Group Blog All Blog
|
Journey to Switzerland - Day 5 Brienz - Bern
![]() ๑๘ เมษายน ๒๕๕๗ เป็นไปตามพยากรณ์อากาศเลยครับ สำหรับอากาศวันนี้ตื่นเช้ามาพร้อมกับสายฝนปรอย ผิดกับเมื่อวานที่ท้องฟ้า ท่าเรือล่องทะเลสาบเบรียนซ์อยู่หลังสถานีรถไฟครับ เดินลอดใต้สถานีไปก็จะเห็นเรือจอดอยู่ริมแม่น้ำ มีซุ้มขาย เรือเที่ยวแรกออก 9.07 น. แวะจอดตามท่าต่างๆ ตามนี้ครับ Interlaken Ost BrS - Bönigen - Ringgenberg BrS - นั่งเรือเที่ยวนี้ความรู้สึกเหมือนนั่งเรือด่วนเจ้าพระยาเลยครับ เจอกรุ๊ปคนไทยเกือบทั้งลำ เฮฮาสนุกสนานกันมาก น้ำที่ทะเลสาบ Brienz นี่สีสุดยอดจริงๆครับ เป็นสีเพทายหรือที่ฝรั่งเรียกเทอร์ควอยส์ (Turquoise) ชอบมากครับ บ้านสไตล์ชาเล่ย์ริมทะเลสาบ มีแบบนี้สักหลังคงสุขมิใช่น้อย หันกลับไปมอง Interlaken เมฆฝนปกคลุมทั่วไปหมด โชคดีที่เราขึ้นจรุงเฟราเมื่อวานครับ ไม่งั้นคงกร่อยแน่ถ้า วันนี้เที่ยวแบบสบายๆครับ ให้ดูแต่รูปครับ และนี่คือโรงแรม Grand hotel Giessbach ครับ ไม่รู้ว่าคืนละเท่าไหร่นะครับแต่ที่แน่ๆเต็มไปจนถึง May 2016 น้ำตก Giessbach Falls ใครจะมาเที่ยวน้ำตกนี้ก็ลงที่ท่า Giessbach See ครับ เป็นน้ำตกที่ใหญ่โตพอสมควร เลยจากน้ำตกไม่นานก็มาถึงท่าเรือสุดท้ายครับเมือง Brienz ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า ใครยังไม่จุใจจะนั่งกลับ ชีวิตช่างมีความสุขอะไรเช่นนี้ น่าอิจฉาจัง เมือง Brienz วันนี้เงียบสนิทครับ ไม่มีร้านเปิดสักร้านเพราะเป็นช่วงหยุดเทศกาลอีสเตอร์ พร้อมใจกันหยุดจริงๆ จาก Interlaken ไป Bern รถไฟแล่นเรียบทะเลสาบ Thun ถ้าวันฟ้าใสๆคงสวยมากครับ ขนาดวันฟ้าหม่นๆแบบ มาถึงสถานี Bern ก็เดินตามป้าย City ไปเรื่อยๆครับ จะเจอบันไดเลื่อนอยู่ขวามือ ขึ้นบันไดเลื่อนไปออกมาหน้า เลี้ยวซ้ายมาตามถนน Spitalgasse เดินเรื่อย ๆ สุดถนนก็จะเห็นซุ้มประตูเมืองเก่าที่มีหอนาฬิกาตั้งเด่น ประตูเมือง
ถนนเส้นนี้เป็นถนนสายช๊อปปิ้งที่ยาวที่สุดในสวิส แต่เดี๋ยวก่อน วันนี้วันหยุดเทศกาลอีสเตอร์เสียใจกับคุณนาย เดินทะลุไปด้านหลัง วิวทิวทัศน์เมืองเบิร์นสวยเชียวครับ กรุงเบิร์น(Bern หรือ Baren ในภาษาเยอรมัน) แปลว่า ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงและตั้งอยู่ใจกลางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีความโดดเด่นอย่างน่าประทับใจของ กลับออกมาด้านนอกเดินกันต่อครับ เห็นตึกที่อยู่ตรงข้ามศาลาว่าการเมือง เดินเลี้ยวขวาไปตามทางนี้เลยครับ ร้านค้าปิดเรียบครับ แม้แต่ร้านอาหาร มหาวิหารมึนสเตอร์ (Munster) เป็นโบสถ์โกธิคสไตล์เยอรมัน เริ่มสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1421 แต่มาแล้วเสร็จในอีก ในเมื่อขึ้นด้านบนไม่ได้ ก็ออกไปดูด้านหลังก็ได้ครับ วิวเมืองเบิร์นกับแม่น้ำ Aare เดินกลับออกมาด้านถนนอีกครั้ง ไม่ต่องเดินย้อนกลับทางเดิมครับ เดินต่อไปเรื่อยๆ จะทะลุออกมาถนนเส้นหลัก มองกลับไปอีกด้านเห็นมหาวิหารมึนสเตอร์ เดินข้ามสะพานไปอีกฝั่งจะเจอบ่อหมี Bärengraben เป็นสวนขนาดไม่ใหญ่มากตั้งอยู่บนแนวชันของเนินเขาริม ดูหมีแล้วก็ข้ามถนนมาอีกด้านจะเห็นป้ายรถเมล์ครับ นั่งรถ Bus สาย 12 กลับเข้าเมือง ความจริงเดินไม่ไกลมาก เดินกันต่อกลับไปทางสถานีรถไฟครับ ผ่านหอนาฬิกา Zytgloggeturm หรือ Zeitglockenturm สร้างขึ้นราว ได้เวลากลับกันสักทีครับ อุตส่าห์มาถึงถนนช๊อปปิ้งยาวที่สุดของสวิสร้านดันปิดหมดซะนี่ ลอดซุ้มหอนาฬิกามา
เสียดายที่ฟ้าอึมครึมทั้งวันรูปก็เลยออกมาหม่นๆทั้งเซ็ทครับ กลับมาที่สถานีปรากฏว่ารถไฟที่ไป Interlaken เพิ่ง พรุ่งนี้เราจะอำลา Interlaken กันแล้วครับมุ่งหน้าสู่ Lucern ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ Journey to Switzerland - Day 4 Jungfraujoch - Lauterbrunnen
๑๗ เมษายน ๒๕๕๗ กิจวัตรประจำวันทุกเย็นก็คือเข้า Internet เพื่อเช็คสภาพอากาศวันรุ่งขึ้น เมื่อวานผมเช็คอากาศวันนี้เค้าบอกว่า เหมือนเมื่อวานครับ รถที่ไป Grindelwald และ Lauterbrunnen ออกจาก Interlaken มาขบวนเดียวกันแต่มาตัด หากไปทาง Lauterbrunnen ต้องไปเปลี่ยนขบวนเหมือนกันครับและ Swiss pass ก็ฟรีถึงแค่เลาเทอร์บรุนเน่น เส้นทางรถไฟจาก Grindelwald ถึง Kleine Scheidegg นังไปก็แปลกใจไปครับว่าเค้าขึ้นมาสร้างได้ยังไงเพราะ เมื่อขึ้นมาถึง Kleine Scheidegg เราต้องไปขึ้นรถไฟอีกขบวนเพื่อขึ้น Jungfraujoch รถจะจอดอีกฝั่งของสถานี ออกจากสถานีได้ไม่นานนัก เส้นทางเจาะทะลุภูเขาไปตลอดครับโดยรถจะจอดสองจุด จุดแรกคือที่ Eigerwald ไปต่ออีกสักหน่อยรถจะจอดจุดที่ 2 Eimeer 3160 เมตร แต่จุดนี้เหมือนจะเริ่มรู้แกวกันครับ ไม่มีใครยอมลงจะมี
นอกนั้นก็มีห้องแสดงประวัติการสร้างทางรถไฟ ลูกแก้วหิมะยักษ์ อันนี้ผมเรียกเองนะครับ
และที่ไฮไลต์น่าจะเป็นถ้ำน้ำแข็งครับ เดินต้องระวังกันนิดครับกลัวพื้นมันลื่นแต่จริงๆแล้วก็ไม่รู้สึกว่ามันลื่นนะครับ
และอีกด้านคือยอด Monch สูง 4107 เมตรครับ ลานที่ออกมาชมยอดเขานี่ เย็นจัดเย็นไวกว่าตู้เย็นซิงเกอร์ครับ
