ทริปนี้เหมือนๆทริปอื่นๆของผม คือเริ่มจากตั๋วเครื่องบินราคาโปรโมชั่น คราวนี้ได้ตั๋วโปรจาก Thai AirAsia X บินตรงดอนเมือง-นาริตะ
ได้ตั๋วมาแล้วก็จัดทริปกันเลยครับมีเวลา 7 วันไม่รวมวันไป-กลับ เท่ากับมีวันเที่ยว 5 วันเต็ม แต่แถบโตเกียว คันไซ ผมไป 2 รอบแล้วเลย
มองหาที่ใหม่แล้วก็มาลงตัวที่ภูมิภา๕ Tohoku หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น โปรแกรมก็เลยได้มาตามนี้ครับ
- วันแรก เดินทางจากดอนเมืองไปนาริตะพักอูเอโนะ
- วันที่ 2 นั่งชินกันเซนจาก Ueno ไป Aomori ฝากกระเป๋าที่โรงแรม รับรถ แล้วขับไปเที่ยว Mt Nakano-momiji เที่ยวสวนแอปเปิ้ล
แล้วกลับมา Hirosaki Castle กลับที่พัก
- วันที่ 3 เช้าไป ตลาดปลา Furukawa แล้วขับรถไป ทะเลสาบโทวาดะ(Towada-ko) ขากลับแวะชมวิวบนเขา Hakkoda แล้วกลับ
Aomori ตืนรถ
- วันที่ 4 ขึ้น Shinkansen ไปลงสถานี Ichinoseki ฝากกระเป๋าใน Locker แล้วต่อรถไฟสาย JR Ofunato Line ไปลง สถานี
GEIBIKEI ล่องเรือโตรกผา Geibikei Gorge แล้วกลับไปสถานี Ichinoseki นั่ง Shin Kansen ต่อไป Furukawa แล้วต่อรถไฟสาย
JR Rikuu-East Line ไปลงสถานี NARUKO-ONSEN พักที่ออนเซน
- วันที่ 5 ขึ้นรถบัสไป Naruko Gorge แล้วกลับมาขึ้นรถไฟกลับ Furukawa เพื่อต่อ Shin Kansen กลับ Ueno พัก Ueno
- วันที่ 6 จาก Ueno นั่ง Ltd. Exp Hitachi ไปลงสถานี Katsuta แล้วต่อรถบัสไป Hitachi Seaside Park ดูทุ่งดอกโคเชีย(Kochia)
แล้วกลับโตเกียว Shopping ช่วงบ่าย
- วันที่ 7 กลับเมืองไทย
จัดโปรแกรมเสร็จก็มาดูที่พาสกันมี 2 ทางเลือก
- ทางเลือกแรก JR Pass แบบปกติ ใช้งานได้ 7 วัน (นับติดต่อกัน ) ขึ้นได้ทกุอย่างที่เป็นของ JR ยกเว้น ชินคันเซ็นบางเส้น ราคา 28,300 เยน
- JR East Pass ใช้งานได้ 5 วัน(ไม่จําเป็นต้องติดต่อกัน) ขึ้นรถไฟ JR ได้ทุกเส้น, รถไฟ ท้องถิ่นได้บางเส้น แต่ไม่รวม JR Bus ใน ภูมิภาค ราคา 22,000 เยน
เนื่องจากตารางเที่ยว 7 วันพอดีและผมต้องการใช้ Narita Express ทั้งวันไปและวันกลับเลยตัดสินใจเลือกแบบแรกครับ
วันเรก กรุงเทพ - โตเกียว
เที่ยวบินเราออกจากดอนเมืองเกือบ 11 โมงถึงสนามบิน Narita Terminal 2 ประมาณทุ่มผ่าน ตม. น่าจะประมาณชั่วโมงนึงผมลุ้น
อยู่ว่าจะไปทันสำนักงาน JR ปิดรึเปล่าเพราะต้องเอา Voucher ที่ซื้อจากเมืองไทยไปแลก JR Pass
เที่ยวบินที่ผมนั่งไปค่อนข้างจะเต็มครับ ถึงนาริตะพร้อมกับเที่ยวบินของคาเธ่ย์แปซิฟิก คนก็เลยเต็มที่ช่อง ตม. แต่สักพัก
