มกราคม 2557

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
เรื่องสั้น : หมาข้างถนน?

หมาข้างถนน นอนตาย ไส้ทะลัก สมองกระจาย สันนิษฐานว่าคงตายมาไม่ต่ำว่าเจ็ดชั่วโมง แมลงวันเริ่มบินว่อน รถราที่ผ่านไปมาหาได้ใส่ใจกับผลงานของเพื่อนร่วมใช้เส้นทางแม้สักน้อย บ้างที่เหลือบไปเห็นพอดีก็ต้องรีบเบือนหน้าหนีจากภาพที่ชวนอาเจียนนั้น

แต่ใครจะรู้บ้างว่าในช่วงเจ็ดแปดชั่วโมงก่อนหน้านี้ขณะที่มันยังมีชีวิตอยู่ มันได้เผชิญกับอะไรมาบ้าง ชีวิตของหมาข้างถนน ต้องหากินตามถังขยะ คุ้ยเขี่ยเศษอาหารที่ผู้คนทิ้งขว้างเพื่อประทังชีวิตไปวัน-วัน ทนกับการถูกไล่ ถูกด่า ชีวิตหมา หมา ที่ไม่มีค่าตั้งแต่เกิดจนตาย

แสงแดดที่ร้อนระอุแผดกล้าเหมือนจะบาดผิดกายให้หลุดขาด ผมเดินผ่านซากหมาตายไปอย่างไม่สะทกสะท้านกับภาพและกลิ่นที่กระทบตาและจมูก หากเป็นบางคน คงรีบจ้ำอ้าวเพื่อให้พ้นจากอาณาบริเวณของกลิ่นอันชวนอาเจียนนั้น นึกเปรียบเทียบกับตัวเอง ผมต่างอะไรจากหมาข้างถนนตัวนั้น…

จำความได้ก็รู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้ว แต่ด้วยความมุมานะ ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตาหรอก ผมจึงมีโอกาสได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ในเวลานี้ได้ จะว่าไป ผมก็ไม่แน่ใจนักว่านี่คือความต้องการที่แท้จริงในชีวิตหรือเปล่า สังคมที่ผมอยู่มันช่างเหมือนโรงละครโรงใหญ่เสียนี่กระไร ทุกคนต่างปั้นหน้า เสแสร้ง แสดงบทบาทของตนอย่างสุดความสามารถ ประเภทพวกมากลากไป ใครดีใครได้ มือใครยาวสาวได้สาวเอา แม้นั่น จะเหยียบหัวใครขึ้นไปก็ไม่ได้ใส่ใจ

แรกทีเดียวผมก็ไม่ต่างกันนักกับเขาเหล่านั้น ผมจูงใจด้วยวาจา แม้บางครั้งต้องโกหกหลอกลวงเพื่อขายสินค้าให้ได้ ลูกค้าอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าถูกหลอก แน่นอนว่าผมเป็นนักการตลาดที่หลักแหลม เมื่อขายสินค้าได้ก็หมดความรับผิดชอบต่อไปก็โยนหน้าที่ให้ฝ่ายเซอร์วิสรับไป มันไม่ยากเย็นนักที่จะผลักภาระให้พ้นตัว แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เริ่มหันมองตัวเองว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ มันถูกต้องละหรือ เมื่อเราต้องเป็นผู้ซื้อบ้างและถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างที่เคยทำกับคนอื่น ผมเริ่มรังเกียจการกระทำของตัวเองและรอบข้าง มันอาจจะเป็นการพาลเกเรอย่างไม่เข้าท่าที่โยนความผิดให้กับสังคมเมื่อหน้าที่การงานเริ่มถึงทางตัน เพราะไม่รู้วิธีประจบ สอพลอ ความก้าวหน้าของงานจึงเป็นไปอย่างเอื่อยเฉื่อย มันทำให้ผมพลอยเฉื่อยไปด้วย พักหลัง ผมจึงเพียงขายสินค้าให้ได้ไม่ต่ำว่าเกณฑ์ แต่ไม่เคยทำให้ได้สูงกว่าเกณฑ์เท่าใดนัก ผิดกับบางคนที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ยอดขายทะลุเป้า ผมเองก็คร้านที่จะไปแข่งขันกับใคร บ่อยครั้งที่ถามตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ ผมไม่มีใครให้ปรึกษาหรอกเพราะผมไม่มีพ่อแม่และไม่มีเพื่อน ผมจึงมีคำถามเพื่อที่จะถามตัวเองและให้คำตอบกับตัวเองโดยไม่มีความคิดเห็นจากคนอื่น แต่มันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งของผม…สุขกับการไม่มีใครใยดีชีวิต

