สิงหาคม 2554

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
29
30
31
 
 
All Blog
เรื่องสั้น : คู่กัด คู่กัน
เรื่องสั้นที่เขียนตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น นับถอยหลังไปก็น่าจะเกินสิบปีได้ ถ้อยความ หรือภาษาที่ใช้ยังเป็นภาษา "สมัยโน้น" ที่ถนัด...เคยตีพิมพ์ในนิตยสาร วัยน่ารัก สมัยคุณ นิจ อักษรา เป็น บก.เรื่องสั้นโน่นแน่ะ

มะ มาอ่านกันเลย ~

-------------------------------------------------------------


คู่กัด คู่กัน










“ชื่อผิงค่ะ ผิงดาว” เด็กสาวตัวเล็กๆ ผมสั้นตรงระต้นคอสวมแว่นตาบางกรอบกระ เสื้อลูกไม้แขนยาวสีขาว สวมกระโปรงยีนส์ยาวกรอมเท้า รองเท้าหนังกลับหุ้มข้อ ดูขัดตาแต่ก็ลงตัวอย่างน่าแปลก เจ้าตัวยิ้มกว้างตาหยีหลังจากที่รายงานตัวเสร็จ หลายคนแปลกตา แปลกใจ เด็กผู้หญิงคนเดียวที่สมัครเข้าเรียนกวดวิชาที่นี่ ก็เพราะที่นี่เปิดติวเพื่อสอบเข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาทางด้านช่างโดยตรง

“จบจากที่ไหนมาครับ”
เมื่อเป็นผู้หญิงคนเดียวก็เลยถูกสัมภาษณ์นานหน่อย

“เทคนิคค่ะ แถวๆ สวนพลู”
เด็กช่างด้วยกันย่อมรู้ สถาบันแห่งนี้มีชื่อเสียง หลายคนสนใจ แต่ในความสนอกสนใจนั้น หลายคนคิดไม่เหมือนกัน

“จะไหวเร้อตัวกะเปี๊ยกเดียว ปีนเสาไฟฟ้าได้ด้วยหรือจ๊ะ”
ชายหนุ่มท่าทางกวนๆ แซวมาจากด้านหลัง

“ยังให้คำตอบไม่ได้ค่ะ ต้องรอดูผลการสอบ”
เป็นคำตอบที่ทำให้หลายคนคิดไม่ถึง หลายคนอึ้ง และหลังจากที่สอบถามถึงความเป็นมาแต่ละคนเพื่อทำความคุ้นเคย ขณะที่อาจารย์ยังไม่เข้าสอน นักเรียนทั้งหลายก็ได้โอกาสคุยกัน ทำความรู้จัก เพราะหลายคนที่มาจากต่างจังหวัด คนละภาค บ้างก็จากเหนือ จากอีสาน แม้แต่จากใต้ก็ยังมี

“หวัดดี เรานั่งตรงนี้ค่ะ”
ผิงไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าคนนั่งข้างๆ หน้าตาเป็นอย่างไร ผิงสังเกตได้เพียงเขาเป็นผู้ชายร่างสูง ขายาวเก้งก้าง เขานั่งเอาหนังสือปิดหน้า หลับในห้องเรียน อาจารย์เข้าสอนแล้วเขาก็ยังนั่งเฉย ผิงเลยเอาไม้บรรทัดฟาดเผียะเข้าที่ต้นขา

“เฮ้ย โว้ย โอ้ย เจ็บนะ ใครหาเรื่องวะ”
นั่นยังไง หลับไม่รู้เรื่องจริงๆ อาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าชั้นหันมา และทุกคนในชั้นเรียนมองเขาเป็นตาเดียว เพราะเสียงเขา ไม่เบาเลย

“ยายเปี๊ยก หาเรื่องเหรอเดี๊ยะ…โดน”
ไม่พูดเปล่ายังเงื้อหมัดขึ้นสูงพร้อมจะชก หากกรรมการห้ามทัพรีบแยกออกก่อนที่ยายเปี๊ยกจะโดนเข้าจริงๆ

