วัดแสงแก้วโพธิญาณ
วัดแสงแก้วโพธิญาณ สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ทิ้งบล็อกห่างหายไปหลายวัน ดองไว้อีกต่างหาก วันนี้รีบพาเพื่อนๆไปเที่ยวเชียงรายกันค่ะ พอดีจขบ.มีโอกาสไปกับพี่ๆไปเที่ยววัดแสงแก้วโพธิญาณที่ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ก็เอาภาพมาลงให้เพื่อนๆที่ยังไม่เคยไปได้ชมกันนะคะ
เราออกจากลำปางกันตั้งแต่ 05.59 นาทีค่ะ อิอิ เอาฤกษ์หน่อยเพราะพี่สาวคนนี้เป็นญาติลูกพี่ลูกน้องกันค่ะ เค้าชอบเรื่องฤกษ์ผานาที จึงออกก่อน 6โมงเช้า ไปถึงเชียงรายก็เกือบจะ 9 โมงแล้วทุกคนเริ่มหิว เราจึงแวะทานก๋วยเตี๋ยว ที่ อ.เวียงป่าเป้าใกล้จะถึงอ.แม่สรวยแล้วชื่อร้าน เกี๋ยวเตี๋ยวอดทน ค่ะเสียดายไม่ได้ถามประวัติมาว่าทำไมถึงชื่อนี้
พอเข้าไปนั่งแล้ว รู้สึกได้ถึงบรรยากาศแบบไทยๆ เพราะไม่ว่าของตกแต่งร้านไม้ต่างๆแกะสลักงดงามและส่วนมากจะเป็นของเก่าดูเคร่งขรึมและงามสง่าในตัวภายในร้านกว้างใหญ่เดินเข้าไปหลังร้านต้องขอบอกว่าจัดทุกส่วนได้สวยงามอย่างลงตัวแถมสะอาดมากทั้งห้องน้ำด้วย (ไม่ได้ค่าโฆษณาหรอกนะคะ อิอิ) แต่เค้าสวยจริงๆ ทั้งอาหารมีหลายอย่างไม่ใช่มีแค่ก๋วยเตี๋ยวอย่างเดียว นอกจากนี้ยังมีของหวานไว้คอยบริการฟรีด้วยค่ะ ไปตักเองได้เลย เสียดายวันที่ไป จขบ.ยังอยู่ในเทศกาลกินเจ ก็ไม่ได้ลิ้มลองอาหารเค้าว่าอร่อยแค่ไหนแต่พี่ๆบอกอร่อยดีค่ะ
พออิ่มกันดีแล้วเราก็ออกจากร้านมุ่งหน้าไป อ.แม่สรวย ไปไม่นานก็ถึงทางเข้าวัดแสงแก้วโพธิญาณ พอรถเขาไปจอดตรงลานจอดรถก็จะเห็นรูปปั้นหลวงพ่อและองค์พระพิฆเนศใหญ่โตมากอย่างสวยงามประดิษฐานอยู่หน้าลานจอดรถอยู่หลายรูป
แต่ช่วงที่พวกเราไปนั้นเป็นจังหวะที่ทางวัดได้จัดการบูรณะซ่อมแซมจึงมีบางส่วนที่เข้าไไชมไม่ได้แต่ได้ นำภาพจากในเน็ตมาให้ชมแทนค่ะมีบางภาพเท่านั้นค่ะ
จุดที่เราเอารถไปจอดนี้เป็นลานกว้างอยู่ทางด้านหลังปกติจะจอดรถไม่ได้แต่ช่วงนี้ไม่มีงานเทศกาลและกำลังซ่อมแซมพี่เคยมาก็เอาเข้าไปจอดได้เพราะจะเดินใกล้กว่ามากจากลานนี้ก็จะเดินเข้าไปทางด้านหน้าเพื่อไปยังกุฎิของพระครูบาอริยชาติ ผู้ออกแบบและสร้างวัดนี้
จากตรงลานนี้เราก็จะเดินเข้าไปโดยผ่านองค์สังกัจจายองคฺใหญ่เข้าไปด้านในกันค่ะ
