Watchmen : ขำไหม๊ ? ศัตรูที่แท้จริงของสงครามคือ “สันติ” (เปิดเผยเนื้อหาสำคัญและโปรดใช้วิจารณญาณ)



นอกจากภาพรุนแรงที่ไม่เหมาะแก่เด็กและเยาวชนแล้ว แนวคิดหรือทัศนคติในเรื่องก็สมควรได้รับการใคร่ครวญอย่างมีวิจารณญาณด้วยเช่นกัน

คงเหมือนภาพรอร์ชาชที่ใช้ทดสอบสภาพจิตผู้ป่วย รอยเปื้อนหมึกเพียงหน้าเดียวสะท้อนความคิดแต่ละคนได้หลากหลาย หนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน คงจะมีทั้งคนที่เห็นว่างดงามในคมคิด บ้างก็เห็นว่าเยิ่นเย้อและน่าเบื่อ ไม่ผิดหรอกครับที่จะเห็นต่าง Watchmen เป็นเพียงภาพสะท้อนของอดีต ประสบการณ์และจริตส่วนตัวของผู้ชมแต่ละท่านซึ่งแน่นอนว่าไม่เคยเหมือนกัน

หากท่านเคยผ่านตาหนังของโอลิเวอร์ สโตนมาบ้างอย่าง Platoon (1986), Born on the Fourth of July (1989), Heaven & Earth (1993) หรือ JFK (1991) คงจะดู Watchmen เรื่องนี้อย่างออกอรรถรสมากขึ้น



Watchmen เหมือนจะมาในทางเดียวกับ Hancock ที่พยายามหามุมมองหรือท่าทีใหม่ที่โลกควรจะมีต่ออเมริกา หนังฉลาดพอที่จะหลีกเลี่ยงความรู้สึกต่อต้านด้วยการยอมรับภาพลักษณ์ที่ปรากฏชัดอยู่แล้ว ทั้งความรุนแรงจากสงครามที่อเมริกามักตอบโต้อย่างซาดิตถ์คล้ายพฤติกรรมของคอมมิเดี้ยน เสรีภาพในหลายๆ เรื่องที่อเมริกาแสดงออกจนบางครั้งก็ดูน่าหมั่นไส้คล้ายพฤติกรรมของเลสเบี้ยนฮอร์ ความน่าสมเพชของผู้ที่ได้ชื่อว่าวีรบุรุษสงครามหรือเหล่าทหารผ่านศึกซึ่งต้องใช้ชีวิตธรรมดาด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจธรรมดาได้อีกต่อไปเหมือนกับเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ที่ปลดระวาง

Watchmen เน้นภาพสายฝนที่เหมือนหลั่งน้ำตาให้สังคมโลกไม่ขาดสาย เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม หรือสัญลักษณ์ของความสุขถูกบดบังด้วยความตึงเครียดจากความโสมมในสังคมและระเบิดนิวเคลียร์ที่ใกล้ปะทุจากภัยสงครามเย็น อารมณ์ของหนังในช่วงต้นสรุปได้ในภาพเดียว นั่นคือเข็มกลัดสไมล์ลี้ ( smiliey ) ที่เปื้อนเลือดของคอมมิเดี้ยน

หนังเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ทำหน้าที่จิตแพทย์ ไม่ใช่แค่พิจารณาพฤติกรรมของตัวละครแต่ยังรวมไปถึงการพิจารณาประวัติศาสตร์อเมริกาที่เคยผ่านยุคเลวร้ายในอดีต หนังแสดงให้เห็นว่าเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ในเรื่องล้วนแต่เป็นคนมีปัญหาไม่ต่างไปจากสามัญชนทั่วไป มหาอำนาจในสังคมโลกอย่างอเมริกาก็เช่นกัน



จุดเด่นของ Watchmen อยู่ที่การให้รายละเอียดตัวละครและการสร้าง Dogma เพื่อมองโลกในแง่ร้าย แสดงธรรมชาติหรือสันดานดิบอันชั่วโฉดของมนุษย์ สันติภาพ ความดีงามหรือธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งได้รับการยอมรับในสังคมล้วนแต่เป็นหน้ากากหลอกลวงที่มนุษย์ใช้โป้ปดกัน ประคับประคองความดีงามเพื่อประโลมโลกให้มองข้ามความจริงอันโหดร้าย ก่อนที่สงครามและความรุนแรงจะปะทุขึ้นใหม่อีกครั้งเมื่อพลังแห่งหน้ากากนั้นเริ่มอ่อนแรง