เจ้าหน้าที่มาตัดแถวช่วงก่อนหน้าผม 5-6 ตนแล้วให้เดินตามไปอีกห้องซึ่งเป็นเคาท์เตอร์ ตม. เหมือนกันเลยใช้เวลาเร็วมากลงมา
กระเป๋ายังไม่มาเลยต้องรอสักพัก พอได้กระเป๋าผ่านด่านศุลกากรก็ไม่นานครับ
พอผ่านศุลกากรออกมาด้านนอกลงบันไดเลื่อนไปอีกชั้นครับจะเห็นออฟฟิศ JR EAST Travel Service Center มีแถวอยู่ยาวพอ
สมควรเรารีบไปต่อแถวเจ้าหน้าที่ขอดู Voucher แล้วเอาเล่ม JR Pass มาให้เรากรอกรายละเอียดตามพาสปอร์ต แต่ยังไม่ทันถึงคิว
สำนักงานก็ปิดครับ เค้าก็ตัดแถวเลยใครยังไม่พ้นประตูเข้าไปอด
แต่ไม่ต้องตกใจครับกลับหลังหันจะเห็นห้องขายตั๋ว JR ป้ายสีเขียวเราก็เอาเอกสารไปยื่นที่ช่องนั้นครับ เจ้าหน้าที่จะ Validated
JR Pass ให้เค้าจะถามเราว่าเริ่มใช้วันไหนเราก็บอกไปว่าวันนี้ พร้อมกับให้เจ้าหน้าที่ทำสำรองที่นัก Narita Express (NEX) รอบ
20.47 ไปลงสถานีโตเกียว ใช้เวลา 56 นาที
ถึงสถานี Tokyo ไปต่อรถไสาย Yamanote Line ครับลงจาก NEX ก็เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ Yamanote Line เป็นรถไฟสายสีเขียว
อ่อนวิ่งแบบ Loop Line คือวนซ้ายกับวนขวา พอถึงทางขึ้นก็อ่านป้ายสักนิดครับว่าต้องขี้นชานชลาไหน เพราะเราจะไปสถานี Ueno
ซึ่งห่างกันแค่ 5 สถานีถ้าขึ้นผิดฝั่งก็ City Tour ล่ะครับวนรอบโตเกียว 1 รอบ
ใช้เวลา 8 นาทีเราก็มาถึงสถานี Ueno เดินไปตามป้ายสีเหลืองที่เขียนว่า iriya exit ออกทางออกนี้ครับ พอออกมาด้านนอกจะมี
บันไดเลื่อนลงไปด้านล่างเป็น Sky walk ด้านขวาจะเห็นตึก OIOI ก็ไม่ต้องสนใจเดินตรงลอดใต้ทางด้วนแล้วครงตลอด จะมีทาง
ลาดและบันไดเลื่อนลงแต่ตอนนี้ดึกแล้วมันไม่เลื่อน ก็ลงบันไดปกติด้านซ้านครับ ลงไปจะเห็นร้าน Lawson ด้านขวาเดินตรงผ่าน
หน้าร้านไป จะเจอสี่แยกเลี้ยวขวาไปเจอสี่แยกอีกทีเลี้ยวซ้าย เห็นร้าน Lawson โรงแรมอยู่ติดร้านครับเข้าไปเลย
ที่พักคืนนี้เป็นแบบฟูกห้องใหญ่ดีครับ มีห้องอาบน้ำและห้องสุขาแยกเป็นสัดส่วนทำภาระกิจพร้อมกันได้ไม่ต้องรอคิวครับ ที่นี่คือ
โรงแรม Ueno New Izu Hotel
วันที่ 2 สู่อาโอโมริ AOMORI
เช้าวันที่ 2 เราเช็คเอาท์ออกกันแต่เช้าเพื่อให้ทันขบวนรถชินกันเซน SHINKANSEN HAYABUSA 1 ซึ่งออกเวลา 6.38 น. ไป
ลงสถานี Shin-Aomori และเนื่องจากเมื่อคืนเรามาถึงดึกเลยยังไม่ได้สำรองที่นั่งรถไฟขบวนนี้ไว้ เรากลับไปที่สถานี Ueno เข้าทาง
เดิมที่ออกมาเมื่อวานก็คือ iriya exit เข้าไปแล้วก็ดูป้าย Sinkansen สีน้ำเงินเป็นรูปหัวรถไฟ Shinkansen เดินตามป้ายไปจะเจอ