เจอป้ายยินดีต้อนรับเป็นตุ๊กตาน่ารักเมื่อผ่านเข้าไปด้านในจะมีซุ้มให้บูชาเป็นระยะๆค่ะ
แม่ธรณีบีบมวยผมและองค์พระอุปคุตสวยงามมากค่ะ
แม่นางกวักอ้วนตุ้ยนุ้ยสวยงามที่พระครูบาอริยชาติสร้างขึ้นให้พ่อค้าแม่ค้าบูชาไปเพื่อค้าขายดี
เข้าไปด้านในจะเห็นกุฎิพระครูบาอรยชาติ วันนั้น จขบ.โชคดีที่ได้พบท่านและท่านได้ผูกข้อมือให้ เพราะปกติจะเข้าพบท่านยากมาก เพราะท่านมักจะไปปฏิบัติธรรมในป่าในดอยบางคนมาไกลมากแต่ก็ไม่ได้พบท่าน
พระครูบาอริยชาติ ท่านอายุยังน้อย เพียงแค่ 33 ปีเท่านั้น ซึ่ง จขบ. คิดว่าท่านจะแก่มากแต่พอเห็นแล้วท่านงามมากใสสะอาดสำรวมพูดเพราะออกจะใจดีพูดให้คนหัวเราะได้ลองอ่านประวัติของท่านน่าสนใจมากค่ะ
ชาตกาล ครูบาถือกำเนิดเมื่อวันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2524 ที่บ้านปิงน้อย อ.สารภี จ.เชียงใหม่ เป็นบุตรของ โยมพ่อสุข โยมแม่จำนง อุ่นต๊ะ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาด้วยกัน 3 คน เป็นผู้ชายทั้งหมดคือ
1. นายนิเวศน์ อุ่นต๊ะ 2. นายนิรันดร์ อุ่นต๊ะ 3. ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต
เมื่อแรกที่ครูบาจะถือกำเนิดนั้น ขณะที่โยมแม่ตั้งครรภ์อุ้มท้องได้ฝันประหลาดไปว่า ได้รับผ้าขาวผืนใหญ่สีขาวนวลตา เมื่อพิจารณาก็รู้สึกชอบใจยิ่งนัก เพราะผ้าผืนนั้นขาวสะอาดไร้รอยเปื้อนใด ๆ จากนั้นโยมแม่ก็สะดุ้งตื่น แล้วได้นำความฝันนี้ไปเล่าให้ผู้เฒ่าผู้แก่ฟัง ซึ่งล้วนมีแต่คนบอกว่าน่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดี ทั้ง ๆ ที่ในตอนนั้นฐานะทางบ้านของโยมพ่อโยมแม่ก็ไม่สู้จะดีนัก เป็นชาวสวนเกษตรกร ปลูกผัก ปลูกไม้ เลี้ยงดูลูก ๆ ไปวัน ๆ
และเมื่อบุตรชายคนสุดท้องของท่านได้ถือกำเนิด ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าแปลกที่เด็กชายผู้นี้เป็นเด็กที่มีผิวพรรณผุดผ่อง มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ซึ่งโยมพ่อโยมแม่ได้ตั้งชื่อในวัยเด็กของครูบาว่า เด็กชายเก่ง ซึ่งครูบาก็เก่งสมชื่อ เพราะนอกจากมีความจำเป็นเลิศและเรียนเก่งแล้ว ยังมีอุปนิสัยเป็นผู้ที่ชอบความสงบไม่ชอบเบียดเบียนผู้ใด จนครั้งหนึ่งอายุได้ราว 7- 8 ปีเกือบต้องเสียชีวิตเนื่องจากจิตใจอันประกอบไปด้วยความเมตาต่อสรรพสัตว์คือ ในครั้งนั้นครูบาได้เห็นชาวบ้านไปดักปลาก็เกิดความสงสารจึงคิดจะไปปล่อยปลาเป็นเหตุให้พัดตกน้ำโชคดีที่พี่ชายมาเห็นเหตุการณ์จึงเข้าช่วยเหลือได้ทัน และอุปนิสัยอีกประการในช่วงวัยเด็กของครูบาก็คือ ครูบามักจะนำดินเหนียวมาปั้นเป็นพระพุทธรูปอยู่เสมอ บางครั้งก็นำไปวางไว้ตามกำแพง ร่มไม้ จนเพื่อนๆ ชอบล้อว่าอยากเป็น ตุ๊เจ้า หรือ ซึ่งครูบาก็ไม่เคยปฏิเสธหรือโกรธเพื่อน ๆ เลย
เมื่อก่อนโยมพ่อโยมแม่ต้องหาเลี้ยงชีพอยู่ตลอดคือที่บ้านจะทำสวนทำไร่ ครูบาก็ช่วยท่านทุกอย่างชีวิตในวัยเด็กถือว่าลำบาก เลิกเรียนก็ต้องมาช่วยแม่ปลูกผัก รดน้ำ ใส่ปุ๋ย เก็บผัก ทำทุกอย่างบางครั้ง ตีหนึ่ง ตีสองต้องไปเก็บผักก็ช่วยท่านมาตลอด ที่บ้านทำสวนทำไร่ โยมแม่ก็เลยไม่ค่อยได้มีเวลาไปวัดท่านก็จะจัดสำรับให้ แล้วบอกให้ครูบาไปกับตาแทน ตาของครูบาชื่อ พ่ออุ้ยอิ่น จนครูบาสามารถสวดมนต์ไหว้พระได้ตั้งแต่เป็นเด็ก เท่าที่จำความได้สมัยเป็นเด็กอายุ 9-10 ขวบ ครูบาเป็นเด็กคนเดียวที่ไปวัด แล้วก็สามารถสวดมนต์ไหว้พระได้ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ
ต่อมาจึงได้เริ่มสอนอักขระพื้นเมืองหรือที่เรียกว่า ตั๋วเมือง โดยท่านได้สอนพร้อมกับเด็กวัดอีกหลาย ๆ คน ซึ่งอักขระตัวเมืองคนอื่นที่เรียนเขาใช้เวลาเป็นเดือน แต่ครูบาสามารถอ่านออกได้ช่วงเวลาเพียงข้ามคืนเท่านั้น เรื่องนี้ถูกเล่าขานในกลุ่มผู้ที่ทราบเรื่องราว หนึ่งในนั้นคือ ครูบาตั๋น หรือตุ๊ลุงตั๋น ซึ่งในขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งเป็นรองเจ้าคณะอำเภอสารภีรูปที่ 4 และเป็นประธานศูนย์เผยแผ่พุทธศาสนา วัดหวลก๋าน อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ตุ๊ลุงตั๋นท่านไม่เชื่อว่าครูบาจะสามารถเรียนตั๋วเมืองจนอ่านออกเขียนได้ในเวลาแค่ข้ามคืนท่านจึงเดินทางมาพิสูจน์ข่าวนี้ด้วยตนเอง ปรากฏว่าครูบาสามารถอ่านออกเขียนได้ในภาษาล้านนาจริงๆ ตุ๊ลุงตั๋นรู้สึกมีความชื่นชมในตัวของครูบามาก จึงได้มอบเงินเป็นรางวัลจำนวน 1,000 บาท จากนั้นครูบาจันทร์ติ๊บก็ได้พร่ำสอนสั่งสอนถ่ายทอดวิชาการทั้งปวงให้กับครูบา และครูบาก็สามารถเรียนรู้วิชาทั้งปวงได้ในเวลารวดเร็ว สามารถลงอักขระ เลขยันต์ต่างๆ แทนครูบาผู้เป็นอาจารย์ได้ จนต่อมาครูบาจันทร์ติ๊บถึงกับเอ่ยปากพูดว่า เด็กผู้นี้มีวาสนาทางธรรมสูงยิ่งนัก ต่อแต่นี้ไปเราขอตั้งชื่อเด็กชายผู้นี้ว่า อริยชาติ อันหมายถึง ผู้ที่มีภพชาติอันเป็นอริย นั่นเอง
