All Blog
Journey to Switzerland - Day 5 Brienz - Bern

๑๘ เมษายน ๒๕๕๗

   เป็นไปตามพยากรณ์อากาศเลยครับ สำหรับอากาศวันนี้ตื่นเช้ามาพร้อมกับสายฝนปรอย ผิดกับเมื่อวานที่ท้องฟ้า
ไม่มีเมฆเลย โปรแกรมวันนี้คือไปล่องเรือ แต่ผมยังตัดสินใจว่าจะล่องทะเลสาบ Thun หรือ Brienz พอมาเจอฝนตก
แบบนี้ตัดสินใจไป Brienz ดีกว่า เพราะอยู่บนเรือนานๆ ฝนตกคงไม่สนุกเท่าไหร่

   ท่าเรือล่องทะเลสาบเบรียนซ์อยู่หลังสถานีรถไฟครับ เดินลอดใต้สถานีไปก็จะเห็นเรือจอดอยู่ริมแม่น้ำ มีซุ้มขาย
ตั๋วอยู่ด้านหน้า ยื่นสวิสพาสให้เค้าดูก็เดินผ่านเข้ามารอขึ้นเรือได้เลยครับ

   เรือเที่ยวแรกออก 9.07 น. แวะจอดตามท่าต่างๆ ตามนี้ครับ Interlaken Ost BrS -  Bönigen -  Ringgenberg BrS -
Niederried BrS - Iseltwald -  Giessbach See -  Brienz BrS ค่าโดยสารหากไม่มี Swisspass จาก Interlaken ถึง
Brienz ผู้ใหญ่ 29 CHF เด็ก 6-16 ครึ่งราคา 14.50 CHF ครับ ต่ำกว่า 6 ปี ฟรี

   นั่งเรือเที่ยวนี้ความรู้สึกเหมือนนั่งเรือด่วนเจ้าพระยาเลยครับ เจอกรุ๊ปคนไทยเกือบทั้งลำ เฮฮาสนุกสนานกันมาก
ต่างคนต่างมาเที่ยวกันเองครับ ตอนแรกก็นั่งด้านในเรืออุ่นกว่า แต่นั่งไปสักพักออกไปนั่งด้านนอกท้ายเรือกันหมด
สู้กับอากาศหนาวและละอองฝนด้านนอก

   น้ำที่ทะเลสาบ Brienz นี่สีสุดยอดจริงๆครับ เป็นสีเพทายหรือที่ฝรั่งเรียกเทอร์ควอยส์ (Turquoise) ชอบมากครับ
น้ำก็ใสมาก

บ้านสไตล์ชาเล่ย์ริมทะเลสาบ มีแบบนี้สักหลังคงสุขมิใช่น้อย

   หันกลับไปมอง Interlaken เมฆฝนปกคลุมทั่วไปหมด โชคดีที่เราขึ้นจรุงเฟราเมื่อวานครับ ไม่งั้นคงกร่อยแน่ถ้า
ขึ้นวันนี้

วันนี้เที่ยวแบบสบายๆครับ ให้ดูแต่รูปครับ

   และนี่คือโรงแรม Grand hotel Giessbach ครับ ไม่รู้ว่าคืนละเท่าไหร่นะครับแต่ที่แน่ๆเต็มไปจนถึง May 2016
ครับบร่ะเจ้า!! โรงแรมนี้ตั้งอยู่ริมน้ำตก 
Giessbach Fall มีท่าเรือและรถไฟขึ้นจากท่าเรือเป็นของตัวเอง สงสัยนอน
คืนนึงคงเที่ยวได้ทั้งทริปเลย

   น้ำตก Giessbach Falls ใครจะมาเที่ยวน้ำตกนี้ก็ลงที่ท่า Giessbach See ครับ เป็นน้ำตกที่ใหญ่โตพอสมควร
สะพานด้านบนนั่นน่าขึ้นไปเดินเล่นจริงๆครับ

   เลยจากน้ำตกไม่นานก็มาถึงท่าเรือสุดท้ายครับเมือง Brienz ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า ใครยังไม่จุใจจะนั่งกลับ
อีกเที่ยวก็ได้นะครับ

ชีวิตช่างมีความสุขอะไรเช่นนี้ น่าอิจฉาจัง

   เมือง Brienz วันนี้เงียบสนิทครับ ไม่มีร้านเปิดสักร้านเพราะเป็นช่วงหยุดเทศกาลอีสเตอร์ พร้อมใจกันหยุดจริงๆ
ทั้งร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ไม่มีเปิดเลยสักร้านครับ เราเลยนั่งรถไฟไปเที่ยว Bern กันดีกว่า นั่งย้อนกลับ
ไปลง Interlaken Ost แล้วต่อรถไป Bern ครับ

    จาก Interlaken ไป Bern รถไฟแล่นเรียบทะเลสาบ Thun ถ้าวันฟ้าใสๆคงสวยมากครับ ขนาดวันฟ้าหม่นๆแบบ
นี้ยังนั่งดูเพลินเลยครับ

   มาถึงสถานี Bern ก็เดินตามป้าย City ไปเรื่อยๆครับ จะเจอบันไดเลื่อนอยู่ขวามือ ขึ้นบันไดเลื่อนไปออกมาหน้า
สถานีเห็นโบสถ์ Heiliggeistkirche อยู่ข้างหน้า (นอกเรื่องนิดครับ ไม่รู้เป็นเทศกาลซ่อมโบสถ์แห่งชาติหรือไงก็
ไม่รู้ครับ ไปที่ไหนปิดซ่อมที่นั่น) เดินไปทางซ้ายมือพ้นโบสถ์แล้วเลี้ยวซ้ายครับ

   เลี้ยวซ้ายมาตามถนน Spitalgasse เดินเรื่อย ๆ สุดถนนก็จะเห็นซุ้มประตูเมืองเก่าที่มีหอนาฬิกาตั้งเด่น ประตูเมือง
โบราณ Käfigturm หรือ Prison Tower คือประตูเมืองและป้อมปราการทางด้านตะวันตก ตึกนี้ถูกสร้างขึ้นมาในราว
ค.ศ. 1256 เพื่อใช้เป็นคุกจนถึงปี 1897 ในปัจจุบันนี้ Prison Tower ถูกใช้เป็นที่จะนิทรรศการทางการเมือง และจะ
เปิดให้เข้าชมเฉพาะในช่วงที่มีนิทรรศการเท่านั้น
   ตามถนนในกรุงเบิร์นมีน้ำพุมากมายจนเมืองมรดกโลกแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งน้ำพุ (City of Fountains) ใคร
จะลองมาเดินนับดูก็ได้นะครับว่ามีทั้งหมดกี่แห่ง ก่อนมาเที่ยวไปดูกระทู้ต่างๆเห็นบอกว่าน้ำพุที่นี่ใสเย็นจนรองน้ำมา
ดื่มได้ มาเจอของจริง อัยย่ะ! ขี้บุหรี่ทั้งนั้นเลย

   ถนนเส้นนี้เป็นถนนสายช๊อปปิ้งที่ยาวที่สุดในสวิส แต่เดี๋ยวก่อน วันนี้วันหยุดเทศกาลอีสเตอร์เสียใจกับคุณนาย
และคุณหนูด้วยจริงๆ :) เดินไปสุดมุมตึกจะเจอทางแยกครับ เลี้ยวขวาไปจะเห็นอาคารรัฐสถา(ฟ้าจะขาวไปไหน)
ตรงด้านขวานั่นมีทางเดินเข้าไปได้ ไปกันเลยครับ

   เดินทะลุไปด้านหลัง วิวทิวทัศน์เมืองเบิร์นสวยเชียวครับ กรุงเบิร์น(Bern หรือ Baren ในภาษาเยอรมัน) แปลว่า
หมี ในอดีตดุ๊กแบร์ซโทลด์ที่ 5 แห่งราชวงศ์ ซาห์ ริงเงิ่น (Duke Berchtold V of Zahringen) ผู้ครองเมืองได้ออก
ล่าสัตว์และตั้งปณิธานไว้ว่าสัตว์ตัวแรกที่ล่าได้ จะนำมาตั้งเป็นชื่อเมืองซึ่งสัตว์นั้นก็คือ หมี จึงได้ตั้งชื่อเมืองนี้ว่า
ฺBern เมื่อปี ค.ศ.1191

   ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงและตั้งอยู่ใจกลางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีความโดดเด่นอย่างน่าประทับใจของ
เมืองเก่าสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคกลาง ซึ่งถูกอนุรักษ์ไว้จากอดีตจนถึงปัจจุบัน และเป็นตัวอย่างผังเมืองของสมัยกลางที่
ดีมากที่สุดในทวีปยุโรปจนได้รับยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลก ในปี 1983 มีแม่น้ำอาเรอ(Aare) โอบ
รอบ 3 ด้านของเมือง(ถ้าเทียบภูมิประเทศ คล้ายๆบางกระเจ้าบ้านเรา)

   กลับออกมาด้านนอกเดินกันต่อครับ เห็นตึกที่อยู่ตรงข้ามศาลาว่าการเมือง เดินเลี้ยวขวาไปตามทางนี้เลยครับ
จะเห็นยอดมหาวิหารมึนสเตอร์ จุดหมายต่อไปของเราครับ