JR Office เข้าไปยื่น JR Passให้เจ้าหน้าที่ทำการสำรองที่นั่งดดยบอกปลายทางและรอบรถที่เราต้องการได้เลยครับ
จุดเด่นของรถไฟ Shinkansen สาย Tohoku คือจากโตเกียวมันจะมีรถ 2 ขบวนติดกัน ขบวนสีแดงคือ Komachi ส่วนสีเขียวคือ
Hayabusa ทั้ง 2 ขบวนนี้จะวิ่งพ่วงกันไปจนถึง Morioka แล้วจะตัดขบวนโดยขบวน Komachi จะวิ่งต่อไปที่ปลายทางจังหวัด Akita
ส่วน Hayabusa จะวิ่งต่อไป Aomori
ก็ไม่ต้องกังวนครับว่าจะขึ้นผิดขบวนมั๊ย เพราะตอนทำสำรองที่นั่งเค้าจะระบุขบวนรถและหมายเลขที่นั่งบนบัตรโดยสารตอนไปรอรถก็
ดูที่พื้นเลยครับ จะมีสติ๊กเกอร์ติดไว้เป็นเลขขบวนรถก็ไปยืนรอให้ตรงเลขครับ
ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่งโมงเราก็มาถึงสถานี Shin-Aomori เราต้องต่อรถไฟสาย JR Ou Line for AOMORI เพื่อไปลงสถานี Aomori แค่ 1 สถานีครับ มาถึงสถานี Aomori แล้วเราจะเจอ JR Office เข้าไปจองตั๋ว Shikansen ที่เราต้องนั่งตลอดทริปกันเลยครับ
วิธีก็คือทำการบ้านมาก่อนโดยเช้าเวป Hyperdia.com แล้วทำรูทที่เราจะไปในแต่ละวัน ต้องนั่ง Shinkansen จากไหนไปไหนบ้าง
เวลากี่โมง เจ้าหน้าที่จะทำการสำรองที่นั่งแลเวออกตั๋วให้ คราวนี้เราก็เดินทางอย่างสบายใจได้ครับ ออกจากสถานีมาเลี้ยวซ้ายจะ
เห็นตึกสีแดงๆนั่น เดินไปข้ามทางม้าลายแล้วเดินตรงไปประมาณ 100 เมตรถึงโรงแรมที่เราจองครับ
เราพักกันที่ Hotel New Murakoshi 2 คืน ห้องพักแคบมากสำหรับ 2 คน พอวางกระเป๋าก็แทบไม่มีทางเดินและค่อนข้างสะอาด
น้อยไปหน่อยอาจเป็นเพราะห้องแคบมากจนทำความสะอาดยากและมีกลิ่นบุหรี่จนต้องเปิดหน้าต่างนอน ข้อดีคือใกล้สถานี มีที่จอด
รถและราคาประหยัด
อาดารสีแดงที่อยู่เยื้องๆโรงแรมคือพิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านเนบูตะ Nebuta House Warasse มีอาคารภายนอกปกคลุมด้วยแผ่น
โลหะสีแดงมีความโดดเด่น ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของสถานีรถไฟอาโอโมริ ภายในจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเทศกาลเนบูตะมัตสุริ
(Nebuta Matsuri) ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงต้นเดือนสิงหาคม
เลยไปด้านหลังอาคารคืออ่าวอาโอโมริและสะพานข้ามอ่าว สะพานนี้ทำเชื่มถนน 2 ฝั้งของอ่าวมีท่าเรืออาโอโมริและสถานีรถไฟ
อยู่ด้านล่างเรือลำสีเหลืองนั่นคือเรืออนุสรณ์ฮักโกดามารุ(Hakkodamaru Memorial Ship) เดิมเคยเป็นเรือข้ามฟากระหว่างเกาะ
ฮอนชูและเกาะฮอกไกโด โดยออกจากท่าเรืออาโอโมริ จนกระทั่งในปี 1988 ทางการได้เปิดใช้อุโมงค์เซคัง(Seikan) เรือฮักโกดามารุ