“ตัวเท่ายักษ์ รังแกผู้หญิง ไม่แน่จริงนี่หว่า”
ยายตัวเล็กก็ใช่ย่อย แล้วทั้งคู่ก็ถูกแยกเก้าอี้ทันทีเพราะไม่อย่างนั้นแล้วบางทีอาจได้ดูมวยคู่เอก

“ชึ่” เขามองหน้าหาเรื่องเต็มที่ เหอะ …จะแกล้งให้แสบเลย ยายเปี๊ยกเอ๋ย

****
ขณะพักเที่ยง ผิงดาวกับเพื่อนอีกสองคนซึ่งก็เพิ่งจะรู้จักกัน นั่งสนทนาที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใกล้อาคารเรียน ลูกบาสเกตบอลก็ปลิวหวือข้ามศีรษะตกน้ำไป คนวิ่งตามมาเก็บลูกบาสไม่ใช่ใคร นายโย่งตัวแสบคู่อริ

“ถ้าเธอตัวใหญ่กว่านี้นิดเดียว รับรองได้ว่าหัวโน”

“ถ้าโดนหัวฉัน นายก็เจ็บตัว”

“ทำไม จะทำอะไรฉันฮ้า ยายเปี๊ยก ตัวเท่าลูกแมว กลับบ้านไปกินนมไป” ยังไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ กล่องดินสอซึ่งนัยว่าทำมาจากอะลูมิเนียมค่อนข้างหนักก็ปลิวโดนศีรษะคนพูดเต็มๆ แล้วก็เป็นเรื่อง… คนที่ยืนเอามือกุมศีรษะมีเลือดไหลตามง่ามมือ

“เฮ้ย หัวแตก…ยัยตัวแสบ มานี่เลย”
ว่าแล้วก็คว้าแขนคนตัวเล็กกึ่งลากกึ่งจูงจนแทบปลิวไปกับแรงกระชาก เพื่อนที่นั่งอยู่ต่างลุกขึ้นเพื่อช่วยเหลือ

“ใครไม่เกี่ยว ถอยไป”
เขาเสียงดัง และคนตัวสูงจ้ำอ้าวไปที่ห้องพยาบาล เลือดที่ไหลจากง่ามมือถึงข้อศอกเปื้อนเสื้อแขนยาวที่พับลวกๆ

“เจ็บชิบเป๋ง.. ไปเอาสำลีมา ยาด้วย อาจารย์ไม่ต้องครับ ยายเปี๊ยกอยากลองเป็นพยาบาล”
เขายกมือเปื้อนเลือดปางห้ามญาติห้ามอาจารย์ประจำห้องพยาบาลไม่ให้ยุ่งเกี่ยว แต่คนที่เป็นอาจารย์พยาบาลก็ไม่เอ่ยปาก นอกจากรักษาตามหน้าที่ ไม่ได้เชื่อฟังคนตัวสูงหัวแตกมาแต่อย่างใด ‘ยายเปี๊ยก’ จึงได้เป็นลูกมือช่วยพยาบาล

“ไม่มากหรอก ไม่ถึงกับต้องเย็บ แต่อย่าให้แผลโดนน้ำ พรุ่งนี้มาล้างแผลกับครู”
แล้วเขาก็ออกมาจากห้องพยาบาล ผิงดาวได้แต่นิ่งเงียบ ไม่ยอมรับผิดแต่ไม่ปฏิเสธว่าตัวเองเป็นคนทำ

หลายวันผ่านไปทั้งคู่ก็ยังไม่ยอมพูดคุยกัน คนตัวสูงที่ผิงดาวรู้แล้วว่าชื่อภากรนั่งห่างกันสองช่วงโต๊ะ แม้เวลาจับกลุ่มติว ก็ไม่ได้พูดจากันสักคำ เพื่อนทุกคนรู้…คู่นี้ไม่ถูกกัน แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ นอกจากคอยห้าม ‘มวย’ เมื่อทั้งคู่ตั้งท่าจะตีกันขึ้นมา

****

สนามบาสเกตบอลกลางแจ้งตอนฝนตก ไม่น่าจะมีใครเล่นกีฬา หากเสียงทุ่มบอล ชูตบอลที่ดังแข่งกับเสียงฝนที่เริ่มซาทำให้คนที่กำลังนั่งทำการบ้านอยู่ในห้องเรียนต้องชะโงกหน้าออกมาดู ร่างสูงในชุดกีฬากลางสนามบาสคือภากร นายตัวโย่งขายาวคนที่ผิงดาวเกลียดนักหนา

“มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีกละเนี่ย”
ผิงดาวพึมพำก่อนวางปากกาลงและตรงไปยังสนามบาสเกตบอล เธอโมโหที่เขาไม่รู้จักไปเตรียมตัวอ่านหนังสือ ทั้งที่จะสอบอยู่อีกไม่กี่วันข้างหน้า

เหมือนเทวดาจะเป็นใจ ลูกบาสกลิ้งมาที่เธอ แล้วผิงดาวก็คว้าลูกบาสมาถือไว้แนบอก

“เอาลูกบาสฉันคืนมา ยายเปี๊ยก”
คำพูดของภากรทำให้ผิงดาวอยากจะโยนลูกบาสทุ่มใส่หน้า หรือไม่อีกทีก็คิดว่าน่าจะโยนลงสระน้ำไปเลย

“ไม่ให้ นายจะทำไม อาทิตย์หน้าจะสอบกลับบ้านไปอ่านหนังสือได้แล้วไป”
สายตาเอาเรื่องของผิงดาวทำให้ภากรยืนนิ่ง ก่อนจะหาเรื่องต่อ

“แล้วเธอยุ่งอะไรกับฉัน”

“ถ้านายไม่ใช่เพื่อนฉัน ฉันจะไม่แม้แต่มองมาเลยแหละ”

“แต่ฉันไม่ถือว่านี่เป็นบุญคุณหรอก แล้วเธอก็ไม่ต้องทำเป็นมาเห็นใจคนอื่น”
ว่าจบก็เข้ามาแย่งลูกบาสในมือเธอซะดื้อๆ ผิงดาวเหลืออดจึงหันหลังกลับห้องเรียนแล้วเก็บกระเป๋ากลับบ้าน พลางบ่นพึมพำอย่างแค้นใจ “ไม่น่าหวังดีกับมันเล้ย”

ขณะรอรถยืนรอรถเมล์ สักพักภากรก็มาในชุดกีฬาเปียกๆ กระเป๋าที่ตุงด้วยชุดที่ใส่มาเรียน ในมืออีกข้างหิ้วรองเท้า เดินตรงมาที่ผิงดาว

“ไง ยังไม่กลับอีกเหรอ ยายเปี๊ยก”
เขายืนกระแซะข้างๆ

“ถ้ากลับแล้วจะเห็นฉันยืนอยู่ตรงนี้เหรอ”

“เถียงคำไม่ตกฟาก มิน่าล่ะถึงไม่มีใครคบ”

“อย่าหาเรื่องนะ ฉันไม่คบใครแล้วก็ไม่ให้ใครคบต่างหาก”

“ถือว่าเรียนเก่งก็เลยไม่อยากให้ใครเด่นกว่าล่ะสิ เหอะ สอบให้ได้ก่อนแล้วค่อยหยิ่ง”

“นี่นายกร นายยืนนิ่งๆ แล้วปิดปากซะได้ไหม ถ้านายไม่รู้อะไรแล้วก็อย่ากล่าวหาคนอื่นแบบนี้”
ทั้งสองทะเลาะกันแต่ไม่ได้มองหน้ากัน ต่างคนก็หันหน้าไปยังถนน บางคราวก็ชะเง้อมองดูรถเมล์ที่ผ่านมาว่าใช่สายที่จะขึ้นหรือเปล่า แต่ทั้งคู่ก็ยืนชิดกัน.. เพื่อการปะทะคารมโดยที่ไม่ให้คนอื่นรู้