 ร้านค้าปิดเรียบครับ แม้แต่ร้านอาหาร

   มหาวิหารมึนสเตอร์ (Munster) เป็นโบสถ์โกธิคสไตล์เยอรมัน เริ่มสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1421 แต่มาแล้วเสร็จในอีก
470 ปีต่อมา แม้จะขนาดไม่ใหญ่โตอลังการเหมือนโบสถ์วิหารอื่นๆในอิตาลี หรือฝรั่งเศส แต่มหาวิหารแห่งกรุงเบิร์น
แห่งนี้ก็มียอดหอคอยที่สูงที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ มีความสูงถึง 100 เมตร และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปชมวิว
ด้านบนได้ แต่...วันนี้ปิด T-T

   ในเมื่อขึ้นด้านบนไม่ได้ ก็ออกไปดูด้านหลังก็ได้ครับ วิวเมืองเบิร์นกับแม่น้ำ Aare

   เดินกลับออกมาด้านถนนอีกครั้ง ไม่ต่องเดินย้อนกลับทางเดิมครับ เดินต่อไปเรื่อยๆ จะทะลุออกมาถนนเส้นหลัก
และเจอสะพานข้ามแม่น้ำ Aare เดินข้ามสะพานไปเลยครับ แวะดูวิวแม่น้ำกันสักนิดก่อน ชอบสีของน้ำจริงๆ

   มองกลับไปอีกด้านเห็นมหาวิหารมึนสเตอร์

   เดินข้ามสะพานไปอีกฝั่งจะเจอบ่อหมี Bärengraben เป็นสวนขนาดไม่ใหญ่มากตั้งอยู่บนแนวชันของเนินเขาริม
แม่น้ำ ซึ่งสนามหญ้าชันๆ เป็นสถานที่เลี้ยงหมีสีน้ำตาลสัญลักษณ์ประจำเมือง Bern

   ดูหมีแล้วก็ข้ามถนนมาอีกด้านจะเห็นป้ายรถเมล์ครับ นั่งรถ Bus สาย 12 กลับเข้าเมือง ความจริงเดินไม่ไกลมาก
ประมาณกิโลนึงครับ แต่นั่งรถดีกว่าเพราะสวิสพาสนั่งฟรีครับ กลับมาลงใกล้ๆหอนาฬิกา ลงรถก็เดินหาบ้านเลขที่
49 ถนน Bim Zytglogge ที่นี่คือ Einstein-Haus หรือบ้านของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์อัจริยะของโลก ใช้ชีวิต
อยู่ที่นี่ ระหว่างปี ค.ศ. 1903-1905 ปัจจุบันบ้านหลังนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมภาพถ่ายและผลงานบางส่วนของ
ไอน์สไตน์ เปิดทุกวัน 10.00-17.00 น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ราคา 6 CHF หาไม่ยากครับ หันหน้าเข้าหอนาฬิกา
อยู่ซ้ายมือ ประมาณน้ำพุ อันที่ 2 นับจากหอนาฬิกา

   เดินกันต่อกลับไปทางสถานีรถไฟครับ ผ่านหอนาฬิกา Zytgloggeturm หรือ Zeitglockenturm สร้างขึ้นราว
ปี ค.ศ. 1191 ใช้เป็นประตูเมืองจนได้สร้างประตูเมือง Käfigturm ขึ้นแทน และในปี ค.ศ. 1530 ได้มีการติดตั้ง
นาฬิกาดาราศาสตร์เข้าไป หลังจากนั้นมาหอนาฬิกาแห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวประจำเมือง ก่อนเริ่มต้น
ชั่วโมงใหม่ 4 นาที จะมีตัวตุ๊กตาต่างๆออกมาให้ได้ชมทางด้านขวาของนาฬิกาดาราศาสตร์ แต่อย่าคาดหวังอะไร
มากนะครับ

   ได้เวลากลับกันสักทีครับ อุตส่าห์มาถึงถนนช๊อปปิ้งยาวที่สุดของสวิสร้านดันปิดหมดซะนี่ ลอดซุ้มหอนาฬิกามา
ก็จะเห็นซุ้มประตูเมืองที่เราผ่านตอนมาถึง เป็นอันว่าครบรอบกรุงเบิร์นแล้วครับ ขาดตกตรงไหนขออภัยเพราะมี
เวลาจำกัดครับ

   เสียดายที่ฟ้าอึมครึมทั้งวันรูปก็เลยออกมาหม่นๆทั้งเซ็ทครับ กลับมาที่สถานีปรากฏว่ารถไฟที่ไป Interlaken เพิ่ง
ออกไปเมื่อ 3 นาทีที่แล้ว ถ้าจะรอรถไฟตรงต้องรออีก 40 กว่านาที เราก็เลยเลือกรถไป Spienz ครับแล้วไปเปลี่ยน
ขบวนที่นั่น จะถึงเร็วกว่าประมาณครึ่งชั่วโมง

   พรุ่งนี้เราจะอำลา Interlaken กันแล้วครับมุ่งหน้าสู่ Lucern ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ




Create Date : 25 พฤษภาคม 2557
Last Update : 25 พฤษภาคม 2557 20:21:02 น.
Counter : 1467 Pageviews.

5 comment
Journey to Switzerland - Day 4 Jungfraujoch - Lauterbrunnen

๑๗ เมษายน ๒๕๕๗

   กิจวัตรประจำวันทุกเย็นก็คือเข้า Internet เพื่อเช็คสภาพอากาศวันรุ่งขึ้น เมื่อวานผมเช็คอากาศวันนี้เค้าบอกว่า
ปลอดโปร่งแต่พรุ่งนี้จะมีฝน จะมีฝนจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ครับเช้านี้อากาศปลอดโปร่งตามพยากรณ์ หลังอาหารเช้า
เราก็เดินสบายๆไปสถานี ที่พักอยู่ติดสถานีก็ดีแบบนี้ครับไม่ต้องรีบเร่งมาก
   ผมเช็คตารางรถไฟมาล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อวาน เราจะไปรถขบวน 8.05 น. ขึ้นทาง Grindelwald แล้วขาลงกลับ
ลงทาง Lauterbrunnen รถไฟออกทุก 30 นาที ครับ ขบวนเช้ากว่านี้ก็มีเผื่อใครวางแผนเที่ยว Grindelwald ก่อน
แต่ผมไปมาเมื่อวานแล้วก็ออกสายหน่อยได้

   เหมือนเมื่อวานครับ รถที่ไป Grindelwald และ Lauterbrunnen ออกจาก Interlaken มาขบวนเดียวกันแต่มาตัด
ขบวนเมื่อถึงสถานี Zweilütschinen ใช้เวลา 1 นาทีเท่านั้นครับ ตัดขบวนเสร็จก็มุ่งหน้าสู่ Grindelwald เมื่อถึงปลาย
ทางที่กรินเดอวาลด์เราต้องลงเพื่อเปลี่ยนขบวนใหม่ สวิสพาสนั่งฟรีมาสุดแค่นี้ครับต้องซื้อตั๋วใหม่ จะมาซื้อที่สถานีนี้
หรือซื้อมาจาก Interlaken ก็ได้ครับ ผู้ใหญ่ 91 CHF เด็กต่ำกว่า 16 45.50 CHF หากโชว์สวิสพาสลด 50 % ครับ
ราคานี้ขาเดียวนะครับ ขากลับต่างหาก จะซื้อตั๋วแบบ ไป-กลับ เลยก็ได้ครับ ขาไป ขากลับ ราคาเดียวกันครับ

   หากไปทาง Lauterbrunnen ต้องไปเปลี่ยนขบวนเหมือนกันครับและ Swiss pass ก็ฟรีถึงแค่เลาเทอร์บรุนเน่น
จากนั้นต้องซื้อตั๋วต่างหากเพื่อขึ้นจรุงเฟราโดยใช้สวิสพาสลด 50% เช่นกัน ทั้งสองทางรถไฟจะมาสุดสายที่สถานี
เดียวกันคือ Kleine Scheidegg ครับแล้วก็ต้องลงเพื่อเปลี่ยนขบวนในช่วงสุดท้าย

   เส้นทางรถไฟจาก Grindelwald ถึง Kleine Scheidegg นังไปก็แปลกใจไปครับว่าเค้าขึ้นมาสร้างได้ยังไงเพราะ
มันเป็นหน้าผาสูงชันตลอดเส้นทางครับ วันนี้มีคนเดินทางขึ้นจรุงเฟรากันมากมายจริงๆครับ เรียกว่ารถเต็มแทบ
ไม่มีที่นั่งกันเลย อาจเป็นเพราะพยากรณ์อากาศวันพรุ่งนี้ที่ว่าฝนจะตก ทำให้นักสกีจึงแห่แหนขึ้นมาเล่นสกีกันวันนี้

   เมื่อขึ้นมาถึง Kleine Scheidegg เราต้องไปขึ้นรถไฟอีกขบวนเพื่อขึ้น Jungfraujoch รถจะจอดอีกฝั่งของสถานี
ครับขบวนสีแดงสด แต่คนแบบล้นเต็มขบวนยังกะ รฟท. เลยครับ เป็นครั้งแรกที่ขึ้นรถไฟสวิสแล้วต้องยืนครับ