จึงกลายเป็นเรืออนุสรณ์ให้ระลึกถึงอดีต โดยจอดอยู่อย่างถาวรใช้เป็นพิพิธภัณฑ์เรือ
สำรวจรอบๆที่พักกันแล้วก็ไปรับรถกันครับ จากที่พักเดินไปประมาณ 900 เมตรก็ถึง Times Car Rental อยู่ตรงข้ามสถานีตำรวจครับ ยื่นเอกสารการจอง พาสปอร์ต และใบขับขี่สากลให้เจ้าหน้าที่เลยครับ
เราจองรถผ่าน Rentalcars.com เข้าไปจองเค้าจะให้ระบุสถานที่ที่เราต้องการใช้รถ รุ่นหรือขนาดที่ต้องการ ผมเลือกรถ 8 ที่นั่งเพราะไปกัน 7 คนได้ Nissan Van มากว้างนั่งสบายครับ ญี่ปุ่นขับรถง่ายเพราะฝั่งเดียวกับบ้านเรา รับรถเสร็จก็ตั้ง GPS ไปยังจุดหมายแรกกัน
เลย
จุดหมายแรก Mt. Nakano-momiji จาก Aomori เราขึ้นทางด่วนไปยัง Momiji Yama GPS มันพาเราขึ้นทางด่วนก็เลยขึ้นตรับ ขึ้น
ทางด่วนก็จะมีช่องรับบัตรอัตโนมัติไม่มีเจ้าหน้าที่ พอถึงทางลงก็มีตู้สอดบัตรคืนแล้วจะมีค่าทางด่วนโชว์ชึ้นมา 960 เยน มีช่องให้ใส่
เงิน ใส่ได้ทั้งแบงก์และเหรียญเสร็จแล้วก็มีเงินทอนออกมา ไม้กันก็จะเปิดอัตโนมัติครับไม่มีพนักงานเหมือนเดิม ลงทางด่วนก็ขับต่อ
ไปอีกไม่ไกลก็ถึงครับ (พิกัด 40.611102, 140.680459) ประมาณ 43 กม. ใช้เวลา 45 นาที
พิกัดด้านบนนั้นคือลานจอดรถพอดีครับ เดินจากลานจอดรถลงมาไม่เกิน 50 เมตรจะถึงจุดชมวิวด้านบน เดินต่อไปอีกไม่ไกลจะ
เห็นทางเข้าด้านซ้ายมือเดินลงเนินไป สองข้างทางจะเป็นร้านขายขนม จนถึงด้านล่างมีสะพานแดงข้ามไปที่เกาะอีกฝั่งบนเกาะมีการ
แสดงพื้นบ้านให้ชมแต่ผมไม่รู้ว่ามีเฉพาะช่วงนี้รึเปล่าครับ
จากบนสะพานแคงเห็นน้ำตกที่อยู่ด้านล่างเป็นน้ำตกเล็กๆ เสียดายที่ใบไม้เพิ่งเริ่มแดงหากแดงทั้งต้นคงสวยกว่านี้ ที่นี่มีคนมา
เที่ยวเยอะครับแต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนญี่ปุ่นวัยหลังเกษียณ ภูเขานากาโนะ-โมมิจิเป็นหนึ่งในสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยมของ
เมืองคุโรอิชิ ทุกๆ ปีภูเขาจะถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้แดง และตอนกลางคืนยังมีการจะแสดงแสงไฟที่ช่วยเพิ่มความสวยงามได้อย่าง
มากอีกด้วย
บนเกาะพอมีต้นเมปิ้ลที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอยู่บ้างครับ จริงๆก็ไม่เชิงว่าเป็นเกาะเท่าไหร่นักแต่ลำธารช่วงนี้มันโค้งเกือบ 360
องศาทำให้ดูเหมือนว่าเป็นเกาะ บนเกาะจะมีศาลเจ้านากาโนะตั้งอยู่ซึ่งบริเวณศาลเจ้าแห่งนี้มีต้นเมเปิ้ลอายุ 200 ปี และต้นสนซีดาร์
อายุกว่า 600 ปีอยู่ด้วย
