มาค่ะ ลองทบทวน “วงจรปฏิจจสุมุปบาท” นี้แล้ว เหมือนการทำงานของระบบประสาทและสมองภายใต้การควบคุมของจิต คุณสดายุลองดูการทำงานของประสาทและสมองที่ตอบสนองสิ่งเร้าดูนะค่ะ แต่วงจรจะหยาบไม่ละเอียดดั่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบด้วยตาในของพระองค์ ง ที่มีความละเอียดได้กำหนดการตอบสนองนั้นมี 3ภพ และมีผลลัพธ์ที่หวนกลับมาต่อยอดอีก ถ้าหากไม่มีการแก้ปัญหานั้น และ“ที่พุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ วงจรนี้เป็นเรื่องอยาก นั้น” ก็เพราะสมัยนั้นไม่มีการเรียนเรื่องสรีระของร่างกาย ไม่ได้เรียนจิตวิทยา ไม่มีห้องแลป ไม่มีเอกซเรย์ ไม่มีเครื่องสแกน ไม่มีการเรียนสังเคราะห์ วิเคราะห์ แต่วิทยาการสมัยใหม่สามารถเอื้อให้เราเข้าใจในวงจรนี้ได้ดีขึ้น

และขบวนการวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นสัพพัญญูที่ยิ่งใหญ่และอยู่สูงสุด คำสอนของพระพุทธองค์นั้นเป็นวิทยาศาสตร์ นำมาปฎิบัติได้เห็นผลอย่างแท้จริง และทางสายกลางนั้น หากทุกนำคนปฎิบัติตามสภาพเป็นจริงกับชีวิตได้อย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ทุกคนนั้น เข้าใจสภาวะความจริงของ กฎธรรมชาติได้ทั้งกายภาพ จิตวิญญาณ กฎแห่งกรรม และมีสติปัญญาในการบรรเทาทุกข์ด้วยตนเองได้

แม่เอื้องขอขอบพระคุณ คุณสดายุมากนะคะ


โดย: แม่เอื้อง IP: 118.172.30.84 วันที่: 3 เมษายน 2553 เวลา:8:08:02 น.  

 
เม็ดขนุน...
สวัสดีค่ะ




แม่เอื้อง....
คงต้องวางความเห็นให้ชัดเจนไว้ก่อนในเบื้องต้นว่า
ปฏิจจสมุปบาทนั้นเป็นเรื่องทางจิตล้วนๆ...แถมเป็น
ภาวะที่เกิดจากอัตตาที่เต็มไปด้วยอวิชชา...

ความยากต่อการรับรู้เข้าใจได้มันอยู่ตรงที่การใช้ศัพท์
ทับซ้อนกับศัพท์แสงทางกายภาพ...

เช่นคำว่า สังขาร...คนที่อ่านจำนวนมากก็จะนึกถึง
แต่เลือดเนื้อร่างกายที่เป็นๆนี้..ที่เป็นรูปธรรม...
ซึ่งจะทำให้เข้าใจยาก...เพราะเป็นความเข้าใจที่"ผิด"

ในเมื่อ"สังขาร"คือ...อำนาจการปรุงแต่ง ซึ่งเกิดในจิตที่
กอปรด้วย อวิชชา มืดบอด ซึ่งเป็นเรื่องของนามธรรม
ล้วนๆ...

ยิ่งคำแรก...อวิชชา
ที่มักจะแปลกันว่า..."ความไม่รู้" นี่ก็เหมือนกัน
ในขณะที่ความหมายที่ถูกต้องคือ"สภาพที่ปราศจากความรู้" !
เป็นภาวะของตัวรู้ที่ตั้งอยู่บนร่างกายนี้เอง

และความรู้ที่ว่า...เป็นความรู้เรื่องอริยะสัจจ์ เท่านั้นเอง
ไม่ใช่ความรู้ทางแพทย์...ทางวิศวกรรม...ทางรัฐศาสตร์
ทางนิติศาสตร์ อะไรพวกนั้น


อย่างคำว่า...วิญญาณ ก็เหมือนกัน
นี่ก็เข้าใจผิดกันโดยมากว่าหมายถึงอะไร....
และเกินครึ่งจำนวนที่เข้าใจว่าหมายถึง...สภาพหรือสิ่ง
ที่ทำให้รู้สึก นึกคิดได้ ท่องเที่ยววนเวียนเสวยทุกข์
สุข ในวัฏฏะสงสาร

อย่างเดียวกับความเข้าใจของภิกษุเกวัฏฏะบุตร
ในสมัยพุทธกาล ซึ่งหากเข้าใจแบบนั้นก็จะสอดรับกับ
ภาวะการมีอัตตาเที่ยง...คือเป็นตัวตนเดิมเดียวไม่ว่า
เกิดดับไปกี่ชาติ...ซึ่งผิด

คำสอนในศาสนาพุทธทั้งสิ้น...ต้องอยู่บนหลักการ
เกิดขึ้น...ตั้งอยู่..ดับไป...เท่านั้นเพราะนี่คือหลักอนิจจัง
อันเป็น 1 ใน 3 เสาหลักใน
ทุกขัง
อนิจจัง
อนัตตา

วิญญาณ 6 จึงเป็นสัมมาทิฏฐิ...
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตัวนี้ดับแล้วตัวใหม่เกิดขึ้น

ภพ ชาติ ชรามรณะ ก็จะสอดรับกับหลักนี้คือ
เกิด ตั้ง ดับ ตามแต่เหตุที่เกิดจากวิญญาณตัวไหน
ตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจ จะแผลงฤทธิ์จนเกิดเวทนา
แล้วหยุดไม่ได้ ก็ปรุงต่อจนเป็นตัณหา อุปาทาน

การจะเปรียบเทียบแบบที่พูดมา...อาจเป็นไปได้ไม่
ถูก ตรง นัก เพราะเรากำลังพูดถึง "พฤติของจิต" ที่
เกิดดับถี่ยิบ..และซัดส่ายเกินควบคุม...