กลับมาด้านในเดินดูของที่ระทึกกันดีกว่า เดินไปเดินมาสอยนาฬิกาสวิส มาได้ 1 เรือนราคาไม่แรงนัก อยากได้ เรากลับลงไปด้านล่างกันดีกว่าครับจะได้ไปเที่ยวกันต่อ นั่งรถไฟมาถึงสถานี Kleine Scheidegg ก็มาเปลี่ยนขบวน สถานี Wengen มีคนขึ้นลงเยอะครับ เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งรีสอร์ทมากมายและยังเป็นจุดนั่งกระเช้าขึ้นไปลานสกี
นั่งรถไฟต่อไปอีกไม่นานใกล้ Lauterbrunnen และเป็นสถานีสุดท้ายของรถไฟขบวนนี้ครับ หลังจากนั้นต้องลง มาถึงแล้วครับ เลาเทอร์บรุนเนน(Lauterbrunnen) เมืองรีสอร์ทสงบ น่ารัก อีกเมืองของสวิส บรรยากาศที่นี่น่าพัก แผนการของเราเมื่อมาถึงที่นี่ ผมจะนั่งกระเช้าขึ้นไปเที่ยว Gimmelwald ชื่อคล้ายกับ (Grindelwald) แล้วนั่งรถ สัญลักษณ์ของ Lauterbrunnen คงเป็นน้ำตกซเตาบ์บาค (Staubbach Falls) น้ำตกสูง 200 เมตร ทิ้งต้วลงมา น่าเสียดายที่ใกล้จะเย็นแล้วแสงเงาเริ่มรุนแรงมากขึ้นถ่ายรูปยากครับ ถ้ามาเที่ยวช่วงเช้าน่าจะดีกว่าเพราะแสง เราเดินกลับมาที่สถานีเพื่อรอรถไฟกลับ Interlaken แต่แดดยามเย็นรุนแรงมากครับ เราเลยข้ามมาหลบแดดอีก ได้เวลาบอกลาเลาเทอร์บรุนเน่นกลับอินเทอลาเค่นสักทีครับ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงพอๆกับนั่งจากฝั่ง พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวเมืองหลวงของสวิสกันครับ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาเที่ยวด้วยกันครับ Journey to Switzerland - Day 3 Grindelwald - Interlaken
๑๖ เมษายน ๒๕๕๗ การเดินทางวันที่ 3 ในสวิส ท่ามกลางอากาศหนาวก่อนรุ่งสางที่เรียกว่าหนาวมากจริงๆครับ ผมเดินดุ่ยๆออกมา ตอนแรกก็กะว่าจะอยู่ยาวๆจนตะวันขึ้น แต่ความหนาวเหน็บภายนอกทำให้ผมต้องยอมแพ้แล้วกลับเข้าห้องพัก กลับเข้ามาทานอาหารเช้าด้วยเมนูเดิมแต่เปลี่ยนที่กินครับ ซีเรียล นมเย็นๆ กาแฟ ขนมปังแข็งๆ 2 แบบ แยม
นั่งรถไฟจาก Zermatt กลับไปที่ Visp ตอนแรกขึ้นผิดตู้ครับ เพราะเพิ่งนั่งรถไฟเป็นวันที่ 3 ดันขึ้นไปนั่ง กลายเป็นว่าตู้ชั้นสองคนแน่นมากครับ แต่ก็มีที่นั่งพอให้นั่งชมวิวกันไปได้จนถึง Visp พอถึง Visp ก็ลงมาดู มาถึง Spiez มีเวลาประมาณ 10 กว่านาทีรอเปลี่ยนขบวนไป Interlaken เลยวิ่งไปดูวิวด้านหลังสถานีครับ รถไฟจาก Spiez วิ่งเลียบทะเลสาบ Thun ไปจนถึง Interlaken สถานี Interlaken มีสองฝั่งครับ Interlaken
