
Lake Wanaka
รุ่งเช้าวันที่ 5 ของการเดินทาง เป็นอีกวันที่ต้องตื่นเช้าเพราะวันนี้ระยะทางที่เราต้องไปไกลพอสมควร หลังจากเตรียมเก็บข้าว
ของเตรียมเดินทางและทำกับข้าวไว้สำหรับมื้อเช้าและมื้อกลางวันเสร็จ เราก็ออกไปชมทะเลสาบวานากายามเช้า แสงอาทิตย์แรก
ส่องภูเขาริมทะเลสาบทำให้ภูเขากลายเป็นสีน้ำตาลแดงแปลกตา น้ำใสราวกระจกแต่ก็เย็นเฉียบ อุณหภูมิเช้านี้น่าจะต่ำกว่า 10
องศา

จากริมทะเลสาบเราขับรถขึ้นไปชมเมืองวานากายามเช้าจากด้านบน ทิวทัศน์ของวานากา สวยงามจริงๆครับ ทำให้ผมคิดถึง
ภาพจากปฏิทินที่เคยเห็นและแน่นอนว่าผมไม่พลาดโอกาสที่จะเก็บภาพมา จากจุดนี้มองเห็นยอด Mt. Aspiring ที่เราผ่านมาเมื่อ
วาน หากเป็นฤดูหนาวภูเขาแถบนี้คงคลุมด้วยหิมะขาวโพลน

เรากลับลงมาด้านล่างอีกครั้ง อยากให้เวลาหมุนช้ากว่านี้จะได้ซึมซับบรรยากาศที่นี่อย่างเต็มที่ หากวันนี้ไม่ได้วางแผนการ
เดินทางไป Dunedin ผมคงพักที่นี่อีกคืน เราเดินอ้อยอิ่งริมทะเลสาบสักพักก็ได้เวลาที่เราต้องกลับที่พัก

เรากลับมาที่พักเพื่อกินข้าวเช้าและเก็บของขึ้นรถ ได้เวลาเดินทางกันต่อแล้ว 280 กม. จาก Wanaka ถึง Duneden
ใช้เส้นทาง State Highway 6 ไปถึง Cromwell แล้วใช้ State Highway 8 จาก Cromwell ผ่าน Alexandra ไป Dunedin

เส้นทางจาก Wanaka ไปยัง Duneden ไปได้ 3 เส้นทางแต่เส้นทางที่เราเลือกใช้สั้นที่สุด จาก Wanaka ไป
Cromwell เลยจากสนามบิน Wanaka ไม่นานจะมีแยกซ้ายมือไป Cristchurch ตรงไปสู่ Cromwell ทิวทัศน์แถบนี้
จะเป็นทุ่งหญ้าและฟาร์มแกะ ขับไปสักพักถนนจะเลียบทะเลสาบคันสตัน(Lake Dunstan) เป็นทะเลสาบเล็กด้านตรง
ข้ามจะมีถนนอีกเส้นตัดเลียบทะเลสาบเหมือนกันจาก Cromwell ไป Cristchurch วันหลังๆเราจะกลับมาใช้ถนนเส้นนั้น

Cromwell เมืองแห่งผลไม้
ขับเลียบทะเลสาบเพลินๆเราก็มาถึงคอมเวล (Cromwell) เมืองแห่งผลไม้หากตรงไปจะไป Queenstown แต่เราเลี้ยวซ้าย
เข้าตัวเมืองคอมเวลจะเห็นผลไม้ยักษ์อยู่ด้านขวามีอ หากใครยังไม่ได้ทานมื้อเช้าแวะทานที่ได้ครับหรือจะแวะเติมน้ำมัน เข้าห้องน้ำ
เดินยืดเส้นยืดสาย ซื้อผลไม้และผลิตภัณฑ์จากสวน มีทั้งแยม น้ำผึ้ง และเครื่องสำอางค์สำหรับคุณผู้หญิง แต่แอบกระซิบว่าผลไม้
ที่นี่แผงครับ ไปซื้อหน้าสวนที่ Alexandra ถูกกว่า แต่หากใครไม่ได้ไปเส้นทางเดียวกับผม คือเดินทางระหว่างไครสต์เชิร์ชกับ
ควีนส์ทาวน์ แวะซื้อที่นี่แหละครับ

แวะสวนผลไม้ที่ Alexandra
จากครอมเวลขับข้ามสะพานไปจะเจอสามแยกเลี้ยวซ้ายไปไครสต์เชิร์ชเราเลี้ยวขวาไปอเล็กซานดราครับ ถนนเส้นนี้จะเลียบ
แม่น้ำคลูธ่า (Clutha River) ขับไเรื่อยๆจะเจอเขื่อน Clyde เป็นเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำจากนั้นจะเป็นทางลงเขาเข้าสู่เมือง
อเล็กซานดรา (Alexandra) เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่พอสมควรครับ มีร้านค้า ร้านอาหาร ปั้มน้ำมัน ขับเลยเมืองออกไปสักระยะ เราจะ
เริ่มพบกับสวนผลไม้ครับ ช่วงที่ผมเดินทางมาเป็นฤดูใบไม้ร่วงก็เลยไม่ค่อยมีผมไม้ให้เห็น ผมแปลกใจอยู่อย่างหนึ่งคือมาถึงที่
นิวซีแลนด์ผมเจอแต่กีวีลูกเล็กๆ ไม่ใหญ่เหมือนที่ส่งไปขายบ้านเรา คงเหมือนบ้านเราที่คนไทยกินแต่มังคุดแบบไม่สวย สวยๆก็ส่ง
ออกหมด สวนแรกที่เราแวะชมเป็นสวนเชอร์รี่ครับ หากมาตอนออกดอกจะกลายเป็นสีชมพูทั้งสวนครับ