น้ำตกที่เห็นตรงสะพานแดงนั่นเดินลงไปด้านล่างได้ครับแต่เราต้องเดินข้ามสะพานกลับไปก่อน เพราะทางลงอยู่อีกฝั่งของเกาะ
เดินลงไปนิดเดียวครับช่วงทางลงก็มีต้นเมเปิ้ลเริ่มเปลี่ยนสีอยู่แต่ยังเป็นสีส้มไม่ถึงกับแดงครับ
Fudo waterfall น้ำตกเล็กๆแต่ก็สวยเหมือนกันครับ แต่ไม่รู้ต้นน้ำมาจากไหนครับไม่ได้เดินขึ้นไปดู แต่ลำธารนี้ไหลไปรวมกับ
ลำธารสายใหญ่ที่มาจากทะเลสาบ Nijino Lake แล้วไหลรวมกับลำธารอีกหลายๆสายกลายเป็นแม่น้ำอิวากิ(Iwaki River)
Aomori เป็นเมืองแห่งแอ๊ปเปิ้ล ทั้งเมืองใช้สัญลักษณ์เป็นรูปแอ๊ปเปิ้ลทั้งเสาไฟ ราวสะพาน โลโก้ต้างๆ แม้แต่ต้นไม้ริมถนนที่ปลูก
ในเมืองยังเป็นต้นแอ๊ปเปิ้ลแถมมีลูกด้วยครับแต่จะเป็นแอ๊ปเปิ้ลแคระที่ปลูกประดับสวนตามบ้าน ร้านขายผลไม้มีมากกว่าร้านสะดวก
ซื้อ มีผลิดภัณฑ์แอ๊ปเปิ้ลทั้งสดทั้งแปรรูปมากมาย สวนแอ๊ปเปิ้ลมีตลอดสองข้างทางจากอาโอโมริมาที่ Mount Nakano-Momiji แวะ
ชมแวะชิมกันได้ครับ
แอ๊ปเปิ้ลที่นี่หวาน หอม กรอบ อร่อยมากครับยิ่งสีเหลืองกลับลูกแดงไซส์ยักษ์ไม่รู้พันธุ์อะไรนี่อร่อยสุด หากไม่ได้ขับรถมาเอง
สามารถเดินทางมาที่ Mount Nakano-Momiji โดยขึ้นรถไฟ JR จากสถานี Aomori ไปลงที่สถานี Hirosaki แล้วให้เดินไปขึ้นสาย
Konan Line นั่งไปลงที่สถานี Kuroishi จากนั้นนั่งรถประจำทาง Konan Bus สาย Okawara-Nurugawa Line ลงที่ป้าย Nakano
Jinja Mae ถ้าอยากเที่ยวสวนแอ๊ปเปิ้ลด้วยก็หลังป้ายรถ Bus ที่ลงก็มีสวนอยู่ครับ
เราเดินทางกลับสู่ Aomori แต่ขากลับเราไม่ได้ขึ้นทางด่วนกลับทางเดิมเพราะไปแวะที่ Hirosaki Park กันก่อนระยะทาง
จาก Mount Nakano-Momiji ประมาณ 23.5 กม. ใช้เวลาประมาณ 40 นาที (พิกัด 40.611441, 140.464088) พิกัดนี้คือที่จอดรถ
เอกชนใกล้ประตู Ichiyo-Bashi Entrance จอดรถแล้วเดินออกมาจะเห็นสะพาน Ichiyo-Bashi Bridge เป็นทางเข้าสวน Hirosaki
ด้านตะวันตกเฉียงเหนือครับ
เข้ามาด้านในมีศาลเจ้า Gokoku Shrine อยู่ใกล้ๆประตูทางเข้าเป็นศาลเจ้าชินโต เหมือนๆกับศาลเจ้าอื่นๆด้านหน้ามีบ่อน้ำให้ล้าง
มือล้างหน้าแต่ที่นี่จะมีภาพขั้นตอนการล้างให้ดูว่าล้างส่วนไหนก่อน-หลังครับ
เดินเลยเข้าไปด้านในจะถึงถนนสายหลักที่มาจากประตูทางเข้าด้านเหนือ เลี้ยวซ้ายข้ามสะพาน Yoshita-Bashi Bridge แล้วเดิน
ขึ้นเนินไปจะพบกับ Ushitora turret น่าจะเป็นป้อมปราการของปราสาท Hirosaki ครับภายในสวนมีแบบนี้อีก 2 ป้อมทางด้านใต้คือ
Histujisaru turret และ Tatsumi Turret