   ออกจากสถานีได้ไม่นานนัก เส้นทางเจาะทะลุภูเขาไปตลอดครับโดยรถจะจอดสองจุด จุดแรกคือที่ Eigerwald
ความสูง 2865 เมตร จะมีช่องดูวิวให้ครับ พอจอดปุ๊บคนก็แห่วิ่งไปมะรุมมะตุ้มกันที่ช่องนี้ ผมแย่งไปไม่ทันเพราะ
กำลังงงว่าเค้าวิ่งไปทำอะไรกัน ตอนแรกคิดว่าเค้าลงสถานีนี้ไปเล่นสกี แต่ก็ได้โอกาสหล่ะครับที่นั่งว่างแล้ว

   ไปต่ออีกสักหน่อยรถจะจอดจุดที่ 2 Eimeer 3160 เมตร แต่จุดนี้เหมือนจะเริ่มรู้แกวกันครับ ไม่มีใครยอมลงจะมี
บ้างที่ลงไปแต่บางตาไม่แย่งกันเหมือนจุดแรก
   มาถึงปลายทางสถานี Jungfraujoch ที่ความสูง 3454 เมตร เข้าไปในตัวอาคารด้านบนมีร้านอาหารแบบฟาสต์
ฟู้ดบริการตัวเองครับ ภายในอาคารจะมีป้ายนำทางนักท่องเที่ยว เดินตามป้ายไปครับ จะพาไปตามจุดต่างๆที่เค้า
ทำไว้ให้ชม ตั้งแต่ Jungfrau panorama คล้ายโรงหนัง 360 องศา แต่ไม่ใหญ่ครับ ผมว่าที่มิวเซี่ยมสยามบ้านเรา
ดูอลังการกว่าเยอะขึ้นลิฟท์ไปด้านบนจะเจอระเบียงชมวิว มองเห็นธารน้ำแข็งไกลสุดลูกหูลูกตาครับ

   นอกนั้นก็มีห้องแสดงประวัติการสร้างทางรถไฟ ลูกแก้วหิมะยักษ์ อันนี้ผมเรียกเองนะครับ 

   และที่ไฮไลต์น่าจะเป็นถ้ำน้ำแข็งครับ เดินต้องระวังกันนิดครับกลัวพื้นมันลื่นแต่จริงๆแล้วก็ไม่รู้สึกว่ามันลื่นนะครับ
มโนไปเอง


   จุดสุดท้ายคือออกไปชมยอดเขาที่เป็น Top of Europe กันครับ ลานที่ออกไปชมจะเป็นลานกว้างๆมองเห็นยอด
เขา 2 ยอด ยอดนี้คือ Jungfrau ครับ สูงที่สุดในเทือกเขา Alps 4158 เมตร

   และอีกด้านคือยอด Monch สูง 4107 เมตรครับ ลานที่ออกมาชมยอดเขานี่ เย็นจัดเย็นไวกว่าตู้เย็นซิงเกอร์ครับ
ออกมาแป๊บเดียวรู้สึกเหมือนหูจะหลุดครับ เลยต้องรีบกลับเข้าไปด้านในครับกลัวว่าอยู่ต่อเดี๋ยวหัวที่มีไว้กั้นหูจะหมด
ประโยชน์ไปซะก่อนครับ

   กลับมาด้านในเดินดูของที่ระทึกกันดีกว่า เดินไปเดินมาสอยนาฬิกาสวิส มาได้ 1 เรือนราคาไม่แรงนัก อยากได้
Omega ได้แค่มองตาปริบๆครับ ราคานาฬิกาบนนี้เท่ากับด้านล่างครับ Refund Tax ได้เค้าจะลดราคาให้เลยเราก็
แค่เอาบิลไปสแตมป์ที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรที่สนามบิน วันกลับแล้วนำใส่ซองจดหมายที่เค้าให้มานำไปหยอดตู้สีเหลือง
ครับ แต่ถ้าเราทำเนียนไม่ไปสแตมป์เค้าจะเรียกเก็บจากบัตรเครดิตตามหลังมาครับ จากด้านในมองลงไปเห็น Kleine
Scheidegg อยู่ด้านล่างครับ

   เรากลับลงไปด้านล่างกันดีกว่าครับจะได้ไปเที่ยวกันต่อ นั่งรถไฟมาถึงสถานี Kleine Scheidegg ก็มาเปลี่ยนขบวน
เช่นเดิมเหมือนตอนขามาครับ แต่ขากลับเราจะกลับทาง Lauterbrunnen พอลงรถไฟจาก Jungfraujoch แล้วเดิน
ทะลุมาอีกด้าน รถไป Lauterbrunnen ขบวนสีแดงจอดอยู่ฝั่งซ้าย รถไป Grindelwald ขบวนสีเหลืองจอดฝั่งขวาครับ
ขากลับรถก็คงแน่นเหมือนเดิม

   สถานี Wengen มีคนขึ้นลงเยอะครับ เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งรีสอร์ทมากมายและยังเป็นจุดนั่งกระเช้าขึ้นไปลานสกี
ด้วย นักสกีจึงนิยมมาที่นี่กันเยอะครับ ถ้าใครอึดๆหน่อยจะลองเดินจาก Wengen ไปที่ Lauterbrunnen ก็ได้นะ
ครับ วิวสวยทีเดียวแหละ แต่ผมขอนั่งรถไฟต่อดีกว่า


   มองจาก Wengen เห็น Lauterbrunnen อยู่เบื้องล่างครับ

   นั่งรถไฟต่อไปอีกไม่นานใกล้ Lauterbrunnen และเป็นสถานีสุดท้ายของรถไฟขบวนนี้ครับ หลังจากนั้นต้องลง
ไปต่อรถไฟกลับไป Interlaken

   มาถึงแล้วครับ เลาเทอร์บรุนเนน(Lauterbrunnen) เมืองรีสอร์ทสงบ น่ารัก อีกเมืองของสวิส บรรยากาศที่นี่น่าพัก
มากครับ เห็นแล้วหลงรักเลยครับ ผมชอบที่นี่มากกว่า Grinderwald ถ้าชีวิตนี้ได้กลับมาเยือนสวิสอีกครั้ง ผมจะมา
พักที่นี่ครับ

   แผนการของเราเมื่อมาถึงที่นี่ ผมจะนั่งกระเช้าขึ้นไปเที่ยว Gimmelwald ชื่อคล้ายกับ (Grindelwald) แล้วนั่งรถ
บัสกลับมา Lauterbrunnen แต่ดูเวลาแล้วไม่ไปดีกว่าครับ เพราะเริ่มเย็นแล้วและไม่อยากไปแค่ชะโงกทัวร์ เลยตัด
สินใจเดินเล่นที่เมืองนี้ดีกว่า

   สัญลักษณ์ของ Lauterbrunnen คงเป็นน้ำตกซเตาบ์บาค (Staubbach Falls) น้ำตกสูง 200 เมตร ทิ้งต้วลงมา
จากยอดเขามองเห็นได้ทั่วทุกมุมของเมือง เดินจากสถานีรถไฟไปไม่ไกลเพื่อดูน้ำตกในระยะใกล้ครับ

   น่าเสียดายที่ใกล้จะเย็นแล้วแสงเงาเริ่มรุนแรงมากขึ้นถ่ายรูปยากครับ ถ้ามาเที่ยวช่วงเช้าน่าจะดีกว่าเพราะแสง
แดดน่าจะมาทางด้านน้ำตกครับ

   เราเดินกลับมาที่สถานีเพื่อรอรถไฟกลับ Interlaken แต่แดดยามเย็นรุนแรงมากครับ เราเลยข้ามมาหลบแดดอีก
ด้านของชานชลา ซึ่งมีร้านสะดวกซื้อ Kiosk อยู่ด้วย เหลือบไปเห็นตู้ไอศครีม Lusso ยี่ห้อเดียวกับ Walls บ้านเรา
มี Magnum ซะด้วย ต้องลองรสชาติที่ไม่มีขายในบ้านเราสักหน่อยครับ เห็นรสแชมเปญลองสักหน่อยครับ มันมี
กลิ่นแชมเปญนิดๆ เนื้อไอศครีมนุ่ม อร่อยเว่อร์จริงๆครับหลังจากวันนี้ก็กินกันแทบทุกวันเลยครับ ขณะกำลังนั่งดุด
แม็กนั่มกันอย่างเมามันส์ รู้สึกเหมือนมีสายตาจับจ้อง มองไปฝั่งชานชลามีสายตาหลายคู่กำลังมองมา สักพักเดียว
เจ้าของสายตาเหล่านั้นก็มายืนออกันหน้าตู้ไอศครีมครับ

   ได้เวลาบอกลาเลาเทอร์บรุนเน่นกลับอินเทอลาเค่นสักทีครับ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงพอๆกับนั่งจากฝั่ง
กรินเดอวาลด์ครับ แต่เส้นทางด้านนี้จะเลียบแม่น้ำสีฟ้าสดใส และอีกด้านเป็นป่าไม้เขียวชะอุ่ม ขบวนรถจะไปรวม
กับขบวนที่มาจาก Grindelwald ที่สถานี Zweilütschinen ครับ กลับมาถึง Interlaken เกือบทุ่มแล้ว แต่แดดยัง
สว่างสดใสอยู่เลยครับ แต่มันใสแค่วันนี้แหละครับ พรุ่งนี้จะไม่มีแดดแบบนี้แล้ว

   พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวเมืองหลวงของสวิสกันครับ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาเที่ยวด้วยกันครับ




Create Date : 17 พฤษภาคม 2557
Last Update : 17 พฤษภาคม 2557 11:32:22 น.
Counter : 1171 Pageviews.

