ดูเหมือนว่านอราห์ โจนส์จะมีรากฐานแน่นหนามาจากดนตรีคันทรีและบลูส์จริงๆ ถึงแม้ว่าอัลบัมแรกของเธอ Come Away With Me จะติดกลิ่นอายแจ๊สอยู่บ้าง หากแต่อิทธิพลของโฟล์กและคันทรีกลับตลบอบอวลอยู่ทั่วไป ต่อมาในอัลบัม Feels Like Home ที่ออกมาไม่นานหลังจากนั้น ความเป็นคันทรีและบลูส์กลับคลุ้งอวลอยู่มากกว่าแจ๊สเสียอีก ซึ่งก็ทำให้แฟนเพลงเริ่มจะสับสนเสียแล้วว่า ตกลงเธอเป็นนักดนตรีแจ๊สหรือไม่ แต่เรากลับเห็นว่าไม่ว่าเธอจะผลิตงานประเภทใดออกมา เธอก็มักจะพิพีพิถันกับมันมากเป็นพิเศษอย่างที่เรามักจะสังเกตได้จากการฟังในทุกๆ เพลง เพลงของเธอเข้าถึงได้ง่าย ไม่ต้องอาศัยการตีความมาก เพียงแต่เน้นไปที่เความไพเราะของตัวเพลงและเสียงที่นุ่มนวลของเธอ เท่านี้แฟนเพลงก็พร้อมที่จะเพิกเฉยต่อการจัดประเภทเพลงของนอราห์ โจนส์โดยสิ้นเชิง
คอนเซ็ปต์อัลบัมเป็นไปตามที่คาดหมาย นั่นก็คือแนวทางของลีที่ได้แสดงออกทางความคิดของเขาเอาไว้ในอัลบัม Feels Like Home อันตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายคันทรี ภาพรวมของอัลบัมมีความนุ่มนวลในแบบของนอราห์อยู่ไม่น้อย แสดงให้เห็นว่าลีเองก็สร้างแนวทางโดยเอาบุคลิกภาพของเธอมาเป็นองค์ประกอบสำคัญ ถึงแม้ว่าทีมนักดนตรีจะเปลี่ยนหน้าไปทุกคน ยกเว้นลีที่ยังเกาะตำแหน่งเบสเหมือนเดิม หากแต่สไตล์การบรรเลงนั้นก็ยังคลับคล้ายคลับคลา นั่นก็คงจะเป็นรูปแบบการทำงานที่เน้นภาพรวมมากกว่าที่จะไปเน้นเกาะสไตล์ของนักดนตรีคนใดคนหนึ่งอย่างจริงจัง ซึ่งสิ่งนั้นน่าจะเป็นปัญหามากกว่าหากว่ามีการแตกวงกันขึ้นมา เพราะสไตล์ของวงจะเปลี่ยนไปทันที
นอกจากนอราห์ที่ยึดตำแหน่งร้องนำแล้ว ยังมีริชาร์ด จูเลียนเข้ามาแบ่งส่วนในการร้องนำออกไปด้วย นี่คือสิ่งที่น่าจะทำให้ภาพออกมาเป็นเดอะ ลิตเติล วิลลีส์มากขึ้น ไม่ใช่แฮนด์ซัม แบนด์ของนอราห์ เขาร้องเดี่ยวอยู่ 3 เพลง ก็คือ Best Of All Possible Worlds, Streets Of Baltimore และ Tennessee Stud นอกจากนั้นยังร้องคู่กับนอราห์ในอีก 2 เพลงก็คือ Roly Poly และ Lou Reed อีกส่วนหนึ่งที่เขายังได้มีส่วนร่วมก็คือร่วมแต่งเพลงถึง 3 ใน 4 เพลงที่เป็นเพลงใหม่ของเดอะ ลิตเติล วิลลีส์ด้วย ซึ่งก็คือ Its Not You Its Me (ร่วมกับ แอชลีย์ มอนโร), Easy As The Rain (ร่วมกับจิม) และ Lou Reed (ร่วมกับลีและนอราห์) ส่วนอีกเพลง Roll On ลีเป็นคนแสดงฝีมือคนเดียว
Roll On คงจะเป็นซิงเกิลฮิตของอัลบัมนี้อย่างแน่นอน เพราะเป็นสไตล์นอราห์อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นอัลบัมไหนๆ ของเธอ เรามักจะได้ยินทูน (Tune) ที่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้ของเธอเสมอๆ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดีแน่ๆ เพราะว่ามีไม่กี่คนหรอกที่จะหาทูนของตัวเองเจอและรักษามันเอาไว้ได้ นอราห์เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการเคาะคีย์เปียโน ซึ่งบอกตามตรงว่าเธอเล่นไม่กี่โน้ตหรอกในหนึ่งเพลง แต่ว่ามันคือการเล่นน้อยที่คนจำได้มาก นี่คือส่วนประกอบสำคัญในความเป็นเธอเช่นกัน
จริงๆ แล้วเราๆ ท่านๆ อาจจะรู้จักกุสตาโวมาแล้วบ้าง อย่างภาพยนตร์เรื่อง The Motorcycle Diaries (2004) ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงในดนตรีแบบของกุสตาโวไม่น้อย แถมเพลง Al Otro Lado del Rio โดยฆอร์เฆ เดร็กซเลอร์ยังได้รางวัลเพลงยอดเยี่ยมจากรางวัลอะคาเดมี อะวอร์ดส์เมื่อปี 2005 ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนแต่งเพลงนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นคนกำหนดทิศทางของเพลง
ส่วนประกอบอื่นของอัลบัมที่คงจะไม่กล่าวถึงไม่ได้ก็คือเพลง A Love That Will Never Grow Old ร้องโดยเอมมีลู แฮริส ศิลปินคันทรีชาวอเมริกันชื่อดัง ทำนองโดย กุสตาโวเอง และเนื้อร้องโดย เบอร์นี เทาพิน คู่หูเขียนเพลงของเซอร์เอลตัน จอห์น และเพลง I Dont Want To Say Goodbye ที่ทั้งสองเขียนขึ้นใหม่ ส่งผลให้เพลงที่ออกมามีเนื้อหาที่กินใจและสอดรับกับเนื้อหาของภาพยนตร์อย่างตั้งใจ
เป็นที่น่าเสียดายว่า A Love That Will Never Grow Old หยุดตัวเองไว้เพียงแค่รางวัลลูกโลกทองคำ สาขาเพลงยอดเยี่ยม เนื่องจากไม่ได้มีการใส่เพลงนี้ไว้ในตัวหนังครบ 30 วินาที ดังนั้นจึงหลุดออกจากโผออสการ์อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่เช่นนั้นเชื่อว่าเพลง Its Hard Out Here For A Pimp จากเรื่อง Hustle and Flow ที่ได้รับรางวัลไปจะต้องเจอคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้ออย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยเพลงอื่นๆ อย่าง He Was A Friend Of Mine (บ็อบ ดีแลน) ร้องโดยวิลลี เนลสัน King Of The Road (โรเจอร์ มิลเลอร์) ร้องโดย เท็ดดี ธอมป์สันและรูฟัส เวนไรต์, The Maker Makes (รูฟัส เวนไรต์) ซึ่งร้องเองด้วย
"I still find each day too short for all the thoughts I want to think, all the walks I want to take, all the books I want to read, and all the friends I want to see." John Burroughs