Group Blog All Blog
|
วันใสๆ ใบไม้เปลี่ยนสีที่ Kansai - Day 1 Arashiyama
ทริปนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นทริปถูกหลอก คือถูกป้าม่วงออกจดหมายหลอกว่าจะปรับอัตราการแลกไมล์สะสม เป็นอัตราใหม่ที่ใช้ไมล์ ไหนๆก็โดนหลอกแล้วก็เดินหน้าต่อแล้วกันครับ มีเวลาแค่ 4 วันเต็มในภูมิภาค Kansai ผมก็เลยจัดทัวร์ดูใบไม้อย่างเดียว เพราะ สวัสดี Kaisai ถึงแม้จะโดนป้าม่วงหลอกให้แลกแต้ม แต่ก็ยังดีที่รอบนี้ได้นั่งปลาวาฬ A380 ทั้งไปและกลับ ผมมาถึงสนามบิน Kansai ประมาณเลย มาถึงสถานี Kyoto เราเอากระเป๋าไปฝากที่ Locker สถานีกันก่อนเสร้๗แล้วก็นั่งรถไฟต่ไปลงที่สถานี Saga Arashiyama ใช้เวลา เดินตรงจากสถานีรถไฟไปเรื่อยๆผ่านซอยเล็กๆไปไม่ไกลจะทะลุออกถนนใหญ่ที่ตัดเลียบแม่น้ำ เลี้ยวขวาเดินเลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆครับ
จากสะพานข้ามจันทร์ เดินเลียบริมน้ำไปจนสุดทางรถยนต์ ทางรถจะบังคับเลี้ยวขวา แต่จะมีทางคนเดินริมแม่น้ำต่อ เดินกันต่อไปเลย เลียบแม่น้ำไปจนสุดทางจะเจอทางเดินขึ้นเขา เดินกันเล็กน้อยครับไม่สูงมากด้านบนมีสวนป่า บริเวณนี้มีต้นไม้กำลังผลัดใบให้ชมแบบ จากสวนป่ามีบันไดเดินขึ้นด้านบน ไปกันต่อเลยครับไม่ไกลมากนักเราก็มาถึงสวนไผ่ Kameyama Koen Park ครับ เดินทะลุป่าไผ่มาจะเจอทางเข้าวัดเท็นริว(Tenryu ji) หรือ วัดมังกรสวรรค์ เป็นวัดเอกของนิกายพุทธรินไซ-เซน สาขาเท็นรีวเป็นวัดที่มี
เดินออกมาด้านหน้าวัดเราก็เจอถนนที่เราผ่านมาเมื่อเช้า ถ้าข้ามถนนแล้วเดินเข้าซอยตรงข้ามวัดไปจะถึงสถานีรถไฟ แต่ตอนนี้ไปหา อิ่มท้องกันแล้วก็เดินกันต่อครับ จากหน้าวัดเท็นริวเลี้ยวขวาไปคือถนนเลียบแม่น้ำที่เราเดินเมื่อเช้า เลี้ยวซ้ายเดินตรงไปเรื่อยๆจนข้าม
มาเที่ยวฤดูนี้สิ่งหนึ่งที่เสียเปรียบก็คือ มันมืดเร็วครับ เที่ยวได้ไม่กี่ที่ฟ้าก็เริ่มจะมืดซะแล้ว เราเลยต้องเดินกลับไปที่สถานีรถไฟ เดินย้อน เรานั่งรถกลับมาถึงสถานีเกียวโตก็มืดพอดี พอเอากระเป๋าเสร็จก็ไปที่พักกันเลยครับอยู่ในซอยใกล้ๆ Kyoto Tower ชื่อ Nishikiro เดิน
เก็บข้าวของเสร็จก็แค่ทุ่มเดียวเอง ออกไปเดินเล่นเมืองเกียวโตและหาอะไรกินมื้อเย็นกันก่อนครับ พรุ่งนี้เราจะเที่ยวเกียวโตกันต่อ สำหรับคืนนี้ขอไปพักผ่อนก่อนครับ Journey to Switzerland - Day 9 Lucerne
