John Scofield
จอห์น สโกฟิลด์ ชื่อนี้คงจะเป็นที่คุ้นหูคุ้นตานักฟังเพลงแจ๊สไม่ว่าจะมือใหม่มือเก๋ารุ่นไหนก็ตาม บนเว็บไซต์ของจอห์น มือกีตาร์ผู้เคี่ยวกรำฝีไม้ลายมือมากว่าสองทศวรรษนี้ได้เขียนข้อความสั้นๆไว้ถึงผลงานของเขาสองชุดหลังที่จัดจำหน่ายโดยเวิร์ฟ เรคคอร์ดส ซึ่งก็คือ En Route กับ Up All Night ใช้ชื่อว่า 704 คำง่ายๆ กับความเป็นมาของข้าพเจ้า เขาบรรยายชีวิตการเป็นศิลปินของตัวเองเอาไว้ ตั้งแต่ครั้งยังทำงานเพลงฟิวชันแจ๊สกับบิลลี ค็อบแฮมและไมล์ส เดวิส ไปจนถึงการทำงานอันทรงพลังกับค่ายแกรมมาวิชัน, บลูโน้ต และเวิร์ฟในช่วงเวลายี่สิบปีที่ผ่านมา เขาเล่าเรื่องราวอิทธิพลทางดนตรีที่ได้รับ ซึ่งมันได้ช่วยพัฒนาความสนใจทางดนตรีของตัวเองไปในหลากหลายรูปแบบ จากจิม ฮอลและแพ็ต เม็ทธินี ไปจนถึงอัลเบิร์ต คิง, คาร์ลอส ซานทานา และเมอเดสกี มาร์ตินแอนด์วู้ด
นี่คือข้อสรุปของจอห์น
สองปีที่ผ่านมา ผมได้ยินได้ฟังเพลงมากมายจากศิลปินรุ่นใหม่ฝีมือดีๆ ที่ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเพลงอาร์แอนด์บียุคทศวรรษที่ 60 ซึ่งผมชื่นชอบมากๆ ตอนนี้ผมกำลังนำเอาเพลงอาร์แอนด์บีพวกนั้นมาทำในแบบของผมเอง แน่นอน...ก็ต้องเป็นแจ๊ส ผมรู้สึกสนุกมากในการทำงานคราวนี้ เหมือนผมได้เรียนกีตาร์อีก หลังจากที่ผมได้เล่นกับศิลปินในดวงใจหลายๆ คน ผมก็ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปินรุ่นใหม่ๆ แล้วก็มีความสุขในการเขียนเพลงและเล่นดนตรีอย่างที่เคยเป็น
บทสัมภาษณ์จอห์น สโกฟิลด์ต่อไปนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะย้อนกลับไปมองหาแรงบันดาลใจเก่าๆ ของตัวเอง หยิบมันกลับมาผสมผสานให้เข้ากัน กลายเป็นทิศทางใหม่ๆ ทางดนตรี ซึ่งนำไปสู่ความเป็นผู้นำทางดนตรีที่เขาเป็นมาโดยตลอด
หลังๆ มานี้ผมได้เปลี่ยนทิศทางในการทำงานมาตลอด ผมได้เล่นวงสามชิ้นกับสตีฟ สวอลโลว์ (เบส) และบิล สจวร์ต (กลอง) เมื่อปีที่แล้ว ที่ผมทำงานนี้ก็เพราะว่าเราได้ออกอัลบัมแสดงสดออกมา แล้วก็เพราะว่าผมชอบงานนี้มากๆ นอกจากนั้นพวกเราก็กำลังจะออกตระเวนเดินสายแสดงสดกันที่ยุโรปแบบวงสามชิ้นในช่วงใบไม้ร่วงนี้ ส่วนผมเองก็กำลังจะไปทัวร์ยุโรปเหมือนกันตอนหน้าร้อนนี้กับบิล แต่มือเบสเป็นเดนนิส เออร์วิน แล้วยังมีคริส พ็อตเตอร์มาเล่นแซ็กให้หลายๆ นัดด้วย
