ยาสีฟัน เพื่อนสนิทใกล้ชิดตอนเช้าและก่อนนอน
ของใช้สำคัญที่เราต้องเจอกันทุกวัน และเป็นสิ่งที่เราต้องเลือกให้เหมาะสมกับเรามากที่สุด หนึ่งในนั้นก็คือ ยาสีฟัน ปัจจุบันนี้มียาสีฟันหลากหลายยี่ห้อ หลากหลายสูตรที่ผลิตออกมาให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้กันอย่างมากมาย แต่
จะรู้ได้อย่างไรว่ายาสีฟันแบบไหนจึงจะดีและเหมาะสมกับสุขภาพฟันของเรา
รู้จักยาสีฟัน
ยาสีฟัน จัดเป็นเครื่องสำอางที่ไว้ทำความสะอาดช่องปากและฟัน ซึ่งยาสีฟันแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. ยาสีฟันชนิดหลอด ซึ่งอยู่ในรูปของเหลวข้นแบบครีม (Tooth paste) และของเหลวข้นแบบใส (Gelatine or Translucent tooth paste) ส่วนประกอบ สารขัดสี เป็นส่วนประกอบที่ช่วยทำความสะอาดผิวฟัน ซึ่งจะต้องใช้ใน ยาสีฟันทุกชนิด แล้วแต่ว่าจะใช้สารใดเป็นสารขัดสี ซึ่งมักเป็นสารประกอบของพวก อลูมิเนียม แคลเซียม หรือ ซิลิก้า เป็นต้น สารขัดเงา เป็นตัวขัดและเคลือบเงาให้แก่ตัวฟัน ทำให้ฟันลื่น เช่น Calcium phosphate เป็นต้น สารลดแรงตึงผิว เป็นตัวช่วยทำความสะอาด โดยขจัดคราบสกปรกและเศษอาหารจากปากและยังเป็นตัวที่ทำให้เกิดฟองด้วย เช่น Sodium Lauryl Sulfate เป็นต้น สารปรุงแต่งกลิ่นหรือรส เช่น Peppermint oil, Menthol เป็นต้น สารอื่นๆ ที่ทำให้ยาสีฟันคงรูปได้ดี เช่น สารให้ความชื้นแก่เนื้อยาสีฟัน สารเพิ่มความหนืด สารเพิ่มเนื้อยาสีฟันและสารกันเสีย เช่น Sorbitol, Gumtragacath, Sodium benzoate เป็นต้น สารอื่นๆ เพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ เช่น การใส่สารฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ สารช่วยลดแผ่นคราบจุลินทรีย์ สารช่วยลดการเกิดคราบหินปูน เป็นต้น 2. ยาสีฟันชนิดผง (Tooth powder) มีส่วนประกอบของสารขัดสีมากที่สุด ผู้ใช้ยาสีฟัน ประเภทนี้เป็นประจำ ควรระวังเพราะอาจทำให้ผิวเคลือบฟันสึกได้ ส่วนประกอบ วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต จะได้มาจากธรรมชาติ เช่น ดินสอพอง แป้งนวล ข่อย เกลือผง เป็นต้น
เลือกใช้ตามความต้องการ
การเลือกใช้ยาสีฟันนั้นควรใช้ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ตามชนิดของยาสีฟัน ได้แก่ 1 ยาสีฟันช่วยป้องกันฟันผุ จะใช้ได้ผลดีเมื่อใช้เป็นประจำ สารที่ออกฤทธิ์ช่วยป้องกันฟันผุ ได้แก่ ฟลูออไรด์ ถึงแม้ว่าไม่สามารถป้องกันฝันผุได้ 100% แต่สามารถลดอัตราการเกิดฟันผุได้ประมาณ 20 35 % 2 ยาสีฟันช่วยลดอาการเสียวฟัน ยาสีฟันชนิดนี้จะลดอาการเสียวฟันที่เกิดจากการสึกของเนื้อฟันหรือเหงือกร่นได้บ้าง แต่จะไม่สามารถลดอาการเสียวฟันเนื่องจากฟันผุ 3 ยาสีฟันที่ใส่สารกำจัดคราบบุหรี่ จะประกอบด้วยผงขัดที่หยาบกว่าปกติ 4 ยาสีฟันที่มีเอนไซม์ จะมีการใช้เอนไซม์เพื่อช่วยลดแผ่นคราบจุลินทรีย์ หรือคราบหินปูน 5 ยาสีฟันสำหรับเด็ก ส่วนใหญ่จะปรุงแต่งด้วยกลิ่น สี รส เพื่อให้เหมาะสมกับเด็กและดึงดูดให้เด็กๆ อยากแปรงฟัน
