"แจ๊ส....ฉัน"
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728 
 
8 กุมภาพันธ์ 2549
 
All Blogs
 
Jamie Cullum แจ๊สลูกผสมที่บ่มเพาะเพื่อคนรุ่นใหม่

ไม่รู้เคยมีใครบอกไว้ว่า “ฝรั่งเล็ก เจ๊กดำ” ห้ามคบเป็นเด็ดขาด ไม่รู้ผู้ที่นิยามวลีดังกล่าวนี้เคยเจอเหตุการณ์ชอกช้ำใจอย่างไร หรืออาจจะเป็นเพราะว่าฝรั่งนั้นต้องตัวโตตามสายพันธุกรรม ส่วนคนจีนก็ต้องมีสีผิวขาวเหลือง ถ้าผิดจากลักษณะดั้งเดิมดังกล่าวแล้ว สงสัยว่าจะคบไม่ได้ ก็ว่ากันไป แต่ที่แน่ๆ หนุ่มน้อยที่เราจะมาคุยถึงเขาในวันนี้ เป็นฝรั่งตัวกะเปี๊ยกที่หน้าตาออกไปทางเอเชียอย่างไรไม่ทราบ เขาคือ เจมี คัลลัม นักเปียโนแจ๊สสายพันธุ์ใหม่ที่มาเขย่าวงการดนตรีแจ๊สรุ่นใหม่ให้สั่นสะเทือนด้วยยอดขายชุดแรกกับต้นสังกัดเวิร์ฟแจ๊ส Twentysomething ถึงสองล้านก็อปปีทั่วโลก ดูเหมือนความสำเร็จที่ท่วมท้นจะถั่งโถมเข้าหาหนุ่มน้อยคนนี้จนแทบจะไม่ได้ตั้งตัวกับดนตรีลูกผสมที่ถูกไดโนเสาร์บางพันธุ์ปรามาสเอาไว้ตั้งแต่แรก ฉายา “เดวิด เบ็คแคมแห่งวงการแจ๊ส” คงจะไม่เกินความเป็นจริงไปนัก



จริงๆ แล้วโลกยุคใหม่เป็นยุคไร้พรมแดน ไม่ว่าจะเป็นสีผิว เชื้อชาติ การสื่อสาร ล้วนแล้วแต่ไม่มีอะไรที่สื่อถึงกันไม่ได้ ไม่เว้นแต่ดนตรี ขึ้นอยู่กับมุมมองของคนแต่ละคนที่เสพงานศิลปะเข้าไป แน่นอนว่างานชิ้นหนึ่งๆ นั้นคงจะไม่สารมารถทำให้คนทั้งโลกพอใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ดูเหมือนว่างานลูกผสมของเจมี ฝรั่งเล็กพริกขี้หนูคนนี้จะมีส่วนที่เข้าถึงรสนิยมการฟังเพลงของเด็กหนุ่มสาวรุ่นใหม่ไม่น้อยเลยทีเดียว