“ไปก่อนนะยายเปี๊ยก พรุ่งนี้เจอกัน…”
ภากรโบกมือให้ขณะที่รถเมล์จอด เขาวิ่งผลุบหายขึ้นไปบนรถไม่ทันที่ผิงดาวจะส่งคารมตามหลังรถก็ออกซะแล้วเธอจึงได้แต่บ่นอยู่คนเดียว

“นายโย่งตัวแสบ สอบไม่ได้ล่ะจะหัวเราะให้ฟันร่วง”

****

ม้าหินอ่อนใต้ซุ้มเฟื่องฟ้าคือที่ ‘หลบมุม’ ของผิงดาว เธอมักจะอยู่ที่นี่เสมอถ้าไม่ได้เข้าห้องเรียน แต่ผิงดาวมักจะอยู่คนเดียว บางคราวบางครั้งจะมีเพื่อนมานั่งให้เธอติวหนังสือให้หรืออธิบายโจทย์คณิตศาสตร์ เพราะผิงดาวเรียนหนังสือเก่ง บวกกับอุปนิสัยไม่ชอบสุงสิงกับใครนักและค่อนข้างเงียบขรึมเป็นส่วนใหญ่จึงทำให้เธอไม่ค่อยมีเพื่อน แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ผิงดาวคิดอะไร เธอพึงใจกับการอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่า

“หวัดดีครับผิง อ่านหนังสือเหรอฮะ ขอผมนั่งด้วยคนนะ”
ชายหนุ่มยิ้มแย้มทักทายก่อนจะนั่งลงตรงข้ามโดยไม่รออนุญาต ผิงดาวมองหา ‘คู่หู’ ของคนที่นั่งตรงข้าม

“วันนี้กรมาไม่ได้ ไข้ขึ้น เมื่อเช้าไปโรงพยาบาลตอนนี้นอนอยู่บ้านแล้ว”
ผิงดาวนั่งฟังเงียบๆ

“อ้อ”
พอรู้ว่าเงียบนานไปหน่อยจึงได้พึมพำออกมา เธอรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ภากรลุกไม่ขึ้นเพราะเขาซ้อมบาส ตากฝนเมื่อวานนี้เอง ผิงดาวแอบสมน้ำหน้าอยู่ในใจ แต่อีกความรู้สึกก็อดเป็นห่วงไม่ได้.... จะเป็นอะไรมากไหมนะ

“แล้วบอกอาจารย์หรือยัง”

“อาจารย์บอกว่ามีคนที่บ้านโทฯ มาลาให้แล้ว ตอนเย็นผมก็จะไปเยี่ยมกร ผิงไปด้วยกันไหม?”
ผิงดาวครุ่นคิดชั่วครู่จึงตอบปฏิเสธ

“ไม่ดีกว่า ไม่อยากถูกกล่าวหาว่าไปเยาะเย้ย แล้วนายกรก็ยิ่งไม่ค่อยจะชอบหน้าเราอยู่ด้วย ถ้ามันเจอหน้าเราบางทีอาจจะช็อคตายไปเลยก็ได้”
ผิงดาวคิดอย่างนั้นจริงๆ

“ผิงคิดว่ากร..ไม่ชอบผิงเหรอ?”
กรันต์พูดอย่างมีเลศนัย

“ก็ใช่สิ เจอเราทีไรมันเคยพูดดีๆ กับเราเหรอ”

“แล้วผิงเคยพูดดีๆ กับกรหรือเปล่าล่ะ”
กรันต์ย้อนถาม

“เปล่า”
ผิงดาวยักไหล่ยอมรับตรงๆ

“บางที ถ้าผิงมองกรในแง่ดี ผิงอาจจะไม่คิดอย่างนี้ก็ได้”
ว่าจบก็ลุกไปปล่อยให้ผิงดาวนั่งงงอยู่คนเดียว ถ้ามองนายกรในแง่ดีงั้นเหรอ? … ไม่เห็นจะมีอะไรดีให้มอง

