<<
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
10 กุมภาพันธ์ 2552
 
 
บะหมี่น้ำ 1 ชาม


เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว
วันที่ 31 ธันวาคม 2528
ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ที่ร้านบะหมี่ " ฮอกไก " บนถนนซัปโปโร

การกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้น
เป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี
"ร้านฮอกไก" นี้ก็เช่นกัน ในวันนี้คนแน่นร้านแทบทั้งวัน
จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง
โดยปกติแล้ว บนถนนสายนี้คนจะแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่

แต่วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน
ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้านเร็วกว่าปกติ
เถ้าแก่ของร้าน "ฮอกไก" เป็นคนซื่อ
และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดี


..........ในคืนวันส่งท้ายปีเก่าคืนนั้น..........
พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไป ในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน
ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน
คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน

เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน
ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ทลายสก๊อตเก่า ๆ เชย ๆ

"เชิญนั่งครับ" เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา

หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า
"ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหม๊ค่ะ"

เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก

"ได้คะ ได้คะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนคะ"

เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง
แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"

บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน
เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน
ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม

ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
กินพลางพูดพลาง

"ทานเถอะครับ" ลูกคนพี่พูด
"แม่ทานหน่อยสิครับ"ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน
ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน
แล้วทั้งสามคนก็ชมว่า
"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)"
พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป

"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ

ทำงานไปวันแล้ววันเล่ายุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี
วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันส่งท้ายปีเก่า
ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา
สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง

22.00น.กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น
ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ
ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน
พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่า และเชย
เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่า
ของปีที่แล้วนั่นเอง

"ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยคะ"

"ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ"
เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว โต๊ะเบอร์สอง
ตะโกนไปพลางว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
เถ้าแก่รับคำพลาง จุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง
"ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"

เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า
"นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ"

"ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย"
สามีตอบพลาง แล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อน
ลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน
เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม ภรรยาก็พูดขึ้นว่า
"เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ"


ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้น
แล้วให้ภรรยายกไปให้สามแม่ลูก
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง
เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย

"หอมจังเลย…ยอดไปเลย…อร่อยจริง ๆ "

"ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว"

"ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ"

กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน
แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป

"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยมองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป

สองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่ง
ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก
สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน
แต่พอเลย 21.00น.ไปแล้ว
สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา
พอถึง 22.00น.
พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป

พอคนกลับไปหมดแล้ว
เจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้าน
ที่เขียนไว้ว่า "บะหมี่ชามละสองร้อยเยน"
ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง
แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน"

30 นาทีก่อน เถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย "จองแล้ว"
ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง
เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขก
หลังจากที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ

......22.30น. .......
ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น
พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง
น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัว
เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก
ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อต
ที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม

"เชิญค่ะ เชิญค่ะ"
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ

มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย
ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า
"รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ"

"ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ"
เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง
แล้วรีบเอาป้าย"จองแล้ว"ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า
"บะหมี่น้ำสองชาม"

"ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ"
เถ้าแก่พลางตอบ พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน
สามแม่ลูกกินไปพูดไป
ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก


สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่
ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกันในใจ ก็พลอยเบิกบานไปด้วย

"ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก"

"ขอบคุณ ?"

"ทำไมครับ"

"เรื่องเป็นอย่างนี้

คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไป
ได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ
และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น

ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน"

"เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ"
ผู้เป็นพี่ตอบ

ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ
อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร

"แต่เดิมนั้นเเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม
แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว"

"จริง ๆ หรือครับ แม่"

"จริงสิจ๊ะ"

นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์
ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร
ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่
ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆ อีก
จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด

"ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ
แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ"

"ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ
นายน้องชายเราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ"

"ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ "


"แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ
คือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนโรงเรียนของน้อง
ได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครอง
คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า
เรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด
เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ
นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อน ๆของน้องนะครับผมถึงทราบ
ดังนั้นในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่
ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง"

"จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ"

"หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ ความปรารถนาของข้าพเจ้า"
น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ
แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย"


"เรียงความเขียนว่า…หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว
ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่น
หามรุ่งหามค่ำทุกวัน แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์
น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย…"

"ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคม
พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำ....อร่อยมาก
สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว
คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก
แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีก

เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป
พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดให้เร็วที่สุด…"


"ด้วยเหตุนี้ น้องจึงได้ตัดสินใจว่า โตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่
แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย
แล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน..ขอให้มีความสุขครับ..ขอบคุณครับ.."

สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่
....จู่ ๆ ก็หายตัวไป....
พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลย เพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ
ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง
พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ

"พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า

"วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่
ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ "

"จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรหล่ะ"

"ก็มันกระทันหันเกินไป ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ผมจึงพูดว่า…ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี
น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน
ดังนั้นในเวลาที่เพื่อน ๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มักจะ
อยู่ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้เพราะต้องรีบกลับบ้าน
เมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร"

"เมื่อครู่นี้ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม
ผมรู้สึกอายมาก แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความ
เรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชามด้วยเสียงอันดังนั้นจนจบ
ถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอายเมื่อสักครู่นี้ถึงจะเรียกว่าเป็นความอายจริงๆ "

"หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชาม
เพื่อกินกันสามคนนั้น ผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด
ผมและน้องจะต้องขยัน และดูแลแม่เป็นอย่างดี
และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ"

สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่
กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุก ๆ ปี

จ่ายเงินไปสามร้อยเยน...กล่าวขอบคุณ
ค้อมตัวลงเคารพ และเดินออกจากร้านไป

มองตามหลังสามแม่ลูกไป
เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริง ๆ
พร้อมกับกล่าวว่า "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"


.......และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง.......
พอถึงเวลา21.00น.ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย"โต๊ะจอง"
ไว้บนโต๊ะเบอร์สองและเฝ้ารอคอยการมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย
แต่ในปีนั้นสามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านเลย

ปีที่สอง ปีที่สาม
โต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม

สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลย
กิจการของร้านฮอกไกดีมาก
เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว
ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่
โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่
จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม

"นี่มันเรื่องอะไรกัน"
ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขา

เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง

โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้าน
เหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่ง
และก้อไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีก

พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของเขา
โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า "โต๊ะแห่งความสุข"

........ลูกค้าต่างก็พูดต่อๆ กันไป.......
มีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้
ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากินบะหมี่
และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้

ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลาย ๆ ปี
พอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้ว
เจ้าของร้านค้าในระแวกใกล้เคียงร้านฮอกไก
ก็มักจะมารวมตัวฉลองโดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไก
กินไปพลาง ก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลาง
แล้วทุกคนก็ไปวัด เพื่อไหว้พระด้วยกัน
เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว


........ในปีนี้นี้ก็เช่นกัน พอเลย 21.30น.ไปแล้ว.........
เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อน พร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย
ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อยๆ เป็นระยะ
บ้างก็เอาเหล้ามา บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา
ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน
ต่างก็คึกคักกันมาก

ทุกคนที่มานั้น ต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง
ทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมันแต่ในใจต่างก็คิดกันว่า
วันนี้"โต๊ะจอง"ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่ง
มันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม

พวกเขาบ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้า ๆ ออก ๆ
พอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม ต่างก็กินกันไปคุยกันไป
พูดเรื่องการค้าบ้าง คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลง

ในระยะนี้บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่
ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุก ๆ เรื่อง
จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน

.........เวลาผ่านไปจนถึง 22.30น.........
ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ

ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกัน
สายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน

ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล
พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน

พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง

และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก
ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า

"ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ"

ขณะกำลังปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น
ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโน
เดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน

ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า

"เอ้อ…รบกวน…รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ"

ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว

ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำ
กับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า

เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน

เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่

ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก "พวกคุณ .. พวกคุณ"
เขาพูดได้เพียงแค่นั้น
คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ

ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ย
ที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับเถ้าแก่เนี้ยว่า

"พวกเราสามคนแม่ลูกที่เมื่อสิบสี่ปีก่อน
ในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
มาสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ
และพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น
พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้"

"หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ
ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว
ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต
ปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว"

"วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาล
เพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว
แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ
และน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่า
จะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น
ขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต
ได้เสนอความคิดที่เลิศเลออย่างหนึ่งก็คือ
ปีนี้ ในวันส่งท้ายปีเก่า
พวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโร
และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย"


สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า

เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู
พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอ

แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า "อ้าว…เถ้าแก่… เป็นอะไรไปหล่ะ
อุตสาห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้

"โต๊ะจอง"
ตัวนั้นไง ที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้า
ที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไง
รีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า"

ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ
ตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก แล้วพูดว่า

"ยินดีต้อนรับค่ะ…เชิญนั่งข้างในค่ะ…นี่ตาเฒ่า…บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง"

เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า
"ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม"


...........หากดูกันตามจริงแล้ว...........
สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปนั้น
มันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย

มันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน
คำพูดที่จริงใจ และให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ

รวมทั้งคำอวยพรว่า "ขอบคุณค่ะ(ครับ)
สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"ก็เท่านั้นเอง


แต่มันกลับให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้าย
บีบให้จมอยู่ในสถานการณ์คับขับ
ได้สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง


...................................................





Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2552 19:27:18 น. 10 comments
Counter : 871 Pageviews.

 
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ


โดย: โยเกิตมะนาว วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:19:53:20 น.  

 
น้ำตาไหลเลยค่ะ อ่านกี่ครั้งก้อซึ้งทุกครั้ง
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ


โดย: sandysandee วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:20:15:18 น.  

 

ขอบคุณน้องบลูที่นำเรื่องดีดีมาให้อ่านนะคะ
ว่าแต่นู๋รินกลับมาหรือยังคะเนี่ย
เทคแคร์ค่ะ


โดย: ปดด (ฮักน้ำปิง ) วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:20:43:56 น.  

 
บางทีสิ่งเล็กน้อยสำหรับเราอาจมีค่ามากมายต่อผู้อื่น
อย่างเช่นการเก็บห่วงกระป๋องน้ำอัดลมไว้ไปหยอดตู้บริจาคทำขาเทียม ฯลฯ

ดีจังเลยเรื่องนี้ กานต์เคยดูเวอร์ชั่นที่เป็นละครสั้นในทีวีด้วยแหละ


โดย: Karn_theFreeItem วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:21:29:01 น.  

 
เรื่องจริงเปล่าคะเนี่ย ซึ้งจัง TT-TT


โดย: แอบมานานน๊านนาน IP: 58.9.177.67 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:22:15:23 น.  

 
เรื่องยาว แต่ก็ซึ้งดีค่ะ



โดย: เราก็แอบมานานเหมือนกัน IP: 119.42.82.147 วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:19:49:53 น.  

 


เสียน้ำตาเลย
ฮือๆๆๆๆๆ

ซึ้ง+มีความหมายดีจริงๆ





โดย: จิ๊บจัง(เคยแอบอ่าน แต่ตอนนี้แสดงตัวล่ะ อิอิ) IP: 117.47.163.32 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:10:07:08 น.  

 
วันนี้วาเลนไทน์ไม่อัพบล็อคหรอคะคุณบลู


โดย: nana IP: 125.25.41.254 วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:22:52:12 น.  

 
อ่านแล้วรู้สึกดีจังเลยค่ะ


โดย: Bananarumba วันที่: 5 มีนาคม 2552 เวลา:21:18:38 น.  

 
ซึ้งมากค่ะ

T____T


โดย: น้องนู๋คนโปรด IP: 58.9.47.245 วันที่: 24 มกราคม 2554 เวลา:15:53:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 

บลูดานูป
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งที่บ้าเครื่องบินเป็นชีวิตจิตใจ จนฝันว่าวันหนึ่งจะบินไปในท้องฟ้า และในวันนี้ฝันกำลังใกล้จะเป็นจริงด้วยคำว่านักเรียนการบิน

ผู้หญิงตัวเล็กๆ(มั้ง)ที่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้พบรักที่แท้จริง แม้มันจะมาจากเพศเดียวกันก็ตาม
[Add บลูดานูป's blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com