ผมเพิ่งกลับจากการไปหาลูกค้าเพื่อเสนอขายสินค้าตัวใหม่ในช่วงโปรโมชั่น สินค้าต้องใจผู้ซื้อและผมก็ขายได้อย่างไม่ต้องเปลืองน้ำลายมากนัก อาจจะเพราะการโฆษณาของทางบริษัทด้วยก็เป็นได้การเจรจาจึงเป็นไปด้วยความง่ายดายและรวดเร็ว และนี่เองทำให้ผมได้มีเวลาเตร็ดเตร่ชมความวุ่นวายของเมืองหลวงได้อีกพักใหญ่

เชิงสะพานลอย มีขอทานซูบๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ ตรงหน้าไม่มีแม้ถ้วยพลาสติกสำหรับผู้ใจบุญสุนทานหย่อนเหรียญสักเหรียญ หากสองมือนั้นต่างหากที่แทนความค่นแค้นอย่างแสนสาหัส ผมไม่ชอบขึ้นสะพานลอย มิใช่รังเกียจขอทานเหล่านั้นหรอก ผมเพียงแต่เวทนา และเมื่อเดินผ่านไปก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบแลมาอีกครั้ง และนั่น จะทำให้ผมครุ่นคิดไปได้ทั้งวันถึงความแตกต่างและความเหลื่อมล้ำทางสังคม

จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยรับจ้างแจกใบปลิวหาเสียงของผู้ลงสมัครเลือกตั้ง ครั้งนั้นเองที่มีโอกาสได้สัมผัสกับขอทานอย่างจริงจัง ความเหนื่อยล้าจากการยืนแจกใบปลิวค่อนวันทำให้ผมหลบแดดร้อนไปนั่งพักใต้ร่มไม้ที่มีผู้นั่งอยู่ก่อนแล้ว ชายชราขาพิการทั้งสองข้าง อาศัยพยุงร่างด้วยลำแขนทั้งสองที่บัดนี้ต้องกลายเป็นทั้งแขนและขาโดยปริยาย หนำซ้ำดวงตาทั้งสองข้างยังบอดสนิทอีกด้วย

ชายแก่เริ่มบทสนทนาเมื่อรู้ว่ามีคนมานั่งข้างๆ

“นั่นเขากำลังทำอะไร” เมื่อตามองไม่เห็นก็ได้อาศัยการรับรู้จากการเงี่ยหูฟังคำปราศรัยของผู้ลงสมัครหาเสียงเลือกตั้งผู้แทน

“หาเสียงเลือกตั้งไงลุง”

“ก็เห็นเพิ่งจะเลือกกันไปไม่นานมานี่เองไม่ใช่รึ” แปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ชายขอทานรู้เรื่องการเมือง

“เขายุบสภาแล้วก็เลยเลือกตั้งใหม่” ผมตอบ

“งั้นรึ”

“การเมืองก็งี้แหละลุง เป็นเกมหลอกเด็ก” ผมคร้านจะอธิบายมากเพราะรู้ดีว่าการเมืองของไทยเป็นอย่างไร ผมเริ่มเปลี่ยนเรื่องสนทนา

“ขอโทษเถอะลุง อย่าหาว่าผมแส่เลยนะ ลุงไปโดนอะไรมาหรือถึงได้เป็นอย่างนี้” จะด้วยเพราะนิสัยช่างอยากรู้อยากเห็นของผมหรือจะเพราะอะไรก็ตามแต่ ผมก็โพล่งออกไปด้วยความที่ยั้งปากไว้ไม่ทัน

“เอ็งอยากรู้จริงหรือวะ ก็ได้.. ถ้าเอ็งอยากรู้ข้าก็จะเล่า” แล้วเรื่องราวชีวิตของชายชราก็พรั่งพรูเหมือนน้ำหลาก

