งาน Out Of This Mood เป็นงานที่ออกมาเมื่อปี 2002 นี่เอง แนวทางเป็น Swing Jazz แบบจ๋าๆ เลย เพลงที่นำมาเล่นนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเพลง Standard ทั้งสิ้น มีเพียง Parakeet Prowl เท่านั้นที่มาร์ก โลเวนธัลเป็นผู้ประพันธ์ ถึงแม้ว่าลิอัมบิโกจะไม่ได้แสดงคีตปฏิภาณในการร้อง ดังเช่นนักร้องแจ๊สมักจะกระทำกันในงานของตนเอง แต่เธอก็ได้ให้เสียงร้องที่ดูจะมีชีวิตชีวา ฉ่ำเหมือนลูกพีชสุก กลมกล่อม เธอทำได้ดีทีเดียวกับเพลงที่มีจังหวะจะโคนสนุกสนุกสนาน อย่าง If I Were A Bell (เพลงนี้ Miles Davis ก็เคยบรรเลงเอาไว้ในอัลบัม Relaxin แต่อัลบัมนี้หายากหน่อยนะในบ้านเรา นอกจากจะต้องไปสนับสนุน ผี เท่านั้น) ประกอบกับเสียงเครื่องเคาะของตอร์สเต็นในช่วงต้นเพลง ผู้เขียนแทบระงับใจไม่อยู่ Chega De Saudade ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของวงลิอัมบิโกให้ชัดเจนเข้าไปอีก ต้องยอมรับเลยว่านักร้องสาวคนนี้มีความสามารถในการถ่ายทอดได้หลายภาษาดีแท้ ไม่ว่าจะภาษาอังกฤษ (สำเนียงแปร่งนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้เพลงเสียหาย) หรือโปรตุเกสอย่างเพลงนี้
ต่อมาด้วย Afro Blue เพลงของ John Coltrane กลิ่นอายก็ออกไปทางอะโฟรอย่างที่ชื่อเพลงบอกอยู่แล้ว Parakeet Prowl แสดงให้เห็นฝีมือการพรมนิ้วของมาร์กได้เป็นอย่างดี ผู้เขียนคิดว่าเขาจะมีอนาคตยาวไกลทีเดียวในถนนสายแจ๊ส เพลงนี้หากฟังเผินๆ แล้ว อาจจะคิดว่าเป็นการเล่นโอเวอร์ดับ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย ฝีมือการเล่นของมาร์กล้วนๆ ไร้การโอเวอร์ดับ ส่วนคนอื่นๆ ก็ได้มาอิมโพรไวส์กันครบถ้วนในเพลงนี้ Work Song เพลงของ Cannonball Adderley ถึงคิวที่สาวลิอัมบิโกจะโชว์พลังเสียงกันบ้างล่ะ หากใครที่พอจะมีความรู้เรื่องการเก็บลมเพื่อปล่อยเสียงให้ยาวนานขนาดนั้น คงจะทราบว่าต้องออกกำลังและฝึกการร้องเพลงมาพอสมควร ฟังแล้วจะขาดใจตาย ส่วนเพลงไฮไลต์อื่นก็ยังมี Gone With The Wind ที่เป็นการดูเอ็ตกันระหว่างสาวลิอัมบิโกและโรบิน นักเบสของวง เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงฝีมืออิมโพรไวส์ได้อย่างเต็มความสามารถ
Miss Celies Blues เปียโนพลิ้วขึ้นสเกลบลูส์มาตั้งแต่อินโทรเข้าเพลง เพลงนี้เป็นงานที่หยิบมาจากเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Color Purple ลิอัมบิโกยังคงแสดงให้เราเห็นว่าแม้จะเป็นเพลงบลูส์ เธอก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างไม่หวั่นเกรง ถ้ายังไม่มั่นใจ เชิญฟัง I Aint Got Nothin But The Blues ของ Duke Ellington อีกสักเพลง แล้วจะเข้าถึง!
ส่วนงานชุดหลัง Shades Of Delight สีสันอาจจะแตกต่างจาก Out Of This Mood ไปบ้าง คือรสชาติของความเป็นสวิงแบบเมนสตรีมหายไปเยอะพอสมควร แต่สิ่งที่ได้กลับมา คือ ความนุ่มนวล ลุ่มลึก และความแปลกใหม่ที่พวกเขาภูมิใจนำเสนอ คนที่โปรดปรานอัลบัม Out Of This Mood อาจจะเสียมู้ดเอาง่ายๆ กับอัลบัมนี้ เสียงของลิอัมบิโกนั้น ดูเหมือนเหมือนว่าจะเรียบ นิ่งขึ้น เปิดมาเพลงแรก Moondance ของ Van Morrison ออกจากรสชาติแตกต่างไปจากเจ้าของดั้งเดิมไปเยอะ ถึงแม้ลิอัมบิโกจะออกตัวว่าไม่คุ้นกับแวน มอริสันนัก แต่ผู้เขียนคิดว่ามันก็เป็นการดีเหมือนกันที่เธอจะไม่ติดกลิ่นอายของแวน มอริสันมา ความหลากหลายของชิ้นดนตรีเริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้น เมื่อมีการนำเอา Fender Rhodes มาใช้ในเพลงนี้ด้วย เสียงของมันก็คล้ายๆ กับออร์แกนของคนตาบอดนั้นแล-เป็นการอธิบายอย่างง่าย หากจินตนาการเสียงของมันไม่ออก สาวลิอัมบิโกสำแดงจริตจะก้านทางเสียงของเธอออกมาอย่างเต็มที่ในเพลงนี้ ผู้เขียนคิดว่าเธอถ่ายทอดอารมณ์บลูส์ออกมาได้ดีกว่าแจ๊สเสียด้วยซ้ำ ยิ่งฟัง Black Coffee ยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดที่ว่ามา ตอนท้ายเพลงยังมีการโอเวอร์ดับเสียงของเธออย่างน้อย 3-4 แนวประสาน
Your Mind Is On Vacation (And Your Mouth Is Working Overtime) ชื่อเพลงเหลือรับดีแท้ เหมาะกับพวกชอบเม้าธ์เลยนะเนี่ย แล้วก็ Isnt This A Lovely Day? ยังเป็นเพลงที่เอาใจคนรัก Out Of This Mood อยู่ ใช่ว่าจะทิ้งกันขาดไปเลยซะเมื่อไหร่ งานที่น่าจะเป็นไฮไลต์ที่สุดของอัลบัมนี้น่าจะอยู่ที่ Malaika และ Savannah Suite (ประกอบด้วย 3 องก์คือ Drums And Bass And Bananas, Ilangamo และ Afro Blues Revisited)
"I still find each day too short for all the thoughts I want to think, all the walks I want to take, all the books I want to read, and all the friends I want to see." John Burroughs