(1200)- พุทธเกิดในชมพูทวีป
- คริสต์เกิดบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
- อิสลามเกิดในคาบสมุทรอาหรับ
“อัฟกานิสถาน” บนเส้นทางสายไหม “แอ่งอารยธรรมดึกดำบรรพ์” (msn.com)เป็นที่รู้จักกันอยู่แล้วว่า อัฟกานิสถาน เป็นดินแดนที่มีอดีตรุ่งเรือง เป็นส่วนหนึ่งของ เส้นทางสายไหม (Silk Road) เส้นทางที่เชื่อมโลกยุคโบราณเข้าด้วยกันเป็นสายแรก มีผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์ หลากหลายความเชื่อศาสนา เดินทางผ่านเข้ามาเพื่อทำการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน
เมื่อประมาณ 50,000 ปี – 20,000 ปีที่แล้ว ปรากกฏร่องรอยอารยธรรมของมนุษย์ขึ้นที่เชิงเขาฮินดูกูช (Hindu Kush) ทางตอนเหนือของอัฟกานิสถาน ในช่วงเวลาต่อมาจึงเริ่มปรากฏร่องรอยของเมืองเริ่มแรกในบริเวณเมืองกันดาฮาร์ (Kandahar) รู้จักกันดีในนามของอารยธรรมหุบเขาสินธุ ที่กลายมาเป็นแหล่งผลิตลูกปัดให้กับโลกยุคโบราณในเวลาต่อมา
ช่วงเวลา 5,000-4,000 ปี มีการ
เคลื่อนย้ายของคนกลุ่มใหม่ลงมาจากทางตอนเหนือ ที่รู้จักกันในชื่อ
อารยัน (Aryan) แต่คงไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มชาติพันธุ์เดียวที่มีความบริสุทธิ์ล้วนๆ หากแต่มีหลายต่อหลายกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใกล้เคียงกันเคลื่อนที่ลงมาปะทะกับผู้คนที่อาศัยอยู่ในลุ่ม
แม่น้ำสินธุ กลุ่มชน
อารยันได้เข้าสู่อินเดียทางช่องเขาไคเบอร์ (Khyber Pass) และขับดันกลุ่มชนดั้งเดิมที่เรียกว่า
ดราวิเดียน (Dravidian) ในอินเดียให้ถอยร่นลงไป
ประมาณ 3,000-2,000 ปีที่แล้ว ขณะที่ชนเผ่า
อารยัน เริ่มสร้างบ้านเมืองที่เมือง
คาบูล (Kabul) เมืองเบคเตรีย (Balkh) แคว้น
คันธาราฐ (Gandhara) ก็ต้องรับการมาเยือนของ
จักรวรรดิเปอร์เซียที่กำลังยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองที่สุดใน
เมโสโปเตเมีย ชนเผ่าเปอร์เซียโดย
จักรพรรดิดาริอุส (Darius The Great) แห่งราชวงศ์อาคีเมนิค (Achaemenic) ยกกองทัพเข้าตีและทำลายแคว้น
คันธาราฐของอารยัน เบิกทางผ่านช่องเขาไคเบอร์ (Khyber Pass ) ลงไปยังบ้านเมืองในลุ่มน้ำสินธุ เปอร์เซียครอบครองอัฟกานิสถานยาวนานกว่า 200 ปี จึง
ผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมระหว่างชนเผ่า
อารยัน กับ ชาว
เปอร์เซียน กลายมาเป็น
ชาวอัฟกันพื้นเมือง
หลังจากการครอบครองของเปอร์เซีย
