สิงหาคม 2550

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
18 สิงหาคม 2550
All Blog
เรื่องสั้น : เรือ
เรื่องสั้น : เรือ

“อยู่รอดูพวกผมจบก่อนนะครับอาจารย์” ประโยคสั้นๆ ของนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายภาคเรียนที่สอง ยุคที่การศึกษาเข้าถึงประชาชนทุกระดับและทุกทั่วหัวระแหงตั้งแต่เพิ่งจะถอดกางเกงขาสั้นมาทำงานโรงงาน ไปจนถึงขี่ควายอยู่กลางทุ่งนา หรือกรีดยางอยู่ในสวน แม้พื้นที่ที่ว่าไกลห่างไฟฟ้า ไม่รู้ว่าคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตคืออะไร พาณิชย์ศึกษาก็เดินไปเคาะถึงประตูหน้าบ้านโดยไม่ต้องสอบแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตาย (ซึ่งเคยมีตายมาแล้วเมื่อสอบไม่ได้ในคณะที่ปรารถนา) เหมือนในอดีตที่ผ่านมา

ยุคสมัยที่เด็ก ม. ปลาย ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าจะเรียนคณะไหนและเพื่ออะไร อีกทั้งยังมึนงงไม่หายกับการสอบโอเน็ต เอเน็ต คนอีกรุ่นหนึ่งก็ต้องการเพียงกระดาษหนึ่งใบเอาไว้ประดับบารมี ยกระดับว่ามีดีกรีปริญญาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวเอง และแปะข้างฝาด้วยภาพถ่ายขนาดใหญ่กว่าปฏิทินแถมเหล้า (ซึ่งปีนี้ไม่มีแล้ว) เท่านั้น คนกลุ่มหลังมักเป็นคนที่ปฏิเสธการศึกษาในวัยแสวงหาที่อุดมการณ์นำหน้าท้องอิ่ม ด้วยเหตุผลหลักในวาระนั้นคือต้องทำมาหากินเพื่อปากท้องก่อนอื่นใด พวกเขาพกพาคติเตือนใจไว้กับตัว คือ “ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้น”

ดังนั้นการศึกษาจึงถูกเก็บเข้าลิ้นชักพร้อมกับการสะบัดกระโปรงนักเรียนไปกองไว้มุมห้องเพื่อออก มาทำงานหาเงินสร้างเนื้อสร้างตัว เลยไปจนถึงสร้างครอบครัวมีลูกมีเต้า และเหตุผลหลักของการเลือกที่จะกลับมาสวมเครื่องแบบอีกครั้งจึงไม่ใช่เพราะอยากรู้มากกว่าที่รู้ แต่เพราะสิ่งที่รู้มาแล้วนั้นจะไม่มีใครยอมรับนับถือ ถ้าหากไม่มีปริญญามารับรองว่าสิ่งที่รู้นั้นผ่านกระบวนการคัดกรองและรองรับจากผู้ที่รู้กว่ามาแล้ว สังคมประเทศนี้ สั่งสอนกันมาแบบนี้ ไม่ว่าจะเก่งกาจมาจากไหนแต่ถ้าไร้ซึ่งใบปริญญา ความนับหน้าถือตาก็ลดถอยลงตามดีกรี... แค่กระดาษใบเดียวนั่นเองแหละ

เขาบางคนมีลูกโตจนจบปริญญาโทแล้วก็เอาไปคุยกับใครได้ไม่สะดวกปากเพราะตัวเองนั้นไม่ได้มีรูปรับพระราชทานปริญญาบัตรแปะข้างฝาเหมือนลูก ในความรู้สึกปลื้มปีติที่ลูกรักรับปริญญา มีหรือเจ้าตัวจะไม่อยากรู้สึกบ้างถึงอารมณ์นั้น...

“ครูเหนื่อย” ความทดท้อที่ออกมาจากแววตาอันหม่นโศกของคนที่ผ่านโลกมาไม่มากมายนัก แต่บังเอิญโชคดีที่อยู่ในกลุ่มเด็ก ม. ปลายที่หาคำตอบให้ตัวเองได้ว่าอยากจะทำอะไรในอนาคต เธอจึงเพียรเดินตรงตามเส้นทางที่วาดหวังเอาไว้ว่าจะต้อง “ทำเพื่อประเทศที่เกิดและบ้านเมืองที่เติบโต” และทันทีที่จบการศึกษาในระดับปริญญาโท หญิงสาววัยยี่สิบปลาย เริ่มต้นทำตามอุดมการณ์ที่วาดหวังด้วยการเป็น
อาจารย์มหาวิทยาลัยเอกชนที่เพิ่งก่อร่างสร้างตัวได้อายุเท่าฟันน้ำนมเพิ่งหลุดจากปากไม่ไปกี่ซี่ ซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลเมืองหลวงของประเทศชั่วนั่งรถไฟข้ามคืน

----------------------

ฝนเพิ่งหยุดตกได้ซักประเดี๋ยว คราบน้ำฝนเกาะตามขอบใบไม้ รอทางเลือกให้ลมหอบพาพลัดตกจากกิ่งใบหรือปล่อยให้แสงแดดอุ่นระเหยมันไปในอากาศ ใบไม้และยอดหญ้ายังคงเขียวสดเหมือนที่มันควรจะเป็น เพียงแต่ว่าสายฝนได้ชะล้างคราบไคลตามใบ ทำให้เหล่าต้นไม้ใบหญ้าดูเปล่งประกายความงามมากขึ้น สดใสร่าเริงราวกับว่าเหล่าไม้กำลังหัวเราะ อ่อนโยนบอบบางน่าถนอม สีสันของมันมีพลังลึกลับต่อทุกคนที่เร่ร่อนจากเมืองไกล สีที่เธอแทบไม่เคยพบเห็นในเมือง เมืองที่มีแต่ถนนกับคอนกรีตสีเทาทึม ทั้งๆ ที่เราต่างอยู่บนพื้นดินเดียวกัน มีร่มเงาเป็นพื้นฟ้าเดียวกัน แต่กลับรู้สึกกลับโดดเดี่ยวเหมือนอยู่กันคนละดินคนละฟ้า หัวใจของเธอมักเหน็บหนาวกับผู้คนแปลกหน้า ผู้คนเยอะแยะมากมายแทบจะเดินชนกันแต่กลับไม่อบอุ่นอย่างที่มันควรจะเป็น...

พื้นซีเมนต์ยังฉ่ำฝน เธอมองออกไปด้านนอกของห้องพักอาจารย์ พลางนึกถึงคืนวันที่ล่วงผ่าน

“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบพอจะมีเวลาว่างสักนิดนึงไหมคะ คุณพี่ทำงานอะไรอยู่คะตอนนี้”

“เป็นเสมียนที่โรงงานใกล้ๆ นี่เอง จบแค่ ปวช. ก็ทำได้แค่นี้แหละ ”

“แหมแต่บ้านคุณพี่ก็ดูมีฐานะนะคะ แสดงว่าขยันทำมาหากิน ไม่ทราบว่าคุณพี่สนใจจะเรียนต่อ หรือเปล่าคะ พอดีน้องมาจากมหาวิทยาลัยใกล้ๆ นี่เองค่ะ ของเราเรียนเฉพาะเสาร์ อาทิตย์ แล้วก็ตอนเย็นหลังเลิกงานค่ะ” เธอไม่อ้อมค้อมที่จะกล่าวถึงจุดเด่นและความน่าสนใจของสถาบันฯ ตามที่ได้อบรมมา

“โอ๊ย ไม่ไหวหรอก แค่ทำงานทุกวันนี้ก็เหนื่อยจนไม่มีเวลาพักผ่อนอยู่แล้ว” คุณพี่คนสวยปฏิเสธเสมือนดังว่าหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามกำลังพยายามยัดเยียดขายเนคไทสำหรับบุรุษที่เธอไม่ได้ต้องการมัน แต่การปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยก็ใช่ที่

“ของเราเรียนไม่หนักค่ะคุณพี่ขา ที่สำคัญคือหลักสูตรเร่งรัด เรียนแค่สามปีคุณพี่ก็ได้ปริญญาแล้ว เผลอแป๊บเดียวเองนะคะ ปีนึงเนี่ย” ผู้บริหารย้ำนักหนาว่าต้องเอ่ยถึงความเด่นเป็นพิเศษที่สถาบันของเราไม่เหมือนที่อื่น นั่นก็คือระยะเวลาการเรียนที่สั้นกว่าแต่หน่วยกิตนั้นตรงตามหลักสูตร