การเลือกใช้ยาสีฟัน ควรเลือกใช้ตามความเหมาะสมของฟัน ยกตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้มีปัญหาฟันผุ ก็ควรเลือกใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ ส่วนยาสีฟันสำหรับเด็ก ทันตแพทย์มักแนะนำให้ใช้ยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์ด้วยเช่นเดียวกัน สำหรับคนทั่วไปที่ฟันแข็งแรง ควรจะเลือกใช้ตามความพอใจ โดยใช้หลักว่ายาสีฟันนั้นเมื่อใช้แล้วทำให้ผิวเคลือบฟันสะอาด กำจัดเศษอาหาร คราบสีและแผ่นคราบจุลินทรีย์ได้ดี ไม่ระคายเคืองเยื่ออ่อนในช่องปาก ไม่ทำให้เหงือกเป็นแผล รวมทั้งมีกลิ่นและรสถูกใจผู้ใช้ หรืออาจจะคำนึงถึงเรื่องราคาอีกประการหนึ่งด้วย
เลือกใช้อย่างปลอดภัย
1. เลือกยาสีฟันให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการใช้ เพราะในปัจจุบันยาสีฟันมีส่วนผสมของสารที่มีวัตถุประสงค์พิเศษอื่นๆ มากมาย เช่น ยาสีฟันที่ช่วยลดอาการเสียวฟัน ยาสีฟันที่มีเอนไซน์ 2. เมื่อเลือกชนิดของยาสีฟันที่เหมาะสมกับผู้ใช้แล้ว ควรพิจารณาฉลากของยาสีฟันว่า มีฉลากครบถ้วนตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดหรือไม่ โดยยาสีฟันมีข้อกำหนดต่างๆ กัน ดังนี้ 2.1 ยาสีฟันทั่วไป กำหนดว่าต้องมีชื่อยาสีฟัน ชื่อผู้ผลิตและแหล่งผลิตที่ชัดเจน, วิธีใช้และปริมาณสุทธิ, แสดงบนฉลากเป็นภาษาไทยอย่างชัดเจน 2.2 ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์เป็นส่วนผสม นอกจากจะต้องแสดงฉลากเหมือนกับยาสีฟันทั่วไปแล้ว ยังต้องแสดงเลขทะเบียนตำรับ และคำเตือน เด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี ควรใช้ปริมาณยาสีฟันแต่น้อย ไม่ควรกินหรือกลืน อีกด้วย 2.3 ยาสีฟันที่มีเอนไซม์เป็นส่วนผสม ต้องแสดงฉลากเหมือนยาสีฟันทั่วไป และต้องแจ้งปริมาณและชนิดของเอนไซม์ที่ใช้ระบุ วันเดือนปี ที่หมดอายุ (Expired date) ของเอนไซม์ยาสีฟัน 3. เลือกยาสีฟันที่ไม่ทำให้เกิดอาการผิดปกติใดๆ กับปากและฟัน เช่น ยาสีฟันบางชนิดมีส่วนผสมของสารขัดสีที่มากเกินไป ทำให้รู้สึกว่าฟันสึกลง ก็ควรเปลี่ยนไปเลือกใช้ ยาสีฟันที่ให้การขัดสีที่เหมาะสมกับฟันตัวเอง เป็นต้น
บีบ
บีบ ยาสีฟัน
ยังมีผู้เข้าใจผิดว่าฟันสะอาดได้จะต้องบีบยาสีฟันให้ยาวเต็มพื้นที่แปรงตามที่เห็นในโฆษณา แต่แท้ที่จริงแล้วเพียงแค่บีบยาสีฟันให้ยาวประมาณครึ่งเซนติเมตร หรือใช้ในปริมาณเท่าเม็ดถั่วเขียว ก็เพียงพอที่จะขจัดคราบอาหารและทำให้ฟันสะอาดได้แล้ว หากบีบยาสีฟันมากไปนอกจากสิ้นเปลืองแล้วอาจเกิดปัญหาได้ เช่น เด็กที่ใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ หากเด็กกินหรือกลืนยาสีฟันโดยไม่ได้ตั้งใจ และได้รับฟลูออไรด์มากเกินไปอาจนำมาซึ่งปัญหาฟันตกกระ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทันตแพทย์ในปัจจุบันกังวลกันมาก
ประโยชน์ของฟลูออไรด์
ฟลูออไรด์เป็นส่วนเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฟันและป้องกันฟันผุ โดย 1. ฟลูออไรด์ที่กินเข้าไปจะถูกดูดซึมและเข้าไปอยู่ในเลือด และถูกนำไปใช้ในการสร้างกระดูกและฟัน ในการสร้างฟันฟลูออไรด์จะรวมตัวกับแคลเซียมและฟอสฟอรัส เป็นสารประกอบฟลูออร์แอปาไทต์ อยู่ในตัวฟัน จึงทำให้ฟันแข็งแกร่งไม่เกิดโรคฟันผุง่าย
2. ฟลูออไรด์ที่ทำโดยตรงที่ผิวเคลือบฟัน จะแทรกเข้าไปในผิวเคลือบฟันบางส่วนจะรวมกับแร่ธาตุในผิวเคลือบฟัน กลายเป็นสารประกอบฟลูออร์แอปาไทต์อยู่ในผิวเคลือบฟัน ทำให้ฟันทนทานต่อกรดยิ่งขึ้น
การใช้ฟลูออไรด์