เจมี คัลลัม ซูเปอร์จิ๋ว

เจมี คัลลัมถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 1979 ที่วิลต์เชียร์ ประเทศอังกฤษ เขาเริ่มเล่นเปียโนตั้งแต่ยังเล็กๆ โดยเบน ผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งภายหลังกลายมาเป็นเพื่อนร่วมวงในฐานะที่เป็นแรงบันดาลใจอันดับหนึ่งของเจมี ในช่วงวัยรุ่นเขาเติบโตมากับกระแสป็อปอันอ่อนล้า น่าเบื่อ ไร้สีสันในตอนนั้น แต่ก็ประกอบกับคอลเล็กชันแผ่นเสียงของครอบครัวของเขา ทำให้เจมีเริ่มต้นหันมาสนใจเพลงแจ๊สอย่างไม่ยากนัก ในตอนนั้นเขามักจะสนใจนักร้องอมตะอย่างเอลลา ฟิตซ์เจอรัลด์และแฟรงก์ สิเนตรา เจมีเริ่มเรียนวิชาภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัยรีดดิง แต่ก็ทำงานตอนกลางคืนทั้งร้องเพลงและเล่นเปียโน เปียโนดึงดูดความสนใจของเขาไปมากขึ้นและมากขึ้นตามลำดับ เขาสนใจแนวทางการเล่นของศิลปินรุ่นลายครามอย่างบิล เอแวนส์, แอร์โรล การ์เนอร์, เฮอร์บี แฮนค็อกและเธลอเนียส มังค์ ก็ไม่น่าแปลกใจที่เขานำศิลปะสองพันธุ์มาหลอมรวม ทั้งเพลงป็อปชั้นดีและเปียโนแจ๊ส ไหลเข้ามาสู่เจมีทั้งสองอย่าง ไม่เท่านั้นเขายังได้พัฒนาการเล่นจากแรงบันดาลใจในความชื่นชมผลงานของศิลปินรุ่นพี่อย่าง แฮร์รี คอนนิก จูเนียร์ ตามด้วยไดแอนา ครอล

ท่ามกลางกระแสการตื่นตัวในกระแสดนตรีป็อปแจ๊สแบบครอสโอเวอร์อย่างเช่น ไดแอนา ครอล, นอราห์ โจนส์ และเจน มอนไฮต์ เจมีเองก็เริ่มที่จะเป็นที่จับตามองจากบรรดาแฟนเพลงและนักวิจารณ์ในอังกฤษ เขาบันทึกเสียงอัลบัมแรกในชีวิตในฐานะวงดนตรีสามชิ้นและเน้นขายหลังจากแสดงจบชุด อัลบัม Pointless Nostalgic (2002) นี้เขาออกกับค่ายแคนดิด เรคคอร์ดส ซึ่งเป็นค่ายชาวผู้ดีที่นำเสนอผลงานเพลงแจ๊สชั้นนำรวมทั้งเดฟ โอฮิกกินส์, แม็ต เวตส์ และเบน แคสเซิล ค่ายใหญ่อย่างบีบีซี เรดิโอทู ยังได้ให้ข้อเสนอดีๆ ในเปิดเล่นเพลงใน Pointless Nostalgic ออกอากาศด้วย ยังผลให้อัลบัมของเขาเข้าสู่อันดับความนิยมอย่างรวดเร็ว



ในเวลาเพียงแค่หนึ่งปีหลังจากออกอัลบัมแรก เขาได้รับข้อเสนอที่น่าดูชมกับค่ายเพลงแจ๊สเจ้าโลกอย่างเวิร์ฟ เรคคอร์ดส แผนการโฆษณาถูกปูทางเอาไว้อย่างฟู่ฟ่าสำหรับการบุกเข้าตลาดเพลงใหญ่อย่างอเมริกา อัลบัม Twentysomething ออกมาเพิ่อเป็นการตอกย้ำถึงความเป็นดาวของเจมี คัลลัม อัลบัมนี้กลายมาเป็นอัลบัมแรกของศิลปินแจ๊สอังกฤษที่รับรางวัลแพลตินัม นั่นหมายถึงยอดขายที่มากกว่า 300,000 ก็อปปี

ด้วยเหตุบังเอิญกับอาชีพที่กำลังไปได้สวยในฐานะนักร้องเพลงแจ๊ส เจมีสานต่อด้วยการเข้าร่วมเล่นออร์แกนและซินธิไซเซอร์กับวงดนตรีร็อกนามว่า “แท็กซี” (เอ...คงไม่ได้มีนักร้องนำชื่อ กบ สินะ?) แต่ทว่าก็ยังคงออกแสดงกับเพื่อนร่วมวงแจ๊สสามชิ้นอย่างเคย ซึ่งก็ประกอบไปด้วยเพื่อนอีกสองขาคือ เซเบสเตียน เดอ ครอม (กลอง) และจอฟ แกสคอยน์ (เบส) ที่ภายหลังได้เล่นที่เดอะ รีดดิง ซึ่งมือเบสเคยเป็นสมาชิกวงเพ็นดูลัม บิ๊กแบนด์อยู่