0 comment
Journey to Switzerland - Day 3 Grindelwald - Interlaken

๑๖ เมษายน ๒๕๕๗

   การเดินทางวันที่ 3 ในสวิส ท่ามกลางอากาศหนาวก่อนรุ่งสางที่เรียกว่าหนาวมากจริงๆครับ ผมเดินดุ่ยๆออกมา
ท่ามกลางความมืดเพราะตั้งใจที่จะออกมาดูดาวในคืนฟ้าใสๆ เหมือนที่เคยเห็นมาครั้งนึงที่นิวซีแลนด์แล้วก็ไม่ผิด
หวังกับการออกมาครั้งนี้ครับ

   ตอนแรกก็กะว่าจะอยู่ยาวๆจนตะวันขึ้น แต่ความหนาวเหน็บภายนอกทำให้ผมต้องยอมแพ้แล้วกลับเข้าห้องพัก
ก่อนที่จะออกมาอีกรอบตอนสว่างขึ้น เพื่อจะมาดูอีกสิ่งที่ตั้งใจก่อนบอกลา Zermatt นั่นก็คือช่วงเวลา Matterhorn
กลายเป็นสีทอง ยามต้องแสงตะวันยามเช้า

   กลับเข้ามาทานอาหารเช้าด้วยเมนูเดิมแต่เปลี่ยนที่กินครับ ซีเรียล นมเย็นๆ กาแฟ ขนมปังแข็งๆ 2 แบบ แยม
สามชนิด ฟรุ๊ตสลัด ชีสสไลส์ แฮม 2 ชนิด และน้ำส้มสังเคราะห์
   หลังอาหารเช้าเตรียมเก็บข้าวของ เช็คเอาท์แล้วเดินทางกันต่อครับ ตามแผนถ้าเมื่อวานไม่ได้ขึ้นไปเที่ยว
Gornergart ก็จะขึ้นไปเช้านี้ครับ แต่เมื่อวานโชคดีที่ฟ้าใสได้ขึ้นไปแล้ว เช้านี้ก็เลยรีบไปกันแต่เช้า เพราะมี
โปรแกรมทางเลือกอยู่หลายที่ครับว่าจะเอาเข้าหรือเอาออกขึ้นอยู่กับเวลา

   นั่งรถไฟจาก Zermatt กลับไปที่ Visp ตอนแรกขึ้นผิดตู้ครับ เพราะเพิ่งนั่งรถไฟเป็นวันที่ 3 ดันขึ้นไปนั่ง
1st class  นั้งอย่างสบายอารมณ์สักพักคุณลุงตรวจตั๋วมาทำลอยหน้าโชว์บัตรเบ่งสวิสพาส คุณลุงบอกยูต้อง
เสียตังค์เพิ่มนะจ๊ะ เพราะบัตรเบ่งของพวกยู มันชั้น 2 เงิบสิครับ ต้องระเห็จตัวเองออกจากตู้ไปนั่งชั้นสอง
แต่หันหลังกลับไป พวกที่นั่งมาด้วยกันหลายสัญชาติ เดินตามกันมาเป็นพรวนครับ

    กลายเป็นว่าตู้ชั้นสองคนแน่นมากครับ แต่ก็มีที่นั่งพอให้นั่งชมวิวกันไปได้จนถึง Visp พอถึง Visp ก็ลงมาดู
กระดานเหลืองอีกครั้งครับ รถไฟจาก Visp ตรงไป Interlaken ไม่มีครับ เราต้องนั่งขบวนที่ไป Bern แล้วลงที่
Spiez เพื่อต่อรถไป Interlaken ครับ

   มาถึง Spiez มีเวลาประมาณ 10 กว่านาทีรอเปลี่ยนขบวนไป Interlaken เลยวิ่งไปดูวิวด้านหลังสถานีครับ
ด้านหลังเป็นวิวทะเลสาบ Thun สวยเลยครับ แต่วันนี้มีฟ้าหลัวเลยดูหม่นๆไปนิดครับ

   รถไฟจาก Spiez วิ่งเลียบทะเลสาบ Thun ไปจนถึง Interlaken สถานี Interlaken มีสองฝั่งครับ Interlaken
West จะถึงก่อน ซึ่งจะเป็นสถานีที่อยู่ใกล้ตัวเมือง Interlaken ครับ แต่เราลงที่ Interlaken Ost อยู่ฝั่งตะวันออก
ของเมืองครับ ถ้่าจะไป Jungfrau ต้องมาขึ้นรถที่สถานีนี้ครับ

   มาถึงสถานีเอากระเป๋าฝากตู้ล็อคเกอร์ไว้ก่อนครับ เพราะยังไม่ได้เวลาเช็คอิน และตอนเย็นเราต้องกลับมารับ
กระเป๋าที่ฝากมาจากสนามบินด้วย นัดรับวันนี้บ่ายสามครึ่งครับ เหลือเวลาครึ่งวันผมตัดสินใจว่าจะนั่งเรือเล่นใน
ทะเลสาบเบรียนซ์(Brienz Lake) หรือจะไป Bern แต่สุดท้ายตัดสินใจไปกรินเดอวาลด์(Grindelward) ครับ

   รถไฟจาก Interlaken OST ไป Grindelwald จะเป็นรถขบวนเดียวกับที่ไป Lauterbrunnen เวลาขึ้นสังเกตุที่
ป้ายสีน้ำเงินที่ห้อยอยู่ด้านบนชานชลาครับ เค้าจะบอกว่าให้รอตรงจุดไหน แต่ตอนรถมาถึงจะมีเจ้าหน้าที่มาคอย
บอกอีกทีครับว่าให้ขึ้นตู้ไหน พอไปถึงสถานี Zweilütschinen รถจะถูกตัดเป็น 2 ขบวน ขบวนนึงไป Lauterbrunnen
อีกขบวนไป Grindelwald สวิสพาสขึ้นฟรีทั้ง 2 เส้นทางนะครับ

   รถมาสุดสายที่ Grindelwald ครับใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงสำหรับผู้ที่จะไป Jungfraujoch ต่อรถได้ที่สถานีนี้
ครับ พรุ่งนี้เราจะไปกันไว้ค่อยคุยให้ฟ้งทีเดียวครับ ลงจากรถก็เดินวนไปวนมาจะหาอะไรกิน แต่เหมือนว่าร้านค้าจะ
ปิดกันหมดเลยต้องพึ่งแซนวิสในร้านสะดวกซื้อแทน

   วันที่เรามาถึงเค้ามีตลาดซื้อขายวัวกันครับ ชาวบ้านเดินต้อนวัวกันเข้ามาในเมืองเต็มไปหมด ทำให้การจราจร
ทางเท้าติดขัดด้วยฝูงวัว เราก็เลยเดินเลี่ยงไปเดินเล่นด้านนอกเมืองกันแทน

   ความจริงเมืองนี้เป็นเมืองที่สวยมากครับแต่เหมือนเรามาอยู่ผิดเวลา ทุกอย่างก็เลยดูไม่ราบรื่นเท่าไหร่ ทั้งร้านปิด
ฝูงวัวและการก่อสร้างถนน สุดท้ายก็เลยบอกลากรินเดอวาลด์กลับไปอินเทอร์ลาเค่นดีกว่าครับ

   ขากลับรถจะมารวมขบวนกันกับรถที่มาจากเลาเทอร์บรุนเน่น ที่สถานี Zweilütschinen ก่อนเข้าสู่อินเทอร์ลาเค่น
ครับ มาถึงสถานี Interlaken Ost ยังไม่เข้าที่พักครับ ขึ้นรถอีกขบวนไป Interlaken West กันก่อน มาเดินหาอะไร
กินและชมเมืองอินเทอร์ลาเค่นครับ

   ชื่อเมือง Interlaken มาจาก Inter+Lake หรือเมืองที่อยู่ระหว่างสองทะเลสาบ ด้านตะวันตกคือทะเลสาบ Thune
และทะเลสาบ Brienz อยู่ฝั่งตะวันออกของเมือง เป็นจุดเริ่มต้นสู่ Jungfrau Top of Europe เมืองนี้ก็เลยมีนักท่องเที่ยว
มากมายครับ

   กลับมาที่ Interlaken Ost อีกครั้งครับ เอากระเป๋าจากล็อคเกอร์เสร็จ ไปติดต่อรับกระเป๋าที่เราฝากส่งมาตั้งแต่
วันแรก ได้กระเป๋าครบแล้วก็ เอา Voucher ฟรี Jungfraujoch ไป Validate ครับ เค้าก็จะถามเราว่าจะขึ้นวันไหน
แล้วก็ออกตั๋วมาให้ 4 ใบ ได้ตั๋วแล้วก็เดินออกมาหน้าสถานี จะเห็นร้าน COOP อยู่ฝั่งตรงข้าม เดินเลี้ยวขวาจะเห็น
ตึกแรกที่พักเราอยู่ตึกนี้ครับ เดินไปที่ประตูที่ 2 ถึงแล้วครับ Youth Hostel Interlaken อยู่ใกล้สถานีมาก

