All Blog
|
บทที่ 62 ปีกหัก (i) วิทไม่รู้ว่าตัวเองผ่านคืนที่ยาวนานและมืดมนนั้นมาได้อย่างไร จนกระทั่งแสงตะวันของวันใหม่ส่องสว่างอยู่ภายนอก ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่าตั้งแต่วันนี้ไป เส้นทางชีวิตของทั้งสองคนจะแยกจากกันโดยสิ้นเชิง จนไม่รู้ว่าจะมีวันกลับมาบรรจบกันหรือไม่ ... วิทปลีกตัวไปอาบน้ำเงียบๆ ในขณะที่เจฟซึ่งตื่นนานแล้วยังคงนอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทีครุ่นคิด ... และเมื่อวิทกลับเข้ามาในห้องนั้นอีกครั้ง เจฟยังคงอยู่ในอาการเดิม จนเมื่อวิทแต่งตัวเสร็จ และเริ่มเก็บข้าวของใส่กระเป๋า เจฟจึงลุกขึ้นจากเตียงและพูดกับวิทเป็นประโยคแรกว่า "เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง นอนหลับดีมั้ย" "เรานอนไม่หลับทั้งคืน ปวดหัวมากด้วย" วิทตอบด้วยน้ำเสียงขมขื่น "รอก่อนนะ ... เราไปอาบน้ำก่อน แล้วเดี๋ยวจะไปส่งขึ้นรถไฟ" เจฟพูดพลางจัดแจงเตรียมข้าวของที่ใช้ แล้วเดินออกจากห้องไป ******************************************************************************** เมื่อเจฟแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว จึงเปิดประตูให้วิทเดินออกไปก่อน วิทหันกลับมามองห้องนี้เป็นครั้งสุดท้าย ราวกับจะจดจำรายละเอียดทั้งหมด ก่อนจะถอนหายใจยาว แล้วก้าวออกจากห้องไป ... "หาอะไรกินกันก่อนมั้ย นายยังไม่ได้กินอะไรเลยนะวันนี้" เจฟถาม ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินอยู่บนถนนในเมือง ระหว่างทางไปยังสถานีรถไฟ "เรายังไม่หิว เดี๋ยวเราไปหาอะไรกินตอนบ่า่ยที่ลอนดอนก็ได้" วิทตอบไปส่งๆ ใจคอไม่รู้สึกอยากกินอะไรทั้งนั้น "แต่นี่ก็สายมากแล้ว และเราก็หิวแล้วด้วย ... ไปกินพิซซ่าเป็นเพื่อนเราหน่อยนะ" ... ในที่สุด ทั้งสองก็เข้ามานั่งที่โต๊ะเล็กๆริมหน้าต่างในร้านพิซซ่าชื่อดัง ... ดอกกุหลาบสีแดงสดที่ปักอยู่ในแจกันใบเล็กบนโต๊ะเสียดแทงหัวใจของวิทจนต้องเบือนหน้าไปทางอื่น ... บริกรสาวเอาเมนูมายื่นให้คนละเล่ม แต่วิทก็ทำได้แค่วางไว้ตรงหน้าโดยไม่สนใจที่จะเปิดมันออก เจฟจึงตัดสินใจสั่งอาหารเองทั้งหมด ... วิทพยายามบังคับตัวเองให้กินอาหารก่อนที่โรคกระเพาะจะกำเริบ แต่สุดท้ายเมื่อกินพิซซ่าไปได้เพียง 2 ชิ้น ก็รู้สึกไม่อยากกินอะไรอีก จึงทำได้แค่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ในระหว่างที่เจฟจัดการกับพิซซ่าถาดกลางที่เหลือ พร้อมกับขนมปังกระเทียมอีก 1 จาน อย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ******************************************************************************** เนื่องจากสถานีรถไฟแห่งนี้เป็นทางผ่าน รถไฟจึงมาจอดเพียงไม่กี่นาทีเพื่อให้ผู้คนขึ้น-ลง ก่อนที่จะมุ่งหน้าต่อไปยังปลายทางที่ลอนดอน ... เจฟมาส่งวิทที่ชานชลา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันเลย จนเมื่อใกล้เวลาที่กำหนด และมองเห็นรถไฟที่กำลังแล่นเข้ามาอยู่ไกลๆ เจฟจึงทำลายความเงียบนั้นลง "รถไฟมาแล้ว ... นายดูแลตัวเองด้วยนะ" เจฟยื่นมือมาให้วิทจับ พร้่อมกับคำพูดที่ว่า "ลาก่อน" ที่ฟังดูเป็นทางการ และแทบไม่มีความหมายใดๆ ... เมื่อรถไฟมาจอดเทียบชานชลา วิิทขึ้นไปนั่งที่เบาะริมหน้าต่าง ในเวลาไม่กี่นาทีสุดท้ายที่เหลือนั้น สายตาของเขาจับอยู่ที่เจฟซึ่งยืนอยู่บนชานชลาห่างกันเพียงกระจกกั้น ราวกับจะประทับภาพของเจฟไว้ในความทรงจำชั่วนิรันดร์ ... ในที่สุดเีสียงเครื่องยนต์ของรถไฟก็ค่อยๆดังขึ้นพร้อมกับขบวนรถที่เิริ่มเคลื่อนตัวออกจากสถานีอย่างช้าๆ ... ในวินาทีนั้น แม้ไม่ได้ยินเสียง แต่วิทก็มองเห็นว่าเจฟเอ่ยปากพูดคำว่า "ลาก่อน" เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ภาพของเจฟจะลับหายไปพร้อมๆกับรถไฟที่เร่งความเร็วมากขึ้นจนพ้นไปจากสถานี ... ใบหน้าของวิทยังคงจับอยู่ที่ท้องฟ้านอกหน้าต่างในอากัปกิริยาเดิม ... ในนาทีนั้นวิทไม่ได้ร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่น้ำตาที่พยายามสกัดไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืนไหลออกมาเป็นสายโดยไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งได้อีก ราวกับเลือดที่หลั่งออกมาจากหัวใจที่ปักด้วยลูกธนู ... ป้าที่นั่งฝั่งตรงข้าม ชำเลืองมองแวบหนึ่ง และทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่แล้วก็เบนหน้าออกไปนอกหน้าต่าง และปล่อยให้วิทจมอยู่กับความโศกเศร้าที่ยาวนานเหมือนไม่มีวันจบสิ้นอยู่ตามลำพัง ******************************************************************************** เมื่อวิทมาถึงลอนดอน สิ่งแรกที่ทำคือโทรศัพท์หาแตนที่ห้องแล็บ ... "ฮัลโล" เสียงจากปลายสายเป็นผู้ชาย มีสำเนียงต่างชาติชัดเจน "ขอสายแตนหน่อยครับ" เสียงนั้นไม่ตอบกลับมา แต่ได้ยินแว่วๆเหมือนว่าคนนั้นกำลังบอกกับใครสักคนให้มารับโทรศัพท์ ... "ฮัลโล" คนที่มาตอบคราวนี้เป็นผู้หญิง และเป็นเสียงที่วิทคุ้นเคยเป็นอย่างดี "แตนเหรอ ... นี่วิทนะ" "อ้าว ... วิทเหรอ นี่โทรมาจากไหน" น้ำเสียงแสดงความแปลกใจ "ตอนนี้เราอยู่แพดดิงตัน เพิ่งมาถึง" ซึ่งประโยคนั้นทำให้แตนงงยิ่งกว่าเดิม "อ้าว ... ทำไมอยู่ที่นั่น เรานัดกันไว้พรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ?" แตนถาม เพราะตามกำหนดเดิมวิทจะต้องค้างที่ Oxbridge 3 คืน และกลับในวันรุ่งขึ้น "แตนว่างมั้ย ... เดี๋ยวเราไปหา ..." วิทนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อเบาๆด้วยน้ำเสียงที่หมดกำลังใจว่า "เราเพิ่ิงเลิกกับเจฟ ..." แตนอึ้งไปนิดหนึ่งเมื่อได้ยินประโยคนั้น แต่ก็ตอบกลับมาว่า "ตอนนี้เรายังออกจากแล็บไม่ได้ ..." แตนตัดสินใจ "เอาอย่างนี้ เธอมาหาเราที่นี่ก็แล้วกัน นั่งรถใต้ิดินมาที่สถานี Euston Square นะ อีกซัก 10 นาทีเดี๋ยวเราไปรับ" ... สถานี Euston Square อยู่ห่างจากแพดดิงตันเพียง 4-5 สถานี ดังนั้นในชั่วเวลาไม่นาน วิทก็มาถึงและพบกันแตนที่รออยู่ ... เมื่อแตนเห็นหน้าวิทครั้งแรก ก็ไม่พูดอะไรมากไปกว่า "ไปนั่งที่ห้องแล็บเราก่อน แล้วค่อยคุยกัน" ก่อนจะพาเดินออกจากความสลัวของสถานีรถใต้ดินไปยังแสงสว่างที่ถนนด้านนอก ... สงวนลิขสิทธิ์บทความ ห้ามเผยแพร่ ทำซ้ำ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ทักทายยามเช้าวันเสาร์ วันหยุดสุดแสนสบายจ้า ^__^
โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 15 พฤษภาคม 2553 เวลา:9:17:34 น.
การกอด ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจได้น้ะ ^^
โดย: Tommy IP: 125.27.129.76 วันที่: 15 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:59:41 น.
I believe "what does not kill you, makes you stronger". I hope you're doing well and safe considering the situation in Thailand right now.
Take care, โดย: K IP: 98.220.80.49 วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:9:17:47 น.
Many thanks to Khun K. I hope and pray that the situation in Bkk will be resolved soon without any further bloodshed, but in reality, as we all know, it seems so hopeless and morbid.
โดย: Historicus วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:9:39:18 น.
เขียนได้ดีมาก ^^ น่าอ่าน น่าติดตาม ^^
มาให้กำลังใจจ้ะ แล้วจะคอยตามอ่านนะ แตนเอง โดย: แตน IP: 58.8.87.95 วันที่: 19 พฤษภาคม 2553 เวลา:7:35:21 น.
ขอบคุณ 'นางเอก' ของเรื่องที่เข้ามาทักทายในชีวิตจริงครับ
โดย: Historicus วันที่: 19 พฤษภาคม 2553 เวลา:8:46:30 น.
|
Historicus
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] คุณพ่อลูกสอง (ตัว) Waltz in B minor, Op. 69, No. 2 by Frédéric Chopin Friends Blog
Link |