ตอนเย็นผิงไปรอกรันต์ที่หน้าชั้นเรียนเพื่อที่จะไปเยี่ยมภากร

“นึกแล้วว่าผิงต้องมา”

“ทำไมล่ะ”

“ก็ผิงไม่ใช่คนใจร้าย”

“เราไม่เคยใจร้าย เพียงแต่เรายังไม่มีเหตุผลที่ต้องใจดี”

“กรคงดีใจที่เห็นผิงไปเยี่ยม”

“กรันต์ นี่ก็พูดแปลก”
กรันต์หัวเราะในลำคอ ไม่ต่อความ

****

ภากรตื่นขึ้นมา เข็มนาฬิกาเดินอยู่ที่เวลาห้าโมงเย็น ทั้งบ้านตอนนี้ไม่มีใครอยู่ คุณพ่อคุณแม่ไปทำงาน พี่เกื้อและเจ้าเก้าน้องชายคนเล็กก็ไปเรียน แต่ภากรก็ไม่ได้ใส่ใจนัก เขารู้สึกหนักศีรษะเหมือนใครเอาหินก้อนมหึมาวางไว้ ชายหนุ่มลุกไปสูดอากาศที่หน้าต่างแล้วกลับมานอนอย่างเดิม
ผิงดาวกับกรันต์ไปถึงบ้านภากรเกือบหกโมงเย็นแล้ว กรันต์กดกริ่งสองสามครั้งก็มีคนมาเปิดประตูให้ ซึ่งเป็นแม่บ้านของบ้านนี้

“สวัสดีครับ ผมมาเยี่ยมกร”
กรันต์บอกเจ้าแม่บ้านก่อนเดินตามเข้าไปในบ้าน ภากรนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ผิงดาวเอามืออังที่หน้าผากซึ่งทันทีที่สัมผัสเธอก็ต้องรีบชักมือออก

“หนักแฮะ”
ผิงดาวพึมพำ สักครู่แม่บ้านก็ถือถาดใส่น้ำสองแก้วมาให้ทั้งคู่

“นอนหลับสนิทเลย คงไม่รู้ว่ามีเพื่อนมาเยี่ยม ไม่ต้องปลุกดีกว่า… ให้พักผ่อนมากๆ”
อันที่จริงภากรแค่แกล้งหลับ เขาเพียงอยากรู้ว่ายัยเปี๊ยกมาทำไม บางที อาจจะมาเพื่อหัวเราะเยาะเย้ยที่เขาลุกไม่ไหว อย่างยัยคนนี้… คงไม่หวังดีกับใครจริงๆ หรอก

ภากรไม่เคยคิดดีกับผิงดาวจริงๆ อาจเพราะเขาเป็นผู้ชาย ไม่มีพี่น้องเป็นผู้หญิง แต่เล็กจนโตก็เล่นและเรียนอย่างเด็กผู้ชาย เขาไม่ชอบผู้หญิง เพราะน้องชายคนเล็กของเขาทำท่าว่าจะเป็นผู้หญิง... ภากรบอกแม่ในวันหนึ่งว่าน้องแอบเอาลิปสติกแม่ไปทาปาก แต่แม่ก็ไม่เชื่อเขาแถมยังถูกดุหาว่าไปแกล้งน้องเสียอีก เขาเป็นลูกชายคนกลางที่อาภัพ ภากรคิดอย่างนั้น เพราะพี่เกื้อพี่ชายคนโตเรียนดีและทำให้พ่อกับแม่เอาไปคุยอวดใครๆ ได้ แต่เขาต้องถูกส่งเข้าเรียนกวดวิชาเพราะแม่กลัวว่าเขาจะสอบเรียนต่อในระดับสูงกว่านี้ไม่ได้ ส่วนเจ้าเก้าน้องชายคนเล็กก็หน้าตาน่ารัก ซึ่งเขาชอบมองค้อนอย่างหมั่นไส้เพราะเจ้าเก้าหน้าตากระเดียดไปทางผู้หญิง ภากรไม่ปฏิเสธว่าเขาชอบแกล้งน้อง

