พฤศจิกายน 2548

 
 
1
2
3
4
5
6
8
10
11
12
13
15
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
7 พฤศจิกายน 2548
All Blog
อาจเป็นเพียงนิทาน
พระจันทร์เสี้ยวแขวนเกี่ยวกิ่งฟ้า ดวงดาวนับหมื่นพันทอแสงระยิบตา คนนั่งชิดหน้าต่างจ้องมองบนท้องฟ้าไม่วางตา หากคล้ายเหม่อลอยมากกว่าที่จะตั้งใจจ้องมองพระจันทร์เสี้ยว แล้วก็ทอดถอนหายใจ ผมแอบมอง น้ำตาเธอรินอาบแก้ม—

“คุณร้องไห้” เสียงผมเบา เธอหันมามองหน้า น้ำตายังเปื้อนแก้ม

“ฉันสงสารพระจันทร์ คุณดูสิ วิ่งตามรถมาตั้งนาน ไม่เมื่อยล้าบ้างหรืออย่างไรนะ” แล้วเธอก็ชี้มือไปบนฟ้า ผมมองตามมือเล็กๆ ที่วางทาบกับกระจก แล้วเธอก็ถอนหายใจอีกครั้ง…

“ขอโทษค่ะ”

“ถ้ารวมครั้งนี้ด้วย คุณถอนหายใจเป็นครั้งที่สิบแปด อย่าบอกนะว่าสงสารพระจันทร์” เธอยิ้ม ยากเดาความคิด

“มีคนบอกผมว่าการถอนหายใจของคนเรามาจากสองสาเหตุ… ”

“โล่งใจกับหนักใจ” เธอพูดต่อทั้งที่ผมพูดยังไม่ทันจบ

“สำหรับคุณ ผมว่าคงเป็นกรณีหลัง” เธอหัวเราะเบาๆ แล้วหันกลับไปมองนอกหน้าต่าง นั่นอาจหมายความว่าผมเดาถูก ผู้หญิงผมยาวเธอรวบผมมาไว้ข้างหนึ่งแล้วถักเปียหลวมๆ ผมมองจากด้านข้าง ขนตาเธอยาวเป็นแพหนา ดวงตากลมโต จมูกเล็กและปากบาง น่ารัก

“คุณลงไหนฮะ” ผมหลายถึงปลายทางของเธอ ตอนที่เธอขึ้นมาบนรถดูเหมือนจะเป็นคนสุดท้าย ที่นั่งสุดท้ายซึ่งติดกับผมพอดี เธอยิ้มให้อย่างมีไมตรีหากไม่มีคำพูดใดผมจึงเงียบบ้างไม่กล้าทักทาย จนรถมาไกลแล้วจึงได้กล้าทักทาย ชวนพูดคุย

“ฉันตีตั๋วปลายทางค่ะ แต่ยังไม่รู้จุดหมาย”

“หือ” ผมค่อนข้างงง มีที่ไหนตีตั๋วเดินทางโดยไม่รู้ว่าตัวเองจะไปที่ไหน แต่แล้วเธอก็อธิบาย

“ฉันพลาดจากจุดหมายที่ตั้งใจจะไป” เธอไม่ขยายความว่า ‘พลาด’ เพราะเหตุใด

“อ้อ ก็เลยเปลี่ยนโปรแกรมกระทันหัน”

“ฉันเดินผ่านช่องขายตั๋วสายนี้พอดี”

“เหลือที่นั่งเดียว ที่สุดท้ายด้วย”

“ฉันก็เพิ่งรู้ตอนที่ขึ้นมาบนรถแล้วนี่แหละ”

“แต่คุณก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปไหน” ผมยังสงสัยและไม่แน่ใจนักว่าผู้หญิงที่นั่งข้างๆ ตอนนี้ ปกติดีหรือเปล่า เพราะผมไม่เคยเห็นใครที่ซื้อตั๋วรถแล้วขึ้นรถมาโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปไหน

“ฉันลาพักร้อนค่ะ ตั้งใจจะไปหาคนคนหนึ่ง แต่ฉันถูกปฏิเสธการไป ฉันออกจากห้องพักมาแล้ว มาจนถึงสถานีขนส่ง ฉันโทฯไปบอกเขาว่าฉันจะไปหา เขาบอกว่าอย่าไปเลย คนรักของเขาอยู่ที่นั่น--” เธอคงเห็นผมสงสัยมากนักเลยอธิบายกระจ่างขึ้น