ตอนนี้ผมก็กำลังทำงานออร์เคสตราด้วย ชื่อว่า Scorched มาร์ก แอนโทนี เทอร์เนจทำด้วยกันกับ เขาเป็นนักออร์เคสตราแล้วก็ประพันธ์ร่วมด้วย เป็นชิ้นงานที่ผมเขียนขึ้นเองทั้งหมด แต่มาร์กจะเป็นคนปรับเปลี่ยนมันให้มาเป็นชิ้นงานออร์เคสตราในแบบสตราวินสกี เราก็บันทึกเสียงไปบ้างแล้วกับค่ายดอยช์ แกรมโมโฟน ว่าจะไปแสดงสดในยุโรป ตั้งแต่เดือนมกราคมปีหน้าโน่น กับวงสก็อตติช เนชันแนล ออร์เคสตราครับ
ดูความไฮเปอร์ของนายจอห์นเขาแล้ว ดูเหมือนว่าอะไรๆ ก็จะหยุดไม่อยู่เสียแล้ว เพราะทั้งออกทัวร์ แถมเขาก็ยังมีเวลามาอัดเสียงอีกด้วย
จริงๆ แล้วผมก็เพิ่งจะทำอัลบัมเสร็จไปชุดหนึ่งกับเพื่อนนักดนตรีอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นเพลงของเรย์ ชาร์ลส ชื่อชุด Thats What Id Say มีนักร้องหลายคนมาร่วมงานด้วยครับ มีทั้งด็อกเตอร์จอห์น, เมวิส สเตเปิลส์, จอห์น เมเยอร์, เอรอน เนวิล ผมได้แลร์รี โกลดิงส์มาเล่นออร์แกนให้ด้วย วิลลี วีคส์เล่นเบส แล้วก็วอร์เรน เฮย์นสมาช่วยเล่นกีตาร์ด้วย แล้วก็ยังมีเดวิด แฟ็ตเฮด นิวแมน ซึ่งเป็นสมาชิกเก่าในวงของเรย์ ชาร์ลสมาเล่นด้วยอีกต่างหากในส่วนของเครื่องเป่า ชุดนี้มันเป็นงานอาร์แอนด์บีแจ๊สอัลบัมจริงๆ นะเนี่ย ออกไปแล้วในเดือนมิถุนายน แล้วชุดต่อไปของผมก็เดือนกันยายน ผมกำลังรวบรวมเพื่อนๆ มาเล่นด้วยกันอยู่ จริงๆ แล้วมันก็รวมตัวกันยากเหมือนกันนะ ตอนนี้ผมก็เลยหาพวกนักดนตรีรุ่นใหม่ๆ มาเล่นกัน ก็กำลังทำอยู่ครับ
แน่นอนว่าจอห์นนั้นมักจะเป็นที่รู้จักในแง่การสรรค์สร้างงานเพลงมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการจังคู่เล่นกับแจ๊สเทรดิชันระดับตำนานอย่างเจอร์รี มัลลิแกน, เช็ต เบเกอร์, เจย์ แม็กแชนน์, ชาร์ลส มิงกัส และฟิล วู้ดส์ หรือว่าจะเป็นสายฟิวชันอย่างวงของบิลลี ค็อบแฮม, ไมล์ส เดวิสในช่วงต้นทศวรรษที่ 80 ซึ่งตอนนั้นไมล์สเองก็กำลังพังกำแพงกั้นแบ่งแยกดนตรีอยู่ หรือการพัฒนาการเล่นแจมกับวงดนตรีอย่างเมอเดสกี, มาร์ติน แอนด์วู้ด และวอร์เรน เฮย์นส, กอฟต์ มัล
จอห์นบอกว่า อืม... ผมเริ่มต้นมาจากเพลงร็อคกับบลูส์นะ ผมเป็นคอบลูส์ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมเลยแหละ ตอนอายุ 16 ก็เริ่มพยายามจะเล่นเพลงของบีบี คิงกับโอทิส รัชแล้ว บีบีกับฮาวลิง วูล์ฟนี่ผมชอบมากๆ แล้วก็เป็นประเภททุ่มเทเสียด้วยสิ แท้กระทั่งเลียนแบบด้วยการสวมแว่นดำก็เคยมาแล้ว พออายุสัก 17 ผมก็เริ่มหันเข้าหาบีบ็อป แล้วก็ชอบจริงจังขึ้นมา อยากจะเป็นมือกีตาร์แจ๊สตั้งแต่ตอนนั้น กีตาร์แจ๊สก็ซื้อตอนนั้น ตั้งหน้าตั้งตาเล่นบีบ็อปลูกเดียว แต่ผมเริ่มต้นมาจากเดอะ บีเทิลส์ แล้วผมเองก็ชอบเพลงโซลกับอาร์แอนด์บี หลังจากตกหลุมรักเพลงแจ๊สแล้ว ผมก็สนใจแต่เพลงเหล่านี้เท่านั้นเอง