เรื่องของภากร กรันต์เล่าให้ผิงดาวฟัง ซึ่งนั่นทำให้ผิงดาวมองภากรในแง่ดีขึ้น และความจริงแล้วภากรก็ไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่แสดงออก แต่เพราะการแสดงออกอย่างนั้นมันช่วยปกปิดปมด้อยในครอบครัวที่เขามี กรันต์เป็นเพื่อนที่ ‘โตมาด้วยกัน’ กับภากร เขาจึงรู้จักภากรดี…

ครู่ใหญ่ภากรจึงลืมตาขึ้น… เพราะเขาเบื่อกับการนอนนิ่งๆ และแกล้งหลับทั้งที่ไม่ได้หลับ กรันต์เป็นคนพยุงเขานั่งในท่าสบาย และแม่บ้านก็ไปเตรียมผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้

“ผิงมาเยี่ยม”
กรันต์บอกเพื่อน ภากรมองข้ามไหล่ของกรันต์ไปยังหญิงสาวตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“ขอบใจ”
เขาทำท่าเหมือนไม่เต็มใจและมองค้อน ผิงดาวยิ้ม… เพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนเจ็บ

“เราจดเลคเชอร์เผื่อนายด้วย”
กรันต์มีน้ำใจ

“ของเราด้วย”
ผิงดาวเผื่อแผ่ เธอยื่นสมุดเลคเชอร์ให้เขา ภากรไม่รับ เพราะเขาไม่แน่ใจ..ยายเปี๊ยกจะมาไม้ไหน

“ไม่ต้องหรอก อีกสองวันก็ไปเรียนแล้ว ยังไม่ถึงตาย ไกลหัวใจ”
เขายังปากจัด ถ้าเป็นตอนที่ไม่ป่วย บางทีผิงดาวอาจจะยอกย้อน และบางทีอาจจะลงไม้ลงมือ แต่ตอนนี้เธอใจเย็น อาจจะเพราะได้รู้เรื่องราวของเขาแล้วก็เป็นได้ ผิงดาวจึงมองเขาในแง่ดีขึ้น ภากรไม่ได้เป็นอันธพาลด้วยนิสัย…

เสียงรถยนต์วิ่งเข้ามาในบ้าน พ่อกับแม่ของภากรกลับมาแล้ว ผิงดาวและกรันต์ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน เด็กชายวัยประมาณเก้าขวบวิ่งมาที่เตียงของพี่ชาย

“หูย คุณแม่ฮะ พี่กรเจ็บแย่เลยเนี่ยตัวร้อนจี๋ เดี๋ยวเก้าเอาผ้ามาเช็ดตัวให้นะพี่กร”

“ไม่ต้องเจ้าเปี๊ยกไปไกลๆ เดี๋ยวเตะ”
ที่แท้ภากรก็ติดปากเรียกเธอว่า ‘ยายเปี๊ยก’ มาจากที่เรียกน้องชายนี่เอง

“แม่ฮะพี่กรเตะหนู”
น้องชายก็.. พอๆ กัน เพราะพี่ยังไม่ทันได้เตะ และแน่นอน ภากรลุกมาเตะใครไม่ไหวหรอก

คุณแม่ของภากรทักทายกรันต์และผิงดาว และชวนทั้งสองให้ทานมื้อเย็นที่บ้าน กรันต์ไม่ปฏิเสธแต่ผิงดาวไม่กล้า

“จะกินไม่กิน ไม่กิน ไม่ได้สมุดเลคเชอร์คืน”
ภากรขู่.. แต่ได้ยินกันสองคน เธอตาขุ่น เพราะนี่คือการบังคับ แต่ความจริงแล้วผิงดาวเองก็เกรงใจคุณแม่ของภากร เพราะผู้ใหญ่เชิญ ต้องรักษามารยาท