“มันแย่นะ ฉันหมายถึงตัวเองน่ะ ทั้งๆ ที่ฉันก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร” เธอเล่าทั้งน้ำตา

“ขอโทษนะ ฉันเล่าอะไรก็ไม่รู้ คุณดูสิ พระจันทร์หยุดวิ่งแล้ว คงเหนื่อย” เพราะรถจอดที่สถานีให้ผู้โดยสารลง พระจันทร์ของเธอก็เลยหยุดตาม

“เล่ามาเถอะ ถ้าคุณเต็มใจเล่า ผมยินดีฟัง” ผมก็ไม่แน่ใจตัวเองนักว่าทำไมถึงพูดออกไปอย่างนั้น อาจเพราะผมทนเห็นน้ำตาผู้หญิงไม่ได้
และบางทีถ้าเธอได้ระบายออกบ้างเธออาจจะสบายใจขึ้น

“เราเป็นเพื่อนกันค่ะ เราคบกันอย่างเพื่อนหลายปีทีเดียว แน่นอน ฉันคิดกับเขามากกว่าแค่ความเป็นเพื่อน ฉันรู้ มันไม่ดีนักแต่ความรัก มันห้ามกันได้ที่ไหน ฉันพยายามนะ พยายามที่จะไม่รัก แต่ฉันทำไม่ได้ การห้ามใจให้ไม่รัก ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย”

“คุณเลยต้องมานั่งถอนใจและร้องไห้เป็นเพื่อนพระจันทร์ กว่าถึงปลายทางน้ำตาคุณคงแห้งบ่อ”

“ไม่หรอก บางทีฉันอาจจะลงที่สถานีข้างหน้า” เธอพูดเหงาๆ

“คุณตีตั๋วปลายทาง นี่ยังไม่ถึงครึ่งทางเลย”
“บ่อยไปที่ฉันนั่งรถไปเรื่อยๆ แล้วตีตั๋วกลับ”

“ครั้งนี้ด้วย”

“อาจจะไม่ ฉันไม่อยากกลับไปอยู่ที่ห้องเงียบๆ คนเดียว มันฟุ้งซ่าน ฉันเป็นคนคิดมาก มีคนแนะนำว่าอย่าพยายามอยู่ลำพังเพราะมันอาจะทำให้เกิดความคิดชั่ววูบ”

“โดดตึกฆ่าตัวตายเหรอ พักนี้กำลังฮิต”

“คุณอย่าพูดเล่นไป อารมณ์ของคนนะคุณ ความรู้สึกของคนในเวลานั้น คุณไม่เป็นเขาคุณไม่รู้หรอก ฉันว่าพวกเขาน่าเห็นใจที่ไม่สามารถทำให้เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์ได้” แล้วเธอก็ถอนหายใจอย่างปลงๆ

“ถัดจากอีกสองสถานีข้างหน้าก็ถึงบ้านผม คุณไปเที่ยวไหม”

“คุณกลัวฉันเป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เหรอ ไม่หรอกน่าโลกนี้ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก” เธอยิ้มแต่แววตาไม่อาจซ่อนความหม่นเหงาเอาไว้ได้

“คุณไม่มีจุดหมายไม่ใช่เหรอ ก็คิดว่าบ้านผมเป็นจุดหมายสิ”

“คุณไว้ใจฉันเหรอ”

“ผมน่าจะถามคุณมากกว่า” เธอมองสบตา ยักไหล่

“ชีวิตคือการผจญภัย” แล้วเธอก็หัวเราะ ผมไม่น่าเดาผิดว่านั่นเป็นการกลบเกลื่อนความรู้สึกภายในใจ แต่เธอก็ไปบ้านผมจนได้สิน่า ผมยังสงสัยตัวเอง นึกยังไงถึงได้ชวนแม่สาวเจ้าน้ำตาคนนี้มาด้วย เธอก็แปลก--ตามมาได้ แต่คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ผู้หญิงตัวแค่นี้