ออกเดินธุดงค์ตั้งแต่เป็นสามเณร
ซึ่งขณะที่ครูบาจำพรรษาอยู่ที่วัดชัยมงคลหรือวัดวังมุยนั้น ก็ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะออกธุดงค์ในขณะที่ยังเป็นเณรอยู่นั่นเอง ที่จริงออกไปเองไม่ได้หรอก เพราะพรรษาไม่ถึง 5 พรรษา แต่ทางเหนือเขาไม่ถืออย่างธรรมยุติ ส่วนมากทางเหนือบวชเสร็จก็ไม่ได้อยู่กับพระอุปัชฌาย์อาจจะมาแต่มาแค่เยี่ยมท่านหรืออะไร จะไม่เหมือนธรรมยุติที่บวชแล้วต้องอยู่กับพระอุปัชฌาย์ 5 พรรษา จะไปไหนไม่ได้ ส่วนทางเหนือพระอุปัชฌาย์ไม่ค่อยเข้มงวดเรื่องนี้ จะไปก็ไปได้ จะอยู่ก็อยู่ได้ แต่สำหรับครูบาที่ไปนั้นเพราะต้องการความสงบ จึง ได้ออกจากวัดวังมุยโดยไม่ได้บอกกล่าวหรือลาผู้ใด แม้แต่โยมแม่
ครูบาได้ออกแสวงหาพระธรรม โดยได้เดินธุดงค์ไปทางเมืองแพร่ น่าน โดยได้เริ่มต้นเดินทางจากพิษณุโลกขึ้นมา ไปเมืองแพร่ เมืองน่าน แล้วก็ไปอยู่ที่น่าน ต้องเดินไป นอนตามป่าช้าบ้าง นอนข้างทางบ้าง ใหม่ ๆ ก็กลัวเหมือนกัน เพราะอะไร เพราะพอนอนลงปุ๊บ ได้ยินเสียงคนเดินแล้ว ตอนนั้นครูบาอายุ 16-17 เอง ยังเด็กอยู่เลยน่ากลัวมาก นอนไม่หลับ ต้องลุกขึ้นมาจุดเทียนแล้วนั่งอยู่ในกลด ตอนที่นั่งก็ได้ยินเสียงคนเดินซวบซาบ ๆ แล้วมาหยุดตรงหน้าเรา แล้วก้มมองเรา พอเราลืมตาดูก็ไม่เห็นอะไรสักอย่าง พอหลับตาปุ๊บเขาก็เดินกลับ ซึ่งพอผ่านมาเยอะก็กลัวบ้างไม่กลัวบ้างเพราะเข้มแข็งแล้ว อยู่ป่าช้าก็เห็นนั่นเห็นนี่ ช่วงที่เดินไปเพื่อจะไปไหว้พระธาตุแช่แห้ง ครูบาก็ไม่รู้เส้นทาง เขาบอกทางหมื่นเส้น เขาเขียนว่าแม่จริม ครูบาก็เดินไป จะไปพักที่นั่น เดินไปเจอพระอีกชุดหนึ่งท่านถามว่า จะไปไหน ครูบาก็บอกว่า จะไปแม่จริม ท่านก็บอกว่า ไปแม่จริมเหรอ แต่นี่มันจะออกลาวแล้วนะ ไปไม่ได้อีกแล้ว ท่านก็ชวนให้ไปพักกับท่าน
