กันยายน 2549

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
All Blog
บางเรื่องราวในฤดูฝน
แดดยามสายของวันเสาร์ส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่เจ้าของห้องไม่ได้ปิดไว้ตั้งแต่กลางคืน เหตุผลเพราะอยากนอนชมดาวท่ามกลางความหม่นมืดของหมอกควันกรุงเทพฯโชคดีที่พักอยู่บนชั้นสูงสุดของ อพาร์ตเมนท์ก็เลยยังพอเห็นดวงดาวระยิบระยับบ้างในยามดึก แล้วก็เป็นผลให้วันหยุดสุดสัปดาห์อย่างวันนี้ได้นอนหลับอย่างสบายใจไม่ต้องรีบแหกตาลุกตั้งแต่ตีสี่เพื่อไปให้ทันทำงาน แต่ขณะกำลังนอนหลับอย่างมีความสุขเสียงกริ่งโทรศัพท์ก็ดังขึ้นบาดแก้วหู
“โฮ้ย ไม่ต้องเลยพัท ไม่ต้องมาเลยค่ะ แบบว่าพัทให้เค้าอยู่คนเดียวบ้างสิคะ นะคะ ขอบคุณ หวัดดี” เมรีกระแทกหูโทรศัพท์ลงแรงๆ จนตัวเองยังสะดุ้ง แล้วก็อดที่จะหยิบขึ้นมาสำรวจไม่ได้ ‘พังหรือเปล่าหว่าไม่แฮะ ขอบคุณนะค้าที่แข็งแรงทนทาน’ แล้วก็วางโทรศัพท์รูปพระจันทร์เสี้ยวลงอย่างเบามือและลุกจากที่นอน อย่างเสียไม่ได้
“เฮ้อ..สบายใจจริงๆ เล้ย” บางทีเมรีก็อยากจะอยู่กับตัวเองบ้าง โดยเฉพาะวันหยุด เมรีอยากนอนตื่นให้สายๆ ลุกขึ้นมาทักทายตะวันยามบ่าย ซักผ้ากองโตอย่างใจเย็นรดน้ำต้นไม้ จัดหนังสือ ปัดฝุ่นเครื่องเรือน และเพลิดเพลินกับเสียงเพลงจากเครื่องเสียงที่เปิดสนั่นลั่นห้อง แม้จะเป็นความสุขเพียงสองวันในรอบสัปดาห์แต่เป็นวันที่ได้พักผ่อนอย่างสบายใจที่สุด…

กริ๊ง… อีกแล้ว เมรีอยากจะโยนเจ้าเครื่องโทรศัพท์พระจันทร์สีเหลืองลงจากหน้าต่างจริงๆ

“ฮาโหลค้า…ที่นี่โรงงานน้ำปลาตั้งมาเจ๊งค่า”

“ยายเม ขายน้ำปลาตั้งแต่เมื่อไหร่ยะหล่อน”

“อ้าวหนิ่งนิ้งหรอกเหรอ นึกว่าพัท ตะกี้เพิ่งตะเพิดไปหยกๆ นึกว่าอยากจะโดนด่าอีก”

“แกก็ อีกแล้วเหรอ ไม่สงสารเขาบ้างหรือไง ไม่รักก็บอกเขาไปตรงๆซี่แกจะแกล้งเขาทำไม”

“ตอนนี้ไม่รักแต่วันข้างหน้าอาจจะรักก็ได้นี่ ว่าแต่แกมีอะไรโทฯ มาหาแต่เช้า นี่มันเวลาส่วนตัวนะ รู้จักไหมเวลาส่วนตัวน่ะ”

“ฉันจะชวนแกไปหาชุง” เพื่อนสาวหมายความถึงเพื่อนสนิทอีกคนในกลุ่มของเมรี

“ไม่ ไม่เด็ดขาดเลย” เมรีปฏิเสธเสียงแข็ง

“ทำไมกลัวเจอภูวัตใช่ไหมล่ะ แกนี่น๊า ถ้าอยากทำใจให้ได้ไวๆ ก็หาแฟนซะสิจะได้ช่วยเยียวยาแผลหัวใจไง”