สี่สิบกว่าปีให้หลังเขาเป็นชายฉกรรจ์ที่แข็งแรง เป็นลูกชาวนาที่อดทน เมื่อถึงคราวเกณฑ์ทหาร ก็ได้เข้าประจำการรับใช้ชาติอยู่สองปีและสมัครเป็นทหารชายแดนต่อหลังปลดประจำการ และสาเหตุที่ทำให้ร่างกายพิการก็เนื่องมาจากการโดนกับระเบิดเมื่อครั้งเป็นรั้วของชาตินี่เอง ผมเหลือบมองเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ มันเก่าคร่ำคร่าเปรอะเปื้อนมอมแมมเสียจนทำสีเดิมแทบไม่ได้ ลายเขียวๆ ปนน้ำตาลเข้มนั้นจางลง ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นชุดที่มีเกียรติ ผมไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมขอทานคนนี้จึงรู้เรื่องการเมือง บ่ายนั้นเพื่อนกินข้าวของผมจึงคือชายแก่ขอทาน กับบรรยากาศใต้ร่มไม้กลางกรุง และบทสนทนาก่อนร่ำลาของชายแก่คือ

“แล้วอย่างข้า เลือกตั้งกับเขาได้ไหมวะ” เท่านั้นเองที่ทำให้ผมจุกขึ้นอก เพราะผมก็ให้คำตอบไม่ได้เหมือนกันว่า ขอทานแก่ๆ ตาบอดและขาขาดจะเลือกตั้งกับเขาได้ไหม.. ผมหมายถึงสิทธิความเป็นคน เขายังมีเหมือนคนอื่นอยู่หรือเปล่า?

ผมสะบัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปเมื่อข้ามสะพานลอยมายังอีกฟากหนึ่ง ข้างๆ กำลังสร้างตึกใหม่ เครนยกแผ่นปูนขึ้นไปยังชั้นบนสุดของตึก ผมแหงนมองคอตั้งบ่า นึกในใจ เหมือนกำลังต่อเลโก้ ตึกน้อยใหญ่รูปร่างแตกต่าง มองๆ ไปก็เหมือนตัวต่อพลาสติก ของเล่นที่เด็กๆ ชอบ ไม่หรอก… เมื่อยังเด็กผมไม่เคยรู้จักหรอกว่าเลโก้คืออะไร อย่าว่าแต่เลโก้เลย แม้แต่ของเล่นพื้นๆ ที่หาได้ง่ายๆ ผมยังไม่มีปัญญาจะได้เล่น โตแล้วนี่เองหรอกที่ผมขวนขวายเสาะแสวงหาของเล่นเด็กมาเสียเต็มห้องเพื่อทดแทนในสิ่งที่ผมไม่เคยมีในวัยเด็ก หลายคนหาว่าผมบ้า บ้างก็ว่าสมองถดถอย ผมก็นิ่งเสียเพราะเบื่อหน่ายที่จะต่อความ อย่างน้อยมันก็เป็นความสุขของผมและมันก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน

โลกของผมไม่มีใครเข้าถึงและผมก็หับประตูเสียสนิท ไม่มีแม้สักคนที่จะเยื้องย่างมาทำความรู้จัก “ชีวิต” ของผมอย่างจริงจัง จะมีบ้างก็เพียงผ่านมา แล้วเลยไป บนหนทางสายชีวิตของตัวเอง แม้ผู้หญิงที่เคยรักที่สุดและคาดหวังว่าเธอจะเป็นทุกอย่างที่ผมไม่มี สุดท้ายเธอยังไป ตอนนั้นผมเหมือนคนบ้า ไม่เป็นอันกินอันนอน พลอยทำให้เสียการเสียงานจนเจ้านายเรียกไปตักเตือน และเป็นผลมาจนบัดนี้ ผมกลายเป็นคนไร้ความหวัง ไร้อนาคต มีชีวิตอยู่เพียงวันต่อวันเพื่อให้พ้นวันเท่านั้น ผมเกลียดการโกหก หลอกลวง เสแสร้ง แต่ผมต้องพบพานอยู่ทุกวี่วันกับสิ่งที่เป็นเหมือนหนามคอยทิ่มแทงใจอยู่ตลอดเวลา

เคยถามตัวเองเหมือนกันว่า คนเราเกิดมาทำไม? เกิดมาเพื่ออะไร ท้ายสุดต้องสรุปคำตอบเองว่า คนเราเกิดมาเพื่อมีชีวิตอยู่และเรียนรู้ที่จะให้ชีวิตอยู่ให้คุ้มกับการเกิดมาเป็นคน… แต่ตอนนี้ผมไม่แน่ใจ ว่าใช้ชีวิตคุ้มค่าหรือยัง