   เราพักกันที่นี่ 3 คืนครับ ค่าที่พัก 3 คืน สำหรับ 4 คนห้องน้ำในตัว 585.60 CHF รวมอาหารเช้า แต่ห้องที่นี่กว้าง
ขวางกว่า 2 ที่แรกมากครับ เช็คอิน เก็บของเสร็จก็ออกไปเดินเล่นกันก่อนครับเพราะยังสว่างอยู่ ออกจากที่พักเลี้ยว
ขวาเดินไปไม่ไกลนักจะเจอโบสถ์นี้อยู่ฝั่งตรงข้ามครับ เป็นโบสถ์เล็กๆแต่ด้านหน้ามีสวนญี่ปุ่นที่เป็นสวนที่จัดขึ้นเพื่อ
ฌแลิมฉลองความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับสวิสครับ

   Interlaken Ost ไม่คึกคักเท่า Interlaken West ครับ ร้านค้าก็มีไม่มากนัก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นร้านอาหารและ
โรงแรมครับ แต่ดูเหมือนเค้าจะปิดกันไวมาก

    เดินมาเรื่อยๆก็จะเจอทุ่งโล่งๆกับวิวสวยๆครับ เห็นมีคนเข้าไปออกกำลังกายกัน แต่ผมก็ไม่รู้วัตถุประสงค์ที่แน่นอน
ของการมีทุ่งนี้อยู่กลางเมืองครับ เพราะมันใหญ่มากทีเดียว จะว่าเป็นสวนสาธารณะก็ไม่ใช่ เพราะเค้าไม่ได้จัดสวน
อะไรมีสวนหย่อมอยู่ด้านหน้าหน่อยเดียว

   มีรถม้าชมเมืองด้วยครับ แต่ราคาคงไม่ถูกแบบรถม้าลำปางเป็นแน่ เดินเลยไปนิดก็เจอ Casino อยู่ด้านขวา ด้าน
หน้ามีร้านนาฬิกา และร้านพวกของแบรนด์เนม แต่เดินเข้าไปแล้วเหมือนได้ไปอยู่ในเซี่ยงไฮ้เลยครับ ทั้งพนักงาน
ขายและลูกค้าที่แน่นร้านนั้น คนจีนล้วนๆครับ

   เดินมาถึงแค่นี้ก็เดินกลับกันดีกว่าครับ เพราะจะแวะไปร้าน COOP หน้าสถานีรถไฟด้วย เพราะเค้าปิดแค่ทุ่มเดียว
นี่ก็ 6 โมงครึ่งแล้ว ขอพักเอาแรงก่อนครับ พรุ่งนี้เราจะขึ้น Jungfrau กัน

   กลับมาหุงข้าวกินแล้วก็นั่งชมวิวจากหน้าต่างห้องพักครับ สายไฟดูรุงรังไปหน่อยเพราะติดกับสถานีรถไฟครับ
สองทุ่มแล้วยังสว่างอยู่เลย คืนนี้ราตรีสวัสดิ์เพียงเท่านี้ครับ พบกันใหม่ตอนหน้า




Create Date : 11 พฤษภาคม 2557
Last Update : 11 พฤษภาคม 2557 20:15:49 น.
Counter : 2018 Pageviews.

6 comment
Journey to Switzerland - Day 2 Zermatt

   เช้าวันที่ 2 ในสวิส ตื่นขึ้นมาท่ามกลางอากาศหนาวเย็นมากครับ ที่พักของ Youth Hostel ทุกที่ราคารวมอาหารเช้า
ด้วยนะครับแต่อาหารเช้ามาตรฐานก็คือ ซีเรียล นมเย็นชืดๆ ฟรุ๊ตสลัด ขนมปังแข็งๆสไลส์ มีทั้งแบบธรรมดาและโฮลวีท
แยมสตอเบอรี่ ส้มและบลูเบอรี่ เนย ชีสสไลส์ แฮมกาแฟ โลวัลติน น้ำส้มสังเคราะห์ หมดแล้วครับทุกเช้าจะเจออาหาร
ตามนี้ ส่วนอาหารเย็นถ้าต้องการทานต้องสั่งล่วงหน้า มีค่าอาหารต่างหากครับ

   กินอาหารเช้าเสร็จออกมาเดินชม บรรยากาศทะเลสาบเจนีวายามเช้าหน้าที่พัก สงบงาม ครับ กลับขึ้นไปเก็บของแล้ว
เช็คเอาท์ ถอดเอา Bed Sheets มาคืนเค้าด้วยนะครับ เคาท์เตอร์ของ Youth Hostel เปิดระหว่าง 7:00 - 10:00 และ
16:00 - 22:00 น. ครับ

   กระเป๋าเอาฝากตู้ล็อคเกอร์ไว้ก่อนครับหยอด 2 CHF ตอนเอากุญแจมาคืนจะคืนเหรียญให้ครับ ออกจากที่พักให้เลี้ยว
ซ้ายจะเห็นบันได เดินขึ้นบันไดไปจนถึงถนน จะเห็นตรอกเล็กๆด้านขวา เดินเข้าตรอกไปจนสุดจะออกถนนใหญ่ เดิน
เลี้ยวขวาไปจะเจอป้ายรถประจำทางหน้าโรงแรม Bistol Hotel รอ Bus 201 ป้ายนี้เลยครับ รถมาทุก 10 นาที นั่งรถไป
ประมาณ 2 นาที จะเห็นปราสาทชิยองอยู่ด้านขวา ลงป้ายหน้าปราสาทเลยครับ

   จากป้ายรถเมล์เดินย้อนขึ้นไปนิดหน่อยมีสะพานไม้ข้ามไปฝั่งปราสาท ด้านล่างระหว่างถนนเป็นรางรถไฟครับ
เข้าไปช่องขายตั๋วด้านหน้ายื่นสวิสพาสให้เจ้าหน้าที่ดูครับมีสวิสพาสเข้าชมฟรี เปิดให้เข้าชมระหว่างเวลา 9:00 -
17:00 น. ครับ
   ปราสาทชิยอง  Château de Chillon เป็นปราสาทเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อคอยเก็บค่าผ่านทางของเรือที่ล่อง
ผ่านทะเลสาปเจนีวา ภายหลังปราสาทแห่งนี้มีชื่อเสียงเนื่องจากเป็นสถานที่ที่ทำให้ Lord Byron เกิดแรงบันดาลใจ
ในการประพันธ์บทกวีโรแมนติกเรื่อง "The Prisoner of Chillon" ซึ่งมาจากชีวิตจริงของ ฟรองซัว เดอ โบนีวาร์
นักเทศน์จากเจนีวาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับฆราวาสที่ดูแลวิหารเซนต์วิคเตอร์ ในเมืองเจนีวา มีความนิยมชมชอบลัทธิ
ปฏิรูป ถูกจับนนำาจับล่ามไว้กับเสาหินที่ใต้ถุนปราสาทหลังนี้ โดยดุ้คแห่งซาวอย เป็นเวลาถึงหกปีเต็มๆ ระหว่าง
ค.ศ. 1530 ถึง 1536

   ภายในจัดแสดงเป็นพิพิทธภัณฑ์ มีห้องจัดแสดงเครื่องใช้ต่างๆหลายห้อง เดินตามหมายเลขห้องไปเลยครับ
ผมจำไม่ได้ว่ามีทั้งหมดกี่ห้อง และบางห้องก็ไม่ได้เข้าไปดู แต่เค้าจัดสถานที่ดีครับ ถ้าเราเดินตามหมายเลขไป
จนถึงห้องสุดท้ายจะกลับออกมาด้านนอกโดยไม่ต้องย้อนกลับทางเดิมครับ

   ออกจากปราสาทชิยองข้ามถนนไปนั่ง Bus 201 ฝั่งตรงข้ามครับ ลงป้ายตรงข้ามโรงแรม Bistol ที่เราขึ้นเมื่อ
เช้ากลับไปเอากระเป๋าแล้วไปต่อกันครับ ตอนกลับขึ้นมาผมว่าเดินกลับทางเดิมที่เราลงรถไฟเมื่อวานดีกว่าครับ
เดินไกลกว่านิดนึงแต่เดินสบายกว่า เพราะขึ้นบันไดมันชันครับ มารอ Bus 201 ที่ป้ายเทอร์ริเลต์(Terrilet) ตรง
ข้ามสถานีรถไฟ ไปลงที่ป้าย Escaliers de la Gare จะเห็นร้าน Timberland อยู่ด้านขวาป้ายรถเมล์อยู่ใกล้ๆร้าน
ครับ ลงรถเมล์มามีทางเดินเข้าไปในตัวอาคารจะมีบันไดขึ้นไปด้านบน มีบันไดเลื่อนด้วย แต่มันไม่เลื่อนครับ ก็
เลยต้องแบกกระเป๋าขึ้นไปด้านบน สูงพอควรครับ

   ขึ้นถึงข้างบนจะเจอถนนอีกเส้นเดินข้ามถนนไปจะเจอสถานี Montreux ครับ ถ้าใครนั่งมาลงที่นี่ตั้งแต่เมื่อวาน
คงมากันถูกแต่เมื่อวานเรานั่งรถจาก Lausanne ไปลง Terrilet เลยก็เลยไม่ได้แวะที่สถานีนี้ครับ มาถึงก็เช็คตาราง
รถที่กระดานเหลืองกันก่อน เราต้องนั่งรถจาก Montreux ไป Visp ครับเพื่อไปต่อรถที่นั่น ไม่ว่าคุณจะมาจาก
Interlaken, Bern หรือเมืองไหน ก็ต้องมาต่อรถที่ Visp ครับ

   ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที เราก็มาถึง Visp จาก Visp เราต้องเปลี่ยนขบวนนั่งต่อไปที่ Zermatt เช่น
เคยครับไปดูกระดานเหลืองเช็คเวลารถไป Zermatt แล้วก็ไปยืนรอกันได้เลย หน้าตาตารางเหลืองที่ผมพูดถึง
เป็นแบบนี้ครับ แต่ละสถานีก็จะมีรายละเอียดแตกต่างกัน แต่หลักๆก็คือ ไปดูเวลาตรงส่วนของชั่วโมงก่อนครับ
แล้วไล่ตามนาทีลงมา ก็จะเจอเวลาของขบวนรถที่ไปยังปลายทางที่เราต้องการครับ

    จาก Visp ไป Zermat ใช้เวลา 1 ชั่วโมง เส้นทางนี้วิวสวยตลอดเส้นครับ แต่เสียดายที่หน้าต่างรถไปมันใหญ่
มากไปหน่อย มันก็เลยสะท้อนกันอุตลุต หลบยังไงก็ไม่พ้นเงาสะท้อนครับ

   ถึงสถานีแซร์มัท(Zermatt) ลงไปชั้นใต้ดินกันก่อนครับ เพื่อนฝากกระเป๋าใน Locker ก่อนเพราะวันนี้แดดดีมาก
ไม่ควรพลาดการขึ้นเขาครับ เพราะสภาพอากาศที่นี่ไว้ใจไม่ได้ ถ้ามาถึงแล้วเจอฟ้าใสๆก็รีบขึ้นกันเลยดีกว่าครับ
ฝากกระเป๋าเสร็จเดินกลับขึ้นมาหน้าสถานี จะเห็นฝั่งตรงข้ามมีสถานี Gornergrat Bahn เดินข้ามไปที่สถานีนั้นกัน
ครับ

   พอข้ามมาฝั่งสถานี Zermatt GGB ก็ได้พบกับสิ่งที่ตามหาครับ toblerone หรือยอดเขา Matterhorn ยอดเขาที่
เป็นโลโก้ของช็อคโกแลตที่ไม่อร่อย แต่เป็นหนึ่งในเขาสองลูกที่ผมฝันว่าอยากมาเห็นด้วยตา ลูกแรกคือ Fuji ที่ฝัน
เป็นจริงไปแล้วและนี่คือลูกที่ 2 ครับ

   รถไฟขึ้น Gornergrat เราต้องเสียค่ารถต่างหากครับ Swiss pass ใช้ลดค่าโดยสารได้ 50% ครับ มีสถานี
ทั้งหมด 4 สถานี ราคาก็แตกต่างกันไปครับส่วนใหญ่ก็จะเป็นนักสกีที่ลงระหว่างทางกันครับเพราะแต่ละสถานี
มีความชันของลานสกีที่แตกต่างกัน ซื้อตั๋วแบบ Round Trip เลยครับ เด็ก 6-16 ปีเสียครึ่งราคาครับ ใช้สวิส
พาสลดอีก 50%

   รถจะค่อยๆไต่ระดับจากสถานีขึ้นไปเรื่อยๆ จะเริ่มเห็นตัวเมือง Zermatt กับยอด Matterhorn ชัดเจนขึ้นครับ
จนมาถึงสถานีแรก Riffelalp

   ยิ่งสูงขึ้นก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นครับ

   มาถึงสถานีสุดท้าย Gornergrat ลมแรงมากครับ แรงจนขนาดว่าพัดเอาหิมะมากระทบหน้าจนเจ็บไปหมดครับ
อุณหภูมิ -12 องศา หนาวจัดเลยครับ ยืนถ่ายรูปได้ไม่นานต้องวิ่งเข้าไปหลบในอาคารครับ

   ด้านบนมีอาคารหลังใหญ่ชั้นล่างเป็นร้านขายของที่ระลึกและร้านนาฬิกา ชั้นบนเป็นภัตราคารครับ แต่ร้านขาย
ของปิดเร็วมากครับกำลังเดินดูนาฬิกาเพลินๆ เค้าปิดร้านเฉยเลยครับแค่ 4 โมงเย็นเอง

   เมื่อร้านปิดหมดก็เลยกลับออกมาด้านนอก ตอนนี้ลมเริ่มเบาลงหน่อยครับ มาดูธารน้ำแข็ง(Glacier) อีกด้านนึง
กันบ้างครับยิ่งใหญ่อลังการจริงๆ ตามแผนที่ผมวางไว้ขากลับผมจะเดินกลับลงไปขึ้นรถที่สถานี Rotenboden
เพราะจะไปถ่ายภาพ Matterhorn สะท้อนกับน้ำในทะเลสาบ แต่ต้องนกเลิกครับ เพราะเส้นทางเดินกลายเป็น
น้ำแข็งหมด ผมเลยนั่งรถไฟจาก Gornergrat กลับไปที่ Zermatt

   ลงมาจาก Gornergrat กลับไปเอากระเป๋าที่สถานีรถไฟครับ ตอนนี้เราต้องไปที่พักกันแล้วครับ แต่จากตรงนี้
ไปที่พักประมาณ 1 กิโลเมตร เดินธรรมดาก็สบายๆแต่ลากกระเป๋าขึ้นเนินด้วยคิดไปคิดมาลองเรียกแท็กซี่แล้วกัน
แท็กซี่ที่นี่หน้าตาไม่เหมือนแท็กซี่ทั่วไปนะครับ เพราะที่แซร์มัท ห้ามรถยนต์ทุกชนิดเข้ามาครับ มีแต่แท็กซี่ไฟฟ้า
หน้าตาก็เป็นแบบนี้ครับ

   จากสถานีรถไฟไป Youth Hostel Zermatt เค้าคิด 30 CHF ครับแต่บอกลดพิเศษให้เหลือ 25 CHF เอ่อพี่ครับ
พิเศษมากเลย กิโลละเกือบพันบาท เอาเถอะ พยายามคิดว่าจ่ายเป็นเงินไทย 25 บาท น้ำตาจะไหล
พี่แท็กซี่ก็ใจดีพาวนชมเมือง จริงๆเค้าก็ไม่ได้พาวนหรอกครับ เค้าไม่ให้แท็กซี่ผ่านเข้ากลางเมืองต้องวนออกไป
รอบนอกวิ่งเลียบแม่น้ำ ไม่นานก็มาถึงที่พัก Youth Hostel Zermatt ตึกสีเหลืองครับและเหมือนเดิมครับ เข้าเช็คอิน
แล้วรับ Bed Sheetsแต่ห้องที่จองมาวันนี้เป็นห้องสี่คนมีห้องน้ำในตัวครับ ราคา 208 CHF ครับ อยู่ตึกด้านหน้าที่เป็น
สี่เหลี่ยมสีปูนครับ ชั้นล่างสุด

   เก็บของเสร็จ หุงข้าวเตรียมมื้อเย็นไว้แล้วออกไปเดินเล่นในเมืองกันครับ จากที่พักเดินลงเนินไปด้านล่างผ่าน
แม่น้ำเข้าสู่เขตตัวเมือง
   Zermatt แซร์มัท หรือที่หลายคนเรียกเซอร์แมท แต่ผมฟังจากเสียงที่ประกาศบนรถไฟเค้าออกเสียงแซร์มัทครับ
มีประชากรในเมืองไม่ถึง 10,000 คน ตั้งอยู่บนที่ราบสูงกว่า 1,620 เมตร ทางตอนใต้ของสวิตติดกับชายแดนอิตาลี
โดยมี Pennine Alps ซึ่งเป็นส่วนนึงของเทือกเขา Alps เป็นเส้นกั้นระหว่าง 2 ประเทศ ยอดเขา Matterhorn ที่ตั้ง
ตระหง่านอยู่ใกล้ๆ เมือง มีความสูงถึง 4,478 เมตร สามารถมองเห็นได้จากแทบทุกมุมของเมือง ซึ่ง Matterhorn
นี้ถือเป็นสัญลักษณที่สำคัญของ Zermatt และเป็นที่มาของชื่อลูกอมในบ้านเราด้วย ลูกอม Hall

   ค่าครองชีพที่นี่สูงมากครับ ราคาสินค้าในร้านสะดวกซื้อแพงกว่าเมืองอื่นๆประมาณ 3 เท่าครับ แต่ผมไม่รู้
พวกนาฬิกาหรือ Souvenir จะแพงกว่ารึเปล่าเพราะแค่ทุ่มเดียวก็ปิดร้านกันเรียบเลยครับ ออกมาเดินเล่นก็
เลยได้ดูแค่หน้าร้านครับ แม้แต่ COOP ยังปิดเลย จะเปิดก็แต่ร้านสะดวกซื้ออย่าง Kiosk ที่เหมือน 7-11 แต่
ของจะแพงกว่า COOP เดินไปเดินมาไม่มีอะไรให้ดูแล้วกลับไปกินข้าวเย็นกันดีกว่าครับ

จุดเริ่มต้นในการเดินทางของแต่ละคนย่อมต่างกันตามบริบทที่เป็นอยู่ ไม่มีใครตัดสินแทนกันได้ว่าเส้นทางที่
แต่ละคนเลือกเดิน ใครถูก ใครผิด สำหรับการเดินทางของผม อาจเกิดจากสิ่งเล็กๆ .....เพียงแค่ภาพลายเส้น
เพียงภาพเดียว


   เราตามหา
toblerone เจอแล้ว แต่การเดินทางยังไม่สิ้นสุด พรุ่งนี้การเดินทางสวิสทริปยังคงดำเนินต่อไปครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามครับ


สถานที่ท่องเที่ยว : Zermatt, Switzerland
พิกัด GPS : 46° 16' 22.24" N 8° 3' 3.39" E







Create Date : 06 พฤษภาคม 2557
Last Update : 6 พฤษภาคม 2557 7:39:19 น.
Counter : 1841 Pageviews.

