สวัสดีค่ะ ภาระหน้าที่ทำให้ต้องเดินทางไกลมาถึงบัวโนสไอเรส แต่ยังคิดถึงเพื่อนบล็อกทุกคนนะค่ะ
การรักษาแผลเป็น

ถ้าคุณมีผิวพรรณที่เนียนชวนสัมผัสก็จริง แต่มีริ้วรอยของรอยแผลเป็นปรากฏอยู่ก็คงต้องลำบากใจในการที่จะปกปิดรอยแผลเป็นนั้นให้พ้นจากสายตาของรอบข้าง อาจทำให้ขาดความมั่นใจ การแต่งตัว ไม่สามารถแต่งตามแฟชั่นสมัยนิยมได้อย่างคนอื่น ๆ เนื่องจากแผลเป็นที่น่าเกลียด และแผลเป็นยังก่อให้เกิดอาการคัน ซึ่งก่อความรำคาญและอาจขยายวงกว้างขึ้นอีกด้วย

รอยแผลเป็นมีได้หลากหลายลักษณะ เรามาดูกันว่ามีอย่างไรบ้าง

1. แผลเป็นที่มีสีผิดปกติ คือ มีสีที่เข็มกว่าหรืออ่อนกว่าสีผิว ปกติที่อยู่รอบ ๆ แผลมองเห็นไดชัดเจน

2. แผลเป็นที่อาจมีการดึงรั้งของผิวหนัง ทำให้ลักษณะร่างกายบิดเบี้ยวไปตามแรงดึงรั้งของแผลจนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เช่น แผลเป็นตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือที่ใบหน้าซึ่งอาจจะเกิดจากอุบัติเหตุ

3. แผลเป็นที่มีรูปร่างผิดไปจากผิวหนังเดิม เช่น “แผลเป็นนูน” หรือแผลเป็นที่มีรอยบุ๋มลงไปซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ

3.1 แผลนูนชนิดธรรมดา จะนูนหลังการผ่าตัด หรือการเย็บแผลใหม่ ๆ แผลจะมีลักษณะนูนอย่างเดียว ไม่ขยายขอบออกจากแผลเก่า ซึ่งแผลอาจมีขนาดเล็กลงได้เองโดยไม่ต้องทำอะไร หรือคุณอาจจะนวดเบา ๆ ทุกวัน แผลนูนชนิดนี้จะยุบลงได้

3.2 แผลนูนชนิดคีลอยด์ เป็นแผลเป็นที่มีลักษณะนูนแข็งเห็นชัดจากผิวหนังปกติ และลามออกไปยังผิวหนังบริเวณข้างเคียงด้วย มักจะมีอาการคันเล็กน้อย พบได้จากแผลที่ถูกมีดบาดหรือแผลหลังการผ่าตัด เช่น ผ่าตัดไส้ติ่ง คลอดลูก หลังการปลูกฝี หรือแผลถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เป็นต้น แผลแบบนี้นะคะ ดูไปแล้วก็เหมือนตัวปลิงหรือตะขาบมาเกาะอยู่ มันน่า... แค่ไหนคุณว่าไงคะ เห็นด้วยกับหมอหรือเปล่า

สำหรับการรักษาแผลเป็นดังที่กล่าวมา ทางการแพทย์พยายามที่จะคิดค้นหาวิธีการที่จะแก้ไขและรักษาแผลเป็นให้กลับคืนสู่สภาพผิวปกติ แต่พบว่ายังไม่มีวิธีใดที่จะรักษาให้หายได้ 100% แต่ก็สามารถทำให้ดีขึ้นได้บ้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะของแผลเป็น และวิธีการรักษา คุณสามารถขอคำปรึกษาได้จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนัง และควรปรึกษานับตั้งแต่ที่เห็นว่าเริ่มมีแผลเป็นเล็ก ๆ ขึ้นมา อย่าปล่อยให้มันใหญ่เสียก่อนนะคะ เพื่อแพทย์จะได้ให้คำแนะนำในการป้องกันไม่ให้เป็นมากขึ้น หรือทำการรักษาด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งแพทย์อาจใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกันดังนี้

1. ใช้ยาทาแก้แผลเป็น เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ ยาที่เป็นซิลิโคนเจล ยาที่มีวิตามิน E หรือวิตามิน A เป็นส่วนประกอบ ซึ่งโดยทั่วไปอาจช่วยลดอาการคันหรือทำให้แผลเป็นสีจางลง หรือบางลงได้เล็กน้อย ซึ่งก็ต้องใช้เวลาพอสมควร

2. การใช้แผ่นซิลิโคนเจลปิดบริเวณแผลเป็น ซึ่งจะช่วยได้ในแผลเป็นที่เป็นใหม่ ๆ ช่วยลดการขยายตัวของแผล หากคุณคิดว่ารอยแผลที่เกิดกับคุณจะทำให้เป็นแผลเป็น รีบไปหาหมอเลยนะคะ

3. การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าใต้แผลเป็น เพื่อให้แผลเป็นยุบลง โดยจะต้องฉีดหลายครั้ง ครั้งละประมาณ 0.5 - 1 cc ห่างกันประมาณเดือนละ 1 ครั้ง จนกว่าแผลจะแบนราบ ซึ่งใช้เวลาไม่เท่ากันในแต่ละแผลเป็น ถ้าแผลเป็นมีขนาดใหญ่ก็ต้องใช้เวลานะคะ เพื่อกำจัดริ้วรอยแผลเป็นต้องอดทนค่ะ

4. การผ่าตัดเอาแผลเป็นเก่าออก แล้วจึงเย็บแผลใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งอาจใช้ได้กับแผลเป็นบางชนิดเท่านั้น การผ่าตัดควรทำเมื่อแผลเป็นนั้นสมบูรณ์เต็มที่แล้วไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ถ้าแผลเป็นมีบริเวณกว้างก็อาจต้องใช้วิธีการผ่าตัดย้ายผิวหนังส่วนใดส่วนหนึ่งของคุณมาปิดซึ่งการผ่าตัดแก้ไขจะต้องทำโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อดูแลไม่ให้เกิดแผลเป็นซ้ำขึ้นมาอีก

5. กรณีทีมีแผลเป็นแบบรอยบุ๋ม แพทย์อาจพิจารณา ฉีดสารสังเคราะห์ เช่น คอลลาเจน สาร HA (Hyaluronic acid) อาติคอล เข้าไปในรอยบุ๋ม เพื่อให้ผิวหนังเต็มขึ้นแต่ก็ได้ผลประมาณ 6 – 8 เดือน แล้วต้องฉีดยาเดิมใหม่ เนื่องจากสารสังเคราะห์ที่มีการยุบตัวลง แต่ไม่เป็นอันตรายค่ะ

6. กรณีของแผลเป็นที่มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงของสีผิว เช่น สีเข้มหรืออ่อนกว่าสีผิวข้างเคียง แพทย์อาจต้องใช้ วิธีการสักสี เข้าไปในแผลเป็น เพื่อให้มีสีใกล้เคียงกับผิวหนังปกติได้ เช่น ถ้าคุณมีผิวสีแทนก็จะใช้สีแทนค่ะ

7. นอกจากนี้แล้ว ยังอาจมีวิธีอื่นๆ ในการรักษาแผลเป็น เช่น การใช้เลเซอร์ การกรอผิวเพื่อปรับสภาพผิว ในกรณีที่มีแผลเป็นตื้น ๆ หรือจะใช้วิธีการฉายรังสีป้องกันไม่ให้แผลเป็นนูนมากขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะใช้วิธีใดในการรักษา ก็จะไม่ทำให้แผลเป็นนั้นหายไปได้ทั้งหมด แต่ก็จะดีขึ้นในระดับหนึ่ง จนไม่เป็นที่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ฉะนั้นต้องทำใจนะคะ และควรระมัดระวังตัวให้มากขึ้น อย่าให้มีแผลเกิดขึ้นกับคุณเป็นดีที่สุดค่ะ


เมื่อคุณได้รับการรักษารอยแผลเป็นแล้ว ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ได้ผลทางการรักษาที่ดีโดย

1. กรณีที่มีการผ่าตัดแก้ไขแผลเป็น แพทย์จะแนะนำให้นวดแผลร่วมด้วย เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นใหม่ นอกจากนี้ควรระมัดระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เนื่องจากจะทำให้เกิดแผลเป็นขึ้นมาใหม่ได้อีกต้องระวังเรื่องความสะอาดด้วยนะคะ เวลานวดแผลต้องล้างมือให้สะอาด

2. ในการรักษาแผลเป็นไม่ว่าวิธีใด ควรระมัดระวังไม่ให้เกิดการระคายเคืองกับแผล เช่น ไม่ควรเกาหรือขัดด้วยสารเคมี เนื่องจากอาจทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรจะเป็น หากคันจนทนไม่ไหวก็ควรใช้วิธีลูบเบา ๆ ที่แผลไม่ควรเกาแรง ๆ เพราะอาจจะทำให้แผลปูดได้

จากรอยแผลเป็นที่ปูดนูนหรือมีสีเข้มก็สามารถที่จะราบเรียบและสีจางลงได้ ด้วยวิธีต่าง ๆ ที่แพทย์จะเลือกใช้รักษาเพื่อให้เหมาะสมกับรอยแผลเป็นของคุณ และแน่นอน เพียงเวลาไม่นานเกินรอ คุณก็จะโชว์ผิวสวยได้แล้วค่ะ









ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลยันฮี
women.sanook.com






Create Date : 14 พฤษภาคม 2552
Last Update : 14 พฤษภาคม 2552 9:40:07 น. 0 comments
Counter : 3354 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

kobnon
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 92 คน [?]




.
สาระน่ารู้ประจำวัน
1.โรคข้อสันหลังอักเสบติดยึด
2. บุหรี่ ทำนมยาน หูตึง
3. Upside down pineapple cake


music
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
14 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kobnon's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.