มาถึงสถานีเอากระเป๋าฝากตู้ล็อคเกอร์ไว้ก่อนครับ เพราะยังไม่ได้เวลาเช็คอิน และตอนเย็นเราต้องกลับมารับ รถไฟจาก Interlaken OST ไป Grindelwald จะเป็นรถขบวนเดียวกับที่ไป Lauterbrunnen เวลาขึ้นสังเกตุที่ รถมาสุดสายที่ Grindelwald ครับใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงสำหรับผู้ที่จะไป Jungfraujoch ต่อรถได้ที่สถานีนี้
วันที่เรามาถึงเค้ามีตลาดซื้อขายวัวกันครับ ชาวบ้านเดินต้อนวัวกันเข้ามาในเมืองเต็มไปหมด ทำให้การจราจร
ความจริงเมืองนี้เป็นเมืองที่สวยมากครับแต่เหมือนเรามาอยู่ผิดเวลา ทุกอย่างก็เลยดูไม่ราบรื่นเท่าไหร่ ทั้งร้านปิด ขากลับรถจะมารวมขบวนกันกับรถที่มาจากเลาเทอร์บรุนเน่น ที่สถานี Zweilütschinen ก่อนเข้าสู่อินเทอร์ลาเค่น ชื่อเมือง Interlaken มาจาก Inter+Lake หรือเมืองที่อยู่ระหว่างสองทะเลสาบ ด้านตะวันตกคือทะเลสาบ Thune
กลับมาที่ Interlaken Ost อีกครั้งครับ เอากระเป๋าจากล็อคเกอร์เสร็จ ไปติดต่อรับกระเป๋าที่เราฝากส่งมาตั้งแต่ เราพักกันที่นี่ 3 คืนครับ ค่าที่พัก 3 คืน สำหรับ 4 คนห้องน้ำในตัว 585.60 CHF รวมอาหารเช้า แต่ห้องที่นี่กว้าง Interlaken Ost ไม่คึกคักเท่า Interlaken West ครับ ร้านค้าก็มีไม่มากนัก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นร้านอาหารและ เดินมาเรื่อยๆก็จะเจอทุ่งโล่งๆกับวิวสวยๆครับ เห็นมีคนเข้าไปออกกำลังกายกัน แต่ผมก็ไม่รู้วัตถุประสงค์ที่แน่นอน มีรถม้าชมเมืองด้วยครับ แต่ราคาคงไม่ถูกแบบรถม้าลำปางเป็นแน่ เดินเลยไปนิดก็เจอ Casino อยู่ด้านขวา ด้าน เดินมาถึงแค่นี้ก็เดินกลับกันดีกว่าครับ เพราะจะแวะไปร้าน COOP หน้าสถานีรถไฟด้วย เพราะเค้าปิดแค่ทุ่มเดียว กลับมาหุงข้าวกินแล้วก็นั่งชมวิวจากหน้าต่างห้องพักครับ สายไฟดูรุงรังไปหน่อยเพราะติดกับสถานีรถไฟครับ Journey to Switzerland - Day 2 Zermatt
เช้าวันที่ 2 ในสวิส ตื่นขึ้นมาท่ามกลางอากาศหนาวเย็นมากครับ ที่พักของ Youth Hostel ทุกที่ราคารวมอาหารเช้า กินอาหารเช้าเสร็จออกมาเดินชม บรรยากาศทะเลสาบเจนีวายามเช้าหน้าที่พัก สงบงาม ครับ กลับขึ้นไปเก็บของแล้ว กระเป๋าเอาฝากตู้ล็อคเกอร์ไว้ก่อนครับหยอด 2 CHF ตอนเอากุญแจมาคืนจะคืนเหรียญให้ครับ ออกจากที่พักให้เลี้ยว จากป้ายรถเมล์เดินย้อนขึ้นไปนิดหน่อยมีสะพานไม้ข้ามไปฝั่งปราสาท ด้านล่างระหว่างถนนเป็นรางรถไฟครับ ภายในจัดแสดงเป็นพิพิทธภัณฑ์ มีห้องจัดแสดงเครื่องใช้ต่างๆหลายห้อง เดินตามหมายเลขห้องไปเลยครับ ออกจากปราสาทชิยองข้ามถนนไปนั่ง Bus 201 ฝั่งตรงข้ามครับ ลงป้ายตรงข้ามโรงแรม Bistol ที่เราขึ้นเมื่อ ขึ้นถึงข้างบนจะเจอถนนอีกเส้นเดินข้ามถนนไปจะเจอสถานี Montreux