Watchmen เต็มไปด้วยตัวละครที่น่าสนใจ ประกอบรวมเป็นบุคลิกของสังคมอเมริกาที่หลากหลาย

เริ่มด้วยฉายาเดอะคอมมิเดี้ยน (The Comedian หรือ Edward Blake ในอีกชื่อหนึ่ง) แบล้คมีสัญลักษณ์ประจำตัวคือสไมล์ลี้ เป็นตัวแทนความตลกร้ายของมนุษย์ที่หลงใหลในความซาดิตถ์ ความรุนแรงและสงคราม ( ฉากที่แบล้คถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด หนังคลอเพลงหวานหยดแสดงให้เห็นถึงเสน่ห์ของความรุนแรงซึ่งผู้กำกับมักสื่อถึงอยู่เสมอในหนังของเค้าโดยเฉพาะเรื่อง 300 ) แบล้ครังเกียจการสร้างภาพ ประชดประชันโลกด้วยการแสดงออกที่ตรงไปตรงมา สันชาติญาณดิบของแบล้คไม่เคยถูกปิดบัง แบล้คไม่เคยยี่หระต่อมนุษยธรรมเพราะถือว่านั่นก็เป็นเพียงหน้ากากประเภทหนึ่งของมนุษย์ แบล้คเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการตอบโต้อุดมการณ์ที่ขัดแย้ง ทั้งในสมรภูมิรบและในเกมการเมือง การที่เจเอฟเอถูกลอบสังหารก็มีแบล้คอยู่เบื้องหลังเช่นกัน



ฉายาซิลค์ สเป็คเตอร์ที่หนึ่งซึ่งเป็นแม่ของลอรี่ (ซิลค์สเป็คเตอร์รุ่นสอง) หนังให้ภาพเธอเหมือนดาราดังตกอับ ติดภาพลักษณ์อันรุ่งโรจน์ในอดีตจนไม่อาจสลัดทิ้งและต้องการให้ลูกสาวคนเดียวเจริญรอยตาม เธอกุมความลับสำคัญบางอย่างที่ไม่อาจเปิดเผย ตราบใดที่ความลับยังคงเป็นความลับ ความขัดแย้งรุนแรงในตัวลอรี่ก็จะไม่เกิดขึ้น ประเด็นเรื่องความลับของลอรี่สอดคล้องกับความลับเรื่องสันติภาพในตอนจบ ความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงซับซ้อนของซิลค์ สเป็คเตอร์ที่หนึ่งกับแบล้คถือเป็นกุญแจสำคัญเพื่อไขคำตอบในการทำความเข้าใจมนุษย์ของ ดร.แมนฮัตตั้น

ฉายาซิลค์ สเป็คเตอร์รุ่นที่สอง (Silk Specter 2 หรือ Laurie Jupiter ) ลอรี่เป็นสาวสวยที่ได้เชื้อความเร่าร้อนมาจากแม่ เธอเดินตามความฝันที่แม่ขีดวาดไว้เหมือนเด็กสาวอเมริกันส่วนใหญ่ สืบทอดเจตนารมณ์ในการเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ร่วมวงการเดียวกับแม่ ลอรี่เป็นแฟนกับ ดร.แมนฮัตตั้นแต่เธอกลับรู้สึกว่างเปล่าทั้งที่ดร.เค้าสุดจะสมบูรณ์แบบเป็นพ่อพระ ทุกเหตุผลล้วนสรุปว่าดร.แมนฮัตตั้นคือคนที่เธอควรจะรัก ทว่าความรู้สึกของลอรี่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ความรักเป็นสิ่งอัศจรรย์เกินกว่าที่จะเข้าใจได้ด้วยตรรกะ จนกระทั่งลอรี่ได้ใกล้ชิดกับแดนหรือไนท์ฮาวน์รุ่นที่สอง