ตามตะวันให้ทัน

ด้วยวัยเพียง 26 ปีเท่านั้น เจมีได้ได้ทำยอดขายอัลบัมของตัวเองไปแล้ว 2 ล้านก็อปปีในอังกฤษ (รวมอีกเกือบสี่แสนก็อปปีในอเมริกา) ได้เข้าชิงรางวัลแกรมมีอีกต่างหาก แต่แทนที่จะหาเวลาพักผ่อนบ้างตามประสา เขากลับเหยียบคันเร่งเดินหน้าทำสิ่งที่เขารักต่อ นั่นคือการทำเพลง บันทึกเสียงอัลบัมใหม่ Catching Tales

“ตอนแรกผมยังไม่มีไอเดียว่าจะเอาเพลงไหนมาผสมกับแจ๊สที่ผมทำอยู่ แล้วผมก็ได้ตระหนักว่าแจ๊สเนี่ยแหละที่เป็นพื้นฐานของทุกๆ อย่างที่ผมจะเอาอะไรมาผสานกับมันก็ได้ ใครๆ ก็ถามผมว่าทำไมถึงเล่นดนตรีแจ๊ส ผมว่ามันเป็นเพราะว่าเราสามารถนำเอาแจ๊สไปทำอะไรก็ได้หลากหลายมาก เอามาผสมดนตรีแดนซ์ก็ได้ ร็อกก็ได้ ป็อปก็ได้ คลาสสิกก็ได้ แม้แต่ฟังก์ก็ยังได้ ได้ทุกอย่าง และผมว่าผมก็ทำอย่างนั้นในอัลบัมนี้แหละ”

เจมีพูดถูก.... เขาใส่หลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นอิทธิพลทางดนตรีของเขาเข้าไปในอัลบัม Catching Tales หรืออาจจะเป็นเพราะว่าในสมัยใหม่หลังปี 2000 มานี้ กระแสโลกาภิวัตน์และโลกที่ไร้พรมแดนกำลังรุกคืบเข้ามาในทุกๆ ชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นนับประสาอะไรกับดนตรีที่ยากจะขีดเส้นแบ่งเขต ดนตรีหลากหลายแขนงที่จึงถูกจับมาเข้าเครื่องปั่น แต่รสชาติของผลผลิตที่ออกมานั้นจะถูกลิ้นคนฟังหรือเปล่า เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องหาคำตอบ หากแต่ยอดขายสองล้านกว่าทั่วโลกจากอัลบัม Twentysomething คงบอกได้มากเลยทีเดียวว่าเจมี เล็กพริกขี้หนูคนนี้เดินทางมาถูกแล้ว...

Catching Tales ยังคงเดินมาในรูปแบบเดิมที่เขาถนัด เขายังคงยืนยันว่านี่คือสิ่งที่เขารักและถนัดที่จะทำ

“ผมเป็นนักดนตรีก็เพื่อสิ่งนี้ครับ ที่ผมอยากจะทำในงานเพลงของผมก็คือ ผสมผสานสิ่งรอบๆ ตัวผม ซึ่งก็โชคดีที่ไอ้ที่ผมหยิบเอามทำเป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนมากมักคุ้นกันอยู่แล้ว ผมรักเพลงป็อป ผมก็เลยยำป็อปกับแจ๊สด้วยกัน ไม่ใช่เป็นเพราะว่าผมอยากจะทำอะไรที่มันย่อยง่าย หากแต่เป็นเพราะว่ามันเป็นดนตรีที่ผมทำแล้วรู้สึกสนุก มันเป็นเหตุผลแค่ว่าผมมีมุมมองที่คนฟังฟังแล้วเออ...มันน่าสนใจดีนะ”

ขอแบ่งบทเพลงในอัลบัมนี้ออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นเพลงถูกแต่งและเรียบเรียงขึ้นมาใหม่โดยเจมี ส่วนนี้น่าจะเป็นส่วนที่แสดงออกถึงความเป็นเจมี คัลลัมได้ดีที่สุด

