ผลงานที่ทั้งสองร่วมสร้างสรรค์นั้น ดูเหมือนจะได้รับการตอบรับอย่างดีตั้งแต่ชุดแรกที่ออกมา นั่นก็คือ The Birth Of The Cool ในช่วงปี 1949-50 แล้วก็ยังมี Boplicity, Moon Dreams และ Theme (ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงได้ถูกรวบรวมนำมาไว้ในอัลบัม The Complete Birth Of The Cool เป็นที่เรียบร้อย รวมไปถึงเซสชันแสดงสดต่างๆ ที่ได้รับการบันทึกเสียงที่ Royal Roost ในปี 1948)
ไมล์ส ได้เข้าเซ็นสัญญาเป็นศิลปินในสังกัด Columbia Records ตั้งแต่ปี 1955 ทั้งเขาและ กิล จึงได้บันทึกเสียงผลงานร่วมกันอีกในชุด Miles Ahead ในปี 1957 แล้วก็ตามมาติดๆ ด้วยอัลบัม Porgy And Bess การตีความบทละครโอเปราชิ้นสำคัญของนักประพันธ์อมตะ George Gershwin แน่นอนว่าต้องมีบทเพลงอภิมหาอมตะนิรันดร์กาลอย่าง Summertime ด้วย
การแสดงคอนเสิร์ตในปี 1961 (ซึ่งภายหลังออกมาเป็นผลงานแผ่นคู่ชุด Miles Davis At Carnegie Hall) ได้รวบรวมงานเด่นๆ ของ ไมล์ส และ กิล มาแสดงสด แน่นอนต้องมี Concierto De Aranjuez ด้วย นี่จึงถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ฟังวงใหญ่เล่นกันสดๆ ซึ่งอาจจะไม่ได้ซาวด์ที่ สมบูรณ์แบบ อย่างในแผ่นเสียง แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์ของการแสดงสดมิใช่หรือ ทั้ง กิล และ ไมล์ส ก็ยังคงร่วมกันทำงาน โดยที่ กิล ทำหน้าที่เป็นทั้งที่ปรึกษาและอะเรนเจอร์ ให้กับ ไมล์ส ในหลายๆ อัลบัม รวมทั้งอัลบัม Star People ด้วย จนมาถึงอัลบัม Quiet Nights ซึ่งอัลบัมหลังนี้ไม่ค่อยได้รับเสียงตอบรับจากนักวิจารณ์ในทางบวกมากนัก แถมยังเป็นอัลบัมที่ร้านขายแผ่นนำเอาแผ่นเสียงมาลดกระหน่ำตอนที่เพิ่งได้รับการเปลี่ยนรูปแบบเป็นซีดีเมื่อปี 1997 อีกต่างหาก แม้กระนั้นก็ตาม อัลบัมนี้ก็ยังคงทรงคุณค่าเหมือนอย่างอัลบัมที่ผ่านๆ มาของ ไมล์ส อยู่ดี เขากับ กิล ร่วมกันก้าวข้ามผ่านเสียงแห่งบอสซาโนวา เข้าสู่บทเพลงที่สวยงามของ Quiet Nights อันเหนือกว่า Sketches of Spain เสียด้วย คุณลองจินตนาการสิว่างานชุดนี้พวกเขาจะใช้เวลาสร้างสรรค์กันนานขนาดไหน
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 Quincy Jones บอกให้ ไมล์ส เอาผลงานของ กิล มาแสดงคอนเสิร์ต ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิต แต่ ไมล์ส ก็ยังคงรักษาระดับคุณภาพงานของเขาเอาไว้ได้อย่างน่าทึ่งในงานคอนเสิร์ตครั้งนั้น เรียกว่าสมศักดิ์ศรี The Prince Of Darkness ทีเดียว
"I still find each day too short for all the thoughts I want to think, all the walks I want to take, all the books I want to read, and all the friends I want to see." John Burroughs