“ไม่หรอก ฉันไม่เคยคิดจะใช้ใครเป็นเครื่องมือ ฉันทำใจเองได้ รักเองก็ต้องไม่รักเอง ทำไม แกคิดว่าฉันไม่มีทางหักใจจากภูวัตได้งั้นสิ ตกลง ฉันจะไปหาชุงกับแกด้วย” พอรับปากไปแล้วนั่นแหละถึงได้มานั่งคิดทีหลังว่าไม่ควรเลย เพราะเมรีรู้ตัวเองดีว่าความรู้สึกของเธอที่มีต่อภูวัตนั้นเป็นอย่างไร ไม่ง่ายเลยที่จะต้องทำใจให้ไม่รัก เมรีอดนึกถึงพัทไม่ได้ ชายหนุ่มผู้แสนดี ทั้งๆ ที่เธอเองก็ทำร้ายความรู้สึกเขามานับครั้งไม่ถ้วน

“อย่ายุ่งกับเค้าเลยพัท เค้ามันคนไม่ดีนักหรอก เอาแต่ใจตัวเองก็เท่านั้น โมโหร้ายก็เท่านั้น เค้าเป็นคนรักที่ดีของใครไม่ได้” แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ใส่ใจกับคำพูดที่ทำร้ายจิตใจต่างๆ นาๆ นั้นเท่าไรนัก เขายังเป็นห่วง ไปหา และหวังดีอย่างเสมอต้นเสมอปลายตลอดมาทั้งๆ เรื่องของภูวัตเขาก็รู้ดี

“ภูวัตไม่รักเค้าหรอก เขามีคนอื่นให้รักให้ชอบอยู่แล้ว เค้ามันก็แค่เพื่อน…พยายามเหมือนกันแหละพัท อยากจะทำใจให้ได้ แต่มันยากจังเลย”

“ก็…หาใครสักคน” พัทอาจจะเห็นใจ บางทีเขาคงหมายถึงตัวเอง--

“ไม่หรอกพัท เมื่อไหร่ที่เค้าทำใจเรื่องภูวัตไม่ได้เค้าจะไม่คบใคร เพราะถ้าหากเค้าทำอย่างนั้นมันก็หมายความว่าเค้าไม่ได้ชนะตัวเอง” อาจเพราะเหตุนี้ก็ได้จึงทำให้พัทรอ รอว่าสักวันเมรีจะทำใจได้ด้วยตัวเอง

ที่บ้านของชุง บ้านไม้หลังเล็กริมแม่น้ำป่าสัก มีท่าน้ำเป็นชานยื่นออกไปในแม่น้ำ เมรีชอบมานั่งที่นี่ทุกครั้งที่มาบ้านชุง เธอจะนั่งหย่อนเท้าลงไปในน้ำ ความเย็นของน้ำทำให้เมรีใจเย็น… กลิ่นหอมของดอกมะลิทำให้เมรีนึกถึงพัท พัทชอบดอกไม้สีขาวกลิ่นหอมแรงๆ บ้านของพัทปลูกดอกไม้สีขาวไว้ไว้เยอะแยะ และที่สำคัญบ้านของพัทอยู่ริมทะเล เมรีชอบนักชอบหนาเวลาที่ได้ไปเที่ยวบ้านพัท ได้นั่งมองคลื่นสาดกระทบโขดหิน เวลาน้ำขึ้น น้ำทะเลก็จะท่วมจนถึงเสาบ้าน แล้วมีฝูงปลาทะเลตัวเล็กๆ มาว่ายวนให้เห็นใกล้ๆ เมรีชอบนั่งมองเพลิน พัทใจดี พ่อกับแม่ของพัทก็ใจดีกับเมรีทั้งๆ ที่เมรีบอกกับท่านว่า ‘หนูเป็นเพื่อนพัทค่ะ’ ท่าทางเศร้าๆ ในแววตาของพัท ผู้ใหญ่คงสังเกตได้ แต่ลูกผู้ชายอย่างพัทก็ไม่เคยแสดงความรู้สึกใดให้เห็น แต่เอ ทำไมคิดถึงพัทขึ้นมาก็ไม่รู้
“เม มานั่งอยู่ตรงนี้เอง หากันตั้งนานนึกว่าเข้าตลาดกับนิ้งซะอีก” เสียงเจ้าของบ้านดังมาแต่ไกล ชุงเป็นเพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกัน ซึ่งในกลุ่มของเมรีนอกจากชุงและนิ้งแล้วยังมีภูวัตอีกคน