Get Your Way เป็นเพลงเปิดอัลบัม Catching Tales ที่ถูกผสมผสานด้วยกลิ่นอายของฮิปฮอป ดนตรีสุดฮิปแห่งยุคสมัย ฟังแล้วคิดถึงฮิปฮอปแจ๊สยุค 90 อย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะรู้อย่างนั้น เพราะว่าเจมีได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์และดีเจแนวฮิปฮอปอย่าง แดน ดิ ออโตเมเตอร์ (โปรดิวเซอร์แห่งกอริลลาซ) ส่งผลให้ Get Your Way มีกลิ่นอายทิ้งฮิปฮอป แจ๊ส และฟังก์ตลบอบอวลอยู่ทั่วทั้งบทเพลง ไลน์เปียโนของเจมีมีเพียงแค่การตอดเล็กตอดน้อยกวนไปเรื่อยระหว่างเพลงเท่านั้นเองนอกจากช่วงโซโลกลางที่เป็นประเพณีนิยมอยู่แล้ว นอกจากนี้เจมียังได้ยกท่อนฮิตท่อนหนึ่งจากเพลง Get Out Of My Life Woman ของศิลปินอลัน ทูสแซงต์มาใช้ด้วย เขาพูดถึงเพลงนี้ว่า “ผมฟังเพลงที่มีจังหวะกลองมาเยอะนะครับ ตอนเรียนหนังสือผมก็เคาะโต๊ะเล่นประจำ แล้วผมก็ฟังฮิปฮอปมาตลอด ผมรักฮิปฮอปครับ”



Mindtrick นี่ก็เป็นอีกซิงเกิลที่กำลังโด่งดังใช้ได้เลยทีเดียว ภาคดนตรีได้รับการเรียบเรียงแบบเรียบง่ายทำให้นึกถึงอิทธิพลทางดนตรีป็อปที่เขาถ่ายทอดออกมา ความนุ่มนวลประมาณนี้น่าจะมาจากศิลปินรุ่นพี่อย่างสติงเข้ามาผสมผสานกับความเป็นตัวของเขา เสน่ห์อีกอย่างอยู่ที่การเดินไลน์เบสไปเรื่อย คุมจังหวะเพลงได้อย่างสวยงาม ถึงแม้จะมีท่วงทำนองที่เรียบง่าย แต่ก็เป็นเพลงที่น่าจะติดหูคนฟังได้มากอีกเพลงหนึ่ง เช่นเดียวกับเพลง Photograph บทเพลงป็อปแจ๊สที่เจมีได้แสดงฝีมือการเดี่ยวเปียโนของเขาเอาไว้ในช่วงกลางเพลง เสียงเบสจากทั้งสองเพลงนี้มาจากฝีมือของเบน คัลลัม พี่ชายผู้เป็นอิทธิพลสำคัญของเจมี

7 Days To Change Your Life สำแดงถึงความรักในดนตรีแจ๊สของเจมีอย่างเด่นชัด หากฟังแต่ภาคดนตรีอย่างเดียวแล้ว ความประทับใจในดนตรีก็จะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย เพราะเป็นแจ๊สสามชิ้น (ที่เล่นกับเซบาสเตียนและจอฟ) ที่ค่อนข้างฟังง่ายและนุ่มนวล ไม่เน้นการอิมโพรไวเซชัน กลุ่มคนฟังหลักของเจมีที่ว่าน่าจะเป็นคนหนุ่มสาวก็น่าจะวิเคราะห์ได้จากเพลงนี้ที่มีเนื้อหาติดตลกเกี่ยวความรักและการอกหัก

ส่วนที่สองของอัลบัมเป็นเพลงที่เจมีนำเอาบทเพลงทั้งป็อปและแจ๊สมาคัฟเวอร์ใหม่ในคัลลัมสไตล์