จากถนนใหญ่ต้องเดินเท้าเข้าหมู่บ้านอีกไกลโข ผมเดินตั้งแต่เล็กจนโตจึงชินกับการเดินเท้ามากกว่าจะจ้างรถเข้าไป สองข้างทางเขียวขจีไปด้วยทุ่งข้าวที่บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยต้นถั่วเพราะไม่ใช่หน้านา ผมชอบที่จะกลับบ้านช่วงต้นฤดูทำนาเพราะนอกจากต้นกล้าเขียวๆ ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษแล้วกลิ่นหอมของกล้าข้าว และกลิ่นดินโคลนเป็นสิ่งที่ผมหลงรัก ‘หญิงสาวเจ้าน้ำตา’ ผมนึกเอาเองในใจแต่ไม่ได้พูดให้เธอได้ยิน เธอเดินตามหลังผมเงียบๆ ไม่ปริปากซักถามอะไรให้มากเรื่องเหมือนผู้หญิงบางคนที่ช่างซักช่างถามเสียจนน่าเบื่อหน่าย ดอกชงโคสีชมพูแกมขาวริมถนนร่วงหล่นเกลื่อนพื้น เธอหยุดเก็บ ผมเพิ่งสังเกตว่าเธอตัวเล็กนิดเดียวเมื่อยืนใกล้ๆ

“ดอกเสี้ยว” ผมบอกชื่อเป็นภาษาท้องถิ่น

“ที่นี่ดอกเสี้ยวเยอะก็เลยชื่อหมู่บ้านทุ่งเสี้ยว ถัดไป หมู่บ้านโน้น.. ป่าสัก” ผมชี้มือบอกถึงหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไป

“เพราะต้นสักเยอะล่ะสิ” เธอพูดขึ้น และไม่นานนักก็ถึงบ้าน เหงื่อเธอซึมเต็มหน้าผากและไหลย้อยตามไรผม เธอคงเหนื่อย..
บ้านผมเป็นบ้านไม้โบราณแบบล้านนาทั่วไป ค่อนข้างเก่าแต่ก็ยังแข็งแรง ผมเคาะเกราะไม้ไผ่ที่แขวนข้างประตูเป็นสัญญาณให้คนในบ้านรู้ว่ามีคนมา สักพักหลานชายตัวเล็กก็วิ่งมาเปิดประตู

“น้าฝาง อุ้ย..น้าฝางมา” เจ้าตัวเล็กตะโกนเข้าไปในบ้านก่อนแย่งกระเป๋าจากมือผมไปถือจนตัวเอียง

“บาส สวัสดีครับน้าก่อน” เจ้าตัวเล็กวางกระเป๋ายกมือไหว้หญิงสาว เธอยิ้มตาหยีก่อนเดินตามผมเข้ามาในบ้าน แม่อุ้ยกำลังทำกับข้าวในครัว ผมเดินเข้าไปกอดข้างหลังหอมแก้มเหี่ยวๆ อย่างรักใคร่

“ฝางหรือ จะมาทำไมไม่บอกจะได้ให้หลานไปรับ”

“ไม่เป็นไรหรอกอุ้ย ผมยังเข้าบ้านถูก ไม่ได้หลงกรุงจนหาทางกลับไม่เจอถึงต้องให้ไปรับ แม่ยังไม่กลับจากตลาดหรือครับ” ผมล้างมือช่วยปอกหน่อไม้สดเตรียมจะต้ม

“น้ำพริกน้ำปู” ผมหันมาบอกหญิงสาวที่ตอนนี้นั่งแหมะลงข้างๆ และตั้งท่าจะช่วยทำครัวอีกแรง

“นั่นแน่ะ คงมาจากตลาดแล้วล่ะ เจ้าเปี๊ยกไปเปิดประตูให้ป้าไป อ้าวแล้วแม่หนูนี่ใคร” คนแก่เพิ่งจะทักเมื่อเห็นว่าหลานชายคนโปรดไม่ได้มาคนเดียว

“สวัสดีค่ะ หนูชื่อผิงค่ะ ผิงดาว” ผมก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นแหละว่าเธอชื่อผิงดาว ชื่อแปลกๆ แต่ก็เพราะดี

