
วันสุดท้ายของควีนส์ทาวน์ เป็นเช้าอีกวันที่อากาศสดใสไร้ฝน แสงแดดยามเช้าทำให้บรรยากาศฤดูใบไม้ร่วงของ
ควีนส์ทาวน์ดูสวยงามอย่างมาก พวกเรากินอาหารเช้าเสร็จก็เก็บของขึ้เนรถเพื่อกล่าวคำอำลาควีนส์ทาวน์

จุดหมายของวันนี้เราจะไปที่ อุทยานแห่งชาติเมาท์คุก(Mount Cook National Park) เพื่อไปดูยอดเขาที่สูงที่สุด
ของเกาะใต้ที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี ระยะทางจากควีนส์ทาวน์ถึงเมาท์คุกประมาณ 260 กิโลเมตร

เส้นทางจากควีนส์ทาวน์สู่เมาท์คุกเป็นเส้นทางเดียวกับที่เราไปแอร์โรว์ทาวน์เมื่อวาน แต่เมื่อถึงแยกแอร์โรทาวน์
(Arrowtown) ก็ตรงไปเลยไม่ต้องเลี้ยวครับมุ่งหน้าสู่ครอมเวล(Cromwell) เมืองที่เราเคยผ่านแล้วในการเดินทางวันที่
5 จาก Wanaka ไป Dunedin เมื่อเลยจากแยก Arrowtown ไม่นานนักจะพบกับไร่องุ่นริมทางครับใครชอบไวน์จะแวะ
Winery แถวนี้ลองชิมหรือเลือกซื้อหากันได้ครับแต่อย่าชิมเยอะเพราะต้องขับรถอีกไกลครับ

ระยะทาง 60 กิโลเมตรจากควีนส์ทาวน์ถึงครอมเวล เมื่อใกล้ถึงครอมเวล ก็จะเริ่มเห็นสวนผลไม้ตลอดข้างทางทั้ง
สวนเชอร์รี่ที่กำลังผลัดใบ สวนกีวีที่ยังไม่มีลูกในฤดูนี้ และที่กำลังออกลูกเต็มต้นช่วงเวลานี้ก็คือแอปเปิล ทั้งเแดงและ
แอปเปิลเขียวก็มีลูกเต็มต้นเช่นกัน เลือกซื้อหาได้ตามเพิงหน้าสวนครับ เพราะจะถูกกว่าซื้อในเมือง

เมื่อถึงครอมเวลเราก็จะผ่านผลไม้ยักษ์อีกครั้ง แล้วก็ข้ามสะพานถึงทางแยกที่เราผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง คราวก่อน
เราเลี้ยวขวาเพื่อไปดะนีดินคราวนี้เลี้ยวซ้ายไปทางไครซ์เชิร์ชครับเส้นทางจะเลียบขนาน Lake Dunstan แต่อยู่คนละ
ฝั่งกับเส้นทางที่มาจากวานากา

Lindis Pass
พอพ้นจากเขตทะเลสาบดันส์ตันก็ผ่านเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง ผ่านทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะแล้วภูมิประเทศก็ค่อยๆเปลี่ยน
ไปครับ เราขับผ่านช่องเขาลินดิส(Lindis Pass) ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเขตแมกเคนซี(Mackenzie Country) กับ
ตอนกลางของเขตโอทาโก(Central Otago) ภูมิประเทศแถบนี้อาจคุ้นตาเพราะเป็นฉากในหนัง The Loard of The
Ring ในฉากของเขามิสตีที่ล้อมรอบเมืองเรเวนเคลล์ที่อยู่ของชาวเอลฟ์

Omarama
ขับผ่านช่องเขาลินดิสได้ไม่นานนักเราก็มาถึงเมืองเล็กๆที่ชื่อ Omarama ซึ่งเป็นจุดแยกของเส้นทาง Highway 8
ที่มุ่งหน้าสู่ไครส์เชิร์ช กับ Highway 83 ที่ไปสู่ฝั่งเมืองชายฝั่งตะวันออกอย่าง Oamaru และ Dunedin เราแวะเติมน้ำมัน
และเข้าห้องน้ำกันที่นี่ เพราะผ่านช่องเขาลินดิสมาที่นี่คือชุมชนแรกที่เราเจอ