“ชุงตามหาเราทำไม” ชายหนุ่มนั่งลงข้างๆ

“ภูวัตเพิ่งมา ดูเหมือนพาใครมาด้วย และคงอยากแนะนำให้เมรู้จัก” เมรีมองหน้าชุง

“ใครเหรอ แฟนใหม่ภูล่ะสิ” เมรีเดาไม่ผิด

“คงงั้น นั่นแน่ะมากันพอดี เราไปนะ เดี๋ยวไปช่วยนิ้งทำกับข้าวดีกว่า” ชุงลุกไปและคนที่เพิ่งมาถึง นั่งลงแทนที่

“หวัดดีเม ทำไมมานั่งคนเดียวล่ะ” น้ำเสียงของภูวัตแจ่มใส หญิงสาวที่มาด้วยนั่งลงข้างๆ เขา

“ตรงนี้เย็นดี แล้วก็สงบ เงียบ” เมรีพูดห้วน เธอไม่ได้ใช้น้ำเสียงแบบนี้กับใครบ่อยนัก ภูวัตรู้ เมรีไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าแค่ความเป็นเพื่อน ที่ผ่านมาเมรีคิดเอาเองทั้งหมด เธอแปรเจตนาแห่งความเป็นเพื่อนที่ดีเป็นอย่างอื่น เขาเองก็ไม่มีสิทธิจะห้ามความคิดของใคร

“เม คนนี้น้องเหมียว รู้จักกันหน่อยสิ” เมรีหันมายิ้ม ยิ้มแบบฝืดๆ.. ก็สวยดี เหมาะสมกันดี แต่เมรีอยากรู้นัก ภูวัตเอาน้องอังไปไว้ไหน คนเจ้าชู้อย่างภูวัตคบใครไม่ได้นาน เมรีก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงได้รักเขา แม้ในตอนนี้เธอก็รู้ตัวเองดีว่าปวดร้าวกับการที่เขาพาคนอื่นมาเย้ย.. และทั้งๆ ที่บอกตัวเองให้ทำใจ

บางทีเธออาจจะต้องใช้ความพยายามมากกว่านี้
เสียงกีตาร์ดังมาจากบนบ้าน คนรักสองคนกลับขึ้นบ้านไปนานแล้วและฟ้ากำลังเริ่มมืด เมรียังไม่ลุกจากตรงนั้น เสียงตะโกนเรียกของนิ้งจากบนบ้านเมรีได้ยินแต่ก็ไม่ลุกไป จนเพื่อนสาวต้องลงมาตาม

“ขึ้นบ้านเหอะเม มืดแล้วเดี๋ยวงูเงี้ยวมันกัดเอา”

“นิ้งดูสิ ดาวประจำเมือง ที่กรุงเทพฯ ไม่มีให้เห็นนะ” เมรีชี้มือขึ้นไปยังกลุ่มดาวที่ทอแสงสุกสกาวอยู่บนผืนฟ้าที่มืดดำ

“เม เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายใจอะไรใช่ไหม..เรื่องภูวัตหรือเปล่า” นิ้งถามไถ่ด้วยความห่วงใย

“ทำไมเขาต้องพาคนอื่นมาตอกย้ำเราด้วยก็ไม่รู้”

“เมก็รู้จักภูวัตดี เขาเคยคบใครได้นานเสียที่ไหน”

“เราก็บ้านะ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่เคยจริงใจกับใครก็ยังงมงายอยู่แต่กับความคิดของตัวเอง ไม่ยอมเปลี่ยน”

“เพราะเมรักเขา”

“แต่ไม่นานหรอกนิ้ง เราสัญญาเราจะทำใจให้ไม่รักเขาให้ได้ เรารักเขาเองก็ต้องไม่รักเอง นิ้งให้กำลังใจเรานะ แล้วสักวันเมื่อเราทำใจได้.. เราจะฉลองกัน” น้ำเสียงของเมรีดีขึ้น

“เออ ฉันเชื่อแก” แล้วนิ้งก็เปลี่ยนสรรพนามในการเรียกขานทันที เมื่อไหร่ที่มีเรื่องเศร้าๆ ไม่รู้ทำไมทั้งนิ้งและเมรีพูดกันเพราะๆ ได้ แต่พอหมดเรื่องเศร้า ก็แกกับฉันเหมือนเดิม.. เฮ้อ แต่นิ้งเป็นเพื่อนสนิทที่เข้าข่ายเรียกได้ว่า ‘เพียงมองตาก็รู้ใจ’ จึงไม่ต้องพูดอะไรมากถึงความรู้สึกที่มีต่อกัน