“เพื่อนฮะ เขามาเที่ยว” ผมไม่ได้พูดปดกับคนแก่เลย

“เดี๋ยวผมพาผิงเขาเอากระเป๋าไปเก็บก่อนนะอุ้ย” ผมเรียกชื่ออย่างสนิทสนมเอาดื้อๆ อย่างน้อยก็คงไม่ทำให้คนแก่สงสัยอะไรมากไปกว่านั้น และแน่นอนว่าผมหลีกเลี่ยงการถูกซักถาม จึงต้องพาเธอไป ‘เตรียม’ กันก่อนว่าควรบอกคนในบ้านว่าอย่างไรระหว่างความเป็นมา ผมคงไม่กล้าบอกใครในบ้านว่าผมรู้จักเธอบนรถทัวร์ตอนกลับมาบ้านนี่เอง

“คุณอาบน้ำแล้วจะนอนพักผ่อนก่อนก็ได้นะ นั่งรถมาทั้งคืน เพลียแย่” ผมสละห้องนอนของตัวเองให้เธอไปโชคดีที่มันอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่ยับเยินไปเพราะฝีมือเจ้าบาสและสหายที่ชอบกระโดดย่ำบนเตียง สมมุติตัวเองเป็นอุลตร้าแมนปราบเหล่าร้ายบนที่นอนของผม ผิงดาวยิ้ม ขอบคุณด้วยแววตา ผมปล่อยเธออยู่ตามลำพังแล้วเลี่ยงเข้าครัวช่วยยายทำกับข้าว แม่กลับมาจากตลาดแล้ว ผมเข้าไปกราบและกอดแม่เหมือนกับที่ทำกับยาย แววตาของแม่ยังอ่อนโยนและอบอุ่นเสมอ ผู้หญิงสองคนในชีวิตที่ผมรักมากเท่าๆ กับชีวิตของผมเอง…
ไม่นานนักผิงดาวก็ลงมาจากบ้าน เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่สวมกางเกงผ้าพลิ้วสีฟ้าพอดีตัวกับเสื้อยืดสีเดียวกัน หอมกลิ่นแป้งเด็กอ่อนๆ จากตัว

“ผิง แม่” ผมแนะนำเธอให้รู้จักกับแม่ แม่ยิ้มบางๆ

“สวัสดีค่ะ”
“ไหว้พระเถอะลูก ตามสบายนะ คิดว่าเป็นบ้านตัวเองก็แล้วกัน เช้านี้มีน้ำพริกน้ำปู หน่อไม้สด กับแกงขนุนอ่อน ยายลงครัวเอง” ขันโตกถูกยกมาตั้งบนแคร่ไม้ไผ่ใต้ร่มลำไยคนที่คอยวิ่งยกข้าวยกแกงคือหลานชายวัยแปดขวบ

“กินได้ไหมลูก อาหารทางเหนือ แม่ยังไม่รู้เลยหนูเป็นคนที่ไหนแล้วรู้จักมักจี่กับฝางเขาได้ยังไง เรียนที่เดียวกันหรือ” นั่นยังไง คำถามของแม่ทำให้ผมอึ้ง…

“ผิงยังไม่เคยทานอาหารทางเหนือ แต่คิดว่าทานได้ค่ะ ผิงไม่ค่อยยุ่งยากเรื่องอาหารการกิน” โชคดีไปหนึ่งคำถาม

“ผิงคนใต้ค่ะ กระบี่ มาอยู่กรุงเทพฯหลายปีแล้วค่ะ” ผมก็เพิ่งรู้พร้อมๆ กับที่แม่รู้ ถ้าไม่บอกผมก็คงเดาเองไม่ถูก ว่าเธอเป็นคนปักษ์ใต้ หน้าตาเธอไม่เหมือนคนใต้ส่วนใหญ่ที่ผมรู้จัก จะมีก็เห็นจะเป็นดวงตาที่กลมโตดำขลับนั่นเองหรอกที่พอจะมีเค้าอยู่บ้าง