ครับ ถ้าใครนั่งมาลงที่นี่ตั้งแต่เมื่อวาน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที เราก็มาถึง Visp จาก Visp เราต้องเปลี่ยนขบวนนั่งต่อไปที่ Zermatt เช่น จาก Visp ไป Zermat ใช้เวลา 1 ชั่วโมง เส้นทางนี้วิวสวยตลอดเส้นครับ แต่เสียดายที่หน้าต่างรถไปมันใหญ่ ถึงสถานีแซร์มัท(Zermatt) ลงไปชั้นใต้ดินกันก่อนครับ เพื่อนฝากกระเป๋าใน Locker ก่อนเพราะวันนี้แดดดีมาก พอข้ามมาฝั่งสถานี Zermatt GGB ก็ได้พบกับสิ่งที่ตามหาครับ toblerone หรือยอดเขา Matterhorn ยอดเขาที่ รถไฟขึ้น Gornergrat เราต้องเสียค่ารถต่างหากครับ Swiss pass ใช้ลดค่าโดยสารได้ 50% ครับ มีสถานี รถจะค่อยๆไต่ระดับจากสถานีขึ้นไปเรื่อยๆ จะเริ่มเห็นตัวเมือง Zermatt กับยอด Matterhorn ชัดเจนขึ้นครับ ยิ่งสูงขึ้นก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นครับ มาถึงสถานีสุดท้าย Gornergrat ลมแรงมากครับ แรงจนขนาดว่าพัดเอาหิมะมากระทบหน้าจนเจ็บไปหมดครับ ด้านบนมีอาคารหลังใหญ่ชั้นล่างเป็นร้านขายของที่ระลึกและร้านนาฬิกา ชั้นบนเป็นภัตราคารครับ แต่ร้านขาย เมื่อร้านปิดหมดก็เลยกลับออกมาด้านนอก ตอนนี้ลมเริ่มเบาลงหน่อยครับ มาดูธารน้ำแข็ง(Glacier) อีกด้านนึง ลงมาจาก Gornergrat กลับไปเอากระเป๋าที่สถานีรถไฟครับ ตอนนี้เราต้องไปที่พักกันแล้วครับ แต่จากตรงนี้ จากสถานีรถไฟไป Youth Hostel Zermatt เค้าคิด 30 CHF ครับแต่บอกลดพิเศษให้เหลือ 25 CHF เอ่อพี่ครับ เก็บของเสร็จ หุงข้าวเตรียมมื้อเย็นไว้แล้วออกไปเดินเล่นในเมืองกันครับ จากที่พักเดินลงเนินไปด้านล่างผ่าน ค่าครองชีพที่นี่สูงมากครับ ราคาสินค้าในร้านสะดวกซื้อแพงกว่าเมืองอื่นๆประมาณ 3 เท่าครับ แต่ผมไม่รู้ จุดเริ่มต้นในการเดินทางของแต่ละคนย่อมต่างกันตามบริบทที่เป็นอยู่ ไม่มีใครตัดสินแทนกันได้ว่าเส้นทางที่
พิกัด GPS : 46° 16' 22.24" N 8° 3' 3.39" E Journey to Switzerland - Day 1 Geneva-Lausanne-Montreux
ต่อจากตอนที่แล้วนะครับ ไฟล์ทจาก Doha มาถึง Zurich Airport หรือภาษาสวิสเขียนว่า Flughafen Zürich ฝากกระเป๋าเสร็จก็ลงไปสถานีรถไฟชั้นล่างสุดครับ เรานั่งรถไฟเที่ยว 8.13 น. เป็นขบวน IC หรือ Intercity ไม่ต้องไปสนใจตัวย่อมันครับว่าจะเป็นรถอะไร ถึงเวลาก็ไปดูตารางที่สถานีเอา จะมีตารางสีขาวกับสีเหลือง รถช่วงเช้าจะแน่นหน่อยครับ ด้านหน้าตู้โดยสารจะมีที่วางกระเป๋าก็วางไว้แล้วหาที่นั่ง รถจะไปจอดที่สถานี มาถึง Geneva ก็ไปเดินหา Locker ฝากกระเป๋าก่อน