เช้านี้ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เช้าวันสุดท้ายของทริป แต่ก็เป็นเช้าวันสุดท้ายที่จะได้เดินเที่ยวในสวิส เพราะพรุ่งนี้เช้าเราต้องเก็บของไป หลังจากอาหารเช้าเมนูเดิมๆ เราเริ่มออกเดินสำรวจเมืองลูเซิร์นกันอีกครั้ง เพราะเรามาอยู่ที่นี่ 3 คืนแล้วไปตรงนู้นนิดตรงนี้หน่อย จากแผนที่เมืองลูเซิร์นที่เจ้าของโรงแรมให้เรามาทำให้รู้ว่าป้อมนี้ก็คือ Luegisland Tower (Look Toward The Land) หรือ แต่โชคก็ไม่ได้เข้าข้างเราเสมอไป เพราะหอคอยต่างๆกำลังอยู้ในระหว่างบูรณะจึงปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชม จึงได้แต่เดินขึ้น
เรากลับไปเดินเล่นในเมืองกันดีกว่าครับ เดินย้อนกลับไปทางเดิมผ่านหน้าโรงแรมเลียบริมแม่น้ำไปไม่ไกลนัก ก็จะเจอทางเดิน เนื่องจากวันนี้เราไม่รีบเร่งครับ เราก็เลยเดินเล่นไปเรื่อยๆจากลานน้ำพุเลี้ยวขวากลับไปทางริมแม่น้ำ มีสะพานคอนกรีตข้ามแม่น้ำ สะพานไม้ชาเปล(Chapel bridge) เป็นสะพานไม้ที่เก่ากี่สุดในโลกมีอายุหลายร้อยปี เป็นสัญลักษณ์และประวัติศาสตร์ของเมืองลูเซิร์นเลย เดินข้ามสะพานกลับมาฝั่งเมืองเก่าอีกรอบครับ ตอนเช้ามีตลาดนัดตรงริมแม้น้ำปลายสะพานไปเดินเล่นดูกันสักหน่อยครับ เป็น เดินเลยจากตลาดเข้าไปก็พบกับ Lucerne Town Hall หรือศาลาว่าการเมือง สร้างเมื่อปี 1602 - 1606 ด้านหน้าอาคารเป็นศิลปะ จากตรงนี้ก็เดินเลี้ยวขวาผ่านร้านค้าต่างๆ ดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยๆจนออกมาลานกว้างจากนั้นข้ามถนนไปฝั่งทะเลสาบกันครับ จากจุดนี้ จากนั้นเดินเลียบทะเลสาบไปเรื่อยๆครับแล้วข้ามถนนไปยังโบสถ์ฮอฟเคียร์เคอ(Hofkirche St. Leodegar) โบสถ์แห่งแรกของ ภายในมีแท่นบูชาพระแม่มาเรีย รูปปั้นนักบุญ Leodegar และ Mauritus ซึ่งเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์เมืองลูเซิร์น และมีรูปปันพระเยซู ออกจากโบสถ์มาก็เดินตรงไปตามถนนพอถึงแยกเลี้ยวขวา แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆไม่ไกลนักก็จะถึงอนุเสาวรีย์สิงโตสะอื้น หรือ แถวๆหน้าทางเข้าอนุเสาวรีย์มีร้านขายของที่ระลึกหลายร้านที่คนขายเป็นคนไทยครับ ถ้าจะซื้อของฝากกลับบ้านมาดูแถวนี้ครับ รอบค่ำออกมาเดินเที่ยวอีกรอบครับ ตอนนี้สามทุ่มกว่าร้านค้าปิดหมดแล้วครับ จะมีที่เปิดอยู่ก็พวกบาร์และร้านอาหารยามค่ำ แต่ ออกไปเดินเล่นริมแม่น้ำกันดีกว่าครับ ฝั่งตรงข้ามเมืองเก่ามีโบสถ์สไตล์บาร็อกที่ใหญ่โตและเก่าแก่ตั้งอยู่ สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. เดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆครับ ขาตั้งกล้องก็ไม่ได้เอามาด้วย อาศัยตั้งกล้องไว้กับหัวสะพานบ้าง ราวสะพานบ้างครับ ภาพก็เลย ฝั่งเมืองเก่าแม่น้ำรอยส์และศาลาว่าการเมืองด้านหลัง อ้อมมาดูด้านสถานีรถไฟบ้างครับ กลางคืนสวยดีเหมือนกันครับ และวนกลับมาถ่ายโบสถ์ฮอฟเคียร์เคอยามค่ำบ้างครับ แต่ไม่ได้เดินไปถึงครับ ก่อนเดินกลับขอสะพานชาเปลอีกสักมุมครับ ที่เห็นขาวๆในน้ำไม่ใช่พลังงานอะไรบางอย่างนะครับแต่เป็นหงส์มันว่ายน้ำครับ หงส์ เดินกลับที่พักผ่านจตุรัสกลางเมืองครับ ฝนเริ่มตกปรอยๆพร้อมอากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนด้านหลังยังสนุก
Journey to Switzerland - Day 8 Stein am Rhein
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่สวิสพาสสามารถใช้ได้ เราขึ้นไปเที่ยวเมืองทางเหนือติดชายแดนเยอรมัน นั่นก็คือเมือง สไตน์ อัม ไรน์
การเดินทางอีกแบบคือออกจาก Lucerne นาทีที่ 10 (7.10, 8.10, 9.10) นั่งรถไปลง Zurich HB จากนั้นเปลี่ยนขบวนจาก
เมื่อวานฟ้าสดใสแดดแรงทั้งวัน แต่วันนี้ฝนกลับมาตกอีกครั้งครับ ตลอดเส้นทางที่ผ่านมามีฝนปรอยๆมาตลอดจนมาถึงสไตน์
เดินข้ามสะพานไปอีกฝั่งครับ เมืองสไตน์ อัม ไรน์ เมืองริมฝั่งแม่น้ำไรน์ สวยมากเลยครับ พอข้ามสะพานไปจะเห็นตึกนี้ครับ มีทางแยก ขวา-ซ้าย ก็เดินเลี้ยวซ้ายไปเลยครับ สไตน์ อัม ไรน์ (Stein am Rhein) เป็นเมืองโบราณเล็กๆขึ้นกับเมือง ซัฟเฟาเซ่น (Schaffhausen) มีแม่น้ำไรน์ไหลผ่านกลางเมือง และแน่นอนครับ มันคือเทศกาลอีสเตอร์ บรรยากาศเงียบสนิทมีนักท่องเที่ยวเดินอยู่บ้างเล็กน้อย ร้านค้าส่วนใหญ่ปิดครับรวมถึง นอกจากลายบนพนังสวยๆแล้ว ร้านค้าที่นี่ยังมีป้ายหน้าร้านสวยๆด้วย แต่ละร้านจะมีลวดลายที่แตกต่างกัน มีทั้งรูปตุ๊กตาหรือ เราลงเรือไปเที่ยวซัฟเฟาเซ่นกันต่อเลยดีกว่าครับ เดินลอดหอนาฬิกาไปแล้วเลี้ยวซ้ายไปจะเจอท่าเรือ รอเรือที่ไป Schaffhausen รอเรือไม่ถึง 10 นาทีครับก็ถึงรอบเรือที่เดินทางไปซัฟเฟาเซ่น และเช่นเคยครับสวิสพาสใช้เดินทางได้เลยโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่มครับ เรือห่างออกจากท่ามาแล้ว หันกลับไปบอกลา สไตน์ อัม ไรน์ อีกครั้ง นั่งชมวิวสองข้างตลิ่งประมาณชั่วโมงกว่าครับ มีจอดแวะตามท่าเมืองต่างๆบ้างเป็นระยะ เราเจอครอบครัวคนไทยนั่งเรือลำเดียว มาถึงแล้วครับซัฟเฟาเซ่น(Schaffhausen) ที่เห็นบนยอดเขานั่นคือป้อมมูนอท(Munot) ป้อมปราการโบราณเดี๋ยวเราจะขึนไปที่ ขึ้นจากเรือเดินออกมาเลี้ยวซ้ายแล้วข้ามถนนครับ จะเห็นตรอกเล็กๆด้านขวามีบันไดขึ้นไปด้านบน เดินขึ้นบันไดไปเลยครับ บนเนิน ป้อมมูนอท(Munot) เป็นป้อมปราการทรงกลมที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 ระหว่างปี ค.ศ. 1564 - 1589 เพื่อ จากชั้นนี้มีบันไดวนขึ้นไปด้านบน ซึ่งสามารถชมวิวเมือง Schaffhausen ได้ทั้งเมืองครับ และยังเห็นท่าเรือและแม่น้ำไรน์ที่เราล่องเรือผ่านมาด้วยครับ ผมอ่านข้อมูลก่อนมา เค้าบอกว่าป้อมมูนอทมีทางขึ้นลงสองทาง แต่ผมหาทางลงอีกทางไม่เจอครับ แต่มองเห็นจากด้านบนคาด ผมก็เลยกลับลงทางเก่าครับ ลงไปถึงด้านล่างก็เลี้ยวขวาเดินผ่านเข้ากลางเมืองไปเรื่อยๆ มีแต่คนเดินแต่ไม่มีร้านเปิดสักร้านครับ ถึงแล้วครับจตุรัสกลางเมืองกับลานน้ำพุครับ ลวดลายอาคารที่สวิสนี่สุดยอดจริงๆครับ ไม่เฉพาะแต่ที่ซัฟเฟาเซ่นและสไตน์อัมไรน์ที่มีลวดลายบนผนังอาคารแบบนี้ ที่ลูเซิร์นเอง จากจตุรัสเดินตรงไปเรื่อยๆก็จะถึงสถานีรถไฟ Schaffhausen ขึ้นรถเมล์ฝั่งสถานีสาย 1 ครับ หน้ารถจะเขียนว่า Rheinfall นั่งไป น้ำตกไรน์(Rheinfall) เป็นน้ำตกที่เกิดจากแม่น้ำไรน์ เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป อยู่ระหว่างเมืองเล็กๆชื่อ Neuhausen am
เรากลับมาที่ป้ายรถเมล์เดิมที่เราลง รถเมล์เป็นรถวนขึ้นป้ายเดิมได้เลยครับ กลับไปที่สถานี Schaffausen นั่งรถไฟกลับไปซูริค เดินออกมาด้านข้างสถานีครับจะเจอ Swiss National Museum ข้ามถนนไปเดินเลียบแม่น้ำลิมมัท(Limmat)
ซูริค(Zurich) เมืองที่ใหญ่ที่สุดในสวิส และเป็นเมืองที่ได้รับรางวัลคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลกปี 2006-2008 เป็นเมืองศูนย์กลาง ผมเดินข้ามไปข้ามามาระหว่างสองฝั่งแม่น้ำครับจุดแรกที่ไปชมก็คือ โบสถ์ Grossmunster ซึ่งเป็นหอคอยคู่ เป็นโบสถ์และวิหาร
โบสถ์ Fraumunster หรือ Church of Our Lady เป็นโบสถ์ที่สวยงามด้วยกระจกสี(Stain Glass) สร้างขึ้นโดย Emperor Ludwig โบสถ์ St.Peter เป็นโบสถ์ที่มีหน้าปัดนาฬิกาใหญ่ที่สุดในยุโรป คือ มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 8.7 เมตร แต่ภายในโบสถ์มีสภาพ บอกลาวันนี้ด้วยภาพทะเลสาบซูริคครับ พรุ่งนี้เราชมเมืองลูเซิร์นกันตั้งแต่เช้ายันค่ำครับและเป็นวันสุดท้ายของทริปก่อนเดินทาง