ฉายาไนท์ฮาวน์รุ่นที่หนึ่ง ( Nite Owl 1) ซึ่งแดน (ไนท์ฮาวน์รุ่นสอง) ไปเยี่ยมอยู่บ่อยๆ เป็นภาพสะท้อนถึงวีรบุรุษสงครามหรือทหารผ่านศึกที่ไม่มีใครมองอย่างให้ความสำคัญเช่นในอดีต ไนท์ฮาวน์รุ่นหนึ่งเป็นชายชราในอู่ซ่อมรถที่ไม่อาจซ่อมแซมอดีตของตัวเอง อย่างที่กล่าวกับแดนว่าเค้าไม่เคยคิดถึงช่วงเวลาที่เคยเป็นซุปเปอร์ฮีโร่นั้นอีกเลย ถือเป็นความรู้สึกที่ตรงกันข้ามกับความคิดของแดนโดยสิ้นเชิง



ฉายาไนท์ฮาวน์รุ่นที่สอง ( Nite Owl 2 หรือ Dan Dreiberg ) แดนเป็นตัวอย่างนิยามของคำว่าเนิร์ด (nerd) ได้ครอบคลุมที่สุด (เชิญทดสอบเนิร์ดเทสต์ได้ที่ //www.nerdtests.com ) แดนคือหนุ่มใหญ่ผู้สวมแว่นตาหนาเตอะ มีความฝันของตัวเองชัดเจนและทุ่มเทเพื่อฝันนั้นโดยไม่แคร์สายตาครอบครัวและคนรอบข้าง รักการประดิษฐ์เครื่องยนต์กลไกและมีความสุขทุกครั้งที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน เค้าค่อนข้างเก็บตัว ไม่เก่งในการเข้าสังคมหรือแม้แต่การแสดงความรัก เด็กเนิร์ดมักคบเพื่อนแปลกๆ และเพื่อนแท้ของแดนก็คือรอร์ชาช

ฉายารอร์ชาช (Rorschach หรือ Walter Kovacs ) เค้ามีบุคลิกเหมือนนักสืบอย่างเชอร์ล็อค โฮมส์ มีวิธีคิดอย่างนักนิติศาสตร์ผู้เคร่งครัด หยิ่งทะนงและรักเกียรติเหนือชีวิต สวมหน้ากากผ้าเหมือนภาพหมึกรอร์ชาช (Rorschach Test) ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ยากที่จะตรวจจับหรือประเมินอารมณ์ของเค้าได้ถูกต้อง รอร์ชาชปรากฏตัวพร้อมเสื้อคลุมยาวและหมวกคู่ใจ แม้อากาศจะเหน็บหนาวแค่ไหนแต่เครื่องแต่งกายของเค้าไม่เคยเปลี่ยน หน้ากากไม่อาจถูกถอดออกจากหน้า หมวกไม่อาจหลุดจากศีรษะ เป็นคนเถรตรงและไม่ประนีประนอม โลกในมุมมองของราร์ชาชชัดเจนระหว่างสีขาวและสีดำ ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก รอร์ชาชยอมตายเพื่อความยุติธรรมในรูปแบบอย่างที่เค้าศรัทธา (คล้ายโสเครติสที่ยอมดื่มยาพิษฆ่าตัวตายเพื่อปกป้องแนวคิดเรื่องความยุติธรรมของตน )



ฉายาออสซี่แมนเดี๊ยน (Ozymandias หรือ Adrian Veidt ) ชายหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าฉลาดที่สุดในโลก หนังแทบไม่ให้ข้อเท็จจริงในภาคอดีตหรือปมปัญหาของแอเดรี่ยน คงปรากฏเฉพาะเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่าเค้ามุ่งเจริญรอยตามพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชในการรวมโลกเป็นหนึ่งเดียว ทั้งยังศรัทธาวิธีการปกครองของฟาโรห์รามเสสที่สอง (Ramesses II) ที่กระทำต่อผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างโหดเหี้ยม (แอเดรี่ยนใช้วิธีนี้ทั้งที่บริษัทและที่ศูนย์วิจัย) แอเดรี่ยนมีเจตนารมณ์อันเลอเลิศนั่นคือสันติภาพของโลกทว่าวิธีการอาจเป็นประเด็นถกเถียงได้จนถึงระดับปรัชญา ทางออกในการยุติสงครามเย็นระหว่างอเมริกาและโซเวียตเกิดขึ้น ณ ผืนน้ำแข็งบนดินแดนแอนตาร์กติกซึ่งเป็นศูนย์วิจัยของแอเดรี่ยน บุคลิกของเค้าเหมือนเกย์ ทั้งการแต่งกายที่บอกผู้ชมอยู่เป็นนัย (ด้วยสีประจำชาติ) การสรรเสริญพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชซึ่งเป็นที่ทราบกันดีถึงรสนิยมทางเพศของพระองค์ เจตนารมณ์ในการหลอมรวมความเป็นหญิงและชายเพื่อความเป็นเลิศของมนุษย์ ในอีกมิติหนึ่งสะท้อนถึงการรวมกันระหว่างขั้วสงครามในโลกเพื่อสันติภาพ คู่ต่อสู้ที่ฉลาดเหนือกว่าแอเดรี่ยนคงจะมีเพียงคนเดียวนั่นคือ ดร.แมนฮัตตั้น