หลังจากเรียนจบมัธยมปลาย จอห์นก็เริ่มต้นการเรียนดนตรีอย่างจริงจังที่โรงเรียนดนตรีเบิร์กลีในบอสตัน ที่นั่นเป็นที่ที่เขาพบกับโจ โลวาโน ซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนสนิทสุดๆ บนถนนสายดนตรีของจอห์นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นอกจากโจแล้ว อีกคนหนึ่งที่เขาได้พบ ณ ที่นี้ก็คือ สตีฟ สวอลโลว์ ซึ่งก็เป็นอีกคนที่เขาร่วมงานมาด้วยตลอด แล้วยังเป็นส่วนหนึ่งของวงสามชิ้นของเขาตอนนี้ด้วย
ผมพบสตีฟตอนปี 1973 เมื่อเขาเข้ามาสอนที่เบิร์กลี แล้วผมก็เรียนอยู่ที่นั่นด้วย แต่เขามาสอนแค่ปีเดียว เพราะจริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้อยากจะเป็นอาจารย์ เขาเป็นคนสำคัญในการเรียนรู้เรื่องดนตรีของผมอย่างมาก เราแจมกันมันส์สะบัด ผมบอกได้เลยว่าเขาคิดว่าผมเล่นใช้ได้ แต่ผมคิดว่าเขาน่ะสุดยอดเลย เราไม่ได้เล่นเป็นด้วยกันจริงๆ จังๆ ตอนนั้น จนผมพบกับแกรี เบอร์ตันเมื่อปี 1977 ซึ่งสตีฟเขาก็เป็นสมาชิกวงอยู่ด้วยเหมือนกัน แพ็ต เม็ทธินีลาออกจากวงของแกรีในตอนนั้น แล้วก็เริ่มทำวงของตัวเอง หลังจากนั้นสตีฟกับผมก็เริ่มเล่นวงสามชิ้นกับเขาในช่วงปี 1979 เริ่มจากตรงนั้นจนกระทั่งทุกวันนี้
สตีฟก็เป็นนักสร้างสรรค์ที่ทำงานอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในเสียงเบสให้กับวงของจอห์น และเขาเองก็เป็นหนึ่งในนักเบสที่หันมาเล่นเบสไฟฟ้า จอห์นพูดถึงสตีฟว่า เขาเล่นอะคูสติกได้เสียงที่อบอุ่น และเมื่อเขาใช้ปิ๊กเล่น มันโคตรประหลาดเลยครับ ไม่มีใครเขาเล่นแบบนั้นกันน่ะ!! ที่มันเป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าเขาเริ่มเล่นเบสไฟฟ้าในสไตล์ล้ำหน้าไปก่อนที่คนอื่นจะเล่นเสียอีก ย้อนกลับมาที่ดนตรีแจ๊ส น้อยคนนักที่จะเล่นเบสไฟฟ้า สตีฟเลิกเล่นอะคูสติกเบสหันไปเล่นเบสไฟฟ้าเป็นคนแรกๆ เบสของเขาก็ไม่ธรรมดา เขาโมดิฟายด์มันจนออกมายากจะเปรียบกับของคนอื่นๆ และจริงๆ แล้วก็บอกได้ไม่เต็มปากนักว่าเขาทำเสียงของเบสไฟฟ้าเลียนเสียงอะคูสติกเบส หากแต่บอกได้ว่า เขาทำเสียงเบสเลียนเสียงอย่างอื่นได้หมดเลยดีกว่า แต่แจ๊สคือสิ่งที่เขานำเข้าร่วมด้วย เสียงแบบเทรดิชันของอะคูสติกเบสที่ใส่เข้าไป คือเสียงที่อบอุ่นแบบของเขานั่นแหละที่ทำให้แตกต่างจริงๆ