ก่อนกลับบ้าน คุณแม่ของภากรยังชวนผิงดาวให้มาที่บ้านอีกบ่อยๆ ดูเหมือนท่านจะชอบผิงดาว อาจเพราะเธอเป็นเด็กผู้หญิง และท่านก็ไม่มีลูกสาว ดังนั้นในวันถัดมาซึ่งเป็นวันหยุดผิงดาวจึงมาที่บ้านภากรอีกครั้ง และครั้งนี้กรันต์ไม่ได้มาด้วย ผิงดาวเล่นเกมครอสเวิร์ดและเกมคอมพิวเตอร์กับน้องชายของภากรอย่างสนุกสนาน จนภากรฉุนที่ตัวเองไม่ได้เป็นที่สนใจ

“เล่นกับเจ้าเปี๊ยกมันมาก เดี๋ยวก็ติดนิสัยเธอไปหรอก”

“นิสัยฉันมันไม่ดีตรงไหน น้องถึงติดไม่ได้”

“อ๊าว..ก็เธอเป็นผู้หญิง เจ้าเก้ามันยิ่งทำท่าจะเป็นกะเทยอยู่ด้วย”

“เป็นกะเทยแล้วผิดตรงไหน ไม่ใช่คนหรือไง ทำไมนายไม่มองคนอื่นในทางที่ดีๆ บ้าง ถึงจะกะเทย จะตุ๊ดจะเกย์ ถ้าไม่ทำให้ใครเดือดร้อนแล้วมันผิดตรงไหน อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นสิ”
เสียงที่ผิงดาวสนทนากับภากรนั้น คุณแม่ของภากรบังเอิญได้ยินจึงยิ่งเอ็นดูเด็กสาวมากขึ้นที่มองโลกในแง่ดีและไม่มีอคติต่อแวดล้อม ซึ่งภากรตรงกันข้าม คนเป็นมารดาจึงวางใจขึ้นเมื่อเพื่อนที่ลูกชายคบเป็นคนดี ซึ่งนั่นอาจจะทำให้ภากร… ดีขึ้น

แล้วภากรก็เก็บเอาคำพูดของผิงดาวมาคิดจริงๆ เขาเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายมาตลอด ไม่เคยเปิดใจให้กว้างยอมรับความจริง จนบางคำพูดของผิงดาวมาสะกิดความรู้สึกเข้า… พักหลังที่ไปเรียนเขาจึงไม่หาเรื่องเธอนักแต่ก็ไม่ได้พูดดีๆ กับเธอเท่าไหร่เพราะยังวางฟอร์ม ผิงดาวเองก็ไม่สุงสิงกับเขาแต่เธอสนิทกับกรันต์มากขึ้น ทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะตอนเที่ยงที่โรงอาหาร หลังเลิกเรียนยังไปดูหนังด้วยกันอีก

“นายกรันต์ ตอนนี้มีหญิงตามก้นไม่สนใจเพื่อนเลยนะ”
ภากรพูดกับกรันต์ในวันหนึ่ง ผิงดาวก็ยืนอยู่ตรงนั้น ปากเขาพูดกับกรันต์แต่ตาขวางมองเธอ ท่าทางอย่างนี้เองที่ผิงดาวไม่ค่อยชอบ เขาพาลทุกเรื่องที่ไม่ได้ดังใจ

“แล้วนายเคยไยดีเพื่อนหรือเปล่าล่ะ?”
ผิงดาวย้อน กรันต์เงียบเพราะรู้..คู่นี้พบกันเมื่อไหร่ เป็นเรื่อง

“ยุ่งน่า ยัยเปี๊ยก เรื่องของคนอื่น ไม่เกี่ยวกับเธอ”

“ก็นายพาลฉัน”

“เธอแหละพาล”

“นายสิพาล”