I Only Have Eyes For You บทเพลงสแตนดาร์ดแจ๊สที่แฟนเพลงแจ๊สคงจะเคยได้ยินกันมาบ้าง เพราะว่าเป็นเพลงที่ถูกนำมาเรียบเรียงร้องใหม่หลายครั้งหลายหน แต่ครั้งนี้จากฝีมือของเจมีอาจจะไม่ค่อยลงตัวสักเท่าไรในสายตาของผู้เขียน เนื่องจากแนวดนตรีที่เจมีหยิบมาทดลองผสมด้วยนั้นเป็นดนตรีหนืดๆ แบบทริปฮอปที่ดูจะยังไม่เข้ากับแจ๊สอย่างนี้มากนัก



Catch The Sun เพลงของ เดอะ โดฟส์ วงร็อกที่มีผลงานมาแล้วสามอัลบัมอย่างต่อเนื่อง และได้รับเสียงวิจารณ์ไปในทางที่ดี จริงๆ แล้วการเรียบเรียงที่เจมีทำออกมาในเพลงนี้ก็แตกต่างจากต้นฉบับพอสมควรที่เดียว ยิ่งได้ท่อนโซโลเปียโนของเขาเองด้วยแล้ว ถือเป็นการคัฟเวอร์เพลงที่ทำออกมาได้ลงตัวกว่า I Only Have Eyes For You อย่างแน่นอน เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงที่เสริมสร้างบุคลิกที่ชัดเจนของเจมีพอๆ กับที่เขาได้นำเอาเพลง High And Dry ของเรดิโอเฮดมาคัฟเวอร์ในอัลบัม Pointless Nostalgic

Our Day Will Come ป็อปโซลของรูบี แอนด์ เดอะ โรแมนติกส์ถูกนำมาผสมกับเร็กเกสไตล์ที่ดูเหมาะกับการเปิดฟังริมทะเลเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อฟังอัลบัม Catching Tales จบไปหลายรอบก็พบว่างานเพลงของเจมี คัลลัมมีเสน่ห์ถึงสองอย่างที่อยากจะทำให้ฟังต่อทั้งอัลบัม นั่นก็คือ...

หนึ่ง... เพลงที่เขาเลือกมา นี่เป็นเสน่ห์อย่างแรกที่แสดงให้เห็นถึงรากฐานและอิทธิพลทางดนตรีที่เขาได้รับ และการนำมาประยุกต์ใช้ในแบบของเขาเอง

สอง... น้ำเสียงการฝีมือการเล่นเปียโน ถึงแม้ว่าเจมีจะไม่ได้แสดงออกถึงฝีมือทางการเล่นเปียโนมากเท่าที่ควร แต่เขาก็ได้ชงและปรุงส่วนผสมในแต่ละเพลงให้กลมกล่อมด้วยเสียงร้องและชูรสด้วยช่วงเดี่ยวกลางเพลงเสมอๆ อย่างที่เขาเคยพูดไว้เสมอๆ ว่า “สิ่งที่ผมทำนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของดนตรีแจ๊ส หลังจากนั้นผมจึงจะเริ่มต้นดูว่าจะเอาป็อป จะเอาร็อกเขามาปรุงด้วย แล้วผมก็พยายามที่จะบอกว่ามันไม่ผิดหรอกที่จะเอาดนตรีหลากหลายแขนงมายำรวมกัน เพื่อที่จะให้คนฟังส่วนมากฟังแล้วสนุกไปด้วย มากกว่าที่จะทำออกมาให้กลุ่มคนฟังที่ฟังแบบฮาร์ดคอร์สุดๆ”

นั่นเป็นจุดยืนที่มั่นคงของเจมี คัลลัมที่ยังคงยืนยันที่จะทำงานเพลงแจ๊สในแบบคัลลัมสไตล์ ถึงแม้ว่าจะมีคนไม่ชอบ แต่เล็กพริกขี้หนูคนนี้คงไม่นำพา เพราะเขาบอกว่า “ผมสนุกกับงานที่ทำ ไม่กดดันกับชื่อเสียง ถ้าทำออกมาแล้วคนชอบก็เยี่ยม แต่หากไม่เป็นอย่างนั้น ทางยูนิเวอร์ซัลคงจะต้องบอกศาลผมแล้วก็หาศิลปินใหม่ๆ มาทำต่อ ผมไม่พยายามสร้างภาพหลอกตัวเอง แล้วก็ยังคงมีความสุขที่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้เพื่อที่จะเฝ้าดูต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร”