เลยจาก Omarama อีกไม่ไกลก็ถึงเมือง Twizel เมืองที่เล็กกว่า Omarama เยอะเลยครับ ตอนแรกผมวางแผนว่า
ไปเที่ยวที่ Mt. Cook แล้วกลับออกมาพักที่ Twizel แต่ก่อนเดินทางผมเปลี่ยนแผนไปพักที่ Lake Tekapo แทนนับเป็น
ความคิดที่ถูกต้องที่เปลี่ยนแผนครับ ก่อนเข้าเมืองทไวเซิลมีฟาร์มปลาแซลมอนอยู่ข้างทาง หากสนใจแวะชิมแวะชมกัน
ได้ครับ

เลยฟาร์มปลาแซลมอนไปเล็กน้อยจะผ่านเข้าเมือง Twizel แล้วจะเจอทางแยกซ้ายมือเข้าสู่ Mt. Cook หากตรง
ไปจะกลับสู่ไครสต์เชิร์ชครับ เราก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปกันเลยครับถนนจะเลียบ Lake Pukaki ไปเรื่อยๆจนในที่สุดเราก็เห็น
ยอดเมาท์คุกตั้งตระหงานอยู่ตรงหน้า สวยสมคำร่ำลือจริงๆครับ

Aoraki Mount Cook National Park
เมาท์คุก(Mt. Cook) เป็นยอดเขาที่สูงอันดับที่ 37 ของโลกตั้งชื่อตามกัปตันเจมส์ คุก นักเดินเรือชาวอังกฤษผู้ค้น
พบทวีปออสเตรเลียและเกาะนิวซีแลนด์ โดยพลเรือเอก จอห์น สโตก ในปี 1846 ชาวเมารีได้ตั้งชื่อภูเขาลูกนี้เอาไว้ว่า
เอารังกิ(Aoraki) ซึ่งแปลว่า เขาสูงเสียดเมฆ มีความสูง 3,754 เมตร ซึึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในนิวซีแลนด์

Aoraki คือชื่อเด็กหนุ่มชาวเมารีที่พายเรือแคนูชื่อ เทวากา(Te Waka) เรือได้ชนโขดหินและเอียงไปข้างหนึ่ง
อาโอรากิและพี่ชายได้ปีนไปนั่งอีกฝากหนึ่งของเรือที่ยังไม่จม แต่กระแสลมทะเลใต้อันเหน็บหนาวก็ได้พัดพวกเขาจน
แข็งกลายเป็นหินและกลายเป็นเทือกเขา South Alps
เมื่อใกล้ถึงจุดหมายปลายทางเราจะเห็นยอด Mt. Sefton ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ปลายทางของเราคือ Aoraki
Mt. Cook Village จากภาพคือหลังคาสีขาวที่เห็นด้านล่างซ้ายของภาพ

กินข้าวกลางวันที่ Aoraki Mt. Cook Visitor Center
เรามาถึง Aoraki Mt.cook Visitor Center ซึ่งตั้งอยู่ใน Aoraki Mt. Cook Village ที่มีจะเป็นที่รวบรวมข้อมูลต่างๆ
ของ Aoraki Mt.Cook National Park ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา ที่พัก ทัวร์ต่างๆ เช่นปีนเขา ล่องเรือในทะเลสาบ Tasman
ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ชม Glacire เราอาศัยโต๊ะนั่งหน้าศูนย์เป็นโต๊ะอาหารกลางวันของวันนี้ที่เราทำเตรียมมา ท่ามกลางความ
หนาวเย็นและเป็ด 2 ตัวที่มากินข้าวกับเราด้วย

ที่บริเวณ Aoraki Mt. Cook Village มีโรงแรมขนาดใหญ่ชื่อ The Hermitage Hotel ราคาที่พักพอประมาณแต่มัก
จะเต็มครับ หากคิด Walk-in เข้ามามักจะไม่มีสิทธิ์ได้พักครับเพราะที่พักในอุทยานแห่งชาติเมาท์คุกค่อนข้างจะมีจำกัด
ครับ

