กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
กันยายน 2567
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
space
space
22 กันยายน 2567
space
space
space

สงครามครูเสด


พระสันตะปาปาเออร์บานที่ 2 ผู้จุด “สงครามครูเสด” ทวงคืน “เยรูซาเลม” ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (msn.com)

     “สงครามครูเสด”  (Crusades War) สงครามศาสนา หรือ สงครามศักดิ์สิทธิ์ เพื่อชิงนครเยรูซาเลม”  ระหว่างชาวคริสต์จากยุโรป กับ ชาวมุสลิม  เริ่มขึ้นเมื่อพระสันตะปาปาเออร์บานที่ 2 (Pope Urban II) ประกาศระดมพลในการประชุมที่เมืองเคลมองต์ (Clemont) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1095 งานประชุมนี้เต็มไปด้วยเหล่าพระคาร์ดินัล อาร์ชบิชอป บิชอป นักบวชคาทอลิก อัศวินจากทั่วฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน และชาวบ้านที่มารวมตัวกันเป็นมวลชนจำนวนมหาศาล

- พระสันตะปาปาเออร์บานที่ 2 กับที่มา “สงครามครูเสด”

     ที่เคลมองต์ พระสันตะปาปาเออร์บานที่ 2 มีรับสั่งถึงการคุกคามดินแดนของชาวคริสต์ทางตะวันออกจากพวกมุสลิม กล่าวถึงความประสงค์ของ จักรพรรดิอเล็กซิอุส (Alexius) แห่งจักรวรรดิไบเซนไทน์ ที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ ให้รวบรวมกองทัพชาติคาทอลิกทั้งปวงมาช่วยกอบกู้ดินแดนที่สูญเสียให้แก่อนารยชนนอกศาสนาหรือพวกมุสลิม

     พระสันตะปาปาเองทรงมองเห็นประโยชน์ที่พระองค์ และคริสจักรคาทอลิกแห่งกรุงโรมจะได้จากการประกาศสงครามศักดิ์สิทธิ์นี้ ประการแรก “ศาสนจักรคาทอลิก”  กับ  “ศาสนจักรออโธดอกซ์”  แห่งกรุงคอนสแตนติโนเปิล  เมืองหลวงของจักรวรรดิไบเซนไทน์  ไม่ได้ขึ้นตรงต่อกัน เป็นคริสต์ต่างนิกายที่ต่างมีอำนาจเหนือดินแดนและผู้คนแยกส่วนกันชัดเจน

     ศาสนจักรคอทอลิกแห่งกรุงโรม  มีอิทธิพลต่อดินแดนยุโรปตะวันตก  ส่วนศาสนจักรออโธดอกซ์แห่งกรุงคอนสแตนติโนเปิล  มีอิทธิพลต่อดินแดนของจักรวรรดิไบเซนไทน์ และพื้นที่ยุโรปตะวันออก  ดังนั้น  การให้ความช่วยเหลือจักรวรรดิไบเซนไทน์จะถือเป็นการแผ่ขยายอำนาจของพระสันตะปาปาไปยังนิกายตะวันออกไปในตัวด้วย

     ประการที่สอง ณ ห้วงเวลานั้น พระราชอำนาจของพระสันตะปาปากำลังถูกท้าทายจากจักรพรรดิของจักรวรรดิโรมันแห่งเยอรมัน (จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์) จากกรณีที่ จักรพรรดิไฮน์ริชที่ 4 (Henry IV) ได้เข้ามาควบคุมกรุงโรม และตั้งพระสันตะปาปาหุ่นเชิด (Antipope) คือ พระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 3 (Clement III) ตั้งแต่ ค.ศ. 1080 เพื่อประโยชน์ในการควบคุมคริสตจักรแห่งกรุงโรม เป็นเหตุให้ โป๊ปเออร์บานที่ 2 ต้องเสด็จลี้ภัยจากอิตาลีไปยังฝรั่งเศส ก่อนการมาเยือนของทูตจากจักรวรรดิไบเซนไทน์ที่จะมาขอความช่วยเหลือ

     คณะทูตแห่งจักรวรรดิไบเซนไทน์ ตั้งหมุดหมายการขอความช่วยเหลือมายังโป๊ปเออร์บานที่ 2 ซึ่งขณะนั้นไม่ได้ประทับอยู่ที่กรุงโรม แต่แปรพระราชฐานอยู่ในดินแดนฝรั่งเศส การตัดสินใจของจักรพรรดิอเล็กซิอุส ซึ่งเลือกที่จะเมินจักรพรรดิเยอรมัน และพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 3 ที่กรุงโรม จึงเป็นการยืนยันสถานะว่า โป๊ปเออร์บานที่ 2 คือ “ของจริง” ซึ่งสร้างความพอพระทัยแก่พระองค์อยู่ไม่น้อย