วิถีชีวิตที่ซ้ำซากจำเจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่ได้ทำให้อะไร อะไร พัฒนาขึ้นมามากกว่าที่เป็นอยู่สักเท่าใดนัก หนำซ้ำบางทียังรู้สึกถึงการถอยหลังเข้าคลองของตัวเองอีกด้วย ถ้าเปรียบเทียบสังคมเป็นเครื่องจักร ผมก็คงเป็นเพียงน็อตตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก แม้มันจะหลุดหายไปก็ไม่ได้ทำให้สังคมพังครืนลงมาแม้แต่น้อย

จึงไม่ใช่เรื่องยากนักที่ผมจะถีบตัวเองกระเด็นออกจากเมืองหลวง หลุดจากกรอบสังคมที่เคยอยู่เพื่อไปแสวงหาบางอย่างให้กับชีวิต

บนดอยสูง ยิ่งสูงยิ่งหนาว ผมดั้นด้นมาเพียงเพื่อจะหนีให้พ้นจากสังคมวุ่นวายที่ผมอยู่มาแต่เล็กแต่น้อย ผมเดินออกมาเฉยๆ ไม่มีใบลาออกและไม่ได้ถูกไล่ออก และกว่าใครในบริษัทจะรู้ว่าผมออกจากงานผมก็มายืนอยู่บนดอยสูงแห่งนี้เสียแล้ว บางครั้งก็ไม่ค่อยแน่ใจในการกระทำของตัวเองสักเท่าใดนัก บางทีผมก็นึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจที่มีความอดทนต่อความเป็นอยู่น้อยเหลือเกิน หากยังอยู่ บางทีเจ้านายอาจมองเห็นความเป็นคนเก่าคนแก่ของบริษัทและเลื่อนขั้นเงินเดือนให้ ไม่ต้องดิ้นรนอะไรผมก็มีเงินพอจ่ายเพราะตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน จะมีก็แต่บ้านเด็กกำพร้าที่ผมเติบโตมาเท่านั้นที่ผมต้องเจียดเงินเดือนทุกเดือนให้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเด็กกำพร้าที่นั่น แต่ตอนนี้ผมไม่ได้ส่งเงินให้บ้านเด็กกำพร้าแล้ว บนดอยสูงแห่งนี้ เงินไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นกับชีวิตมากนัก ผมมีความสุขกับการเป็นครูสอนหนังสือเด็กชาวเขา ที่นี่มีครูอาสาอยู่ก่อนแล้วคนหนึ่ง เธอเป็นผู้หญิงที่ผมยกย่อง เธอแกร่งกว่าผู้หญิงหลายคนที่ผมรู้จัก เราพูดคุยถึงเรื่องความต้องการที่แท้จริงในชีวิต เธอมาอยู่บนดอยเพราะอุดมการณ์ บางครั้งผมเองก็ตกใจเมื่อเธอพูดถึงอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต เธอไม่ปรารถนาที่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวงอาชีพที่เธอทำอยู่ หากเธอต้องการเพียงเป็นคนธรรมดาที่มีคุณค่าบนดอยสูงแห่งนี้เท่านั้น

ผมอยู่บนดอยเสียพักใหญ่ เมื่อเริ่มรู้สึกว่าไม่มีอะไรดีขึ้น แน่นอนว่าผมอยู่ที่นี่สบายใจมากกว่าอยู่ในเมืองหลวง ผมไม่ต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปแข่งขันกับใคร ไม่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการขึ้นรถเมล์ที่ยังจอดไม่สนิทแล้วกระชากรถออกอย่างไม่ปราณีปราศรัยผู้โดยสาร และผมก็ไม่ต้อง-ไม่ต้อง อะไรอีกหลายอย่าง บนดอยทำให้ผมใจเย็นเพราะอากาศเย็น แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องไปจากที่นี่ เหมือนหัวใจมันแสวงหาไม่มีที่สิ้นสุด หาทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าหาอะไรและหาไปทำไม วันที่ผมลงจากดอย เธอมาส่ง