แต่ทำเลที่ตั้งเค้าดีมากครับ เพราะมองเห็นยอดเมาท์คุกได้แบบชัดเจนครับ

หลังอาหารเราก็มาเดินย่อยอาหารกันสักหน่อยครับ บนเส้นทางฮุกเกอร์วัลเลย์ (Hooker Valley Track)โดยจะเริ่ม
ต้นจากปลายถนน Hooker Valley Road ซึ่งเป็นถนนแยกจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวใช้เวลาขับรถเข้าไปประมาณ 10
นาที จะมีที่จอดรถแล้วก็เริ่มต้นเดินครับ เส้นทาง Tracking นี้จะไปสุดที่ธารน้ำแข็งฮุกเกอร์(Hooker Glacier) ใช้เวลา
เดินไป-กลับประมาณ 5 ชั่วโมงแล้วมีหรือที่เราจะไป เอาแค่เดินไปให้รู้ว่าได้มาเยือนก็พอแล้วครับ
ก่อนกลับเราเลี้ยวรถเข้าไปถนนที่เข้าสู่สนามบินเมาท์คุกจากถนนเส้นนี้เราจะเห็นทุ่งหญ้า ยอดเมาท์คุกและธารน้ำ
แข็งทาสมันอย่างชัดเจน

ปลายทางในวันนี้ของเราคือ Lake Tekapo เราจึงย้อนกลับสู่เส้นทางเดิม เพื่อมุ่งหน้าต่อไปให้ถึงระยะทางจาก
อุทยานแห่งชาติเอารังกิเมาท์คุกถึงทะเลสาบเตคาโป ระยะทางประมาณ 104 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ
ก็น่าจะถึง

Lake Pukaki
ขากลับออกมาผมแวะจุดชมวิวริมทะเลสาบพูกากิ (Lake Pukaki) อีกครั้งเพราะตอนขาเข้าไปผมมัวแต่ตื่นเต้นกับ
ภาพยอดเขาเมาท์คุกจนลืมเก็บภาพทะเลสาบพูกากิเอาไว้ มีรถทัวร์หลายคันจอดแวะที่นี่แระกำลังจะเข้าไปในอุทยาน
เมาท์คุก ผมคิดว่าเค้าคงนอนในเมาท์คุกแน่เพราะตอนนี้บ่ายแก่ๆแล้วถ้ากลับออกมาตอนมืดค่ำน่าจะลำบากมากกว่าจะ
ถึงที่พักที่ใกล้สุดก็คือเมือง Twizel

เข้าที่พัก Lake Tekapo Scenic Resort
เพียงชั่วโมงกว่าๆเราก็มาถึง Lake Tekapo ทะเลสาบยอดนิยมสำหรับผู้ที่เดินทางระหว่างไครสต์เชิร์ชกับ
ควีนส์ทาว คืนนี้เราพักกันที่ Lake Tekapo Scenic Resort รีสอร์ทวิวสวย ห้องพักเป็นแบบ 2 ห้องนอน มีครัว
โต๊ะกินข้าว และห้องน้ำมีอ่างจากุชชี

ที่พักวันนี้วิวดีมากครับ จากห้องพักเราเห็นวิวโล่งๆและทะเลสาบเตคาโปได้อย่างชัดเจน บรรยากาศยามเย็นแสง
สวยๆอากาศเย็นๆขอนั่งพักเหยียดยาวอยู่ในห้องมองบรรยากาศแบบนี้ก่อนครับ

สิ่งหนึ่งที่เป็นไฮไลท์ของการมาพักที่ทะเลสาบเตคาโบ คือการได้ออกมาดูดาวยามค่ำคืน เนื่องจากที่นี่เป็นเมือง
เล็กๆและมีบรรยากาศที่โล่งกว้างของทะเลสาบ จึงไม่มีแสงไฟมารบกวน คุณสามารถมองเห็นดวงดาวมากมายของท้อง
ฟ้าซีกโลกใต้ หรือแม้กระทั่งทางช้างเผือกในคืนที่ฟ้าไร้เมฆ สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของการเป็นที่มีชื่อเสียงในเรื่องการดู
ดาวคือ มีหอดูดาวอยู่บนภูเขา Mount John และคุณสามารถซื้อทัวร์ดูดาวผ่านกล้องดูดาวได้ที่นี่

พรุ่งนี้เราจะเดินทางกลับสู่ไครสต์เชิร์ชแล้วครับ หลังจากวนรอบเกาะมาด้วยกัน 10 วันเต็มเหลือเพียง 3 วันสุดท้าย
ของการเดินทางข้ามซีกโลกของเรา
ภาพสวยงามเหมือนเดิม อากาศก็เป็นใจ ฟ้าใสกิ๊ง รออ่านตอนต่อไปค่ะ