Jamie Cullum / Catching Tales (Universal Classics & Jazz)
Produced by Stewart Levine

Tracklisting :
1. Get Your Way
2. London Skies
3. Photograph
4. I Only Have An Eyes For You
5. Nothing I Do
6. Mind Trick
7. 21st Century Kid
8. I’m Glad There Is You
9. Oh God
10. Catch The Sun
11. 7 Days To Change Your Life
12. Our Day Will Come
13. Back To The Ground
14. My Yard

เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะเป็นแฟนพันธุ์แท้

• เจมีเป็นศิลปินแจ๊สอังกฤษที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล
• เขาเริ่มทำซีดีอัลบัมชุดแรกตอนอายุเพียง 19 ปี
• แคลร์ ทีล เพื่อนนักร้องด้วยกันเป็นคนแนะนำเจมีเข้าสู่ค่ายแคนดิด เรคคอร์ดส
• ชนะเลิศรางวัลดาวรุ่งดวงใหม่ในปี 2003 บีบีซี แจ๊ส อะวอร์ดส
• คัฟเวอร์เพลง High And Dry ของวงร็อกชื่อดัง เรดิโอเฮด







Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2549
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2549 13:12:35 น. 5 comments
Counter : 2077 Pageviews.

 
ว่าจะซื้อตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ซื้อซักที ขอบคุณที่พิมพ์ให้อ่านครับ


โดย: strawberry machine gun วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:12:47:33 น.  

 
ฟัง Catching Tales ตั้งแต่ออกใหม่ๆ แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ ฟังไปได้รอบเดียวมั้ง แล้วก็ไม่หยิบมาอีกเลย ทั้งๆที่สมัย Twenty Something ก็ยังฟังค่อนข้างบ่อย -- ไว้ซักวันคงจะหยิบมาฟังอีกที


โดย: k_ktp วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:14:48:45 น.  

 
พี่ k_ktp ฟังอีกทีนะคะ เอางี้ดีกว่า...ลองแบบฟังเรื่อยๆ ดิคะพี่ ตอนแรกก็ไม่ได้ชอบค่ะ แต่ฟังแล้วชอบไอเดียเขา


โดย: nunaggie วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:21:03:22 น.  

 
ครับ คงจะฟังอีกน่ะแหละ แต่เมื่อไหร่แค่นั้นเอง เดี๋ยวใส่ไว้ใน playlist ฟังตอนทำงานดีกว่า ตอนนี้ฟังไม่ค่อยจะทันเลยครับ งานเข้ามาแทบจะทุกวัน บางทีวันละหลายๆชุดอีก ถ้าไม่สะดุดหูนี่แทบจะฟังรอบเดียวเลย


โดย: k_ktp วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:21:34:09 น.  

 
ชอบ jamie มากครับเพลงเพราะทุกอัลบั้ม


โดย: fromdezun IP: 61.91.73.21 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2551 เวลา:16:54:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nunaggie
Location :
City of Angels, Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




คุยเฉพาะเรื่องเพลง :D

"I still find each day too short for all the thoughts I want to think, all the walks I want to take, all the books I want to read, and all the friends I want to see." John Burroughs

Follow my twitter @nunaggie :)

"มีเรื่องราวอีกมากมายให้ชีวิตต้องเดินทางไปค้นหา เราคงไม่ค้นพบทุกอย่างได้ เพียงแค่ชั่วชีวิตเดียว"
Creative Commons License
© Supada Luangsirimongkol 2015.
qrcode
Friends' blogs
[Add nunaggie's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.