ดังนั้นจึงมักสอนกันให้หยุดกันให้ได้ที่ เวทนา
เพราะหากเลยมาถึงอุปาทานแล้ว...ดูเหมือนจะสาย
เกินการณ์ที่จะหยุดมัน...เพราะความต่อเนื่องของมัน
รวดเร็ว รุนแรง เหมือนสายฟ้า ที่จะวาบลงในจิต
จนเป็น ทุกข์

การพยายามทำความเข้าใจด้วยเหตุผล ตรรกะ จึงทำได้
ในระดับหนึ่งเท่านั้น...เกินจุดหนึ่งไปต้องฝึกจิต
อย่างจริงจังเท่านั้น....

ทั้งหมดในศาสนาพุทธ คือการฝึกจิตให้เท่าทันโลก
โลกคือ ภาวะการตกกระทบรอบตัวผ่าน วิญญาณทั้ง6
เข้าใจ...รู้ทัน...ควบคุมได้...ก็จะอยู่เหนือมัน
ก็คือเหนือโลก...

เมื่อโลกคือทุกข์

อาสวะในจิตคนโดยทั่วไปมีมาก...หลากหลาย
ตั้งแต่ความเป็นเพศ...ความเป็นชาติพันธุ์...ความเป็น
วัตรปฏิบัติของชีวิต...ความมีอายุมากน้อย...
ความมีสถานภาพต่างๆ...ที่จำต้องถอนออกก่อน..

หากไม่ถอนถ่ายออกจากจิต...มันจะเหมือนความมืดมน
ที่ไม่อาจอยู่ร่วมกับความสว่างคือความรู้เท่าทันธรรมชาติ
ของจิตได้


เขาจึงพูดกันว่า...ถอนอาสวะ ได้สิ้นก็บรรลุวิมุติ(บรรลุธรรม) นั่นเอง




โดย: สดายุ... วันที่: 3 เมษายน 2553 เวลา:9:37:43 น.  

 
สวัสดี่ค่ะ

.....ได้รับความรู้ดีมากเลยค่ะ


โดย: แสงสว่าง IP: 97.123.85.29 วันที่: 3 เมษายน 2553 เวลา:9:41:01 น.  

 
ขออนุโมทนาในความชัดเจน ของธรรม

แม่เอื้องขอบพระคุณสดายุมากเลยค่ะ


โดย: แม่เอื้อง IP: 118.172.30.84 วันที่: 3 เมษายน 2553 เวลา:10:04:43 น.  

 
สาธุ

..ธรรมมะจ๋า..

จขบ.นี้เก่งทุกเรื่องจริงๆเลยค่ะ
ข้าน้อยขอคาราวะ หนึ่งจอก อิ..ๆๆ


โดย: อาลีอา วันที่: 3 เมษายน 2553 เวลา:20:37:32 น.  

 
"เขาจึงพูดกันว่า...ถอนอาสวะ ได้สิ้นก็บรรลุวิมุติ(บรรลุธรรม) นั่นเอง"

ก่อนจะไปถึง ความยากง่ายในการถอนอาสวะ

มีคำถามที่ต้องตอบ ก่อนว่า อยากถอนหรือเปล่า การทำใจให้ว่างไม่ยินดีใน สุข-ทุกข์ โดยเฉพาะรักใคร่ แค่คิดก็ไม่อยากถอนแล้ว!

เอ..เกี่ยวหรือเปล่า..55555


โดย: 11 IP: 112.142.151.99 วันที่: 3 เมษายน 2553 เวลา:21:07:41 น.  

 
แสงสว่าง...
สวัสดีครับ



แม่เอื้อง...
ด้วยความยินดีครับ...

"จิต"ที่เป็นตัวรู้ในทางพุทธศาสนา...
กับ"จิต"ที่ควบคุมระบบประสาทในทางการแพทย์
ส่วนตัวผมคิดว่า...เป็นคนละตัวกัน...

ใน Links - - >> แถบขวามือ
จะมี "พจนานุกรมพุทธศาสน์" อยู่ครับ
ลองดูความหมายนะครับ เรียงตามอักษร..
ถึงความหมายของ "จิต" ที่ถูกต้องในทางพุทธ ครับ





เลิฟ...
ไม่เก่งทุกเรื่องหรอก...
เพียงแต่บังเอิญสนใจอยู่ 4-5 เรื่องหลักๆ

เศรษฐศาสตร์
ศาสนา
การเมือง
ศิลปศาสตร์
มนุษย์ศาสตร์

อันหลังนั้นเฉพาะเรื่องของสาวน้อยเท่านั้น...555






ราบ 11
นั่นสิ...ผมก็ถามตัวเองอยู่ทุกวัน...
ยิ่งพอเห็น"เจ้ากู" บาง"ตัว" เทเลือดที่ฐานรูปปั้น
เจ้ากาวิละที่เชียงใหม่แล้ว...

อยากขึ้นธรรมาสน์เทศน์สอนสักชั่วโมง
ก่อนปล่อยกลับวัด !

ก็เพราะใจมันยังไม่อยากถอน...
ถึงเขียนนารีปราโมชอยู่นี่ไง...กลัวถูกจับสึกเสียก่อน
บรรลุธรรม เพราะทนสีกายั่วยวนไม่ไหว !

555



โดย: สดายุ... วันที่: 3 เมษายน 2553 เวลา:22:06:01 น.  