“แก่แล้วหัวสมองมันคงไม่ไหวแล้วล่ะ” เจ้าของบ้านแน่ใจว่าการปฏิเสธแบบนี้จะเป็นการจบบทสนทนาอย่างรวดเร็วได้

“ต๊ายคุณพี่ อย่างนี้เค้าไม่เรียกแก่หรอกค่ะ เพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันก็รุ่นๆ นี้ทั้งนั้นแหละค่ะ ถ้าสนใจก็ลองอ่านโบรชัวร์ดูก่อนแล้วก็ติดต่อมาตามเบอร์โทฯ นี้นะคะ” แล้วเธอก็ปิดการขายด้วยการฝากแผ่นพับประชาสัมพันธ์พร้อมหมายเลขติดต่อกลับ ก่อนที่จะกางแผนที่ดูเลขบ้านของที่หมายถัดไป

ระยะแรกที่ต้องออกพื้นที่ไปตามหมู่บ้านเพื่อประชาสัมพันธ์ แนะนำการศึกษานั้นเธอแทบคลั่งบ้าเพราะเชื่อตลอดมาว่าครูอาจารย์ มีหน้าที่สอนหนังสือ ประสิทธิ์ประสาทความรู้แก่ลูกศิษย์ ไม่ใช่การเดินท่อมๆ กลางสายแดดที่ร้อนเปรี้ยงบาดผิวไปตามบ้านแล้วเคาะประตูนำเสนอสินค้าที่ชื่อว่า “การศึกษา” อย่างที่เป็น และที่แน่ๆ สิ่งที่กำลังทำนั้นไม่ใช่อุดมการณ์ของเธอ

“อยู่รอดูพวกผมจบก่อนนะครับอาจารย์” ประโยคนั้นเวียนมากระทบจิตอีกครั้ง นักศึกษาคนที่เธอรับสมัครมากับมือ ชายผู้มีฐานะทางบ้านร่ำรวย มีลูกชายเรียนจบปริญญาถึงสองคน มีกิจการเป็นของตัวเอง ฐานะอย่างเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาดีกรีปริญญาหน้าไหนด้วยอาศัยความขยันสร้างเนื้อสร้างตัวจากสองมือที่มีอยู่จนธุรกิจก้าวหน้าและไม่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าฐานะนั้นมาจากการคอรัปชั่นเพราะมันโปร่งใสตรวจสอบได้ทุกกระเบียดนิ้ว...

“ผมต้องการความรู้สึกตอนที่ได้รับปริญญา มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมยังไม่มีโอกาสได้รู้สึก ผมอาจจะภูมิใจที่ลูกผมเรียนจบรับปริญญา แต่ผมอยากรู้ว่าความรู้สึกของผู้ที่ได้รับปริญญาแล้วจริงๆ เป็นอย่างไร” กว่าจะทำให้ชายวัยอายุไล่เลี่ยกับพ่อยกมือไหว้เธอในฐานะ “อาจารย์” และสร้างความเชื่อมั่น ความศรัทธาให้เกิดขึ้นในตัว “ลูกศิษย์” ได้ เธอใช้เวลาถึงสามปีเต็ม

คนที่เข้ามาเรียน มีทั้งที่ต้องการแค่ “ใบประดับเกียรติ” และกลุ่มที่ต้องการมาศึกษาหาความรู้จริงๆ ถ้าหากมองอย่างไม่เอาอคติผูกคอไว้ ก็เป็นเรื่องดีที่ผู้คนสนใจเล่าเรียน เพื่อนำความรู้ความสามารถไปเพิ่มศักยภาพในการใช้ชีวิต

เธอเคยถามผู้บริหารสถานศึกษา เมื่อปีแรกที่เข้ามาทำงานว่าทำไมอาจารย์ผู้สอนต้องออกพื้นที่ เนื่องจากว่าหน้าที่ดังกล่าวนี้จะเหมาะสมกว่าหากเป็นอาจารย์ในฝ่ายแนะแนวและประชาสัมพันธ์ แต่การใช้อาจารย์ด้านฟิสิกส์นิวเคลียร์ออกไปเคาะประตูบ้านเพื่อถามว่าอยากเรียนต่อหรือไม่นั้นดูไปคล้ายจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก แต่คำตอบที่เธอได้มา และทำให้ต้องอึ้งถึงที่สุดคือ