ฉายา ดร.แมนฮัตตั้น (Dr. Manhattan หรือ Jon Osterman) อดีตเด็กชายที่มีพ่อเป็นช่างทำนาฬิกา พ่อสอนเค้าเสมอให้ประกอบชิ้นส่วนที่กระจายแยกย่อยอยู่ให้เป็นนาฬิกาที่สมบูรณ์ เมื่อจอนประสบอุบัติเหตุในการทดลองทางวิทยาศาสตร์จนร่างฉีกกระจายไม่เหลือซาก เค้าพยายามประกอบวิญญาณและสสารเป็นร่างกายมนุษย์อีกครั้งพร้อมทรงอำนาจพิเศษเสมือนพระเจ้าในการหยั่งรู้อดีตและอนาคต หน้าผากของ ดร.แมนฮัตตั้น เป็นรอยตราคล้ายดวงตาที่สามหรือญาณทัศนะของเทพ ร่างกายเรืองแสงสีฟ้าของเค้าเป็นสัญลักษณ์ของสันติ ความสุขุมและวาจาที่เรียบเย็นทำให้ดร.แมนฮัตตั้น กลายเป็นผู้ทรงปัญญาเหนือมนุษย์



ความมหัศจรรย์นี้ถูกนิยามแบบเล่นง่ายเพื่อประโยชน์ทางการเมืองว่า ดร.แมนฮัตตั้น คือพระเจ้าสัญชาติอเมริกา ดร.แมนฮัตตั้น ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำสงครามของอเมริกา เค้ามักถูกอ้างอยู่เสมอเพื่อให้การทำสงครามมีเหตุผลว่าเป็นไปเพื่อสันติภาพของโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามกวาดล้างคอมมิวนิตส์ สงครามเวียดนามหรือการทิ้งระเบิดปรมาณูใส่ญี่ปุ่นเพื่อยุติสงครามโลก ฉากตลกร้ายในหนังที่ผู้สื่อข่าวรายหนึ่งกล่าวหาว่า ดร.แมนฮัตตั้น เป็นสาเหตุให้ผู้ใกล้ชิดต้องเป็นมะเร็ง สอดคล้องกับประเด็นเรื่องผลข้างเคียงของสงคราม ว่าด้วยอาการเจ็บป่วยจากสารพิษทั้งฝนเหลืองในเวียดนามและโรคลูคีเมียในประเทศญี่ปุ่น (ดังตำนานนกกระเรียนพันตัวของเด็กหญิงซาดาโกะ) จำเลยกรณีนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “สันติภาพ” จอมปลอมที่อเมริกาเคยใช้กล่าวอ้างในอดีต

ภาพประชดประชันที่เจเอฟเคจับมือกับดร.แมนฮัตตั้น (สื่อถึงการร่วมมือกับสันติภาพ) ซึ่งต่อมาเจเอฟเคก็ถูกลอบสังหารโดยคอมมิเดี้ยน นโยบายของเจเอฟเคในการยุติสงครามเวียดนามกลับกลายเป็นการขัดผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจเก่าในบ้านเมืองซึ่งมองสงครามเวียดนามเป็นหลุมทองในการตักตวง

เกิดประเด็นคำถามคำโตแก่สังคมและผู้ชมว่าแท้จริงแล้วอะไรกันแน่เป็นศัตรูของสงคราม



หรือ “ศัตรูที่แท้จริงของสงครามคือสันติภาพ”

ผมไม่ได้เจตนาสรุปข้อความข้างต้นให้ดูลึกซึ้ง ชวนงง หรือยกระดับประโยคให้ดูเป็นปรัชญา แต่ Watchmen สื่อให้เห็นอย่างชัดเจนในตอนไคลแม็กซ์ว่าศัตรูร่วมระหว่างขั้วอำนาจของโลกคือ ดร.แมนฮัตตั้น ผู้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ ตัวแทนแห่งปัญญาญาณหรือความดีงามของมนุษย์ ?