 
คงไม้ต้องยั่วยวน แค่เห็น ก็จีวรร้อนแล้ว จริงไหม?.... 555

แล้วพระดังๆ น่ะ ลาปสักการะไหลเข้าหา รับไม่หวาดไม่ไหว แถมสีกา (สาวๆ) ก็นิยมเข้านมัสการซะด้วย

คุณดูแต่ละวัด..เช่น แถวๆ จันทบุรีก็มีวัดหนึ่ง มีเฟอร์นิเจอร์ไม้ประดับมุกเต็มวัดไปหมด... ชาวบ้านถวายก็ปฏิเสธ ไม่ได้...



โดย: 11 IP: 112.142.151.99 วันที่: 3 เมษายน 2553 เวลา:23:28:43 น.  

 
11

คนเราหากไม่หลอกตัวเอง...และยอมรับความเป็นจริง
ที่มีอยู่ในตน...ก็ไม่จำเป็นต้องคอยเสแสร้งสร้างภาพ
จริงไหมครับ...เพราะมันต้องคอยแบก จนเหนื่อย !

เพียงเพื่อให้"คนอื่น"มองเห็นแต่ด้านดีของตน..
ทั้งๆที่"คนอื่น"พวกนั้นไม่เคยให้ข้าวกินสักเม็ด !
จริงไหม ?

การบวชเรียนเป็นภาวะการสร้างภาพอย่างหนึ่ง
เพราะ"เครื่องแบบ" มันแสดงถึงความดีงาม
เมื่อเอาลงห่มร่างกาย...คนก็คิดว่าจิตใจร่างกาย
นั้นๆจะดีงามตามไปด้วย...ทั้งๆที่จิตภายในไม่พร้อม !

อาจพยายามฝืนต่อสู้อยู่บ้างในช่วงเริ่มต้น
แล้วค่อยๆพังทะลาย...พ่ายแพ้ออกมาในแต่ละวัน
เมื่อถูกกระทบกับโลกแวดล้อม...ที่ต้องกับจริตส่วนตน


บ้างก็ด้วยอิสตรี...วัยอ่อน...รูปงาม
...ยันตระ, ใบฎีกานิกร, ภาวนาพุทโธ, อิสระมุนี


บ้างก็อามิส...ที่ขาดแคลนมาจากวัยเด็ก
...หลวงพ่อสนอง วัดสังฆทาน เรือไม้สัก รถเบนซ์
โบสถ์แก้วกลางป่า ?
พระเด็กปรนนิบัติตักข้าวตักปลาให้เวลาฉันเพล ?


บ้างก็พัดยศ...ที่สถานภาพทางโลกดั้งเดิม
ห่างไกลนักหนา
...สมเด็จ พรหม เทพ ราช ฯ นำหน้านาม


บ้างก็อัตตาวิปริต...ที่ปัญญาเกิดผิดเพี้ยนจนเข้าใจ
แก่นธรรมไม่ได้ ก็อุปโลกน์สัทธรรมปฏิรูปขึ้นมา
...ธรรมชัยโย


บ้างก็อุตริมนุสสธรรม...ราดน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก
...ฤๅษีลิงดำ สายฤทธิ์เดชทั้งหลาย


ไม่ใช่ชาวบ้านถวายแล้วปฏิเสธไม่ได้...แต่เพราะตัดใจ
ปฏิเสธไม่ได้....

ต้องสอน...ว่ารถเบนซ์คันละ 3-4 ล้านน่ะเกินจำเป็น
หากจะสงเคราะห์เอาแค่ปิ๊กอัพก็พอ ไว้ขนส่งพระ
ไปงานชาวบ้าน...เงินที่เหลือก็เอาไปเป็นทุนการ
ศึกษาเด็กยากจน

พระต้องสอนครับ....เพราะมีหน้าที่สอนคน
หากมีความจริงใจต่อ"คนที่ควรเมตตา"


โดย: สดายุ... วันที่: 4 เมษายน 2553 เวลา:0:22:40 น.  

 
จึงไม่มีความจำเป็นต้องเข้าวัด ทำบุญมากมาย เพื่อหวังต่างๆ นาๆ บางคนหวังข้ามชาติ ไปถึงชาติหน้า (โลภบุญข้ามชาติ) แท้จริงแค่ใจสงบนิ่ง ก็บุญแล้ว..การทำบุญจึงควรอยู่ในความพอดี..

การทำทานควรจะเน้นให้มาก เพราะคนทุกข์ยากมีมากมาย

แต่ตราบใดที่ คนยังมีความเห็นแก่ตัว เห็นแก่วัตถุ เอารัดเอาเปรียบ ก็ยากที่จะมองเห็นความทุกข์ยากของคนอื่น

พูดไปพูดมาเดี๋ยว วกเข้าเรื่องโกงข้ามชาติ หยุดดีกว่า
ไปยลโฉมนารีดีกว่า..5555


โดย: 11 IP: 112.142.151.99 วันที่: 4 เมษายน 2553 เวลา:0:42:44 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณสดายุ

ในเรื่องของพระแม่เอื้องก็พบเป็นอย่างนี้..น่าเสียดาย

.................
คุณสดายุค่ะ..ใช่คะเขาตึความ "จิต" ผิดไปนี้หละค่ะคือความ "ละเอียด"ที่พระพุทธองค์เห็น แม่เอื้องเข้าใจ
เหมือนคุณสดายุนั้นแหละค่ะ ความถี่ ความละเอียดของจิตที่ทำงานเกิด ดับวงเวียนถับถมอยู่ในนั้น

เพียงแม่เอื้องไม่รู้จะอธิบาย "กำหนดอรูปภพ และรูปภพ "ที่ใช้ในความหมายในแง่มนุษย์โลกให้ชัดเจนได้อย่างไร?ค่ะ
และขอบคุณสดายุที่ได้ให้คำตอยแก่แม่เอื้องได้ชัดเจนที่สุด.