Journey to Switzerland - Day 7 Titlis
เช้านี้อากาศกลับมาสดใสเหมือนเดิม หลังจากเมื่อวานทั้งฝนทั้งหิมะ พยากรณ์อากาศบอกว่าอากาศจะดีแค่วันนี้ อาหารเช้าที่นี่ หลักก็เหมือนๆกับที่ Youth Hostel แต่มีเมนูเพิ่มเติมมานิดหน่อย หลังอาหารเช้าเราก็เดินเลียบ
พอถึงสถานีแล้วเราก็เข้าไปซื้อตั๋วขึ้น Titlis กันก่อนครับ ค่าโดยสารแบบไป-กลับ 89 CHF เด็ก 6-15 ปี 63 CHF
จากหน้าสถานีเดินไปด้านขวา มีคนเดินไปเยอะครับ ฟ้าเหนือ Engleberg วันนี้สดใสมากครับ มาถึงสถานีกระเช้า
กระเช้าช่วงแรกเป็นกระเช้าเล็ก นั่งได้ 6 คนครับ สถานีแรกคือ Gerschnialp ความสูง 1050 เมตร ยังไม่ต้องลง กระเช้าไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงระดับความสูง 1800 เมตรคือสถานี Trübsee ถึงสถานีนี้ต้องลงเพื่อ
กระเช้าช่วงที่ 2 นี้เป็นกระเช้ายืนขนาดใหญ่แบบสี่เหลี่ยมจุคนประมาณ 30 คนเห็นจะได้ครับ ขึ้นไปถึงสถานี
ดูเหมือนจำนวนคนจะมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อระดับความสูงเพิ่มขึ้น ที่สถานี Stand ใช้เวลารอขึ้นกระเช้าช่วงสุดท้าย แล้วเราก็มาถึงสถานีสุดท้าย Klein Titlis ที่ระดับความสูง 3028 เมตร บนนี้จะมีศูนย์อาหาร ภัตตาคาร และร้าน ผมไม่ได้เดินขึ้นไปบนยอดเขา และไม่ได้เล่นกิจกรรมเลยเพราะมันหนาวจัดจนทนไม่ไหวเลยขอกลับเข้าไปใน เดินเข้าไปจนสุดถ้ำน้ำแข็ง จะมีทางเดินต่อไปอีก เดินไปจนสุดทางมีทางออกไปสู่ระเบียงชมวิวด้านนอกครับ ได้เวลากลับลงข้างล่างแล้วครับ ขากลับดีกว่าขามาตรงที่ไม่แออัดครับ กระเช้าโล่งๆตลอดทั้ง 3 ทอดครับและ เมือง Engleberg และทะเลสาบมองจากมุมสูง น้ำจะใสไปไหนเนี่ย วิวก่อนกลับถึง Engleberg ครับ ผมสังเกตุว่าที่ Titlis นี่มีคนอินเดียมาเที่ยวเยอะมากครับ อีกที่คือ Geneva แต่ที่นี่มีซุ้มขายอาหารอินเดียด้วย วันนี้เราไม่มีโปรแกรมไปที่อื่นต่อครับ คงกลับไปเดินเล่นใน Lucerne ตอนแรกวางแผนว่าภาคบ่ายจะไปต่อที่ อำลา Engleberg ด้วยเทือกเขา Titlis และยอดต่างๆรวมถึงความสูงแต่ละยอดครับ ใกล้จะถึงหน้าสุดท้ายของ
Journey to Switzerland - Day 6 Rigi Kulm