ตอนจบเราจะเห็นทางเลือกของ ดร.แมนฮัตตั้นในการยอมโกหกมนุษย์เพื่อประคองความสงบสุขแก่โลก เป็นทางเลือกที่แม่ของลอรี่เคยใช้เพื่อปกปิดความจริงถึงการกำเนิดความรักอันผิดตรรกกะของเธอ

Watchmen มองสันติภาพเป็นเหมือน “หน้ากาก” ที่สังคมใช้สวมทับสันดานดิบซึ่งกระหายสงครามของมนุษย์ เรายังจะปลาบปลื้มกับสันติภาพที่เป็นเหมือนยาชาเพื่อหลีกหนีความเจ็บปวดชั่วระยะ หรือแข็งแกร่งพอที่จะไม่ยี่หระกับสงครามซึ่งแท้จริงแล้วก็แค่ธรรมชาติหนึ่งของโลก

เมื่อเรามองสไมล์ลี้ของคอมมิเดี้ยน เราเห็นสิ่งใด ระหว่าง “รอยเลือดที่เปื้อนอยู่บนรอยยิ้ม” หรือฝืนเห็น “รอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนรอยเลือด”

ไม่มีใครผิดที่จะเห็นต่าง มันเป็นเพียงภาพสะท้อนของอดีต ประสบการณ์และจริตส่วนตัวของแต่ละท่านซึ่งแน่นอนว่าไม่เคยเหมือนกัน



The Sound Of Silence - Simon & Garfunkel







 

Create Date : 08 มีนาคม 2552
25 comments
Last Update : 15 มีนาคม 2552 0:12:27 น.
Counter : 4840 Pageviews.

 

วิจารณ์ได้เยี่ยมมากครับ

 

โดย: แวะมา IP: 163.118.119.137 9 มีนาคม 2552 1:43:01 น.  

 

คืนนี้ไปดู

แล้วเดี๋ยวจะเลี้ยวกลับมาอ่านครับ^^

 

โดย: Seam - C IP: 58.9.205.71 9 มีนาคม 2552 8:10:09 น.  

 


หลังดูคิดว่าหนังเรื่องนี้เจ๋งแล้ว

มาอ่านคำวิจารณ์นี้ ทำให้ได้เห็นอีกหลายมุมที่ผมมองพลาดไป

ขอบคุณสำหรับคำวิจารณ์ที่ดีครับ

 

โดย: prabuu IP: 124.120.172.64 9 มีนาคม 2552 12:42:52 น.  

 

ถหนังจบแบบที่ไนท์ อาว์ลบอกลุง
ไม่เลือกนิกสัน ก็ได้คอมมิวนิส

 

โดย: The Learner 9 มีนาคม 2552 14:32:31 น.  

 

ยังไม่ได้ดูเลยครับ

 

โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ 9 มีนาคม 2552 22:34:52 น.  

 

อยากทราบว่า คุณเอาใบปิดหนังแต่ละเรื่องมาจากไหนอะครับ

บอกเว็บทีครับ หามานานล่ะ

ขอบคุณ ล่วงหน้าครับ

 

โดย: อนันดา IP: 125.27.220.211 11 มีนาคม 2552 1:05:17 น.  

 

ตอบอนันดา
ก็แล้วแต่ครับ หาจากกูเกิ้ล เสริชชื่อหนังบวกคำว่าภาพหรือโปสเตอร์

 

โดย: beerled IP: 58.9.130.66 11 มีนาคม 2552 7:37:06 น.  

 

ผมว่าหนังเรื่องนี้มีประเด็นให้จับต้องเยอะมากจริงๆ จนผมต้องหาเวลาดูรอบสองก่อนที่จะได้เขียนอะไร

และยอมรับเลยครับว่าอ่อนด้อยเรื่องประวัติศาสตร์และหลายๆเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหนัง ทำให้การดูหนังนี้เหมือนขาดทุนไปในที...

แต่ประเด็นของ ดร.แมนฮัตตั้นนี่น่าสนใจมากครับ ในเมื่อ
เขามีพรดั่งพระเจ้า เขาจึงต้องกลายเป็นผู้ไถ่บาปให้มนุษย์ไป

ถ้าได้ดูอีกที จะมาคุยเพิ่มเติมครับ ^^ (ชอบวิจารณ์นี้ครับ)

 

โดย: Seam - C IP: 58.9.203.148 11 มีนาคม 2552 10:55:21 น.  