สวนสาธารณะฮิโรซากิเป็นหนึ่งในจุดชมดอกซากุระที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น รอบๆบริเวณปราสาทเต็มไปด้วยต้นซากุระที่มีมากกว่า
2,500 ต้นหลากหลายสายพันธุ์ เสมือนอุโมงค์ดอกซากุระ พร้อมพื้นที่สำหรับนั่งปิกนิก มีบริการเช่าเรือพาย และเมื่อตกเย็นก็จะเปิดไฟ
ประดับประดาสวยงาม โดยเทศกาลดังกล่าวจะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 5 พฤษภาคม เป็นประจำทุกปี นอกจากเทศกาลชมซากุระ
แล้ว ในฤดูหนาวของทุกปีจะมีการจัดเทศกาลตะเกียงหิมะ ซึ่งสวยงาม แปลกตาและน่าสนใจไม่แพ้กันเลยด้วย
ต้นไม้ในสวนตอนนี้มีเปลี่ยนสีแค่บางต้นครับ ส่วนใหญ่ยังเขียวอยู่มีเหลืองบ้างเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นต้นซากุระที่กำลังผลัดใบ
ช่วงที่ผมไปเค้ากำลังเตรียมงานเทศกาลใบไม้ร่วงที่จะเริ่มงานวันที่ 23 พ.ย. มาเร็วเกินไปครับ สวนนี้เป็นจุดชมซากุระที่เป็นไฮไลด์
ของภูมิภาคนี้ครับ เพราะช่วงปลายเดือนมีนาคมดอกซากุระจะบานสะพรั่งทั้งสวน
แล้วเราก็เดินมาถึงสะพาน Gejo-Bashi Bridge และปราสาท Hirosaki เห็นทีแรกก็งงๆครับ เอ๊ะใช่ตรงนี้มั๊ยทำไมไม่เหมือนในรูป
ในรูปปราสาทจะอยู่ริมกำแพงเลย ถ้าถ่ายรูปมุมนี้จะเห็นปราสาททั้งหลัง หันไปหันมาก็เลยรู้สาเหตุครับ เค้าย้ายปราสาททั้งหลังเข้าไปไว้ด้านในเพื่อทำการบูรณะฐานรากเสร็จแล้วก็จะยกกลับมา
ปราสาทฮิโรซากิ(Hirosaki Castle) ถูกสร้างขึ้นในปี 1611 โดยตระกูลซูการุ โครงสร้างปราสาทมีทั้งหมด 3 ชั้น ประกอบด้วย
คูปราสาท ป้อม ประตูปราสาท และป้อมตามมุมปราสาท ตั้งอยู่ในบริเวณสวนสาธารณะฮิโรซากิที่มีพื้นที่ประมาณ 0.6 ตารางกิโลเมตร
โครงสร้างปราสาทเดิมที่มีทั้งหมด 5 ชั้น ถูกไฟไหม้จากเหตุการณ์ฟ้าผ่าในปี 1627 และได้สร้างขึ้นใหม่ในปี 1810 ให้กลายเป็นแบบ
3 ชั้นในปัจจุบัน
ปราสาทฮิโรซากิสามารถเข้าไปชมด้านในได้ค่าเข้าชม 310 เยนแต่เค้าปิด 5 โมงเย็น เราเดินมาถึงทางเข้าปราสาทนี่ก็ 4 โมงกว่า
แล้วเลยตัดสินใจว่าไม่เข้าดีกว่าครับ กลัวดูยังไม่ทันหมดเค้าปิดก่อน ก็เลยเดินกลับไปเอารถแล้วกลับอาโอโมริดีกว่าเพราะมืดเร็วไม่อยาก
ขับรถกลับตอนมืด แต่กว่าจะถึงอาโอโมริก็มืดกลางทางครับ เพราะมีรถติดบ้างเป็นระยะและแยกไฟแดงเยอะมาก
วิธีเดินทางหากมารถสาธารณะ จากสถานี JR Hirosaki Station โดยสารรถบัส Dotemachi Loop Bus ที่วิ่งไปทางทิศตะวันตก
ประมาณ 15 นาที ลงที่สถานี Shiyakusho-mae bus stop
พรุ่งนี้เเช้าราจะไปตลาดปลา Furukawa แล้วขับรถไป ทะเลสาบโทวาดะ(Towada-ko) ขากลับแวะชมวิวบนเขา Hakkoda กัน