คำว่า"อวิชชา" ที่คุณสดายุให้ความหมายว่า "สภาพที่ปราศจากความรู้" อันนี้แม่เอื้องชอบมาก ขอยืมใช้ด้วยนะค่ะ แม่เอื้องจะให้ความหมายเป็น"ความพร่องของจิตที่ขาดความรู้ ทำให้ใช้การไม่ได้อย่างเต็มที่ "


ที่สำคัญแม่เอื้อง อยากให้ชาวพุทธนำคำสอนของพระพุทธองค์นั้นมาใช้ปฎิบัติในวิถีชีวิตของเราทุกวันนี้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อการบวงสรวง ปลุกเสก เพืออภินิหาร ไม่ใช่เรื่องข้ามภพ ข้ามชาติ และได้เห็นพระหลายรูปก็เหมือนที่สดายุกล่าวถึง แม่เอื้องรู้สึกเสียดาย "คำสอนของพุทธองค์ " ค่ะ

.

ขออนุโมทนาธรรม ขอให้มีความสุขค่ะ





โดย: แม่เอื้อง IP: 118.172.22.93 วันที่: 4 เมษายน 2553 เวลา:7:21:12 น.  

 
11
ที่กล่าวมา...ชอบแล้ว
สาธุ....555




แม่เอื้อง....
ทิฏฐิ...ที่มีในคนย่อมแตกต่างกันไปโดยพื้นฐาน
ทางปัญญาที่มีในตน...

เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาให้มีความแตกต่าง...
จึงจริตใดๆก็ตามก็จะมีแนวโน้มไปหาสิ่งที่ลงกันได้
กับจิตวิญญาณนั้นได้อย่างเหมาะสม

แม้แต่พระพุทธองค์เองยังไม่อาจสอนให้ทุกผู้คน
บรรลุธรรมได้ทั้งหมด...ลองดูคนใกล้ตัวพระองค์ มี
พระพุทธบิดา พระเจ้าสุทโธทนะ
พระเทวทัต (พี่ชาย พระนางยโสธรา)
เป็นตัวอย่าง...ที่ไม่อาจได้ดวงตาเห็นธรรม

ขณะที่..
พระนางมหาปชาบดีโคตมี สมเด็จน้า หรือแม่เลี้ยง
พระนางยโสธรา พระชายา
พระราหุล พระโอรส
กลับมีดวงตาเห็นธรรมทั้งหมด

พระองค์จึงแบ่งคนตามระดับปัญญาเป็น 4 เหล่า
เปรียบกับบัว ไงครับ



จริตที่ชอบเหตุผล ใคร่ครวญ และตอบรับกับแนวคิด
แห่งปัจจุบันขณะ..มักชอบใช้"ปัญญา"ใคร่ครวญ
ข้อธรรมก็สนใจศึกษาอ่านงาน...ท่านพุทธทาส...
ท่านประยุตต์ ไป



จริตที่สอดรับกับการปฏิบัติฝึกฝนจิตอย่างเข้มงวด รุนแรง
เน้นการถือศีลพรตเคร่งครัดก็จะปฏิบัติ ฝักใฝ่ในแนวทาง
พระอาจารย์มั่น พระอาจารย์ชา รวมทั้งสันติอโศกไป



จริตที่สอดรับกับ"ศรัทธา"มากกว่าจะใคร่ครวญข้อธรรม
โดยแยบคาย...ก็จะฝักใฝ่การมองเห็นลูกแก้วใสที่
ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด...แบบหลวงพ่อสด แบบ
ธรรมชัยโยของธรรมกายไป



จริตที่สอดรับกับศรัทธา...โดยเฉพาะต่อวัตถุธรรม
เครื่องรางของขลัง...มนต์ดำทั้งหลายที่ผสมผสานกับ
แนวคิดสืบทอดมาจากครั้งโบราณ และจากลัทธิถือผี
ผสมผสานกันอยู่...ก็จะแสวงหาสำนักพระอาจารย์
ดังกันไป


คงยากที่จะไปแยกกลุ่มได้...เพราะเป็นการแบ่งตาม
"ภูมิปัญญา" ที่เป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่ง

ผมรู้สึกยินดีที่ได้ทราบว่าแม่เอื้อง...สนใจเรื่องของ
ปัจจุบันขณะมากกว่า เรื่องอดีต และอนาคต ที่เรา
ไม่อาจรู้ได้ด้วยตัวเอง...อันจะเป็นเรื่องมิจฉาทิฏฐิ
เกือบทั้ง 100%


โดย: สดายุ... วันที่: 4 เมษายน 2553 เวลา:8:32:46 น.  