ส่วนบิล สจวร์ต มือกลองนี่ ผมพบเขาเมื่อปี 1989 เขาเพิ่งเริ่มเข้ามาเล่นที่นิวยอร์กหลังจากเรียนจบคอลเลจ ตอนนั้นเขาเล่นกับโจ โลวาโน และโจก็กำลังจะมาร่วมเล่นกับผมเหมือนกัน ผมก็ได้ยินที่บิลเขาเล่น แล้วก็พลันคิดว่า โอ พระเจ้า มันเก่งเกินตัวจริงๆ ผมต้องเอาเข้ามาเล่นในวงให้ได้แล้วสิ นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดถึงแม้ว่าเขาจะอายุแค 24 เองก็เถอะ แต่อายุก็เป็นเพียงแค่ตัวเลข จริงไหมล่ะ พรสวรรค์ของเขานั้นไม่ต้องพูดถึงเลย มหัศจรรย์แค่ไหนเขาก็เล่นได้
คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกครั้งคราที่มีการสัมภาษณ์จอห์น ก็มักจะถูกถามถึงเมื่อครั้งที่เขาเล่นอยู่กับไมล์ส เดวิส แน่นอนว่ามันต้องเป็นประสบการณ์ล้ำเลิศของเขาอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือการที่บิลลี ค็อบแฮม มือกลองในวงของไมล์สได้ลาออกจากวงและมาเริ่มต้นทำวงของตัวเอง แล้วจอห์นก็เป็นหนึ่งในวงนั้นเสียด้วยสิ
ตอนนั้นเดือนมกราคม 1975 ที่ผมเล่นกับไมล์ส พอมองย้อนกลับไป ผมว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่เปิดโลกของผมเข้าสู่อีกโลกที่แตกต่างเลยทีเดียว เป็นโลกของฟิวชันแจ๊ส ออกทัวร์คอนเสิร์ตตอนที่เล่นมหาวิษณุออร์เคสตรา, รีเทิร์น ทู ฟอร์เอฟเวอร์, เฮด ฮันเตอร์ของเฮอร์บี แฮนค็อก แล้วก็กับวงของบิลลีก็เป็นช่วงเวลาที่วิเศษสำหรับผมเหมือนกัน เราเล่นกันตามโรงมหรสพบ้าง งานโชว์ใหญ่ๆ บ้าง บางทีก็เล่นปะทะกับวงเก๋าๆ หลายๆ วง อย่างเวเธอร์ รีพอร์ตก็เคย วงของไมล์ส เดวิสกับเดฟ ลีบแมน และเรจจี ลูคัส แล้วช่วงนั้นมันก็เหมือนกับยุคสุดท้ายของพวกร็อคแอนด์โรล ฮิปปี กลิ่นอายของเลด เซพพลินก็ยังอบอวลอยู่ทั่ว ผมยังจำได้หลังจากที่จอร์จ ดุคมาร่วมวงกับบิลลี แฟรงค์ แซปปาก็มาวนเวียนด้วย เพราะว่าจอร์จลาออกจากวงของแฟรงค์นั่นเอง เราเคยเล่นกันบ่อยตอนอยู่แคลิฟอร์เนีย โดยเฉพาะแถวเบย์ แอเรีย ตอนที่เจอกับซานตานา แล้วก็ทาวเวอร์ ออฟ พาวเวอร์ ผมก็ยังจำได้เลย
แต่ว่าในตอนปี 1974 ผมก็ยังไปๆ มาๆ อยู่ที่เบิร์กลี และก็ได้เพื่อนอย่างเดฟ ซามูเอลส์ มือไวเบรโฟน ตอนนั้นเขาสนิทกับเดฟ ฟรีดแมน นักไวเบรโฟนเหมือนกัน เขาอาศัยอยู่นิวยอร์กแล้วก็เพิ่งทำอัลบัมเสร็จสดๆ ร้อนๆ กับฮอเรซี อาร์โนลด์ อัลบัมชื่อว่า Tales Of The Exonerated Flea เขาก็เอาซามูเอลส์กับผมเข้าไปแจมด้วยในตอนที่เล่นกิ๊กเล็กๆ ตามคลับ กับฮอเรซีตอนที่ออกอัลบัมแล้ว เพราะว่าเขาเองก็มีงานรอเยอะแยะ เราก็ตื่นเต้นกันมากที่ได้เล่นกับนักดนตรีที่มีงานอัดเสียงด้วย ดังนั้น เราก็เลยขับรถไปเล่นกันที่บอสตันกับเขา แล้วมันก็โลกกลมจริงๆ ที่ว่าฮอเรซีเป็นเพื่อนกับบิลลี แล้วบิลลีเองก็เป็นคนดูแลการผลิตเดโมให้ฮอเรซีด้วย แล้วก็ยังช่วยเหลือให้ฮอเรซีต่อรองผลประโยชน์ทางธุรกิจอีก นั่นก็เป็นครั้งแรกที่บิลลีได้ยินเสียงกีตาร์ของผมเป็นหนแรก ผมก็เดาเอาว่าเขาคงชอบแหละ เพราะว่าพอตอนที่จอห์น แอเบอร์ครอมบี ลูกวงของเขาลาออกเพื่อไปเล่นกับแจ็ก ดิจอห์เน็ต บิลลีก็ให้ผมเล่นกิ๊กกับเขา ผมขับรถจากบอสตันไปนิวยอร์กเพื่อการฝึกซ้อมใหญ่ มีพี่น้องเบร็กเกอร์สมาทำหน้าที่ในส่วนของเครื่องเป่าด้วย ไมค์กับแรนดี (ไมเคิล และแรนดดี เบร็กเกอร์) เป็นฮีโรของผมเหมือนกัน ผมฟังพวกเขาเล่นในคลับกับฮอเรซ ซิลเวอร์ แถมยังมีแผ่นเสียงของพวกเขาครบทุกชุดด้วย ผมก็ได้เล่นกับพวกเขาโดยมีบิลลีเล่นกลอง มันช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์สำหรับผมจริงๆ นะ ผมได้เล่นกับเจอร์รี มัลลิแกน แต่เขาก็ไม่ได้ออกเล่นมากนักในช่วงนั้น บิลลีก็ยังคงทำงานอยู่ตลอดเวลาเลยทีเดียว ดังนั้น พวกเราก็เลยมีปัญญาพอจะหาอพาร์ตเมนท์ในนิวยอร์กได้ เราออกทัวร์ยุโรปตอนแรกในช่วงใบไม้ร่วง เล่นกิ๊กที่ใหญ่หน่อย มันยอดเยี่ยมที่สุดแล้วครับ ผมยังคิดถึงตอนนั้นไม่หาย
จอห์นพูดต่อเกี่ยวกับดนตรีของเขาว่า ใครๆ ก็มักจะบอกว่าผมมักจะได้นักดนตรีหรือะไรดีๆ มาทำงานด้วยเสมอ ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมกลายเป็นคนที่คัดสรรแต่สิ่งที่ดีที่สุดเนี่ย ก็น่าจะเป็นเพราะว่าผมชอบดนตรีที่บิลลีทำ บางทีอาจจะไม่มากเท่าที่ผมชอบแผ่นของแจ็กกี แม็คลีนตอนนั้นก็ได้ แต่ผมก็ชอบจริงๆ นะ! มันเปิดโลกให้กับผมจริงๆ ทีเดียวเชียว มันทำให้ผมเจอะเจอกับทุกสิ่งทุกอย่างหลังจากนั้นเป็นต้นมา
ผมมั่นใจแล้วก็อยากจะเล่นกับวงสามชิ้นวงนี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ ล่ะครับ ผมก็ไม่แน่ใจว่าหลังจากแผ่นเพลงของเรย์ ชาร์ลสแล้ว ผมจะทำอะไรต่อไปอีก แต่ผมก็ยังอยากจะทำงานกับบิลและสตีฟต่อ ต้องลองมาดูกันต่อไปว่ากรอบต่อไปคืออะไรครับ
แน่นอนว่าเราคงเป็นคนหนึ่งที่ติดตามผลงานของจอห์น สโกฟิลด์คนนี้ต่อไป และคงไม่ปฏิเสธว่าผลงานของจอห์นนั้นมีคุณภาพมาตรฐานที่คงเส้นคงวามาโดยตลอด แต่แค่นั้นยังไม่พอ เพราะด้วยความกระตือรือร้นอย่างที่เขาเป็นอยู่ เราคงจะได้ฟังผลงานที่ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีก
Create Date : 15 สิงหาคม 2548 |
Last Update : 18 สิงหาคม 2548 13:33:33 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1237 Pageviews. |
 |
|