๑๙ เมษายน ๒๕๕๗ เช้านี้ตื่นขึ้นมามองออกไปนอกหน้าต่างก็เจอสิ่งที่ไม่คาดคิดครับ มองออกไปนอกหน้าต่างต้นไม้บนยอด Harder ก่อนมาอุตส่าห์จองที่นั่งมาล่วงหน้าเสียค่าจองผ่านเวปมา 32 CHF สำหรับ 4 คน ถ้าไม่จองก็นั่งได้เลยครับเพราะ
รถไฟวิ่งมาตามเส้นทางเดมที่เราล่องเรือมาเมือวานถึงเมือง Brienz วันนี้แทบมองไม่เห็นยอดเขาเลยครับ จากนั้น แต่พอรถเพิ่มระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ จากฝนก็เริ่มกลายเป็นหิมะแทน ก็โอเคครับเห็นเขียวๆมาหลายวันแล้วมาดู แล้วเราห็มาถึง Lucerne ตอน 9.55 น. เรามีเวลาแค่ 17 นาที ในการเอากระเป๋าไปฝากล็อคเกอร์แล้ววิ่งไปท่าเรือ นั่งชมวิวริมทะเลสาบ Lucerne ไปเรื่อยๆ เรือลำนี้ไปถึงท่าเรือสุดท้ายที่ Flüelen SGV ทั้งหมดจอด 13 ท่า แต่เรา ตอนแรกผมสองจิตสองใจว่าจะตัดรูทนี้ออกเพราะกลัวว่าจะมาลงเรือไม่ทัน เดิมทีตั้งใจว่าจะนั่งรถขบวน Golden
รูทนี้ Swisspass ใช้ได้ตลอดเส้นทางโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่มใดๆนะครับ ล่องเรือประมาณ 1 ชั่วโมงเราก็เดินทางมา ตอนที่ผมไปซื้อสวิสพาสที่เมืองไทย เจ้าหน้าที่ RTS บอกผมว่าพี่ไป Rigi ให้ได้นะคะ ที่นี่สวยมากและสวิสพาสใช้
ในเอกสารประชาสัมพันธ์ Rigi เป็นยอดเขาเดี่ยวๆริมทะเลสาบ Lucerne เราสามารถมองเห็นวิวสวยๆของทะเล นั่งรถไฟไม่นานเราก็มาถึงสถานีปลายทาง Rigi Kulm หิมะกำลังตกเลยครับ ขาวโพลนไปหมด แต่หิมะตกอยู่ไม่นานก็หยุด จากสถานีรถไฟเดินขึ้นไปด้านบน มีร้านอาหารและโรงแรมครับ เลยจากโรงแรมขึ้นไปมีทางเดินสู่จุดสูงสุดของยอดเขา Rigi เป็นจุดชมวิว 360 องศาครับ ที่ตามข้อมูลที่ไดมา ขากลับเราไม่ได้กลับทางเดิมครับ เพราะ Mt. Rigi มีทางขึ้น-ลง สองทางเราก็เลยลองนั่งอีกทางดู รถจะจอดที่ พอลงมาใกล้ถึงเมือง Arth Goldau บรรยากาศก็เปลี่ยนไปเป็นอีกแบบเลยครับ จากหิมะมาเป็นทุ่งหญ้าเขียวๆ รถจะมาสุดทางที่สถานี Arth Goldau RB จากนั้นต้องเดินไปต่อรถที่สถานี Arth Goldau ครับ ลงจากรถจะมีทาง กลับมาถึงสถานี Lucerne ก็ไปเอากระเป๋าที่ Locker ครับ ผมเล่าข้า่มไปนิด เมื่อวานผมใช้บริการส่งกระเป๋าเสื้อ มาถึงแล้วครับที่พักของเราคืนนี้ Tourist Hotel Lucerne ราคาสำหรับ 4 คืน 1,072 CHF เป็นห้องอพาทเมนท์ วันนี้ผมยังไม่เล่าเกี่ยวกับ Lucerne ให้ฟังนะครับเก็บไว้เล่ารวบยอดทีเดียวเลย สำหรับวันนี้ขอจบการเดินทางไว้ |
นักบัญชีขี้บ่น
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() Link |