 
"ผมรู้สึกยินดีที่ได้ทราบว่าแม่เอื้อง...สนใจเรื่องของ
ปัจจุบันขณะมากกว่า เรื่องอดีต และอนาคต ที่เรา
ไม่อาจรู้ได้ด้วยตัวเอง...อันจะเป็นเรื่องมิจฉาทิฏฐิ
เกือบทั้ง 100%"

ชอบคำพูดนี้มาก
เคยอ่าน คู่มือดับทุกข์ ของท่าน พุทธธาตุ เคยฝึกอานาปาณสติ เล็กน้อย เวลาไปทำบุญ ก็มักนิมนต์พระไว้ในใจ เพื่อให้ละลึกถึง และแสดงออกในกรอบของความดีงามตามคำสอน

บางครั้งก็นิมนต์ รูปของท่านพุทธธาตุไว้ในใจ ไม่ต้องแขวนพระหรอก การกระทำดีของเรา จะปกป้องตัวเราเอง...ไม่เคยมีพระแขวนที่คอ หรือวางไว้ในรถ แต่มีไว้ในใจ

ความทุกข์ในปัจจุบัน ไม่มีหรอก ส่วนใหญ่จะไปทุกข์กับอดีต หรือไม่ก็ ทุกข์กับอนาคต

เป็นความทุกข์ ย้อนหลัง กับ ความทุกข์ล่วงหน้า ซึ่งไม่มีประโยชน์ กับมันสมอง และ จิตวิญญานแม้แต่น้อย

พูดศัพท์ ธรรมะไม่ค่อยเก่ง เพราะไม่ค่อยยึดติดกับ รูปแบบ และนิยาม เน้นตามดูความเคลื่อนไหวของใจตัวเอง และตามให้เท่าทัน

คุณสดายุว่าแค่นี้พอไหมสำหรับการดำรงอยู่ในโลกปัจจุบัน


โดย: 11 IP: 112.142.146.114 วันที่: 4 เมษายน 2553 เวลา:9:48:55 น.  

 
11

ครับ...ตามความคิดผมแล้ว
ที่คุณพูดมาก็แสดงถึงความเข้าใจ"แก่นธรรม" มากกว่า"ชาววัด" โดยมากแล้วครับ...

ลองคิดดูสิครับ...

ศีล มีไว้ทำไม..?
เป็นเครื่องป้องกันนิวรณ์ใช่ไหม

ป้องกันทำไม ?
หากไม่ป้องกันจิตก็จะฟุ้งไปเรื่อย...ใช่ไหม ?

เหมือนลิงเมื่อจับล่ามไว้กับเสา..
แรกๆจะดิ้นมาก...จนหมดแรงก็จะหยุด...
ถามว่าใครบังคับให้หยุดดิ้น ?
ไม่มีใช่ไหม...แต่หยุดเอง เพราะอ่อนกำลัง

จิตถูกศีลผูกล่ามดึงไว้ก็ส่ายดิ้นมากหน่อยในช่วงแรก
แล้วค่อยๆสงบรำงับ...เมื่อรำงับบ่อยเข้านานเข้าก็เป็น
ภาวะวิสัยไป

เมื่อรำงับก็นิ่ง...ก็เหมาะที่จะตามดูมัน...

ก็แค่ตามดู..ว่ามันจะส่ายไปทางไหน
ก็หยอกเล่นกับมันได้สิ...
ดักซ้าย ดักขวา ดักหน้า ดักหลัง

ถ้าดักอยู่ก็ทัน...
ถ้าดักไม่อยู่มันล้ำไปข้างหน้าก็ต้องยอมฟาวล์เตะตัดขา
ยอมใบแดงเลย...55

ก็จะรู้ทันทีที่แปล๊บขึ้นมาว่า...

โกรธเหรอนี่...โห-แล่นเป็นริ้วๆขึ้นหน้ามาเชียว
แค่เขาบอกว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่ชอบ
ต้องยึดซะเท่านั้นแหละ
อุแม่เจ้า...ไปดูหน้าในกระจกหน่อยซิ... 55

หรือ

ชอบมากสินะนี่ กินใหญ่เลย เหมือนจะเคี้ยวไม่ทัน
ความอยาก...เนื้อเหนียวนุ่มหวานอย่างนี้ใช่เลย
ก้านยาวจ๋า....อิๆๆ


ใช่ครับ..ถูกแล้ว..ชอบแล้ว
กับพระที่แขวนไว้ที่ใจ...ดีกว่าที่แขวนคอมากมาย
เพราะ...

1 ไม่หนัก
2 ไม่เสี่ยงต่อการถูกจี้เอาทองเลี่ยมพระ....55


ดังนั้น..เรื่องความชั่วทั้งหลายที่ห้ามกันไว้ด้วยศีล
มันเป็นเรื่องพื้นฐานที่ใครก็รู้ได้โดยสามัญสำนึก...
หลักกฎหมายนั่นเอง

ฆ่าคน...ติดคุก
ข่มขืน ผิดลูกเมียเขา...ติดคุก เผลอๆถูกกระทืบซ้ำ
ลักขโมยของ...ติดคุก
พูดเท็จ...หมิ่นประมาทใส่ร้าย...หลอกลวง...ติดคุก
การเสพสารเสพติด...ติดคุก หากค้าด้วย โดนประหาร
เมรัย-สมัยนี้มันต้องเรียกรวมว่า สารเสพติด
(และบรรดา"เจ้ากู"ที่สูบบุหรี่ปุ๋ยๆ...น่าจับสึกให้หมด)


คงไม่ต้องมาตั้งเป็นขั้นตอนแรกแล้ว


สำคัญที่สุดก็อยู่ที่การตามดูจิตไม่ให้ทุกข์ด้วยเรื่อง
รอบตัวทุกขณะอย่างที่ทำอยู่นั่นแหละ...ชอบแล้ว

ขออนุโมทนาในสัมมาทิฏฐิที่หยั่งลงในจิตใจ


ปล.
หายากนะดอกบัวพ้นน้ำนี่...
เจอดอกหนึ่งเผยให้เห็นสีสันขึ้นมา
ก็ชื่นใจเหลือหลายแล้ว....ขอรับ



โดย: สดายุ... วันที่: 4 เมษายน 2553 เวลา:13:11:16 น.  

 
.สวัสดีค่ะ
แวะมาอ่านความคิดเห็นต่างๆที่น่าสนใจ

..ขอให้มีความสุขกับการพักผ่อนในวันหยุดค่ะ..