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander The Great) ยกกองทัพกรีกเข้า
ทำลายจักรวรรดิเปอร์เซียของจักรพรรดิดาริอุส เมื่อประมาณ 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช ตามด้วยการทำลายและสร้างเมืองใหม่จำนวนมากในเขตยึดครองของเปอร์เซีย กองทัพกรีกไล่ตีขึ้นมาทางตอนเหนือของอัฟกัน เข้าตีเมืองเบคเตรีย ตีแคว้นคันธาราฐและเมืองในลุ่มน้ำโอซุส ย้อนกลับลงตามแนวเขาฮินดูกูช ผ่านช่องเขาไคเบอร์เข้าโจมตี
แคว้นปัญจาบ ข้ามแม่น้ำสินธุเข้าโจมตีบ้านเมืองในอินเดีย แล้วจึงย้อนกลับมาตีบ้านเมืองทางตอนใต้ ใน
สงครามครั้งนี้เกิดการผสมผสานทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ความขัดแย้งครั้งใหม่เกิดขึ้นระหว่างชาว
กรีกผสมที่สร้างจักรวรรดิเบคเตรียร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ในลุ่มน้ำโอซุสทางตอนเหนือของ
อัฟกัน กับ ราชวงศ์
โมริยะของชาวอารยันใหม่ในอินเดียต่างเข้าแย่งชิงแคว้นคันธาราฐ โดยเริ่มต้นที่การกลับเข้ายึดครองแคว้นคันธาราฐของราชวงศ์โมริยะ ในช่วง
พุทธศตวรรษที่ 4 พระเจ้าอโศกมหาราช (Ahhoka The Great) นำพุทธศาสนาเข้าประดิษฐานในแคว้นคันธาราฐ (กรุงคาบูล เปษวาร์ จาลาลาบัด) เกิด
มหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกที่ตักสิลา ริมแม่น้ำสินธุ มีการเผยแพร่พุทธศาสนาไปทั่วภูมิภาค ถือได้ว่า เป็นยุคทองยุคต้นของพุทธศาสนาในอัฟกานิสถานก็ว่าได้ ต่อมา
กษัตริย์เมนันเดอร์ (Menander) แห่งจักรวรรดิเบคเตรียกลับเข้ามายึดครองแคว้นคันธาราฐ และวัฒนธรรมทางพุทธศาสนากลับคืน
200 ปี ต่อมา
ชาวกุษาณะ (Kushan) ชนกลุ่มใหม่ลงมาจากปลายแผ่นดิน
จีน เข้าครอบครองลุ่มน้ำสินธุจากผู้ครอบครองเดิม
พระเจ้ากนิษกะ (Kanishka) เข้ายึดครองบ้านเมืองในลุ่มน้ำคาบูล แคว้นคันธาราฐ เบคเตรีย จักรวรรดิของชาวกรีกผสมเสื่อมอำนาจลง สูญเสียดินแดนในปกครองไปเกือบทั้งหมด พระเจ้ากนิษกะสร้างเมืองเบคราม (Begram) เปษวาร์ (Peshwar เมืองมถุรา (Mathura) ริมฝั่งแม่น้ำยมุนาเป็นศูนย์กลางอาณาจักร และด้วยความมั่นคงและมั่งคั่งของจักรวรรดิ เส้นทางไหม (Silk Road) ที่เชื่อมโยงระหว่างโลกโบราณ จึงเริ่มเปิดขึ้น
ชาวกุษาณะ ศกะ-ซินเถียน รับเอา
วัฒนธรรมพุทธศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวัน มีการสร้าง
พระพุทธรูปยืนที่เมืองบามิยัน (Bamian) ตามเส้นทางสายไหม ถือได้ว่าในช่วงเวลานี้พระพุทธสาสนาเจริญรุ่งเรืองที่สุดใน
อัฟกานิสถานและกระจายไปสู่ดินแดนใน