 

เชิญร่วมแสดงความคิดเห็นกระทู้ที่พันทิปหน่อยครับ คลิ๊กตรงนี้ครับ

 

โดย: beerled 13 มีนาคม 2552 19:47:57 น.  

 

จดจ้องมานาน แต่ก็ยังไม่ได้ดูเลยค่ะหนังเรื่องนี้

 

โดย: renton_renton 13 มีนาคม 2552 20:47:15 น.  

 

ต้นทุนเรื่องอเมริกาผมน้อยไปทางมาก ขณะที่ได้ดูตัวอย่างและติดตามผลงานผู้กำกับ 300 ซึ่งเรื่องที่แล้ว
(ดูง่ายโคตร) จึงไม่รู้มาก่อนว่าหนังจะมาในแนวทางนี้

ผมมักจะไม่ยอมรับและรู้รายละเอียดของหนังนักด้วยสาเหตุที่ว่าดูหนังแล้วไม่สนุกเลย (เล่ามาซะหมดเลย)

จะมีก็จะค่อยเก็บเอาทีหลัง

ออกจากโรง บอกได้ว่าไม่ชอบกองเซ็นเซอร์และ
ฉาก.......ในยาน ในใจคิด ไม่ต้องเล่าขนาดนั้นก็ได้ จำได้ว่า กราฟความสนุกตกฮวบในทันที

ตอนท้ายก็ดูเหมือนโดนทุบด้วยไม้หน้าสาม
มันดูแปลก ๆไอ้สูตรสมคบคิดแบบสงบสุข

ผมดูหนังเพื่อการพักผ่อน เจอหนัง70 80 ดีกรีไป
เป๋ไม่เป็นท่า กว่าจะสร่างเมาก็ที่นี่แหละ

โดยรวมผมชอบครึ่ง ไม่ชอบครึ่ง

ปล. ผมว่าหลายคนก็คงเข้าใจผิดพลูกหลานเข้าไปดู
ทั้ง ๆ ที่โปสเตอร์เขียนไว้ว่า อายุต่ำกว่า 18 ควรพิจารณา
แต่อย่างว่า คงมีไม่กีคนที่ได้อ่าน

ทั้งหมดมันก็แค่ โจ๊ก (ซึ่งขำไม่ออก)

แล้วจะแวะมาเยี่ยมใหม่


 

โดย: btea IP: 114.128.24.208 15 มีนาคม 2552 2:01:00 น.  

 

ซับซ้อนมากมาย ถึงจะไม่เท่าในการ์ตูนก็เหอะ
นี่ขนาดหนังยังไม่ได้เล่าถึงการ์ตูนซ้อนการ์ตูนที่เด็กข้างแผงหนังสืออ่านนะเนี่ย
ไม่งั้นคุณเบียร์คงงานเข้ามากกว่านี้อีก เหอๆ

ปล.ชอบเพลง The sound of silence เหมือนกันค่ะ

 

โดย: som IP: 202.176.115.7 18 มีนาคม 2552 5:45:17 น.  

 

+ อ้าว! แอ๊ดเฟรนด์ผมไว้เหรอเนี่ย? แอ๊ดคืนให้แล้วนะครับ ขอชื่นชมว่ารีวิวนี้เขียนได้อย่างรู้ลึกและตีหนังเรื่องนี้ได้แตกดีในหลายประเด็นทีเดียว

+ เกือบลืมบอกไปว่าชอบเว็บ nerdtests อ่ะครับ เข้าไปเล่นมา 2-3 อันแล้ว สร้างสรรค์ดีอ่า

+ โดยส่วนตัว ผมชอบวิธีการเล่าเรื่องและสไตล์ของหนังเรื่องนี้นะครับ ... รอแชซก็เท่ห์สุดทีนส์ ส่วนคอมมิเดี้ยนก็ถ่อยได้ใจ มีแค่ช่วงจบกับบทสรุป (คงรู้สึกคล้ายๆ กับคุณ btea#11) ที่รู้สึกว่ามันแปลกๆ ทำไมมันถึงออกมาในรูปนั้นอ่ะครับ

+ ถ้ามีเวลาว่าง เด๋วจะย้อนกลับไปอ่านหนังเรื่องเก่าๆ ที่คุณเขียนไว้ให้หมดเลยอ่ะครับ เพราะดูจากรายชื่อหนังแล้ว เราน่าจะดูหนังแนวเดียวกัน เรื่องที่เขียนมา ผมก็ได้ดูเกือบหมดแล้วอ่า

 

โดย: บลูยอชท์ 19 มีนาคม 2552 15:37:27 น.  