โดย: แสงสว่าง IP: 97.123.85.29 วันที่: 4 เมษายน 2553 เวลา:13:28:57 น.  

 
สวัสดีเย็นวันอาทิตย์ก่อนงานจะยุ่งค่ะ

อ่านเสวนาธรรมด้วยคน...


โดย: ปลิวตามลม วันที่: 4 เมษายน 2553 เวลา:17:03:43 น.  

 
แสงสว่าง....
สวัสดีครับ




อัล...
คืนนี้คงยุ่ง...หวังว่าคงสบายดีแล้ว
อย่างไรก็พักผ่อนให้มากๆนะคะ...
ไม่ต้องตื่นเช้ามากนักก็ได้...ค่ะ


โดย: สดายุ... วันที่: 4 เมษายน 2553 เวลา:21:48:34 น.  

 
ยังไม่เหนือน้ำ ยังผลุบๆ โผล่ๆ สำลักน้ำก็บ่อย..5555
เอาแค่รู้ว่า..เออสำลักน้ำแล้วนะ..แล้วบ่อยครั้ง ก็ต้องดำน้ำมั่ง แต่ตามน้ำไม่เคย เพราะอาชีพไม่เอื้อ หรือเป็นเพราะกุศล ไม่รู้ได้ ทำให้ไม่มีโอกาส ทำชั่ว


โดย: 11 IP: 114.128.39.82 วันที่: 4 เมษายน 2553 เวลา:22:48:22 น.  

 
อ้อ...ครับ
มีอาชีวะที่ไม่เอื้อต่อการทำชั่ว...ถือว่าโชคดีครับ

ที่จริงเรื่องทิฏฐินี้...เหมือนลายแทงขุมทรัพย์
รู้ตำแหน่งแล้ว...รอแต่"ลงมือขุด"ให้พบ
ซึ่งมันจะไม่นานเลย...หากมี"ความเพียรชอบ"

ขณะที่ตัวตั้งต้นที่เรียกกันว่า ทิฏฐิ หรือความเห็น
นี้หากวางลงผิดทางก็เหมือนคนไม่มีลายแทง
ขุดหาสมบัติบนภูเขา

แม้จะขยันขุดจนเป็นรูพรุนไปทั้งภูเขา ก็ยากจะเจอ

แปลว่าต่อให้ขยันฝึกปฏิบัติขนาดไหน...ก็ไปได้
ไม่ไกล...เพราะมันผิดทาง ! มันจะไม่ได้อะไรนอกจาก
อุปาทานหมู่ที่พร้อมใจกัน"เห็นโน่นนี่" ตามปากบรรยาย
นำของบรรดาหลวงพ่อหลวงพี่...เท่านั้นเอง

ท่านจึงเอาตัวสัมมาทิฏฐิเป็นตัวขึ้นต้น...ในบรรดา
มรรคมีองค์แปด...


โดย: สดายุ... วันที่: 5 เมษายน 2553 เวลา:7:39:58 น.  

 
อรุณสวัสดิ์คุณสดายุ

แม่เอื้องจะอธิบายอย่างไงให้เข้าใจความดิดของแม่เอื้องดีนะ...ตรงอรูปภพ รูปภพนี้ คือแม่เอื้องหมายถึงอย่างนี้นะ มนุษย์ผู้ที่อยู่บนโลกนี้มีความงดงามของจิตใจเหมือนด้านสว่างของพระจันทร์เป็นเสี้ยวจนถึงสว่างพระจันทร์เต็มดวงดุจพระอรหันต์ และเหล่าผู้คนทึ่ความสว่างในจิตใจที่ค่อนจะเต็มดวง เป็นเนื้อนาบุญได้บรรลุธรรมขึ้นขั้นพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี แต่ยังต้องดำรงชีวิตตามกฎแห่งกรรมบนโลกนี้ พวกท่านยังมีความยาก อุปทานอยู่บ้าง เมื่อท่านคิด ทำ พูด จะอยู่ในภพของอรูปภพ รูปภพใช่ไหม? แม่เอื้องติดสงสัยแค่นี้เองค่ะ .......

แม่เอื้องเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม การชดใช้กรรม การเวียนว่ายตายเกิด การทำดีด้วยใจเพื่อผู้อื่นและตัวเอง
และแม่เอื้องตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆก็มีธรรมแห่งพระพุทธองค์นี้ละค่ะส่องนำทางชีวิตและให้หลุดจากทุกข์นั้นได้บ้างและบางสิ่งบางอย่างก็ยังต้องขัดเกลาต่อไป
แม่เอื้องเชื่อว่าถ้าเราเพาะบ่มเพาะความดีไว้ ประพฤติในทางที่ดีงามเราจะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีในวันข้างหน้าค่ะ

แม่เอื้องชื่นชมคุณสดายุ..และอยากคุยหลายๆเรื่องเพราะแม่เอิ้องถามใครเขาก็ตอบตามตัวหนังสือเสียเป็นส่วนมาก แต่คุณสดายุให้ความแจ่มกระจ่างได้ดีค่ะ และวันหลังแม่เอื้องติดสงสัยอะไรอีกจะเรียนถามคุณสดายุอีกค่ะ

ขอให้มีความสุขนะคะ



โดย: แม่เอื้อง IP: 118.172.55.247 วันที่: 5 เมษายน 2553 เวลา:8:00:26 น.  

 
สวัสดีครับแม่เอื้อง....