“ว่าแต่..ถามจริงเหอะเม แกคิดยังไงกับพัท”

“เพื่อน” เมรีตอบโดยไม่ต้องคิด

“แกก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเขาไม่ได้คิดกับแกแค่เพื่อน”

“โฮ้ย..เดี๋ยวเขาก็เลิกคิดเองแหละ ในโลกนี้มีผู้หญิงตั้งมากมายเยอะแยะจะมาเอาอะไรกับคนอย่างฉัน” เมรีตอบแบบขอไปที

“แต่ท่าทางเขารักแกจริงๆ นะ”

“ก็ช่างเขาสิ ฉันคบหากับเขาแบบเพื่อน แค่เพื่อนคนหนึ่งเท่านั้นเข้าใจไหมนังหนู” แล้วทั้งสองสาวก็จบเรื่องราวของคนอื่นไว้เท่านั้น

ดาวบนฟ้าทอแสงพริบพราย ที่กรุงเทพฯ ไม่มีให้เห็น แต่ที่บ้านของพัท ยามค่ำคืนดวงดาวเต็มฟ้า แสงจันทร์ยามตกกระทบผืนทะเลสวยงามเกินบรรยาย เปลญวนที่ผูกอยู่ริมระเบียง ตอนนี้พัทจะอยู่ตรงนั้นหรือเปล่าน๊า..

“ทำอะไรกันสองสาว นั่งมองดาว ระวังหล่นใส่หัวนะจ๊ะ” ชุงตามมาและนั่งลงข้างๆ นิ้ง อย่างหนึ่งที่เมรีรู้ แต่นิ้งไม่รู้คือชุงชอบนิ้ง แต่เขาไม่พูด ชุงบอกกับเมรีว่าเขาไม่อยากทำร้ายความเป็นเพื่อนที่ดีลงไป ถ้านิ้งรู้ว่าเขาชอบบางทีนิ้งอาจจะไม่เหลือความเป็นเพื่อนสำหรับชุงอีกเลยก็ได้..เมรีไม่อยากให้เพื่อนสองคนต้องหมางใจและเลิกร้างที่จะคบหาเพียงเพราะอีกคนมีความรู้สึกที่ ‘เกินเพื่อน’ สำหรับภูวัตแม้เขาจะเป็นเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สนใจนัก เขาคงมีเวลาใส่ใจผู้หญิงของเขามากกว่าที่จะมาสนใจว่าเพื่อนจะคิดต่อกันอย่างไร

“เราเก็บความรู้สึกไว้ในใจเพียงคนเดียวดีกว่าที่จะให้นิ้งรู้แล้วเรา..อาจจะเสียเพื่อนไป”

“ใครบอกเก็บไว้คนเดียว ก็เราอีกคนที่รู้ว่าชุงคิดยังไง แต่เราไม่บอกนิ้งหรอก เราไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย” เมรีนึกถึงเรื่องของเธอกับภูวัต ซึ่งตอนนี้เหมือนมีกำแพงบางๆ ที่กั้นกลางระหว่างมิตรภาพของเพื่อนเพียงเพราะเมรีเอ่ยบอกความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขา…

“พรุ่งนี้เราจะกลับบ้าน” เมรีหมายความถึงบ้านต่างจังหวัด นานมาแล้วที่เธอไม่ได้กลับบ้าน ป่านนี้ทานตะวันที่เพาะไว้จะออกดอกหรือยังก็ไม่รู้ สองสัปดาห์ก่อนแม่โทฯ มาบอกว่ามิงค์ น้องสาวสุดที่รักได้ย้ายทานตะวันที่เธอเพาะไว้ไปปลูกที่ริมรั้วหน้าบ้านแล้ว ส่วนเม่น น้องชายคนเล็กก็ยังรบเร้าจะเอาลูกดิ่งโยโย่ของเล่นเด็กรุ่นใหม่จากเธอ… พรุ่งนี้เมรีจะซื้อไปฝากน้องสักสองสามอัน

ในระหว่างเดินทาง การได้อยู่คนเดียวทำให้เมรีได้คิดอะไรมากมาย ระหว่างเธอกับภูวัตและพัท คนหนึ่งคือคนที่เธอรักและอีกคนคือคนที่รักเธอ เมรีเคยได้ยินมาเสมอว่า ‘รักคนที่เขารักเราดีกว่า’ เมรีไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อพัท แต่ตอนนี้ความรู้สึกที่มีต่อภูวัต เธอรู้..ไม่เหมือนเดิมแล้ว

หลายต่อหลายครั้งที่พยายามเดินออกมาเสียจากภูวัตเพราะเธอได้รู้แล้วว่าเขาไม่เห็นค่าความรักของเธอเลยและในขณะนี้เมรีมั่นใจ เธอไม่ได้ยืนอยู่บนจุดเดิมอีกแล้ว เมรียังจำคำพูดของชุงได้ดี ในวันที่เธอกับเพื่อนรักได้สนทนากันสองคน

“เมยืนอยู่ตรงนั้นแล้วมองเห็นอะไร ลองถอยออกมายืนห่างๆ สิ แล้วเมจะเห็นอีกอย่างที่แตกต่างจากเดิม” ชุงพูดถูก เพราะเมรีเชื่อมั่นในตัวเองจนเกินไป เธอรักภูวัตโดยหวังว่าสักวันเขาจะหันมามองเธอบ้าง แต่เปล่าเลยภูวัตยังเป็นภูวัตคนเดิมที่มีผู้หญิงมากมายให้คบหา และการที่เมรีได้เดินออกมาจากจุดเดิมของความคิดนั้น มันทำให้เธอได้มองเห็นอะไรอีกมากขึ้น

และที่บ้าน… ความอบอุ่นใจที่เมรีได้รับจากครอบครัวทำให้เมรีสบายใจขึ้นจากความหนักและเหนื่อยจากการงาน เพราะหน้าที่การงานทำให้เมรีต้องห่างเหินครอบครัว แต่ทุกครั้งที่เมรีกลับบ้าน รอยยิ้มของพ่อกับแม่ทำให้ความหม่นโศกจากการอยู่ลำพังในเมืองแห่งความวุ่นวายคลายลงไปได้เยอะ

“พี่เมจ๋า ไหนล่ะโยโย่ของหนู” น้องชายคนเล็กเพิ่งเรียนชั้นประถมทวงของเล่นทันทีที่เจอหน้าพี่สาวและเมื่อได้ของเล่นแล้วก็หอมแก้มพี่สาวฟอดใหญ่ก่อนจะวิ่งหายไปในกลุ่มเพื่อน ในยามนี้ทานตะวันที่เพิ่งจะลงดินได้ไม่นานเริ่มออกดอกเล็กๆ ให้เห็น

“บางต้นก็ตายเพราะเปลี่ยนดินใหม่แล้วผิดจากเดิม อ่อนแอไปหน่อย แต่มิงค์ก็เอาต้นใหม่มาลงแซมแล้วล่ะ พรุ่งนี้จะลงเบญจมาศที่ข้างรั้ว” น้องสาวผู้รักดอกไม้เป็นชีวิตจิตใจบอกเล่าเรื่องทานตะวัน แม่นั่งถักปลอกหมอนบนแคร่ใต้พุ่มเฟื่องฟ้าที่แตกกิ่งก้านเลื้อยเกี่ยวขึ้นไปบนต้นมะขาม ขณะที่พ่อกำลังขะมักเขม้นกับการประกอบไม้ให้เป็นรูปร่าง

“จะทำตู้หนังสือให้มิงค์” ครอบครัวของเมรีอบอุ่น พ่อกับแม่ไม่เคยมีเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งให้เห็นแม้แต่ครั้งเดียว เมรีถามถึงความรักของพ่อกับแม่เมื่อครั้งทั้งสองท่านยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว

“แม่เขาไม่ได้รักพ่อหรอกเขารักคนอื่น แต่พ่อก็ไม่ยอมแพ้ ตามเกี้ยวจนแม่เขาอ่อนใจ” พ่อเป็นคนเล่าเรื่องอย่างอารมณ์ดี

“แล้วพ่อรู้หรือเปล่า แม่รักพ่อเพราะอะไร” แม่พูดขึ้นบ้าง
“เพราะผู้ชายคนนั้นไม่รักแม่ใช่ไหมล่ะ แม่ก็เลยไม่มีใคร” พ่อพูดอย่างคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า

“เปล่าเลย เพราะแม่เห็นความพยายามและความอดทนของพ่อต่างหาก คนอะไรก็ไม่รู้ต่อว่าก็เฉย แกล้งทำให้เกลียดก็ยังเฉย จนแม่ใจอ่อนยังไงล่ะ และในวันนี้แม่ก็ได้รู้ว่าเลือกคนไม่ผิด ความอดทนและความเพียรพยามยามของพ่อยังเหมือนเดิมจนวันนี้” เรื่องของพ่อกับแม่ทำให้เมรีแปลกใจยิ่งนัก เหมือนเรื่องของเธอตอนนี้ไม่มีผิด เมรียิ้ม.. อย่างคนที่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรต่อไปในเรื่องนี้—
……..……………….

รอยยิ้มแจ่มใสของวันแรกที่ไปทำงานหลังจากลาพักร้อนกลับบ้านไปหลายวันทำให้หลายคนแปลกใจโดยเฉพาะนิ้งและชุง ส่วนคนที่เพียงมองดูอยู่ห่างๆ คือภูวัต

“ต๊าย หน้าตาผ่องใสมาเชียวนะหล่อน กลับบ้านคราวนี้มีอะไรดีน๊า” นิ้งทักทายเสียงดัง

“นั่นสิ เหมือนคนมีความรักเลย” ชุงสมทบ

“แน่นอน ความรักที่มีให้ตัวเองอย่างเต็มเปี่ยมและความรักที่จะมีต่อคนอื่นอย่างมีเหตุผลในอีกไม่ช้า” เมรีรู้ คำพูดนั้นภูวัตได้ยินชัดและเหมือนเป็นการบอกกลายๆ ว่า ‘ไย’ สุดท้ายของความรักที่เธอเคยมีให้เขา ‘ข้างเดียว’ หมดลงไปแล้วด้วย

เมรีกลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง ไม่มีความรู้สึกที่นอกเหนือจากเพื่อนสำหรับภูวัต หลังจากที่หยุดงานไปหลายวันเมรีต้องสะสางงานที่คั่งค้างและงานที่ได้รับมอบหมายมาใหม่ให้เรียบร้อยเธอจึงไม่มีเวลาพบปะเพื่อนฝูงและหลายครั้งกับโทรศัพท์ของพัท

“ขอโทษนะพัท เค้ากำลังยุ่ง ไว้โทฯ มาใหม่ก็แล้วกัน” จนแทบเป็นคำพูดติดปากกับทุกครั้งที่พัทโทรศัพท์มาหา เขาไม่มีโอกาสได้พูดอะไรเลย เมรีก็ไม่ได้ใส่ใจกับการหายไปของพัท จนในวันหนึ่งที่เธอทะเลาะกันอย่างรุนแรงกับนิ้ง แค่เรื่องไม่เป็นเรื่องของผู้หญิงสองคน นิ้งก็งอนเธอเองก็โกรธ และเมรีก็รู้.. นิ้งต้องไปหาชุง แต่สำหรับเธอ เมรีไม่มีใครเลยที่จะพูดคุยระบายออกถึงเรื่องราวที่คับแค้นใจ แล้วเธอก็นึกถึงพัท คนที่เธอไม่เคยให้ความสำคัญใดๆ และไม่เคยคิดว่าเขาจะมีความสำคัญด้วยซ้ำไป

“ฮัลโหล ขอสายพัทค่ะ” แล้วเมรีก็โทฯไปหาพัท…

“พัทไม่อยู่ครับ กลับบ้านต่างจังหวัด” เสียงรูมเมทของพัทบอกเมรีเท่านั้น โทรศัพท์ถูกวางลงกับแป้นอย่างเบามือ น้ำตาที่มาจากความเจ็บร้าว อ้างว้างและโดดเดี่ยวไหลรินอาบแก้มนวล แล้วเธอก็ไม่เหลือใครเลย
……………………..