 

ตอนที่ยังอ่านวิจารณ์ของคนเขียนไม่จบ ผมกำลังจะเลื่อนลงมาพิมพ์ต่อว่า ว่าทำไมใช้back ground ที่มันผสมกับตัวหนังสือ จนมันเป็นอุปสรรคต่อสายตาของผม??!!

..

พอย้อนขึ้นไปอ่านจนจบ

นายมันเจ๋งชิปเป๋ง ให้เต็ม10เลยย

ว่าจะไปดูหนังอีกรอบนึงเลยนะเนี่ย

 

โดย: บัง IP: 124.121.3.235 19 มีนาคม 2552 21:57:50 น.  

 

แก้พื้นหลังให้แล้วน่ะคุณบัง

 

โดย: beerled 20 มีนาคม 2552 16:49:05 น.  

 

แวะมาดูนะครับ พื้นหลังเล่นซะขาวจั๊วเลย

 

โดย: McMurphy 24 มีนาคม 2552 20:27:26 น.  

 

ผมไมคุณ beer ไม่เขียน บทความหนังใหม่ๆแล้วอ่ะครับ
หรือว่าน้อยใจ เรื่อง บท ความ slumdog

 

โดย: ๐อนันดา๐ IP: 118.174.147.7 5 เมษายน 2552 0:30:40 น.  

 

ตอบอนันดา
ไม่ได้น้อยใจอะไรหรอกครับ ขี้ปะติ๋วมั้กๆ
แค่ยุ่งเรื่องงานนิดหน่อย
เดี๋ยวว่างๆ จัดให้ซัก3-4 เรื่องเป็นงัย
ระวังจะอ่านไม่ทันนะคร้าบ

 

โดย: beerled IP: 58.9.130.52 5 เมษายน 2552 1:28:37 น.  

 



 

โดย: renton_renton 9 เมษายน 2552 22:32:40 น.  

 

วิจารดีมากครับผม อยากอ่านบทวิจารเรื่องต่อไปอะครับ รออยู่ครับๆ ชอบมากครับ

 

โดย: kiops IP: 125.24.91.5 10 เมษายน 2552 22:12:39 น.  

 

รดน้ำดำหัวเลยหรือครับ
ผมยังไม่อาวุโสขนาดนั้น


ยังไงก็สุขสันต์วันสงกรานต์เช่นกันครับ

 

โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ 12 เมษายน 2552 6:22:33 น.  

 

ไม่เคยอ่านผลงานมาก่อน แต่มักจะขอให้วิจารณ์หนัง หรือขอให้บอกว่าสนุกมั้ย บางทีก็ให้เล่าให้ฟังแบบให้อยากรู้แล้วไปหาดูต่อเอาเอง ช่วงหลัง ๆ งานยุ่งทั้งคู่เลยไม่ค่อยได้สนทนาเท่าไหร่นัก เอาเป็นว่าคิดถึงแล้วกันเนอะ แล้วก้อขอให้หาหนังมาเล่าให้ฟังอีกเรื่อย ๆ

 

โดย: พี่เองนะ IP: 125.25.193.31 15 เมษายน 2552 19:59:27 น.  

 

ข้างบนนี้เจ้านายที่น่ารักของผมเองครับ

 

โดย: beerled IP: 203.150.245.181 20 เมษายน 2552 18:34:48 น.  

 

เรื่องนี้ไม่สนุกและแป้ก

ทั้งโรงตอนผมไปดูมีอยู่ 6 คน

และเดินออกตอนกลางเรื่อง 2 คน

ไม่มีใครเอ็นจอยเลย

 

โดย: นายตัวสูง IP: 222.123.144.228 20 เมษายน 2552 20:39:38 น.  

 

พี่วิจารณ์ดีมากเลยครับ ตามอ่านเรื่อยๆ
ข้อคิดที่ได้จากหนังก็ใช้ภาษาเล่นคำได้เยี่ยม
ขอตามอ่านหน่อยละกันนะครับ

 

โดย: PRIVATE IP: 223.205.148.58 24 มีนาคม 2554 14:12:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


beerled
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
8 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add beerled's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.