ผมยินดีมากที่ได้มีโอกาสพูดคัยแลกเปลี่ยน
ความเห็นกันด้วยภาษาพูดธรรมดานี่แหละ

ผมพอจะเข้าใจสิ่งที่แม่เอื้องสงสัยชัดแล้วล่ะครับ
ว่าตรงไหนหนอที่พระอริยะบุคคลยังติดข้องอยู่
จึงยังไม่อาจพาจิตหลุดพ้นโลกออกไปได้...ใช่ไหมครับ

แต่สงสัยอยู่ว่าทำไมถึงมาติดใจอยู่แต่ที่จุดนี้...ภพ

หากแม่เอื้องเคยอ่านพระพุทธวัจนะในวาระต่างๆมาบ้าง
ยิ่งโดยเฉพาะจาก..."พุทธประวัติจากพระโอษฐ์"
ของท่านพุทธทาส พระพุทธองค์จะตรัสถึงลำดับ
แห่งการบรรลุธรรม...ไว้ดังนี้...

"หลังกลืนกินอาหารหยาบให้ร่างกายมีกำลังได้แล้ว
เพราะ....
สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย..จึงบรรลุ
ฌานที่ 1..มีวิตกวิจาร..มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก
แล้วแลอยู่

เพราะ....
สงบวิตกวิจารเสียได้...จึงบรรลุฌานที่ 2
เป็นเครื่องผ่องใสในภายใน เป็นที่เกิดสมาธิแห่งใจ
ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิแล้วแลอยู่

เพราะ....
ความจางไปแห่งปีติ ย่อมอยู่ด้วยอุเบกขา มีสติ
สัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย จึงบรรลุ
ฌานที่ 3 อันเป็นฌานที่พระอริยะเจ้ากล่าว่าผู้ได้ฌานนี้
เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุขแล้วแลอยู่

เพราะ....
ละทุกข์และสุขเสียได้ เพราะความดับหายไปแห่ง
โสมนัสและโทมนัสแห่งกางก่อน จึงได้บรรลุ
ฌานที่ 4 อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่ความที่สติ
เป็นธรรมชาติเพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่


ครั้นเมื่อจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ผ่องใสไม่มีกิเลส ปราศจาก
กิเลส เป้นธรรมชาติอ่อนโยนควรแก่การงาน ถึงความ
ไม่หวั่นไหวตั้งอยู่เช่นนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพาะต่อ
"บุพเพนิวาสานุสสติญาณ.."
(ความรู้เป็นเครื่องระลึกได้ถึงขันธ์ที่อาศัยอยู่ในชาติ
ก่อน, ระลึกชาติได้ )
นี่เป็นวิชชาที่ 1



ครั้นเมื่อจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ผ่องใสไม่มีกิเลส ปราศจาก
กิเลส เป้นธรรมชาติอ่อนโยนควรแก่การงาน ถึงความ
ไม่หวั่นไหวตั้งอยู่เช่นนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพาะต่อ
"จุตูปปาตญาณ.."
( ความรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย )
นี่เป็นวิชชาที่ 2



ครั้นเมื่อจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ผ่องใสไม่มีกิเลส ปราศจาก
กิเลส เป้นธรรมชาติอ่อนโยนควรแก่การงาน ถึงความ
ไม่หวั่นไหวตั้งอยู่เช่นนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพาะต่อ
"อาสวักขยญาณ.."
( ความรู้ที่ทำอาสวะให้สิ้น )
นี่เป็นวิชชาที่ 3 "



วิชชา 3 คือสิ่งที่พระอรหันต์บรรลุ
และพระอนาคามียังไม่อาจบรรลุ...ต่างกันตรงนี้เอง
แต่วิชชา 1 และ 2 ท่านบรรลุแล้ว

พระสกิทาคามี เพียงบรรลุ วิชชา 1

ส่วนพระโสดาบันบรรลุ ฌานที่ 4


เมื่อยังไม่อาจบรรลุวิชชา 3
แปลว่า...ยังคงมีอวิชชาหลงเหลืออยู่...
แปลว่า...วงรอบแห่งปฏิจจสมุปบาทยังคงทำงานอยู่
แม่จะเพียงเล็กน้อย...เพราะต้นตอยืนโรงยังไม่สิ้น
แปลว่า...เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ยังมีอยู่

ส่วนจะเป็นภพ ตัวไหน...
ก็ต้องไปดูว่าสภาพธรรมตัวไหนที่จิตท่านยังเกี่ยวข้อง
อยู่จนไม่อาจหลุดพ้นไปได้

และในระดับนั้น...จะเหลือเพียง...รูปภพ อรูปภพเท่านั้น
ขั้นกามภพคงไม่เหลือแล้ว...

มาดูกันที่ความหมาย....

ภพ - โลกเป็นที่อยู่ของสัตว์, ภาวะชีวิตของสัตว์
มี ๓ คือ
๑.กามภพ ภพของผู้ยังเสวยกามคุณ
๒.รูปภพ ภพของผู้เข้าถึง"รูปฌาณ"
๓.อรูปภพ ภพของผู้เข้าถึง"อรูปฌาณ"

รูปฌาน - ฌานมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ มี ๔ คือ
๑) ปฐมฌาน ฌานที่ ๑ มีองค์ ๕ คือ
วิตก (ตรึก)
วิจาร (ตรอง)
ปีติ (อิ่มใจ)
สุข (สบายใจ)
เอกัคคตา (จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง)

๒) ทุติยฌาน ฌานที่ ๒ มีองค์ ๓ คือ
ปีติ
สุข
เอกัคคตา

๓) ตติยฌาน ฌานที่ ๓ มีองค์ ๒ คือ
สุข
เอกัคคตา

๔) จตุตถฌาน ฌานที่ ๔ มีองค์ ๒ คือ
อุเบกขา
เอกัคคตา



อรูป - ฌานมีอรูปธรรมเป็นอารมณ์ ได้แก่
อรูปฌาน

ภพของสัตว์ผู้เข้าถึงอรูปฌาน

ภพของอรูปพรหม มี ๔ คือ
๑. อากาสานัญจายตนะ
(กำหนดที่ว่างหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์)

๒. วิญญาณัญจายตนะ
(กำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์)

๓. อากิญจัญญายตนะ
(กำหนดภาวะที่ไม่มีอะไร ๆ เป็นอารมณ์)

๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ
(ภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่)



โดย: สดายุ... วันที่: 5 เมษายน 2553 เวลา:15:57:14 น.  