1 comment
Journey to Switzerland - Day 1 Geneva-Lausanne-Montreux


   ต่อจากตอนที่แล้วนะครับ ไฟล์ทจาก Doha มาถึง Zurich Airport หรือภาษาสวิสเขียนว่า Flughafen Zürich
6.45 น. ตรงเวลา ออกจากเครื่องก็เดินไปตามทางออกลงสู่ชั้นล่างขึ้นรถไฟใต้ดินไปอีกเทอมินัล ผ่านตม. ที่ใช้
เวลารวดเร็วมากครับ แค่เปิดดูวีซ่าสแตมป์ตราแล้วก็เงยหน้ามายิ้มและเอ๋ยคำทักทาย Have a nice trip!
   ผ่าน ตม. มาล้างนาแปลงฟันแล้วไปรอรับกระเป๋ากันก่อน พอได้กระเป๋าก็เดินตามป้าย Bahnhof ไปเรื่อยๆจะ
ออกจากอาคารเทอมินัลไปอีกอาคารที่ใกล้ๆกัน พอเข้าอาคารมาก็เลี้ยวซ้ายครับ จะเห็นสำนักงานขายตั๋วรถไฟ
Rial Ticket เอา Voucher Swiss Pass ที่ซื้อมาจากเมืองไทยมา Validate เลยครับ
ถ้าไม่ได้ซื้อจากเมืองไทยมาซื้อที่นี่ก็ได้นะครับ ยื่นเล่ม Swisspass และ Passport ให้เจ้าหน้าที่เค้าจะถามเราว่าจะ
เริ่มต้นเดินทางวันไหน ของผมเริ่มวันนี้เลย เค้าก็จะเขียนวันเริ่มต้น กับวันสิ้นสุดลงไป แล้วแสตมป์ตรายางวันที่เริ่มต้น
Validate สวิสพาสเสร็จ ก็ไปห้องข้างๆครับ ผมใช้บริการส่งกระเป๋า ไปสถานี Interlaken Ost เพราะจะแบกกระเป๋า
ตะลอนไปด้วย 2 คืน ก็ใช่เรื่อง เลยแบ่งมาจากบ้านเป็นกระเป๋าสำหรับ 2 คืน ส่วนที่เหรือก็ส่งไปรอเราที่สถานี
Interlaken Ost ก่อน อีก 3 วันค่อยไปรับคืนค่าส่งเค้าคิดใบละ 14 CHF ครับ

   ฝากกระเป๋าเสร็จก็ลงไปสถานีรถไฟชั้นล่างสุดครับ เรานั่งรถไฟเที่ยว 8.13 น. เป็นขบวน IC หรือ Intercity
วิ่งตรงจาก Zurich Airport ไป Geneva Airport ไม่ต้องเปลี่ยนขบวนครับ เวลาเราเข้าไปเสิร์ทดูตารางรถไฟ ให้
ใส่สถานีหรือเมืองต้นทางและสถานีหรือเมืองปลายทาง วันและเวลาเดินทาง จะขึ้นตารางรถไฟในช่วงเวลานั้นมา
ให้ครับ แบบตารางข้างล่างนี่ผมเลือก เวลา 8 โมง ไม่มีก็จะขึ้นเวลาแรกคือ 8.13 ขบวนถัดไปคือ 8.43 น. แต่ต้อง
ไปเปลี่ยนขบวนครับ อยากรู้ว่าเปลี่ยนขบวนหรือไม่ที่ไหนให้คลิกดูเครื่องหมาย + ด้านหน้าใต้ตัวเลขครับจะมีราย
ละเอียดบอก แต่จริงๆที่จัดแพลนไว้ก็ไม่เป็นไปตามแผนเท่าไหร่ พลาดรถไฟประจำครับ

   ไม่ต้องไปสนใจตัวย่อมันครับว่าจะเป็นรถอะไร ถึงเวลาก็ไปดูตารางที่สถานีเอา จะมีตารางสีขาวกับสีเหลือง
สีขาวเป็นเวลาที่รถมาถึง สีเหลืองเป็นเวลารถออก ไปดูที่ตารางสีเหลืองครับแล้วดูเวลาเช่นตอนนี้ 8.00 เราก็
ไปดูที่ 8.00 จะมีเวลาไล่ลงไปเรื่อยๆจนถึง 8.59 ว่าเวลานี้ รถไฟขบวนไหน ไปไหน Platform ที่เท่าไหร่เราก็
ไปรอตรง Platform ครับ จะมีป้ายสีน้ำเงินด้านบน Platform บอกว่ารถไฟขบวนถัดไปไปไหน เวลาเท่าไหร่ ที่
Platform จะมีป้าย A B C สีน้ำเงินติดอยู่ ตอนเราดูป้ายบอกขบวนรถ จะมีบอกครับว่า ตรงโซนต่างๆเป็นที่นั่งชั้น
อะไรเช่น A เป็นเลข 1 หมายถีง Frist Class เราไม่ขึ้นครับเพราะเราไม่ได้ซื้อสวิสพาสแบบ 1st Class มา ก็ดูว่า
2nd Class อยู่โซนไหน บางทีก็อยู่ตรง B บางทีก็อยู่กลางๆ A แล้วแต่ขบวนครับแต่ที่ตัวตู้จะติดเลข 1 เลข 2 ไว้
ก็ขึ้นให้ตรงกับเลข Class ครับ แต่บางขบวนมีตู้ Restaurant ด้วย ก็จะมีเครื่องหมาย ช้อนกับซ่อมครับ

   รถช่วงเช้าจะแน่นหน่อยครับ ด้านหน้าตู้โดยสารจะมีที่วางกระเป๋าก็วางไว้แล้วหาที่นั่ง รถจะไปจอดที่สถานี
Zurich HB ซึ่งเป็นตัวเมือง Zurich คนจะลงเยอะก็ค่อยหาที่นั่งตามอัธยาศัยครับ จากนั้นก็นั่งกันยาวเลยครับ
2 ชั่วโมงกว่าแต่วิวสองข้างทางชวนให้เพลินตาจริงๆ

   มาถึง Geneva ก็ไปเดินหา Locker ฝากกระเป๋าก่อน เดินตามป้ายที่่มีรูปกระเป๋ากับลูกกุญแจไปครับ หรือมอง
หาตู้เหล็กสีน้ำเงินใบใหญ่ๆ ดูช่องไหนที่มีกุญแจคาอยู่ก็ฝากได้ครับ ตู้ใหญ่ 9 CHF ฝากเสร็จก็ไปหาอะไรกินก่อน
แล้วเดินลงบันไคเลื่อนไปชั้นใต้ดิน อ้อลืมบอกครับ จะเข้าห้องน้ำก็เข้าซะตั้งแต่บนรถไฟนะครับ ห้องน้ำข้างล่าง
คุณจะโดนเก็บตังค์ครั้งละ 1.5 CHF ก็ประมาณ 50 บาท บ้านเรา 2 บาทเองเนอะ ถึงชั้นใต้ดินเดินตามป้ายรูปเรือ
ไปครับ จะออกมาด้านนอก บรรยากาศ Geneva มาเลยครับ เดิมที Geneva ไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทางของผม
ผมเพิ่งมาเปลี่ยนก่อนออกเดินทางเพียงไม่กี่วันครับ โดยตัด Vevey ออกแล้วเอา Geneva เสียบแทน

   ไปเดินหาซื้อ Sim Card กันก่อน ร้าน Orage ราคา 10 CHF ใช้ได้ 10 วันครับ โทรได้กี่นาทีไม่รู้ครับเพราะไม่
ค่อยได้โทรแต่ Data ได้ 1GB เอาไว้เช็คตารางรถไฟและอื่นๆครับ ออกจาก Orange เห็นตึกตรงข้ามสวยดี เป็น
ตึก  Office de Poste Suisse เห็นมีโรงแรมนอกนั้นเป็นสำนักงานอะไรบ้างก็ไม่ทราบครับ

   เดินตรงไปเรื่อยๆผ่านร้านนาฬิกามากมายหลายร้านจนเห็นทะเลสาบเจนีวาข้ามถนนไปจะเจอสะพานข้ามไปอีก
ฝั่งมาเจนีวาแล้วก็ต้องถ่ายภาพ น้ำพุเจ็ทโด (JET D’EAU) ไว้สักหน่อยครับเดี๋ยวคิดว่ามาไม่ถึงเจนีวา

   เดินข้ามสะพานไปอีกฝั่ง จุดที่ 2 ที่ทัวร์ต้องพามาเราก็มาได้โดยไม่ต้องพึ่งทัวร์ นาฬิกาดอกไม้ Jardin Anglais
ครับไม่รู้จะว่าสวยหรือไม่สวยดีแต่ที่แน่ๆทัวร์จีนตรึมครับ เลยถ่ายรูปมาได้แค่นี้ครับแดดร้อนมากขี้เกียจรอกรุ๊ป
ทัวร์สลายตัว