ประเทศจีนตามเส้นทางสายไหม แต่ก็อาจจะจัดได้ว่าเป็น
ยุคทองยุคสุดท้ายของพระพุทธศาสนาในอัฟกานิสถานเช่นเดียวกัน ในช่วง 1,800 ปี
มีการผสมผสานระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เกิดกลุ่มชาติพันธุ์ใหม่ขึ้นอย่างมากมาย
กลุ่มชนกลุ่มใหม่ที่หลากหลายปรากฏตัวขึ้นในช่วง 1,700-1,600 ปีที่แล้ว กลุ่มชาติพันธุ์ใหม่นี้เคลื่อนตัวมาจากทุกๆ ด้านของดินแดนอัฟกันทางตอนเหนือ
ชาวฮั่นขาวเข้าทำลายวัฒนธรรมพุทธศาสนาในบ้านเมืองลุ่มน้ำโอซุส แคว้นคันธาราฐ และข้ามช่องเขาไคเบอร์เข้าทำลายอินเดียเหนือของราชวงศ์คุปตะ ชาวเติร์ก ตาด (ตาตาร์) จากเอเชียกลางเข้ามาทางตะวันตกเฉียงเหนือและจักรวรรดิเปอร์เซียราชวงศ์ ซัสสาเนี่ยนเข้ามาทางตะวันตก
บ้านเมืองในอัฟกานิสถานแตกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย ชาวเติร์กสร้างจักรวรรดิกลาสนี่ (Ghazni) ขึ้นทางตอนใต้ของกรุงคาบูล นำความเชื่อทาง
ศาสนาอิสลามจากอาหรับเข้าสู่อัฟกานิสถาน รวมทั้งยกกองทัพเข้าทำลายแคว้นของชาว
ฮินดูและชาวพุทธในอินเดียเหนือ
ศาสนาอิสลามจึงเริ่มแพร่กระจายเข้าสู่ลุ่มน้ำสินธุและลุ่มน้ำคงคา
ต่อมาจักรวรรดิดิกอรห์ได้โค่นล้มจักรวรรดิกลาสนี่ลง ขยายอาณาเขตต่อจากจักรวรรดิดิกลาสนี่ไปจนถึงอ่าวเบงกอล
ศาสนาอิสลามได้กลายเป็นศาสนาหลักของบ้านเมืองในพื้นที่
อินเดียเหนือแทบทั้งสิ้นในเวลาต่อมา
เมื่อ 800 ปีที่แล้ว
เจงกีสข่านนำกองทัพชาวมองโกล เข้าทำลายจักรวรรดิ
อิสลามของชาวเติร์ก ลงมาจนถึงลุ่มน้ำสินธุ ชาวมองโกลบางส่วนรับเอา
วัฒนธรรมอิสลามจากเจ้าของดินแดนเดิมมาใช้ปกครอง
เกิดเป็นสุลต่านมองโกลชาวอิสลามมองโกลได้สร้างอาณาจักรขึ้นในเขตครอบครองอัฟกานิสถาน ขยายจักรวรรดิไปกว้างใหญ่ในสมัยของสุลต่านมองโกลตาเมอร์เลนส์ (Tamerlane) ศูนย์กลางของจักรวรรดิอยู่ที่นครซามาร์คานด์ (Samarkand) อุซเบกิสถานในปัจจุบัน ชาว
อิสลาม มองโกลที่ยึดครองอินเดีย ก็ได้สร้างจักรวรรดิอิสลามโมกุลขึ้นปกครองอินเดียเหนือ
ด้วยความแตกต่างของผู้คนที่หลากหลายความเชื่อ เชื้อชาติและผู้ปกครอง จึงเกิดการต่อสู้กันเองในดินแดนอัฟกานิสถาน กอปรที่จักรวรรดิโมเลกุลเสื่อมอำนาจลง Ahmad Shah Abdali (Durrani) ผู้นำอัฟกันจึงได้สถาปนาจักรวรรดิอัฟกานิสถานขึ้นใหม่ ขยายอาณาเขตของจักรวรรดิออกไปอย่างกว้างขวาง ถึง
ทะเลอาหรับ และครอบคลุมลุ่ม
น้ำสินธุของราชวงศ์โมกุล จนกลายเป็น
อาณาจักรอิสลามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ในช่วงศตวรรษที่ 17