“หยุดเลย หยุดทั้งคู่แหละ โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงอยู่แล้วยังทะเลาะกันเป็นเด็กไปได้ จะคุยกันดีๆ นี่มันยากนักหรือไง ถ้านายสองคนยังจะทะเลาะกันอยู่อีกละก็ เชิญ.. ฉันไปละ”
แล้วกรันต์ก็หันหลังเดินหนี ไปซะดื้อๆ เป็นเหตุให้นักมวยทั้งคู่หุบปากสนิท

“มันงอนว่ะ”
ภากรเสียงอ่อย ผิงดาวมองหน้าแล้วพาลโกรธเขาอีกคน เธอเดินตามกรันต์ไป ภากรจึงตามไปบ้าง

“ฉันขอโทษ”
เสียงที่ดังขึ้นพร้อมกัน ทำให้เจ้าของเสียงทั้งสองมองหน้ากัน แล้วยิ้มให้กัน…เป็นครั้งแรก

กรันต์มองทั้งสองแล้วถอนหายใจ

“ผิงก็เพื่อนฉัน ภากรก็เพื่อนฉัน ถ้านายสองคนไม่ถูกกันแล้วฉันจะยังมีเพื่อนอยู่อีกเหรอ เรามาเรียนนะ ไม่ใช่มารบ ทำไมพวกเราสามคนไม่ช่วยกันติว เพื่อที่จะสอบให้ได้? ดีกว่าที่จะเป็นแดงข้างน้ำเงินข้างเป็นไหนๆ ขอร้อง…”
กรันต์พูดยาว ทั้งที่เป็นคนไม่ค่อยพูด บางทีเขาก็เหลืออด

“ร้องเพลงอะไร?”
ภากรทะเล้น

“เพลงสามัคคีชุมนุมไง… สัญญากับฉันก่อนว่านายสองคนจะไม่เกลียดกัน ไม่ทะเลาะกันอีก สัญญา..”
กรันต์ยกสองนิ้วชูให้สองคนเป็นตัวอย่าง

“เล่นเป็นเด็ก”
ผิงดาวค้อนแต่ก็ยอมทำตามโดยดี และสัญญาว่าจะไม่ทะเลาะกันอีก (ถ้าไม่จำเป็น) แล้วทั้งสามคนก็จับมือกัน แววตาเชื่อมั่น แล้วอยู่ๆ ภากรก็หันไปซุบซิบกับกรันต์สองคน ปล่อยให้ผิงดาวนั่งทำหน้างง

“ฉันสัญญาว่าจะไม่เกลียดยัยเปี๊ยก… แต่ไม่สัญญานะว่าจะไม่รัก…”
เป็นคำพูดที่ได้ยินกันสองคน ผิงดาวมองคาดคั้น ชายหนุ่มสองคนทำไม่รู้ไม่ชี้ บางที อีกไม่นานยัยเปี๊ยกก็จะรู้…ภากรคิดอะไร…/



หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก Internet



Create Date : 28 สิงหาคม 2554
Last Update : 28 สิงหาคม 2554 23:03:27 น.
Counter : 1618 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดาริกามณี
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]



Just Do it :


* มีอีกชื่อว่า หญ้าเจ้าชู้

* เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์บทประพันธ์
รักข้ามรั้ว (หญ้าเจ้าชู้)
ลุ้นสุดฤทธิ์ พิชิตรัก (หญ้าเจ้าชู้)
ภารกิจรักพิทักษ์เธอ (หญ้าเจ้าชู้)
ปีกแห่งฝัน (ดาริกามณี)

* เป็นสาวก 'รงค์ วงษ์สวรรค์
* เป็นแฟน คาราบาว
* เป็นกิ๊ก เฉลียง
* ฝืนอะไรที่เป็นอื่น ฝืนอัตตา
สูงเทียมฟ้าก็มิเท่า เป็นเราเอง

* การปรากฎตัวของคนคนหนึ่ง
อาจเปลี่ยนใครอีกคนไปทั้งชีวิต

* หากต้องการอ่านนิยายที่ใส่รหัส,
รบกวน "ฝากข้อความหลังไมค์" จ่ะ