 
ขอบพระคุณคุณสดายุมาก

บิงโกเลยค่ะ
คือแม่เอื้องพยายามตีธรรม "วงจรปฎิจจสมุปบาท " ให้ครบวงจร แม่เอื้องมาติดขัดการกำหนดภพ รูปภพ และอรูปภพนี้ค่ะจะอธิบายอย่างไรให้เห็นเป็นรูปธรรม คุณสดายุอธิบายครั้งนี้ทำเข้าใจมากขึ้น

ภพ - โลกเป็นที่อยู่ของสัตว์, ภาวะชีวิตของสัตว์
มี ๓ คือ
๑.กามภพ ภพของผู้ยังเสวยกามคุณ
๒.รูปภพ ภพของผู้เข้าถึง"รูปฌาณ"
๓.อรูปภพ ภพของผู้เข้าถึง"อรูปฌาณ"

ที่แท้อยู่ที่ภาวะตัณหาในกามแตกต่างกันตรงนี้เอง
และความหมายของ"รูปฌาณ""อรูปฌาณ"นี้ค่ะ

แม่เอื้องขอขอบพระคุณอย่างยิ่งเลยค่ะ


โดย: แม่เอื้อง IP: 180.180.49.220 วันที่: 5 เมษายน 2553 เวลา:18:21:12 น.  

 
ออกจะผิดห้องอยู่ แต่ว่าไปอ่านมาแล้ว ก็เลยอดนึกชมไม่ได้ ความงดงามของสาวน้อย ที่มาเม้นท์ (หมายถึง จิตนาการของเธอ) แล้ว การโต้ตอบ ที่น่ารัก ของ จขบ ทั้งเพลง ทั้งกลอน ทุกองค์ประกอบ ช่างหวานไปหมด เป็นโลกที่น่ารื่นรมย์จริงๆ สาวน้อยนี่ช่างน่า หลงไหลนัก


O จน - รับรู้.. ! O

จะเม้นห้องนั้นเกรงว่าสาวจะเขินกัน ที่รู้ว่ามีอีกคน มาแอบดูด้วย.....555555



โดย: 11 IP: 114.128.32.153 วันที่: 6 เมษายน 2553 เวลา:10:57:15 น.  

 
สวัสดีครับแม่เอื้อง....

ยินดีมากครับหากความเห็นของผมจะเป็นประโยชน์ต่อ
แม่เอื้องได้บ้าง...

ปกติจริตผมลงกันได้กับแนวทางการตีความพุทธธรรม
ของท่านพุทธทาสภิกขุ เป็นหลัก...

ไม่ว่าจะหยิบจับอ่านประเด็นใดเป็นต้องสอดคล้องกัน
ทุกเรื่องไปทั้ง 100% นับตั้งแต่ตามรอยพระอรหันต์
อันเป็นเล่มแรกที่ผมเริ่มอ่านงานท่าน...

จนมาถึง...ปฏิจจสมุปบาท...ที่ทั้งหนังสือทั้งเทป(สมัย
ที่ยังไม่มี CD) กระทั่ง CD ที่ฟังไม่รู้กี่รอบเพื่อความ
เข้าใจ...

จนเมื่อไปจับอ่านเล่มที่ อ.บรรจบ บรรณรุจิ ที่เป็น
อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ ตีความ
ปฏิจจสมุปบาทแล้ว...ผมอ่านได้แค่"ปฏิสนธิวิญญาณ"
ก็ต้องวาง...มันไม่อาจลงกันได้กับจริตผม...กับวิญญาณ
ล่องลอยเวียนเกิดเวียนดับแบบพราหมณ์นั้น

ทนอ่านต่อไม่ได้..ว่างั้นเถอะ

รวมทั้งหนังสือที่หลวงพ่อฤๆษีลิงดำแห่งวัดท่าซุง
เขียนเกี่ยวกับภาวะนิพพานเหมือนกัน...อ่านได้แค่
10 หน้าเองต้องวาง....555

จริตผมไม่สนใจเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด
ผมสนใจเรื่อง"กรรม"ในแง่ที่ว่า...มันไม่อาจขัดขวาง
การบรรลุธรรมได้...แน่นอนเด็ดขาดเท่านั้น

หากแม่เอื้องสนใจ...ไว้จะพูดคุยให้อ่านอีกทีครับ
เกี่ยวกับประเด้นนี้






11
อ้อ ครับ...
ห้องนั้นท่าทางเข้าไปแล้วจะผิดวัยหรืออย่างไรครับ...
555

ปกติจิตใจสาวน้อยมักอ่อนไหวมากอยู่บ้างอยู่แล้ว
กลอนอ่อนหวานจึงยิ่งไปเสริมจินตนาการให้ล่องลอย
เข้าไปใหญ่...

สาวน้อยจึงมักไม่ปฏิเสธกลอนนารีปราโมชหรอกครับ
วัยแค่นี้...ตัวแค่นั้น...จะให้ไปแบกโลกร้อนตับแลบแถว
สี่แยกราชประสงค์อย่างไรได้....555




โดย: สดายุ... วันที่: 6 เมษายน 2553 เวลา:19:42:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.