“เคยคิดว่าจะมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ร่วมชีวิต แต่แล้วก็ต้องกินอุดมการณ์เพียงลำพัง เหมือนเคย” ไม่มีแววเย้ยหยันในดวงตาและน้ำเสียง ไม่มีการแสดงออกว่าเสียใจสำหรับการจากลาของผม เธอไม่มีน้ำตา นอกจากรอยยิ้มที่แตะแต้มใบหน้า

ผมนั่งรถไฟข้ามวัน ข้ามคืนมาจนไกลและแน่ใจว่าอยู่อีกภาคหนึ่งของเมืองไทย ผมกลายเป็นคนพเนจรไปเสียแล้ว ผมกำลังค้นหาตัวเอง แต่ก็ยังไม่พบ..ในสิ่งที่หา ผมอาจจะค้นหาในสิ่งที่หายไป หรือสิ่งที่ไม่เคยได้ นี่คือปัญหาที่ผมเผชิญอยู่ ผมอาจจะไม่รู้จักตัวเองเลยก็ได้จึงทำให้ผมตัดสินใจให้อนาคตตัวเองแบบนี้

แล้วในที่สุดผมก็หยุดสิ่งต่างๆ ทั้งปวงไว้ที่นี่ เมื่อมีโอกาสได้มาอยู่กับชาวเล ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยทะเลเป็นบ้าน เป็นแหล่งทำมาหากิน และเป็นชีวิต พวกเขาด้อยโอกาสทางสังคม ไม่มีบัตรประชาชน ไม่มีสิทธิเลือกผู้แทนและไม่มีการศึกษา เด็กน้อยชาวเลตัวดำกร้านแดด ใคร่เรียน ใครรู้ แต่ไม่มีใครที่จะให้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ ไม่มีใครที่จะเสียสละความสุขสบายส่วนตัวมาทนลำบากกับท้องทะเลที่ไร้อนาคต ไม่มีบุคคลผู้กินอุดมการณ์เป็นอาหารหลักคนใดนึกถึงชาวเล ผมเอง ไม่ใช่มนุษย์อุดมการณ์ แต่ผมหมดความ “อยาก” ที่จะดิ้นรนและแสวงหาความสบายอันไม่จีรัง มาออยู่อย่างถาวรกับคนเลที่นี่ และผมก็ได้รู้แล้วว่า สิ่งที่ผมค้นหาอยู่คืออะไร และแน่ใจว่าคุ้มค่าแล้วกับการมีชีวิตอยู่ ผมทำตัวให้เป็นประโยชน์กับสังคมชาวเลที่อาศัยอยู่ อย่างน้อยผมก็รู้ว่าตัวเองมีค่า และถ้าหากว่าผมตาย ผมก็แน่ใจว่าผมจะตายอย่างมีค่า ไม่ใช่ตายอย่างหมาข้างถนน… /




หมายเหตุ : เ็ป็นเรื่องสั้นที่เขียนไว้ราวปี 2550 ส่ง รวมเล่มประกวด Thailand Indy awards 2008 (9 ม.ค. 51)




Create Date : 12 มกราคม 2557
Last Update : 12 มกราคม 2557 2:28:32 น.
Counter : 2067 Pageviews.

1 comments
  
ทำไมคนนี้ค้นพบตัวเองง่ายจัง เรายังหาไม่เจอเลย ยังหลงอยู่เลย :)
โดย: รายารีย์ IP: 14.207.112.221 วันที่: 13 มกราคม 2557 เวลา:12:54:04 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดาริกามณี
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]



Just Do it :


* มีอีกชื่อว่า หญ้าเจ้าชู้

* เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์บทประพันธ์
รักข้ามรั้ว (หญ้าเจ้าชู้)
ลุ้นสุดฤทธิ์ พิชิตรัก (หญ้าเจ้าชู้)
ภารกิจรักพิทักษ์เธอ (หญ้าเจ้าชู้)
ปีกแห่งฝัน (ดาริกามณี)

* เป็นสาวก 'รงค์ วงษ์สวรรค์
* เป็นแฟน คาราบาว
* เป็นกิ๊ก เฉลียง
* ฝืนอะไรที่เป็นอื่น ฝืนอัตตา
สูงเทียมฟ้าก็มิเท่า เป็นเราเอง

* การปรากฎตัวของคนคนหนึ่ง
อาจเปลี่ยนใครอีกคนไปทั้งชีวิต

* หากต้องการอ่านนิยายที่ใส่รหัส,
รบกวน "ฝากข้อความหลังไมค์" จ่ะ