“นึกว่าคนใต้ต้องตัวดำ” ผมเย้าเธอเล่น

“คุณแม่เป็นคนชัยนาทค่ะ” แม่ผงกศีรษะรับรู้ ยายเพิ่งออกจากครัวและมานั่งลงบนแคร่เป็นคนสุดท้าย เป็นอันว่าสิ้นสุดการสนทนาแต่เพียงเท่านั้น อาหารเช้าคนเมืองกรุงแตกต่างกับคนบ้านนอกอย่างลิบลับโดยเฉพาะเวลา กว่าพวกเราจะเรียบร้อยมื้อเช้าถ้านับเวลาก็เกือบสองชั่วโมง ซึ่งถ้าเป็นกรุงเทพฯ ก็คงไม่ต้องทำมาหากินกันแล้ว ผิงดาวทำตัวง่าย กินง่ายอย่างที่พูด เพราะแม้ทีแรกเธอจะลอง‘ดม’ ดูน้ำพริกปูของยายแล้วทำหน้าแปลกๆ แต่เมื่อเห็นผมกับเจ้าบาสหลานชายที่ตั้งอกตั้งใจกินอย่างเอร็ดอร่อยแล้วเธอก็ลองดูบ้าง

“น้ำปู ทำมาจากปูนาตัวเล็กๆ นำมาเคี่ยวจนได้น้ำปูข้นๆ สีดำ ใช้ปรุงอาหารคล้ายๆ กะปิของทางใต้” ผมอธิบายให้เธอฟังถึงวิธีการถนอมอาหารอย่างหนึ่งของคนเหนือ

หลังมื้อเช้าผมจึงพาเธอไปเที่ยว โชคดีเป็นวันหยุด ใกล้ๆ บ้านจะมีตลาดนัดที่คนท้องถิ่นเรียก ‘กาดงัว’ เดิมเป็นเพียงตลาดนัดโคกระบือ หากแล้วก็มีสินค้าอื่นมาขายบ้างทีละน้อยจนกลายเป็นตลาดใหญ่ประจำอำเภอ ในทุกวันเสาร์พ่อค้าแม่ขายจะมารวมกันที่นี่ แม้กระทั่งชาวเขาก็ยังมีสินค้าของพวกเขาลงมาขายทั้งเสื้อผ้าทอมือปักลายแบบชาวเขา สมุนไพร เครื่องเงินชาวเขาและอีกมากมาย ผู้คนเบียดเสียดเลือกซื้อสินค้า

“หลายๆ อย่างที่ฉันไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น แปลกใจแต่ก็ดีใจที่ได้สัมผัสใกล้ชิดขนาดนี้ คนที่นี่ใจดีจัง เมื่อกี้ฉันเห็นเด็กขอทานไปสะกิดแขนผู้ชายคนหนึ่งเพื่อขอเศษสตางค์ ถ้าเป็นกรุงเทพฯ บางทีเด็กคนนั้นอาจถูกตะเพิด แต่คนที่นี่ไม่ทำอย่างนั้น” เธอเดินดูของเรื่อยๆ หยิบโน่นจับนี่ดูของที่ถูกใจ แล้วเธอก็ได้สายสร้อยทำจากเงินพม่ามาหนึ่งเส้นจากชาวเขาที่นำมาขาย ผมชอบมองเธอเวลาเผลอ เธอจะเป็นตัวเองมากที่สุด แต่บางครั้งก็เห็นเธอลอบถอนหายใจ เธอคงไม่ลืมเรื่องทุกข์ใจ จากนั้นผมก็พาเธอเที่ยวเกือบทั่วเมือง ดูเธอร่าเริงขึ้น อย่างน้อยก็มากกว่าตอนที่อยู่บนรถทัวร์

“พรุ่งนี้จะพาไปเที่ยวน้ำตก แต่เย็นนี้กลับไปกินข้าวที่บ้าน .. แม่รอ”

“ครอบครัวคุณดูอบอุ่นจัง”

“เรามีกันอยู่แค่นี้”ไม่อธิบายมากไปกว่านั้น และเธอก็ไม่ซักถามอะไรมากไปกว่าที่บอก ผมชอบผู้หญิงแบบนี้

“คุณชื่ออะไรนะ” อยู่ๆ เธอก็โพล่งถามขึ้นมา ให้ตาย เธออยู่กับผมมากี่ชั่วโมงแล้วเธอยังไม่รู้ว่าผมชื่ออะไร