   จากนาฬิกาดอกไม้เดินข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้วเดินเข้าซอยตรงไปเรื่อยๆจะมีทางขึ้นไปด้านบนจะเจอโบสถ์
เซนต์ปิแอร์
Geneva Cathedral (St-Pierre) โบสถ์ขนาดใหญ่มาก แต่ผมไม่ได้เข้าไปด้านในครับ

   มีรถไฟพานักท่องเที่ยวมาที่โบสถ์แห่งนี้ด้วย แต่ผมไม่รู้ว่าเค้าขึ้นมาจากตรงไหนกันครับเพราะผมเดินขึ้นมาจาก
อีกด้านหนึ่ง คนละด้านกับที่รถไฟขึ้นมา



เดินวนกลับลงมาอีกด้านมาเจอหอนาฬิกาถ่ายไว้สักหน่อยครับ

   เลยหอนาฬิกามาก็กลับมาถึงสะพานที่เราข้ามมาเดินข้ามกลับไปสถานีรถไฟกันครับ เพราะเราจะไปเที่ยว
Lausanne กันต่อ

   กลับมาเอากระเป๋าที่สถานีก็เริ่มทำความคุ้นเคยกับกระดานเหลืองเลยครับ ดูเวลา ดูจุดหมาย ดูPlatform แล้วก็
เดินไปยืนรอรถได้เลย ทำความคุ้นเคยได้ไม่ยากครับสำหรับกระดานเหลือง พอขึ้นไปนั่งก็คอยฟังประกาศว่าสถานี
ต่อไปคือสถานีที่เราจะลงรึเปล่า แต่รถบางคันก็มีจอให้ดูครับว่าถึงสถานีอะไรและสถานีต่อไปสถานีอะไร

   มาถึง Lausanne ก็ฝากกระเป๋าใน Locker อีกรอบครับเดินออกมาด้านหน้าสถานี จะเห็นร้าน Mc Donald อยู่ฝั่ง
ตรงข้ามด้านหน้าร้านมีทางลงรถไฟใต้ดิน Metro ลงไปขึ้นรถไฟใต้ดินไปลงสถานี
Bessières ครับ ไปประมาณ 3
หรือ 4 สถานีก็ถึงครับ ลงรถไฟแล้วขึ้นลิฟท์มาด้านบนจะห็นมหาวิหารแห่งโลซานน์(La
Cathedrale de Lausanne)
อยู่บนเนินเขาเดินตามทางไปเลยครับ

   ช่วงนี้เค้ากำลังปรับปรุงครับก็เลยเห็นนั่งร้านรุงรังไปหมด เดินขึ้นไปด้านบนมีจุดชมวิวเมืองโลซานน์และทะเล
สาบเจนีวา

   เข้าไปดูในโบสถ์กันครับ ตอนแรกคิดว่าเข้าไม่ได้แต่เห็นฝรั่งเข้าไปก็เลยเข้าตามไปบ้าง โบสถ์นี้มีชื่อเสียงเรื่อง
ช่องแสงที่ตกแต่งด้วยกระจกสีสวยงามครับ

อลังการมาก

   ออกจากโบสถ์มาจะเห็นบันไดไม้ลงด้านล่าง เดินลงบันไดไม้ไปครับ จะมีทางลอดใต้ถนนเดินลอดไปแล้วลง
ตามบันไดไปเรื่อยๆครับจะถึงจตุรัส Place de la palud

   เป็นจตุรัสโบราณกลางเมืองที่สวยที่สุด มีน้ำพุเทพีแห่งความยุติธรรมตั้งประดับกลางจตุรัสมีร้านค้าต่างๆมากมาย
เดินผ่านจตุรัสไปเรื่อยๆจะเห็นสถานี Metro Riponne นั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานี
Ouchy ครับ แต่เดี๋ยวก่อนเหตุการณ์
ไม่คาดฝันเกิดขึ้นครับ ยืนรอรถไฟอยู่ก็มีประกาศอะไรสักอย่างเป็นภาษาสวิสฝรั่งเศส ผู้คนที่ยืนรออยู่ทั้งหมดแตกฮือ
กลับขึ้นข้างบนกันหมด เราก็ใบเลยครับยืนเป็นกระเหรี่ยงหลงดอย สักพักมีผู้หญิงคนนึงมากับลูกสาวตัวน้อย เดินมา
ถามเป็นภาษาอังกฤษว่าเราจะไปไหน เค้าบอกเราว่ารถไฟขัดข้องหยุดวิ่งชั่วคราวประมาณ 15 นาที เราเลยบอกว่าจะ
ไป Ouchy เค้าบอกงั้นไปขึ้นรถเมล์กับเค้า เค้าจะไปทางนั้น เราก็เลยเดินตามไปขึ้นรถเมล์ครับ รถเมล์วิ่งไปสักพักก็
มาจอดหน้าสถานี Ouchy

   ฝั่งตรงข้ามคือสวนสาธารณะและทะเลสาบเจนีวา จริงๆแผนเราจะเดินไปพิพิธภัณฑ์โอลิมปิกและไปดูศาลาไทย
กันที่สวนสาธารณะถัดไปหน่อย เส้นทางจากสถานีเดินเลี้ยวซ้ายไปตามถนนเลียบทะเลสาบไปเรื่อยๆแต่สมาชิกเริ่ม
งอแงหมดแรงเดินกันแล้ว ก็เลยเปลี่ยนแผนไปถ่ายรูปเล่นในสวนสาธารณะฝั่งตรงข้ามแทน

   จากสถานี Metro Ouchy ตอนนี้รถไฟกลับมาให้บริการเหมือนเดิม เรานั่งกลับไปที่สถานี Lausanne เพื่อเอา
กระเป๋าแล้วไปกันต่อครับ คืนนี้เราพักที่ Montreux ตามแผนเราต้องไปลงที่ สถานี Montreux แล้วนั่งรถเมล์สาย
201 ไปลงที่ เทอรริเล่ท์(Terrilet) ประมาณ 3 - 4 ป้ายรถเมล์ แต่โชคดีรถที่เรานั่งเป็นรถขบวนที่ผ่าน Terrlet
พอดี

   ลงรถไฟจะมีทางลอดไปริมทะเลสาบเดินตามทางไปเลยครับ มีบันไดลงไปด้านล่างแล้วเลี้ยวซ้าย เดินตรงไป
จะเจอสนามเทนนิส เดินเลยสนามเทนนิสไปอีกนิดถึงแล้วครับ Youth Hostel Montreux ห้องที่เราจองเป็นห้อง
4 คน เป็นเตียง 2 ชั้น 2 เตียง ห้องน้ำรวมครับ แต่ห้องน้ำสะอาดดีครับและอยู่ใกล้ห้องพักเลย
   ค่าที่พักคืนนี้ 162.40 CHF ต่อห้อง การมาพักที่ Youth Hostel ทั่วโลกควรทำบัตรสมาชิกมาก่อนจากเมืองไทย
ครับ เพราะไม่งั้นคุณต้องมาทำที่นี่ซึ่งแพงกว่า เข้าไปที่เวปไซต์ //tyha.org/tyha/web/home.php ค่าสมาชิก
350 บาทต่อคนต่อปีครับ ตอน Check-In ยื่นบัตรสมาชิกให้เค้าดูเลยครับ เค้าจะให้ Bed Sheets มาคนละชุด
ประกอบด้วยผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนและปลอกผ้านวม เราต้องจัดการปูเองครับ ตอน Check-Out ก็ถอดมาคืน
เค้าครับ ผมลืมถ่ายรูปตอนมาถึงก็เลยมีแต่ตอนดึกแล้วให้ดูครับ

   เก็บของเสร็จนั่งรถเมล์กลับมาเดินเที่ยวใน Montreux แต่ปรากฎว่าร้านค้าปิดหมดแล้วครับ แค่ทุ่มเดียวเอง
ไม่มีเปิดสักร้านเลย มีร้านเดียวคือร้าน coop (ผมฟังจากในทีวีที่นั่นเค้าออกเสียงว่า กู๊ป) เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต
ที่มีอยู่ทุกเมืองเหมือนโลตัสเอ็กเพรสบ้านเราครับ กับร้านอาหารพวก Pub Bar และ Casino ครับ แต่ก็ไม่ได้มี
เสียงดังอึกทึกนะครับ เค้านั่งกินกันเงียบๆครับ

   ขากลับเดินเลียบทะเลสาบเจนีวาไปเรื่อยๆครับ ดูพระอาทิตย์ตกตอนสองทุ่มกว่า เป็นภาพพระอาทิตย์ตกภาพ
เดียวของทริปครับ

บรรยากาศตอนเกือบจะสามทุ่มครับ

เดินเลยที่พักไปหน่อยเห็นปราสาทชิลง(chateau de chillon) อยู่ไม่ไกลนัก พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวกันครับ

   บอกลาการเดินทางวันแรกในสวิสด้วยบรรยากาศตอนสามทุ่มครึ่งของ Montreux ครับ อากาศหนาวมากๆ
ถ้าพรุ่งนี้ฟ้าเป็นใจเหมือนวันนี้เราอาจจะได้เจอ toblerone




Create Date : 02 พฤษภาคม 2557
Last Update : 2 พฤษภาคม 2557 9:54:52 น.
Counter : 1986 Pageviews.

3 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

นักบัญชีขี้บ่น
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]