- ระดมพล กอบกู้ “เยรูซาเลม” ดินแดนศักดิ์สิทธิ์

     ด้วยเหตุนี้  การประชุมที่เคลมองต์จึงถูกจัดขึ้นอย่างเปิดเผย ให้เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางที่สุด แม้การประชุมนี้จะไม่มีกษัตริย์หรือจักรพรรดิคาทอลิกมาร่วมก็ตาม  พระสันตะปาปาทรงเน้นย้ำเรื่องการช่วยเหลือจักรพรรดิอเล็กซิอุสแห่งจักรวรรดิไบเซนไทน์กอบกู้ดินแดน และยังเผยพระประสงค์ที่จะกอบกู้นคร “เยรูซาเลม” จากการปกครองของพวกมุสลิมด้วย

     อนึ่ง   ดินแดนที่จักรวรรดิไบเซนไทน์ต้องการทวงคืนนั้น อยู่บริเวณคาบสมุทรอนาโตเลียหรือเอเชียไมเนอร์ ไม่ใช่ภูมิภาคเลอวองค์อันเป็นที่ตั้งของนครเยรูซาเลมแต่อย่างใด การประชุมที่เคลมองต์จึงเผยเจตนารมณ์ 2 ประการที่ควบคู่กันอยู่

     พระสันตะปาปายังอ้างถึงปัญหาการปิดกั้นเส้นทางแสวงบุญ  การเอารัดเอาเปรียบ ข่มเหง และสังหารชาวคริสต์ของพวกมุสลิม  จนทำให้ผู้ชุมนุมแห่งเคลมองต์สะเทือนใจอย่างยิ่ง ทั้งนี้ คำกล่าวอ้างนี้ยังเป็นที่ถกเถียงว่าค่อนข้างเกินจริง เพราะการปกครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมอาหรับนั้น  เป็นที่ทราบกันว่า  ค่อนข้างเปิดกว้าง และให้เสรีภาพแก่ชนต่างศาสนามากพอสมควร

     กระทั่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ 11 การเข้ามาของพวกมุสลิมเผ่าเซลจุค” (Seljuks) ซึ่งเป็นพวกเติร์กกลุ่มหนึ่งจากเอเชียกลาง  เซลจุคเติร์กที่มีอำนาจเหนือดินแดนศักดิ์สิทธิ์  มีนโยบายปิดกั้นการแสวงบุญและคุกคามชนต่างศาสนา ชื่อเสียงด้านความโหดเหี้ยมของชาวมุสลิมจึงค่อย ๆ ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางตั้งแต่นั้น

     ทันทีที่เรื่องราวความป่าเถื่อนที่อนารยชนต่างศาสนากระทำต่อชาวคริสต์ถูกป่าวประกาศโดยพระสันตะปาปา  เสียงร่ำไห้และการก่นด่าสาปแช่งดังระงมทั่วลานชุมนุมนั้น  พระองค์ถือโอกาสสร้างความฮึกเหิมโดยประกาศว่า  ผู้ใดก็ตามที่เข้าร่วมสงครามกอบกู้จักรวรรดิไบเซนไทน์ และทวงคืนดินแดนศักดิ์สิทธิ์  นับเป็นผู้ฟื้นฟูพระสันติสุขแห่งพระเจ้า  (Peace of God) และจะได้รับการละเว้นความผิดทั้งปวงจากโลกและสรวงสวรรค์ หรือ “The remission of all penance for sins”  แปลว่า  “การอภัยโทษจากบาปทั้งปวง”  หรือ แปลให้ชัดว่า  พ้นจากความผิดบาปทางศาสนาและความผิดทางกฎหมาย

     ระหว่างนั้นเอง  มีเสียงปริศนาท่ามกลางกลุ่มผู้ชุมนุมตะโกนเป็นภาษาละตินว่า  “Deus Vult !”  หรือ  God  Will  it  ที่แปลว่า “พระเจ้าปรารถนา”  จากนั้น ผู้ชุมนุมทั้งหมดต่างพร้อมใจกันตะโกนคำนี้ซ้ำ ๆ จนดังกึกก้องไปทั่ว  เจตนารมณ์ขององค์พระสันตะปาปาในการทำสงครามศาสนาเพื่อขับไล่พวกมุสลิมไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จึง  “จุดติด”  ทันที

     พระสันตะปาปาทรงมีบัญชาไปยังเหล่าขุนนาง และนักบวชที่อยู่ในงานประชุม  ให้กลับไปแจ้งผู้คนในดินแดนของตนถึงการอภัยโทษจากบาปทั้งปวงในการร่วม  “สงครามศักดิ์สิทธิ์”  คำกล่าวนี้เป็นดังประกาศิตที่กระจายไปทั่วยุโรป  ชักนำประชาชนทุกชนชั้น ตั้งแต่ขอทาน ผู้ยากไร้ ชาวนา พ่อค้า ขุนนาง อัศวิน และลอร์ดทั้งหลาย ให้พร้อมใจกันติดสัญลักษณ์ไม้กางเขนแห่งพระคริสต์  เพื่อไปทำสงครามศักดิ์สิทธิ์กับพวกนอกศาสนา  ทั้งยังมีเหล่าโจร หรืออาชญากรหลบหนีคดีที่ตอบรับคำเชื้อเชิญของพระสันตะปาปา  เพื่อปลดปล่อยตัวเองให้เป็นไทจากความผิดเก่าของตน