เดินตามป้ายที่่มีรูปกระเป๋ากับลูกกุญแจไปครับ หรือมอง ไปเดินหาซื้อ Sim Card กันก่อน ร้าน Orage ราคา 10 CHF ใช้ได้ 10 วันครับ โทรได้กี่นาทีไม่รู้ครับเพราะไม่ เดินตรงไปเรื่อยๆผ่านร้านนาฬิกามากมายหลายร้านจนเห็นทะเลสาบเจนีวาข้ามถนนไปจะเจอสะพานข้ามไปอีก เดินข้ามสะพานไปอีกฝั่ง จุดที่ 2 ที่ทัวร์ต้องพามาเราก็มาได้โดยไม่ต้องพึ่งทัวร์ นาฬิกาดอกไม้ Jardin Anglais
จากนาฬิกาดอกไม้เดินข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้วเดินเข้าซอยตรงไปเรื่อยๆจะมีทางขึ้นไปด้านบนจะเจอโบสถ์ มีรถไฟพานักท่องเที่ยวมาที่โบสถ์แห่งนี้ด้วย แต่ผมไม่รู้ว่าเค้าขึ้นมาจากตรงไหนกันครับเพราะผมเดินขึ้นมาจาก
เลยหอนาฬิกามาก็กลับมาถึงสะพานที่เราข้ามมาเดินข้ามกลับไปสถานีรถไฟกันครับ เพราะเราจะไปเที่ยว
กลับมาเอากระเป๋าที่สถานีก็เริ่มทำความคุ้นเคยกับกระดานเหลืองเลยครับ ดูเวลา ดูจุดหมาย ดูPlatform แล้วก็ มาถึง Lausanne ก็ฝากกระเป๋าใน Locker อีกรอบครับเดินออกมาด้านหน้าสถานี จะเห็นร้าน Mc Donald อยู่ฝั่ง ช่วงนี้เค้ากำลังปรับปรุงครับก็เลยเห็นนั่งร้านรุงรังไปหมด เดินขึ้นไปด้านบนมีจุดชมวิวเมืองโลซานน์และทะเล เข้าไปดูในโบสถ์กันครับ ตอนแรกคิดว่าเข้าไม่ได้แต่เห็นฝรั่งเข้าไปก็เลยเข้าตามไปบ้าง โบสถ์นี้มีชื่อเสียงเรื่อง อลังการมาก ออกจากโบสถ์มาจะเห็นบันไดไม้ลงด้านล่าง เดินลงบันไดไม้ไปครับ จะมีทางลอดใต้ถนนเดินลอดไปแล้วลง เป็นจตุรัสโบราณกลางเมืองที่สวยที่สุด มีน้ำพุเทพีแห่งความยุติธรรมตั้งประดับกลางจตุรัสมีร้านค้าต่างๆมากมาย
ฝั่งตรงข้ามคือสวนสาธารณะและทะเลสาบเจนีวา จริงๆแผนเราจะเดินไปพิพิธภัณฑ์โอลิมปิกและไปดูศาลาไทย
จากสถานี Metro Ouchy ตอนนี้รถไฟกลับมาให้บริการเหมือนเดิม เรานั่งกลับไปที่สถานี Lausanne เพื่อเอา ลงรถไฟจะมีทางลอดไปริมทะเลสาบเดินตามทางไปเลยครับ มีบันไดลงไปด้านล่างแล้วเลี้ยวซ้าย เดินตรงไป เก็บของเสร็จนั่งรถเมล์กลับมาเดินเที่ยวใน Montreux แต่ปรากฎว่าร้านค้าปิดหมดแล้วครับ แค่ทุ่มเดียวเอง ขากลับเดินเลียบทะเลสาบเจนีวาไปเรื่อยๆครับ ดูพระอาทิตย์ตกตอนสองทุ่มกว่า เป็นภาพพระอาทิตย์ตกภาพ บรรยากาศตอนเกือบจะสามทุ่มครับ เดินเลยที่พักไปหน่อยเห็นปราสาทชิลง(chateau de chillon) อยู่ไม่ไกลนัก พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวกันครับ บอกลาการเดินทางวันแรกในสวิสด้วยบรรยากาศตอนสามทุ่มครึ่งของ Montreux ครับ อากาศหนาวมากๆ
|
นักบัญชีขี้บ่น
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() Link |