“ขอโทษค่ะ ได้ยินเมื่อเช้ายายเรียกฝาง ชื่อแปลกนะ เพิ่งเคยได้ยิน” เธอลูบแก้มนวลแก้เขิน เวลาเธอเขินดูน่ารักดี

“ผมเกิดที่ฝาง อำเภอฝางน่ะฮะ ไกลจากที่นี่พอสมควร ถ้าคุณอยู่ที่นี่นาน- ผมจะพาไปเที่ยวสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง” เธอเพียงยิ้ม ทำให้ผมไม่กล้าที่จะถามเธอต่อว่า ‘จะอยู่นานไหม’ทั้งๆ ที่ในใจ.. ยังไม่อยากให้เธอกลับ อาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ผมไม่ใช่คนที่หลงรักอะไรง่ายๆ แต่กับเธอ… บางทีนี่อาจจะเรียกว่าความรัก

“คุณดีขึ้นบ้างหรือยัง” ผมหมายถึงความรู้สึกของเธอ

“ฉันคิดว่าดีแล้วล่ะที่เขาปฏิเสธ เพราะไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ได้พบโลกกว้างๆ แล้วก็เพื่อนที่ดีอย่างคุณ” แค่นั้นเองที่ทำให้ผมยิ้มแก้มแทบปริและนอนไม่หลับทั้งคืน แล้วก็เผลอนอนมองดาวบนฟ้า คืนที่พระจันทร์เสี้ยวไม่วิ่งตามหาความรัก แต่แขวนกายโดดเดี่ยวบนผืนฟ้าสีดำแอบมองดูผมอยู่ข้างหน้าต่าง เออนะ…ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองโรแมนติก

ในตอนเช้าแม่ไปตลาดอย่างเคย ผมเพิ่งรู้ว่าเธอแอบไปกับแม่เมื่อกลับมาจากตลาดแล้ว ดูเธอมีความสุขกับการได้ทำอะไรแปลกๆ

“ฉันไปขายผักมา” เธอยิ้มแย้ม ร่าเริงเมื่อได้ไปช่วยแม่ขายผักที่ตลาด ดูเธอจะสนิทสนมกับแม่อย่างรวดเร็ว ผู้หญิง..เขาทำความรู้จักกันง่ายจริงๆ

แล้วไม่นานนักเธอก็สนิทกับทุกคนในบ้าน แม่และยายชอบเธอมาก วันดีคืนดีเธอก็ทำอาหารปักษ์ใต้ให้ลิ้มลอง ผมรู้สึกเหมือนเธอเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวไปแล้ว เกือบทุกเช้าที่เธอจะแอบย่องมาปลุกผมด้วยขนนกยูงอันเล็กๆ ปัดไปมาที่ปลายจมูก แล้วยืนหัวเราะผลงานของตัวเองที่ทำให้ผมจามจนน้ำตาเล็ด ช่วงระยะเวลาหนึ่งที่เธออยู่เป็นช่วงที่ผมมีความสุข และเริ่มรู้ว่าสิ่งที่กำลัง ‘หาอยู่’ นั้นคืออะไร แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็ต้องไป ผมนึกได้…. เธอลาพักร้อนมา

“ใช้สิบวันเต็มเลยค่ะ รวมวันหยุดด้วยก็เกือบครึ่งเดือนฉันรบกวนคุณนานมากเลยทีเดียว” เธอพูดมากประโยคกว่าคราวแรกที่รู้จักซึ่งส่วนใหญ่มักจะถามคำตอบคำ เธอไม่เคยบอกเล่าความฝันเหมือนผู้หญิงบางคนที่มีความฝันอันสวยงามแล้วบอกเล่าด้วยดวงตาที่เคลิ้มไปกับจินตนาการนั้น

“แล้วคุณจะมาอีกไหม” ผมถามไม่มองหน้า

“คุณคิดว่าฉันจะไม่มา?” นั่นเป็นคำถาม

“คุณเพียงแต่มา… โดยไม่ได้ตั้งใจ จะมีคุณค่าเพียงพอให้คุณจดจำเชียวหรือ”