“ถ้าไม่มีคนเรียนแล้วคุณจะสอนใคร” หลายปีที่ผ่านมาเธอจึงยังทำหน้าที่ดังกล่าวเพราะประโยคที่ว่า

“อยู่รอดูพวกผมจบก่อนนะครับอาจารย์” พวกเขาเป็นศิษย์รุ่นแรกของเธอ เธอเองก็อยากเห็นลูกศิษย์ในที่ปรึกษาได้รับปริญญาตามที่พวกเขามุ่งมั่นฟันฝ่ามาหลายปีนั้น

* * *

กลิ่นหอมอวลของตีนเป็ดน้ำที่เบื้องหลังเป็นอาคารเรียนสี่ชั้น ขณะเดินออกมาจากห้องพักอาจารย์ และลงกลอนเป็นครั้งสุดท้าย เธอแหงนมองภาพอาคารทะลุผ่านกิ่งก้านของตีนเป็ดน้ำไปในห้วงคำนึงของวารวันที่ผ่าน ประโยคของมารดาลอยมาเข้าหู

“ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการถ่ายทอดในสิ่งที่เรารู้ เพื่อคนที่ยังไม่รู้ให้รู้มากขึ้นสำหรับการเป็นครู และแม้บางครั้งจะต้องอธิบายในเรื่องเดิมเป็นครั้งที่สิบ แต่ถ้าผู้เรียนยังไม่เข้าใจในเรื่องนั้นก็จงอธิบายเป็นครั้งที่สิบเอ็ด” แม่เป็นครู และเฝ้าพร่ำสอนลูกเสมอว่าการเป็นครูที่ดีต้องเป็นอย่างไร แต่ลูกสาวของแม่ก็ขัดแย้ง

“แม่จะเอาประสบการณ์สอนระดับประถมศึกษาที่แม่สอนมาใช้กับมหาวิทยาลัยไม่ได้เพราะมันไม่เหมือนกัน” แม่เพียงแต่อมยิ้มน้อยๆ แล้วบอกตามประสาแม่ว่า “แม่มีความสุขที่ได้ถ่ายทอดความรู้ให้คนที่อยากรู้ ถึงแม้ว่าจะมีแค่คนเดียวในทั้งหมด” ในวัยที่ความคิดยังไม่ตกผลึกดีนักนั้น ลูกสาวของแม่ไม่เข้าใจลึกซึ้งถึงประโยคดังกล่าวนี้หรอก เธอยังคงมีข้อกังขาในใจที่ต้องทำในสิ่งที่ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่ความหวังและขัดแย้งกับอุดมการณ์อย่างสิ้นเชิง

จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอถูกยื่นคำขาดว่าอาจารย์ทุกคนต้องทำยอดให้ได้ตามเป้าของสถาบันฯ โดยมีค่าคอมมิชชันสองพันบาทต่อนักศึกษาหนึ่งคน แต่หากยอดนักศึกษาไม่ได้ตามที่กำหนด ก็ต้องพิจารณาตัวเองว่าควรจะอยู่ต่อหรือไปหางานใหม่ทำ วาระนั้นเอง ที่ทำให้หญิงสาวผู้กินอุดมการณ์เป็นอาหารหลักถามตัวเองว่า ชีวิตคืออะไร เธอเคยบอกตัวเองว่าชีวิต ก็คือการผจญภัย เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ บางครั้งต้องอาศัยความอดทน อดกลั้น บางทีก็ต้องรอคอย การรอคอยอย่างอดทนมันทดสอบสมรรถภาพทางจิตใจคนได้เป็นอย่างดี, และคนเราจะเข้มแข็งได้ต่อเมื่อได้เผชิญกับอุปสรรคแท้จริง ได้เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหา ได้เรียนรู้ที่จะหาทางออกของปัญหา แต่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์มีอยู่ในตัวทุกคนคือ การเรียนรู้และแสวงหา เปิดใจยอมรับในสิ่งใหม่ๆ เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ และลองทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำได้ อดทนฟังในเรื่องที่แม้จะไม่อยากฟัง เพราะนั่นจะทำให้ได้รับรู้เรื่องราวที่ไม่อยากรู้ และคิด ในเรื่องที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะบางครั้งสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้นั่นแหละ ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว ต้องจัดการกับมันให้ได้ ดังนั้นแล้วต้องรู้จักฟังและคิด ในสิ่งต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ

* * *

กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกขนขึ้นรถเป็นใบสุดท้าย – และเมื่อเธอหันกลับมาอีกครั้ง ก็พบว่านักศึกษากลุ่มหนึ่งยืนรออยู่แล้ว

“จะไปจริงๆ เหรอครับ” เสียงที่ดังขึ้นนั้นเป็นเสียงของนักศึกษาหนุ่มผู้มีรอยยิ้มในใบหน้าอยู่เป็นนิจ เขาผู้มีขาข้างหนึ่งขาดหายไปในช่วงเสี้ยวของชีวิตที่ได้เป็นทหารเกณฑ์รับใช้ชาติ รอยยิ้มของเขาพูดแทนความรู้สึกได้ทั้งหมด “ชีวิตมีอะไรมากกว่าแค่ขาข้างเดียว” ประโยคบาดลึกถึงก้นใจนั้นย้ำเตือนอีกครั้ง...

“อีกแค่เทอมเดียวเองนะคะ” หญิงสาววัยไล่เลี่ยกันนี้ เธอเป็นคุณแม่ลูกสอง ที่ครอบครัวข้างสามีไม่สนับสนุนให้เรียนเพราะกลัวว่าการศึกษาจะทำให้เธอฉลาดเกินไปและที่มากกว่านั้นคือ เมื่อเธอฉลาดเกินไปแล้วเธอจะฮุบสมบัติสามี... ความคิดแบบนี้ยังมีเกลื่อนในผู้คนของประเทศนี้

“ผมจะเลิกเอาโพยเข้าห้องสอบละ” มุขขำขันที่เขาไม่เคยลืมมันเหมือนกับที่เธอเองก็ไม่ลืม ชายหนุ่มยศสิบตรี เขาต้องการปรับวุฒิเพื่อยกระดับหน้าที่การงาน เขาผู้เคยถูกเธอตักเตือนด้วยความระอา ว่าเป็นผู้รักษากฎหมาย เรียนรู้เรื่องความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง แต่กลับไม่รักษากติกาดังกล่าว ทั้งๆ ที่ควรฝึกให้เป็นตัวอย่างที่ดีแต่ทำผิดเสียเอง เขายิ้มยอมรับผิด และเธอรู้ว่าแท้จริงแล้วก็ไม่มีใครอยากทำ “ผิดกติกา”

รถวิ่งออกมาได้ไกลแล้ว เธอทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านพ้น การหันหลังให้ แล้วเดินจากไปอย่างอ้อยอิ่งนี้ เหตุผลของการจากลา ไม่ใช่เพราะว่างานหนักเกินไป ไม่ใช่เพราะค่าตอบแทนน้อยเกินไป ไม่ใช่เพราะเธอไม่รักการสอนหนังสือ และไม่ใช่เพราะมีปัญหาภายใน เพราะตลอดชีวิตของการทำงานเธอยึดมั่นเสมอว่า สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการทำงานคือการรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม สภาพสังคมการทำงาน รู้จักอ่อนลู่และมั่นคงเมื่อจำเป็น ไม่ทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง รู้จักนอบน้อมมีสัมมาคารวะกับผู้ที่สูงวัยกว่า รู้จักฟังคนอื่น และทำตัวให้มีคุณค่า รับผิดชอบงานในส่วนที่ได้รับมอบหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ให้องค์กรมองเห็นถึงความสำคัญ และเธอทำมันได้ดีตลอดสามปีที่ผ่านมา

การตัดสินใจลาออกจึงเป็นข้อ “กังขา” ของทุกคน แม้กระทั่งผู้บริหารเอง...