การใช้ฟลูออไรด์ให้ได้ผลดีในการป้องกันฟันผุจะต้องใช้ทั้งชนิดกิน และชนิดทาเฉพาะที่ในเวลาที่เหมาะสมโดยให้แพทย์หรือทันตแพทย์เป็นผู้แนะนำเท่านั้น คือ 1. เด็กแรกเกิด 2 ปี ขณะที่ยังไม่มีฟันในช่องปาก ให้กินฟลูออไรด์ชนิดน้ำ วันละ 0.25 มิลลิกรัม เมื่อฟันขึ้นแล้วและเคี้ยวอาหารเป็น จึงเปลี่ยนเป็นชนิดเม็ดในปริมาณเท่ากัน โดยให้เคี้ยวหรืออมยาให้ค่อยๆ ละลายในปากจะทำให้ได้ประโยชน์ทั้งเฉพาะที่ และดูดซึมผ่านทางเดินอาหาร 2. อายุ 2 3 ปี ให้กินฟลูออไรด์ชนิดเม็ดวันละ 0.5 มิลลิกรัม โดยให้เคี้ยวหรืออมให้นานๆ ก่อนกลืน เวลาที่เหมาะสมที่ให้กินคือก่อนเข้านอน 3. อายุ 3 13 ปี ให้กินฟลูออไรด์ชนิดเม็ด วันละ 1 มิลลิกรัม โดยให้เคี้ยวหรืออม เช่นเดิม และให้ทันตแพทย์เคลือบฟันด้วยน้ำยาฟลูออไรด์ซึ่งทันตแพทย์จะใช้น้ำยาที่มีความเข้มข้น 1% ทาฟันเด็ก การทาฟลูออไรด์นี้ควรทำปีละครั้ง และต้องให้ทันตแพทย์เป็นผู้ทำให้เท่านั้น ห้ามใช้น้ำยาฟลูออไรด์ความเข้มข้น 1% นี้กับลูกหลานด้วยตนเอง
ฟลูออไรด์ เมื่อร่างกายได้รับเข้าไปเป็นปริมาณมากๆ จะเป็นสารที่มีทั้งประโยชน์และโทษ เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค กระทรวงสาธารณสุข จึงประกาศกำหนดให้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ เป็นเครื่องสำอางที่ควบคุมซึ่งผู้ผลิตและผู้นำเข้าจะต้องขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในการผลิตหรือนำเข้าแล้วแต่กรณี โดยจะต้องขออนุญาตขึ้นทะเบียนตำรับเครื่องสำอาง โดยกำหนดให้ใช้ไม่เกิน 0.11% โดยคิดในรูปของ แอกทีฟ ฟลูออไรด์ ไออน (1100 ส่วนในล้านส่วน) และจะต้องแสดงคำเตือน เด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี ควรใช้ปริมาณแต่น้อยไม่ควรกินหรือกลืน ไว้ที่ฉลาก สำหรับฟลูออไรด์ ที่นิยมใช้ในยาสีฟัน ได้แก่ โซเดียมฟลูออไรด์ ฟอสเฟต MEP, แสตนนัสฟลูออไรด์
ฟลูออไรด์ในน้ำยาบ้วนปากและยาสีฟัน
น้ำยาบ้วนปากและยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์เป็นส่วนผสม เมื่อใช้สม่ำเสมอ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของฟันได้ เพราะฟลูออไรด์ในช่องปากและบริเวณรอบผิวเคลือบฟันจะลดการเกาะติดของโปรตีนจากน้ำลายบนผิวเคลือบฟันทำให้ลดการเกิดแผ่นคราบจุลินทรีย์ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของบักเตรีและเศษอาหารที่ทำให้เกิดกรดมาทำลายฟัน
ความเข้มข้นของฟลูออไรด์ในน้ำยาบ้วนปากโดยทั่วไปจะเป็น 0.02 0.1% ส่วนยาสีฟันจะมีฟลูออไรด์ประมาณ 0.1% ทันตแพทย์บางท่านแนะนำให้ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์เป็นประจำ และใช้น้ำยาบ้วนปากสัปดาห์ละครั้ง ครั้งละ 5 นาที
มีทันตแพทย์บางท่านมีความเห็นว่าแม้ว่าฟลูออไรด์ในน้ำยาบ้วนปากและยาสีฟันจะมีส่วนช่วยให้ฟันแข็งแรงไม่ผุง่าย แต่ถ้าแปรงฟันถูกวิธี ไม่ปล่อยให้มีน้ำตาลหรือเศษอาหารค้างอยู่บนผิวเคลือบฟันหรือในช่องปากนานๆ และฟันไม่มีปัญหา คือไม่กร่อนหรือผุง่ายแล้ว การใช้ยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากที่มีฟลูออไรด์ผสมอยู่ก็ไม่จำเป็น ในทางกลับกันหากบุคคลที่ฟันผุง่าย โครงสร้างฟันไม่แข็งแรง ฟลูออไรด์ในยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากจะช่วยให้ฟันผุลดน้อยลงได้
ขอบคุณข้อมูลจาก //women.thaiza.com
Create Date : 17 ธันวาคม 2553 |
Last Update : 17 ธันวาคม 2553 9:05:48 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1416 Pageviews. |
|
|
|
|
|