“คุณเคยได้ยินคำพูดนี้ไหม คนบางคนเพียงแค่ผ่านตาแต่ไม่เหลืออะไรในความทรงจำ ผิดกับบางคนที่แม้จะไม่ผ่านตาเราอีกแต่ติดอยู่ในความทรงจำนานแสนนาน ฉันไม่สัญญาหรอกว่าจะมาอีกไหม เพราะฉันก็ไม่แน่ใจว่าถ้าฉันสัญญาแล้วฉันจะทำมันได้ไหม แต่สิ่งหนึ่งที่คุณเชื่อได้คือที่นี่เป็นความทรงจำอันดีงามสำหรับฉัน และฉันคงไม่มีวันลืมไม่ว่าจะอีกนานเพียงใด”
วันที่เธอจะกลับ ทั้งอุ้ย แม่และแม้แต่เจ้าบาสก็ยังอาลัยอาวรณ์ไม่อยากให้เธอกลับ อุ้ยนั้นถึงกับน้ำตาซึมเมื่อเธอมากราบลา ไม่ลืมที่จะผูกด้ายที่ข้อมือเพื่อเป็นศิริมงคลตามคติความเชื่อของคนโบราณ

“ไปดีมาดีนะลูก แล้วกลับมาเยี่ยมเม่อุ้ยบ้างเน้อ” ผมเพียงแต่ยืนอมยิ้มอยู่ใกล้ๆ ขณะที่แม่กำลังสาละวนกับของฝากทั้งผลไม้ ขนมและอาหารแห้ง แล้วผมก็ไปส่งเธอที่ขนส่งอาเขต

“คุณไม่กลับไปกรุงเทพฯ แล้ว?” เธอถาม

“ผมเรียนจบแล้ว แต่ที่บ้านยังไม่มีใครรู้เลย ผมกะว่าส่งคุณแล้วกลับไปถึงจะบอก ผมได้กลับมาทำงานใช้ทุนที่นี่”

“นึกว่าจะได้พบกันอีกที่กรุงเทพฯ”

“ผมรอคุณที่นี่” เธอคงไม่เชื่อในคำพูดผม เพราะเธอหัวเราะเหมือนตลกในสิ่งที่ผมพูดจากความรู้สึก

“คุณอาจจะรอเก้อ หรือบางทีอาจจะสมหวัง” แล้วเธอก็ขึ้นไปบนรถและโบกมือลา…

* * * * * *
เลขที่นั่งสุดท้ายข้างหน้าต่างมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ก่อนแล้ว เธอนั่งมองดูพระจันทร์บนฟ้าแล้วร้องไห้ ชายหนุ่มคนที่นั่งข้างๆ อาจสงสัยจึงถามไถ่

“คุณร้องไห้?” เธอหันมามองหน้า น้ำตายังเปื้อนแก้ม

“ฉันสงสารพระจันทร์ คุณดูสิ วิ่งตามรถมาตั้งนาน ไม่เมื่อยล้าบ้างหรืออย่างไรนะ” เธอก็ชี้มือไปบนฟ้า แล้วเธอก็ถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะเริ่มต้นสนทนา... /

พิพม์ครั้งแรก : วัยน่ารัก 17 ; 256




Create Date : 07 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2548 12:40:21 น.
Counter : 1072 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดาริกามณี
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]



Just Do it :


* มีอีกชื่อว่า หญ้าเจ้าชู้

* เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์บทประพันธ์
รักข้ามรั้ว (หญ้าเจ้าชู้)
ลุ้นสุดฤทธิ์ พิชิตรัก (หญ้าเจ้าชู้)
ภารกิจรักพิทักษ์เธอ (หญ้าเจ้าชู้)
ปีกแห่งฝัน (ดาริกามณี)

* เป็นสาวก 'รงค์ วงษ์สวรรค์
* เป็นแฟน คาราบาว
* เป็นกิ๊ก เฉลียง
* ฝืนอะไรที่เป็นอื่น ฝืนอัตตา
สูงเทียมฟ้าก็มิเท่า เป็นเราเอง

* การปรากฎตัวของคนคนหนึ่ง
อาจเปลี่ยนใครอีกคนไปทั้งชีวิต

* หากต้องการอ่านนิยายที่ใส่รหัส,
รบกวน "ฝากข้อความหลังไมค์" จ่ะ