     สงครามครูเสด ครั้งที่ 1  จึงมีทั้งกองทัพอัศวิน ขุนนาง และเจ้าผู้ครองดินแดน กับกองทัพประชาชน (และอดีตโจร) โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม เคลื่อนทัพจากยุโรปตะวันตกไปยังจักรวรรดิไบเซนไทน์ มีบันทึกว่า กองกำลังทั้ง 2 กลุ่มนี้  มีจำนวนผู้เข้าร่วมเป็นประชาชน และนักรบมากกว่าแสนคนเลยทีเดียว

     สงครามครูเสด ครั้งที่ 1 จึงเป็นทั้งข้อพิสูจน์อำนาจของศาสนจักรคาทอลิกแห่งกรุงโรมว่ามีอิทธิพลต่อผู้คนในยุโรปอย่างมากมายเพียงใด และการประกาศระดมพลของพระสันตะปาปาเออร์บานที่ 2 ได้เป็นการจุดประกายสงครามศาสนาที่นำความสูญเสีย การทำลายล้าง และความขัดแย้งที่จะดำเนินต่อไปอีกกว่า 200 ปี
 


 

สงครามครูเสด คลิปวิว - Google Search
 
 
- สงครามครูเสด 1-9 ครั้ง  แย่งชิงดินแดนเปลี่ยนไม้เปลี่ยนมือ ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ  ไม่แปลกที่แผ่นดินบริเวณนั้นจะมีสัญลักษณ์ต่างศาสนาเกิดขึ้น  รบชนะก็ครอบครองตั้งขึ้นใหม่  รบแพ้คนก็ทิ้งถิ่นถูกเขาทุบสัญลักษณ์ทางศาสนาทิ้ง    ฯลฯ 
 



ติดพันจนถึงปัจจุบันนับต่างหาก      9    วิดีโอ | Facebook


ก่อนจะมีอิสลาม ชาวอาหรับนับถืออะไร? #ประวัติศาสตร์ในคลิปเดียว I แค่อยากเล่า...◄1749► - YouTube

หวั่นโดนปลิดชีพด้วย อิหร่านย้าย'ผู้นำสูงสุด'เข้าที่ปลอดภัย (msn.com)

ฮิซบอลเลาะห์: กลุ่มติดอาวุธในตะวันออกกลาง - เปิดเผยความลับและบทบาทสำคัญ (msn.com)

ที่มาของฮิซบอลเลาะห์

ฮิซบอลเลาะห์ก่อตั้งขึ้นโดยกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน (IRGC) ในปี 1982 ระหว่างสงครามกลางเมืองในเลบานอน  จุดประสงค์ของการก่อตั้งคือเพื่อเผยแพร่แนวคิดการปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน และเพื่อต่อต้านการยึดครองของอิสราเอลในเลบานอน

กลุ่มนี้ยึดถืออุดมการณ์ “มุสลิมนิกายชีอะห์” และได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ส่งผลให้หลายรัฐบาลในตะวันตก รวมถึงสหรัฐอเมริกา และประเทศในอ่าวอาหรับที่นับถือนิกายซุนนี เช่น ซาอุดีอาระเบีย จัดให้ฮิซบอลเลาะห์เป็นกลุ่มก่อการร้าย

บทบาทในเลบานอน

หลังสงครามกลางเมืองในเลบานอนสิ้นสุดลงในปี 1990 กลุ่มต่างๆ ส่วนใหญ่ปลดอาวุธ แต่ฮิซบอลเลาะห์ยังคงรักษาอาวุธไว้  โดยอ้างว่าต้องการปกป้องเลบานอนจากการยึดครองของอิสราเอลในพื้นที่ตอนใต้ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิมนิกายชีอะห์  การต่อสู้ในรูปแบบกองโจรอย่างยาวนานส่งผลให้อิสราเอลถอนทัพในปี 2000 แต่ฮิซบอลเลาะห์ยังคงคลังแสงอาวุธไว้และได้รับการสนับสนุนจากชาวชีอะห์ในประเทศ

ทำไมสงครามในตะวันออกกลาง อาจไม่มีวันจบสิ้น?! #ทำไมไดอะรี่ I แค่อยากเล่า...◄1794► (youtube.com)

 



Create Date : 22 กันยายน 2567
Last Update : 2 ตุลาคม 2567 22:10:08 น. 0 comments
Counter : 292 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space