หลายวันที่ความหม่นเศร้าได้เข้าครอบคลุมจิตใจของเมรี เธอกับนิ้งไม่พูดคุยกันแม้จะมีชุง คอยพูดจาเกลี้ยกล่อมให้คืนดีกัน อันที่จริงเธอก็ไม่ได้โกรธอะไรนิ้งมากมาย เธอรู้อีกไม่นานก็คืนดีกันได้ แต่ตอนนี้เมรีรู้สึกเหงา… ที่พัทหายเงียบไป

อยู่ๆ ในวันหนึ่งซึ่งใกล้ถึงเวลาเลิกงานพัทก็โทฯ มาหา

“พัท…คิดถึงจัง ทำไมหายไป” เมรีดีใจที่ได้ยินเสียงของพัท

“เหรอฮะ ผมนึกว่าจะได้ยินคำว่า ขอโทษ..กำลังยุ่ง ไว้ค่อยโทฯ มาใหม่ก็แล้วกันซะอีก”

“พัท..โกรธเค้าเหรอ ขอโทษนะ ตอนนี้ว่างแล้วอยากเจอ
พัทจัง” ขณะนั้นนิ้งนั่งอยู่ใกล้ๆ พอรู้ว่าเป็นพัทก็สนใจ และแปลกใจ..เมรีพูดกับพัทดีผิดปกติ

“แต่ผมไม่ว่าง ขอโทษนะเม ผมคงหาเวลาว่างเพื่อเมได้ยากแล้วล่ะ”

“พัทมีคนอื่น..ให้ไปหา ให้คิดถึงแล้ว…ใช่ไหม” น้ำเสียงของเมรีเริ่มสั่นและเบา นิ้งลุกจากเก้าอี้มายืนใกล้ๆ ตอนนี้ความหมองหมางใจระหว่างสองสาวไม่รู้หายไปไหนแล้ว

“ตอนนี้พัทอยู่ไหน เค้าจะไปหาพัท…เดี๋ยวนี้เลย” พัทบอกสถานที่ ซึ่งไกลจากที่ทำงานของเมรีมาก

“ให้นิ้งไปเป็นเพื่อนไหม” เพื่อนสาวยังคงห่วงใย

“ไม่เป็นไรหรอก เมจะพยายามใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์” แล้วเมรีก็ไปหาพัทจนได้

สายฝนกลางเดือนมิถุนายนตกกระหน่ำเหมือนจะตอกย้ำซ้ำเติมคนอ่อนไหว เมรีร้องไห้ ร้องไห้อย่างไม่รู้สาเหตุ พัทยืนรอเธออยู่นานแล้ว.. นานเกือบเดือนที่เมรีไม่เจอพัทเลย แววตาของพัทเฉยชา พัทพาเมรีขึ้นไปบนตึกสูง ชั้นดาดฟ้าของตึกเป็นร้านเครื่องดื่มเล็กๆ

“เค้าบ้านะพัท ทำอะไรเอาแต่อารมณ์ ไม่นึกถึงผลที่จะตามมา แล้วก็มานั่งคิดทีหลังกับสิ่งที่ทำลงไป”

“พัทรู้ไหมทำไมเค้ามา… เค้ารู้สึกว่ามันช้าไปนะที่เค้าจะบอกพัท แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยเค้าก็ได้พูดในสิ่งที่เป็นความรู้สึก” พัทยังนั่งฟังเงียบๆ

“พัทคงเหนื่อยที่เสียเวลากับเค้าโดยไม่ได้อะไรเลย เค้ารู้ว่าพัทคิดยังไงกับเค้าเค้าดีใจนะที่ในเวลาที่เค้าไม่ใครแล้วยังมีพัทคอยเป็นห่วง”

“แต่เม ไม่เคยมีใจให้ผมเลยแม้สักนิดเดียว เมยังรักภูวัต” เมรีนึกไม่ผิด พัทคิดอย่างนั้นจริงๆ

“ผิดแล้วล่ะพัท ในตอนนี้ ขณะนี้ เวลานี้ความรู้สึกของเค้าที่มีต่อภูวัตไม่มากไปกว่าแค่เพื่อนคนหนึ่งเลยสักเพียงนิดเดียว เค้าทำใจได้พัท ทำใจได้เอง… เค้าไม่รักภูวัตแล้ว แต่ตรงข้ามพัทรู้ไหมเค้าเพิ่งรู้ว่าเค้า…รักพัท แต่มันสายไปแล้วใช่ไหมล่ะ เค้ารู้..มันสายไปแล้วแน่ๆ” พัทเงียบ เมรีไม่ชอบความเงียบนั้นเลย มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัด

“มืดแล้ว เดี๋ยวผมไปส่งนะ” พัทตัดบทขึ้น เท่านั้นเองหัวใจของเมรีก็หล่นวูบ…

“ไม่เป็นไรพัท เค้ามาเองเค้าก็กลับเอง และความรักของเค้ามันเกิดขึ้นเองมันก็คงจะจบลงของมันเอง ขอโทษนะพัทที่ทำให้มีความหวังและผิดหวัง นับจากวันนี้เค้าคงต้องทำใจ..อีกครั้ง แต่เราจะยังเป็นเพื่อนกันใช่ไหม”

