ผมตื่นขึ้นมายามเช้าของคาวากูชิโกะ เปิดหน้าต่างของห้องพักออกไปดูบรรยากาศด้านนอก ฟูจิซังตั้งเด่นอยู่ด้านนอก
กับเมฆดอกเห็ดลอยอยู่บนยอด ครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นเมฆแบบนี้ ผมเรียกคุณผู้หญิงและคุณหนูทั้งสองตื่นมาดูทุกคนตื่น
เต้นกับสิ่งที่เห็น ผต่พอผมถามว่าจะไป Cureito Pagoda อีกรอบมั๊ย ทุกคนปฏิเสธหมดไม่ยอมไป ผมก็เลยต้องหิ้วกระเป๋า
กล้องออกมาคนเดียว
ผมนั่งรถไฟกลับมาที่สถานี Shimoyoshida อีกครั้ง แต่ยามเช้าแบบนี้รถไฟทั้งขบวน มีนั่งกันมาแค่ 3 คน และผมเป็น
คนเดียวที่ลงสถานีนี้ เดินเข้าสถานี จนออกมาเดินเส้นทางเดิมไม่มีใครสักคน จนเลี้ยวข้ามทางรถไฟมาก็เห็นคุณลุงคุณป้า
กำลังช่วยกันทำสวนครัวอยู่
แต่พอเดินขึ้นเขาไปเริ่มเจอผู้คนมากมายมาออกกำลังกายครับ รวมถึงตากล้องนานาชาติเลยคราวนี้ เหมือนเป็นที่รู้
กันว่ามาถึงที่นี่แล้ว จะพลาดมุมนี้ไม่ได้ แต่ก่อนไปถึงมุมมหาชน ขอเก็บภาพระหว่างเดินขึ้นบันไดก่อนครับกันพลาดที่นี่
อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ แป๊บเดียวเมฆอาจบังยอดเขาฟูจิไปหมด มุมนี้ถ่ายจากจุดที่เมื่อวานเจอกลุ่มคุณลุงคุณป้ากำลัง
Hanami ใต้ต้นซากุระครับ
จากนี้ก็ต้องไต่บันได 400 ขั้นอีกรอบครับ เช้าๆยังพอมีแรงเหลือ ค่อยๆเดินขึ้นไปจนถึง Chureito Pagoda อีกรอบ
แล้วผมก็ได้ภาพมุมมหาชนสมดังตั้งใจครับ
ก่อนกลับขออีกสักรูปครับ
เดินกลับลงมาอย่างอาลัยอาวรณ์เล็กน้อยครับ ระหว่างทางพบกับผู้คนมาวิ่งออกกำลังกาย และตากล้องหลายๆคนถือ
กล้องเดินสวนขึ้นมา ยิ้มทักทายให้กันตามประสาคนชอบถ่ายรูปครับ
ผมกลับมาที่สถานี Kawaguchiko และก่อนกลับเข้าโรงแรมก็แวะจองตั๋ว City Bus ไว้ด้วย เพราะเดี๋ยวเราจะไปนั่งรถ
ชมรอบทะเลสาบคาวากูชิโกะ หนึ่่งในทะเลสาบทั้ง 5 ที่อยู่รอบภูเขาไฟฟูจิครับ ราคาค่ารถคนละ 1000 เยน ครับ
กลับมาโรงแรมเพื่อเก็บของและ Check-out และฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม ตอนนี้ก็ได้เวลาที่เราจะนั่ง City Busรอบ
ทะเลสาบกันแล้วครับ รถคันนี้จะพาเราวิ่งริมทะเลสาบ ไปจนถึง Kawaguchiko Natural Living Center จากนั้นจะวิ่งย้อน
กลับเส้นทางเดิมครับ มีจุดจอดรถทั้งหมด 16 จุด เราสามารถลงที่จุดไหนก็ได้ และไปต่อได้โดยรอรถคันถัดไปซึ่งจะออก
ทุกครึ่งชั่วโมงครับ
ดูรายละเอียดเส้นทางเดินรถและตารางเวลาได้ที่ //www.fujisan.ne.jp/access/retrobus_K_e.php ครับ ขา
ไปเราก็นั่งเล็งไปก่อนครับว่าตรงไหนสวย แล้วขากลับค่อยแวะลงก็ได้ครับ
นั่งมาจนถึงสุดสายเค้าก็ให้ลงให้หมดก่อนครับ วิวที่สุดสายรถก็สวยมากครับ ผมมีจุดที่เล็งไว้ขามาแล้ว เดี๋ยวขากลับ
ผมจะแวะไปถ่ายภาพ แต่อะไรที่คิดไว้มันก็ไม่เป็นไปตามที่คิดเสมอไป เพราะขากลับเกิดไฟไหม้ป่า ทำให้ควันไฟบังยอด
เขาจนมิดครับ ผมก็เลยไม่ได้แวะจุดที่เล็งไว้
Kawaguchiko Lake เป็นหนึ่งในทะเลสาบทั้ง 5 ที่อยู่รอบภูเขาไฟฟูจิอันประกอบด้วย Yamanakako Lake, Saiko
Lake, Motosuko Lake, Shojiko Lake และ Kawaguchiko Lake ซึ่งเกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟฟูจิ
หลังจากจากพลาดจากมุมที่ตั้งใจไว้ เราก็นั่งรถกลับมายัง Kawaguchiko Station เพื่อเตรียมตัวกลับโตเกียว ก่อน
กลับแวะทานข้าวกลางวันร้านคุณป้าอีกครั้งครับ