“คุณทำงานได้ดีมาก ทั้งงานประจำและงานอื่นที่ได้รับมอบหมาย เราเริ่มต้นด้วยกันมา ทำไมคุณถึงจะทิ้งไปกลางทางเสียล่ะอีกอย่างคุณเองก็ไม่มีปัญหาอะไรกับใคร ทั้งกับผู้บริหาร หรือกับนักศึกษาก็ตาม หรือคุณน้อยใจเรื่องค่าตอบแทน เราขึ้นให้คุณอีกได้นะ” เธอเพียงแต่ยิ้มและบอกกับตัวเองเพียงในใจว่า สิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ คือศักดิ์ศรีความเป็นครูต่างหาก

มีเวลาอีกไม่มากนักสำหรับชีวิตที่เหลืออยู่ ในการลงมือทำในสิ่งที่อยากทำแต่ยังไม่ได้ทำ ประสบการณ์ที่ได้รับ สร้างความแข็งแกร่งให้ชีวิต อย่างน้อยก็ทำให้กล้าหาญที่จะเผชิญกับวันข้างหน้าของชีวิตด้วยความเด็ดเดี่ยว นั่นเพราะชีวิต ยังมีสิ่งที่อยากทำอีกตั้งหลายอย่าง... และที่สำคัญ

“โลกนี้มีทางให้เดินเสมอ แต่หากไม่เริ่มต้นที่จะเดิน...ก็คงไปไม่ถึงไหนสักที”

---------------------------------------------


“โรงเรียนบ้านกูจิงรือปะ ยังขาดครู จะมาอยู่ด้วยกันไหม” เสียงที่ดังมาตามสายผ่านหูฟังของเครื่องมือสื่อสารยุคอิเล็กทรอนิกส์ คือเพื่อนหนุ่มแพทย์ทหารที่ถูกส่งตัวลงไปประจำอยู่ที่จังหวัดชายแดนเมื่อปีที่ผ่านมา เธอเงียบ ไม่ตอบคำถาม แต่หักพวงมาลัยรถจากถนน “พหลโยธิน” ลงไปที่เส้น “เพชรเกษม”

“แค่ได้มีโอกาสเพิ่มพูนความรู้ให้กับผู้คนในท้องถิ่น
จะสำคัญอะไรว่าถิ่นไหน
ถ้านั่นคือประเทศที่เกิดและบ้านเมืองที่เติบโต ของเรา”



00000000000000000000000000000

PS. เผื่อจะมีคนคิดถึง........... ช่วงที่หายไป ^^ เรื่องสั้นที่จำไม่ได้ว่า ส่งไปไหนหรือเปล่า ^^



Create Date : 18 สิงหาคม 2550
Last Update : 29 สิงหาคม 2554 11:17:24 น.
Counter : 1230 Pageviews.

2 comments
  
แวะมาอ่านครับ
โดย: พ่อหนูหอม (big onion ) วันที่: 18 สิงหาคม 2550 เวลา:22:37:26 น.
  
ชอบเรื่องนี้จังค่ะ
ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้เข้มข้นเหลือเกิน
ทั้งที่เป็นการบอกเล่าของตัวละครคนเดียว
โดย: The SoVo (http://kangalala.spaces.live.com/) IP: 122.17.121.77 วันที่: 19 สิงหาคม 2550 เวลา:8:16:31 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดาริกามณี
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]



Just Do it :


* มีอีกชื่อว่า หญ้าเจ้าชู้

* เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์บทประพันธ์
รักข้ามรั้ว (หญ้าเจ้าชู้)
ลุ้นสุดฤทธิ์ พิชิตรัก (หญ้าเจ้าชู้)
ภารกิจรักพิทักษ์เธอ (หญ้าเจ้าชู้)
ปีกแห่งฝัน (ดาริกามณี)

* เป็นสาวก 'รงค์ วงษ์สวรรค์
* เป็นแฟน คาราบาว
* เป็นกิ๊ก เฉลียง
* ฝืนอะไรที่เป็นอื่น ฝืนอัตตา
สูงเทียมฟ้าก็มิเท่า เป็นเราเอง

* การปรากฎตัวของคนคนหนึ่ง
อาจเปลี่ยนใครอีกคนไปทั้งชีวิต

* หากต้องการอ่านนิยายที่ใส่รหัส,
รบกวน "ฝากข้อความหลังไมค์" จ่ะ