“เราเป็นเพื่อนกันเสมอ ไม่ว่าจะวันนี้หรือจะตลอดไป” เมรีแน่ใจ พัทมีคนใหม่แล้วจริงๆ เธออดนึกถึงคำพูดของแม่ไม่ได้ “แม่รักพ่อที่ความพยายามและความอดทนของพ่อ” แต่เมรีลืมนึกไปว่าพัทก็คือพัท จะให้เหมือนพ่อได้ยังไง…

“กลับดีกว่านะเม พรุ่งนี้ผมจะโทฯ ไปหา”

“อย่าดีกว่าพัท ขอเวลาให้เค้าทำใจสักพัก เมื่อไหร่ที่เค้าไม่รักพัทแล้วเค้าจะติดต่อมาหาพัทเอง เค้าเสียใจที่เราคิด..ไม่พร้อมกัน” เมรีหมายถึงความรัก ขณะที่พัทรักเธอเธอกลับไม่รักเขาแต่พอเขาไม่รักเธอแล้วจึงได้รู้ว่าตัวเองรักเขามากมาย

เมรีกลับที่พักอย่างเหงาๆ นอนมองดาวบนฟ้า ดวงดาวหลังฝนตกหม่นมัวด้วยม่านน้ำตา แล้วเธอก็ไม่เหลือใคร…
แต่สิ่งที่เมรีไม่รู้นั่นคือพัทโทฯ ไปหานิ้ง…

“ดูแลเมด้วยนะนิ้ง วันนี้ผมจะกลับบ้าน พรุ่งนี้ผมจะพาแม่มาแล้วเราจะไปบ้านเมที่ต่างจังหวัดกัน ฝากบอกชุงด้วยนะ ผมคงต้องให้เขาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว อ้อ.. แล้วนิ้งอย่าลืมเตรียมชุดเพื่อเป็นเพื่อนเจ้าสาวด้วยนะ พรุ่งนี้เราจะมีเซอร์ไพรท์เม”…/

ตีพิมพ์ใน วัยน่ารักแฟชั่น ฉบับที่ 134




Create Date : 12 กันยายน 2549
Last Update : 12 กันยายน 2549 19:52:59 น.
Counter : 1218 Pageviews.

3 comments
  
แวะมาอ่าน 2 เรื่องครับ
ไว้จะแวะมาอ่านที่เหลือวันหลัง

ขอบคุณที่ไปเยี่ยมที่บล็อกครับ
โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 14 กันยายน 2549 เวลา:21:13:12 น.
  
เขียนน่ารักดีจังค่ะ..
อ่านไปอ่านมาอดยิ้มหน้าจอคอมไม่ได้ซะนี่
ประเดี๋ยวคนเดินผ่านก็หาว่าเราบ้ากันพอดี..
โดย: ploy666 (ploy666 ) วันที่: 3 ตุลาคม 2549 เวลา:13:27:14 น.
  
ชั้นชอบเรื่องนี้ของแก
โดย: แพงกวิ้น IP: 124.120.15.11 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:0:14:02 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดาริกามณี
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]



Just Do it :


* มีอีกชื่อว่า หญ้าเจ้าชู้

* เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์บทประพันธ์
รักข้ามรั้ว (หญ้าเจ้าชู้)
ลุ้นสุดฤทธิ์ พิชิตรัก (หญ้าเจ้าชู้)
ภารกิจรักพิทักษ์เธอ (หญ้าเจ้าชู้)
ปีกแห่งฝัน (ดาริกามณี)

* เป็นสาวก 'รงค์ วงษ์สวรรค์
* เป็นแฟน คาราบาว
* เป็นกิ๊ก เฉลียง
* ฝืนอะไรที่เป็นอื่น ฝืนอัตตา
สูงเทียมฟ้าก็มิเท่า เป็นเราเอง

* การปรากฎตัวของคนคนหนึ่ง
อาจเปลี่ยนใครอีกคนไปทั้งชีวิต

* หากต้องการอ่านนิยายที่ใส่รหัส,
รบกวน "ฝากข้อความหลังไมค์" จ่ะ