เรานั่งรถ Kieo Bus จากคาวากูชิโกะกลับมายังชินจูกุอีกครั้ง มาถึงชินจูกุประมาณบ่าย 2 โมง ยังมีเวลาเหลือพอเที่ยว
ต่อเลยตัดสินใจไม่กลับเข้าโรงแรม แต่เอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ Locker ในสถานีชินจูกุก่อน สถานีรถไฟที่ญี่ปุ่นจะมี Locker
ฝากของทุกที่ครับ แต่หากฝากไว้สถานีใหญ่ๆ อย่าลืมจำให้ได้นะครับว่าฝากไว้จุดไหน
จากสถานี Shinjuku นั่งรถไฟสาย JR Chuo Line ไปลงสถานี Tokyo จากนั้นเดินประมาณ 10 นาทีจะถึง Imperial
Palace หรือวังของจักรพรรดิ์ญี่ป่นครับ ที่หน้าวังจะมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยต้นสนสวยงามครับ
พระราชวังอิมพีเรียล (โคเคียว ) เป็นที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เมจิมาตั้งแต่สมัยเอโดะ บนพื้นที่
มากกว่า 270 เอเคอร์ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นสวนป่าไม้ธรรมชาติ และเนื่องจากพระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับของสมเด็จ
พระจักรพรรดิ จึงไม่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม แต่จะมีเพียงกรณีพิเศษ 2 ปีที่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าได้คือ วันที่ 23
ธันวาคม ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และวันที่ 2 มกราคม ของทุกปีที่สมเด็จพระจักรพรรดิ
จะออกสมาคม เพื่ออวยพรให้ประชาชนเนื่องในโอกาสวันปีใหม่ แต่จะอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปเข้าได้เพียงแค่บริเวณ
พระราชฐานชั้นนอกเท่านั้น
ทางเข้าหลักจะเป็นสะพานคู่หรือเรียกว่า นิจูบาชิ (Nijubashi) ที่สร้างได้อย่างสวยสง่างาม แต่ไม่เปิดให้บุคคลทั่วไป
ผ่าน ยกเว้น 2 ครั้งต่อปีตามที่ได้กล่าวไว้ให้พสกนิกร(บางคน)ข้ามมารับพระราชทานพรใกล้ๆที่ประทับ ทางด้านตะวันออก
จะมีสวนดอกไม้ (Higashi Gyoen) ซึ่งจัดไว้อย่างสวยงามเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามาพักผ่อนหย่อนใจได้ตลอดเวลา
และเข้าไปยังเขตพระราชฐานได้ 3 ประตู จากทั้งหมด 8 ประตู คือ โอเตมง(Ote-mon), ฮิรากาวะมง(Hirakawa-mon)และ
คิตะฮาเนบาชิมง(Kitahanebashi-mon) ตัวพระตำหนักเป็นอาคารคอนกรีตทรงเตี้ยกว้างสร้างด้วยหินแกรนิตและบะซอลต์
จากภูเขาไฟ คลุมด้วยหลังคาสีเขียว สร้างเสร็จในปี 1970 แทนพระตำหนักไม้หลังเดิมที่ถูกระเบิดในช่วงสงครามโลกในปี
1945
ด้านหน้าทางเข้าเขตพระราชวัง เป็นที่ชมดอกซากุระที่สวยงามมากอีกแห่งหนึ่ง ที่มีดอกซากุระหลายสายพันธุ์บานให้
ได้ชมกัน
จากพระราชวังอิมพีเรียลเรากลับมาที่ชินจูกุเพื่อเข้าพักโรงแรมเดิมคือ Hotel Kent Shinjuku อีกครั้ง หลังจากเช็คอิน
และรับกระเป๋าคืน เก็บของเข้าห้องพักเสร็จอ็ออกมาเดินเล่นชินจูกุยามราตรีเพื่อหามื้อเย็นกินกัน
เย็นนี้เราได้ร้านราเมนหยอดเหรียญ ไอเดียดีมากครับเห็นแล้วอยากมาเปิดในเมืองไทย หน้าร้านจะมีตัวอย่างอาหาร
อยู่ในตู้กระจกพร้อมคำอธิบายว่ามันคืออะไร พอเลือกได้ก็จำเบอร์ไว้ครับจากนั้นไปกดเบอร์ที่ตู้ที่เห็นด้านซ้ายแล้วหยอด
เงินก็จะได้สลิปมา 1 ใบ เดินเข้าไปในร้าน เอาสลิปไปวางให้พนักงานหน้าห้องครัว จากนั้นก็รินน้ำ น้ำชาไปกิน นั่งรอจน
พ่อครัวทำเสร็จเราก็ไปรับอาหารมากิน กินเสร็จก็ยกชามเปล่ากลับไปคืนหน้าครัวครับ ไม่มีพนักงานบริการในร้าน
พรุ่งนี้เราจะไปไหว้พระใหญ่ที่คามาคุระกันครับ