ครูบาก็ได้ธุดงค์อยู่ที่จังหวัดน่านนานถึง 8 เดือน และใช้ชีวิตแบบพระธุดงค์ไม่มีผิด คือจะนอนอยู่ตามป่าช้าเป็นวัตร เริ่มแรกครูบาก็มีความขลาดกลัวอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยจิตใจอันยึดมันเด็ดเดี่ยว สุดท้ายก็ได้อธิฐานต่อเทวดาฟ้าดินว่า หากชีวิตนี้จะสิ้นลงก็ขอสิ้นในธงชัยของพระพุทธเจ้า เมื่ออธิษฐานเสร็จความขลาดกลัวก็หายไปจิตใจยอมมีความสงบมั่นใจขึ้น มีอยู่หลายครั้งหลายคราวที่ถูกลองใจจากเจ้าที่เจ้าทางแต่ก็ผ่านพ้นมาได้ เมื่อยามอยู่ตามลำพังก็ยิ่งปฏิบัติอย่างเคร่งครัดถึงขั้นอดอาหารฉันแต่น้ำกระทำทุกข์ เพื่อดูจิตอยู่ได้ถึง 12 วัน ก็ล้มป่วยอาพาธหนักจนชาวบ้านมาพบเข้าแล้วนำไปรักษาพยาบาลจนอาการดีขึ้น
การศึกษาเล่าเรียน
ซึ่งการที่ได้ไปวัดอย่างนี้เลยทำให้ครูบามีความผูกพันกับวัดและขณะอายุได้ 12 ปีนั้น ครูบามักจะตามพี่ชายซึ่งเป็นขโยม (เด็กวัด) ไปที่ วัดชัยชนะ จ. ลำพูน เสมอ ๆ จึงทำให้มีโอกาสได้พบกับครูบาจันทร์ติ๊บ ญาณวิลาโส อดีตเจ้าอาวาสวัดชัยชนะ ต.ประตูป่า อ.เมือง จ.ลำพูน ซึ่งครูบาจันทร์ติ๊บผู้นี้นับได้ว่าเป็นพระผู้เรืองในวิทยาคุณในยุคนั้น ท่านได้สืบทอดวิทยาคมมาจากครูบาชุ่ม โพธิโก อดีตเจ้าอาวาสวัดชัยมงคล หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า วัดวังมุยนั่นเอง ครูบาจันทร์ติ๊บเมื่อได้มาเห็นลักษณะของครูบาก็มองว่ามีวาสนาในทางธรรม ท่านจึงได้สอนศีลธรรมจรรยาต่างๆ ให้ และด้วยความที่ครูบาอ่อนน้อมถ่อมตัวเป็นคนเรียบร้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วทำให้ครูบาจันทร์ติ๊บมีความรักใคร่ในตัวครูบามาก
สนใจอ่านประวัติท่านต่อได้ตามลิงค์นี้นะคะ เพราะประวัติท่านยาวมากไม่สามารถนำลงได้หมดค่ะขอบคุณที่มาจากเวบวักแสงแก้วโพธิญาณค่ะ
//www.watsangkaew.com/webboard/index.php?topic=21.0
ลากันก่อนนะคะเพราะบล็อกยาวมากค่ะ ไว้พบกันใหม่โครงการตะพาบค่ะ
ขอบคุณภาพประกอบและเนื้อหาบางส่วนจากเวบวัดแสงแก้วโพธิญาณค่ะ
ขอขอบคุณเพลงประกอบจากยูทูบเพลงบรรเลง
ขอขอบคุณโค๊ดเพลงจากคุณYAOVARIT เพื่อนบล็อกค่ะ
Create Date : 04 ตุลาคม 2557 |
Last Update : 8 มีนาคม 2559 3:11:45 น. |
|
31 comments
|
Counter : 5809 Pageviews. |
|
|
ไปด้วย เพลินเลยครับคุณกิ่ง
วัดนี้ผมน่าจะเคยไป จากเวียงป่า
เป้า ไปแม่สรวย แล้วเลี้ยวขวาเข้า
ไปไกลเหมือนกัน... ตอนนั้นยัง
กำลังสร้าง องค์โตอยู่ ยังไม่เสร็จ
ครับคุณกิ่ง