สวนผลไม้แถวนี้อยู่ริมทาง ด้านหน้าสวนจะมีร้านขายผลไม้ครับ ร้านแถวนี้ไม่มีคนเฝ้าครับ เค้าจะติดราคาผลไม้ไว้ที่ลังไม้
หากต้องการอะไรก็หยิบใส่ถุง อย่างแอปเปิ้ล 2 NZD ทุกชนิดครับ หยิบชิมได้เลยเจ้าของไม่ว่าครับสามารถซื้อคละได้หากเป็น
ผลไม้ราคาเดียวกัน ใส่ถุงเสร็จเอาไปชั่งที่ตราชั่งดิจิตอลจะคำนวณราคาให้เราก็เอาเงินหยอดใส่กล่องที่เค้าตั้งไว้แล้วเดินออก
มาได้เลยครับ Rose Apple อร่อยที่สุดครับ หวานกรอบหอม แต่ก็แล้วแต่คนชอบครับ

แวะเข้าห้องน้ำที่ Lawrence
ได้แวะถ่ายรูปกับสวนผลไม้แล้วเราก็เดินทางกันต่อ จาก Alexandra เข้าสู่เมือง Lawrence เมืองเล็กๆแต่น่ารักอีกเมืองหนึ่ง
เราแวะเข้าห้องน้ำสาธารณะที่นี่ แต่ขอบอกว่าเป็นห้องน้ำที่ไฮเทคสุดๆ ทุกอย่าง Automatic หมดแม้กระทั่งการประตูห้องน้ำก็
ล็อคอัตโนมัติ

แวะกินข้าวกลางวันที่ Lake Waihola
เรามาถึงเมือง Waihola เกือบบ่ายโมง เราจึงแวะที่เมืองนี้เพื่อกินข้าวกลางวัน เมือง Waihola ตั้งอยู่ริมทะเลสาบไวโฮลา
(Lake Waihola) ที่ริมทะเลสาบมีจุดแวะพักสำหรับนักท่องเที่ยว เมื่อขับรถเข้ามาในเมืองจะเห็นป้ายชัดเจน เมื่อเลี้ยวเข้าไปจะมี
ที่นั่งพักมีห้องน้ำสาธารณะบริการ เราขนข้าวของลงจากรถตั้งโต๊ะปิคนิคกันริมทะเลสาบ ที่นี่ลมแรงมากจึงเป็นการกินข้าวท่าม
กลางความหนาวมากครับ

Duneden
แล้วเราก็มาถึงเมืองดะนีดิน(Dunedin) เมืองใหญ่อีกเมืองฝั่ง East Coast ผมคิดว่าเมืองนี้น่าจะใหญ่กว่าไครสต์เชิร์ช
นะครับเรายังไม่เข้าไปในตัวเมืองตอนนี้ครับ เพราะเราจะข้ามไปยังฝั่ง Penninsula เพื่อไปดูเพนกวินตาเหลือง เพนกวิน
ที่มีอยู่ที่นิวซีแลนด์แห่งเดียวในโลก ดะนีดินเป็นเมืองที่ชาวสก็อตแลนด์มาอยู่เป็นชนชาติแรก สถาปัตยกรรมหรือชื่อถนน
ต่างๆ จึงมาจากภาษาสก๊อต เมืองดะนีดินตั้งอยู่สองฝั่งของอ่าวโอทาโก (Otago Habor) ด้านหนึ่งอยู่ฝั่งแผ่นดินใหญ่ส่วน
อีกด้านหนึ่งอยู่บนคาบสมุทร(Peninsula) มีอ่าวโอทาโกและมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ขนาบข้าง
Penguin Place
ถนนมุ่งสู่ Penguin Place ลัดเลาะหน้าผาของ Otago Peninsular ไปเรื่อยๆ จะว่าไปเส้นทางนี้ก็ค่อนข้างหวาดเสียวอยู่เหมือน
กันครับเพราะด้านข้างถึงแม้จะเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ แต่ก็มีความชันอย่างมาก แล้ววิวสวยๆแบบนี้ด้วยบางทีก็ขับเพลินไปหน่อย
ครับต้องคอยระวังไว้ตลอดเวลา เพราะทางคดเคี้ยวไปตามลักษณะของภูเขา

ประมาณ 1 ชั่วโมงเราก็มาถึง Penguin Place หลังจากหลงทางเลี้ยวเข้าไปในอควาเรี่ยมเพราะคิดว่าเป็นสถานที่เดียวกัน
ราคาตั๋วแบบครอบครัว 99 NZD สำหรับผู้ใหญ่ 2 คนและเด็กไม่เกิน 3 คนครับ แต่ถ้าซื้อแยกผู้ใหญ่ 49 NZD เด็ก 12 NZD
เป็นราคา Penguin Tour คือเค้าจะพาเราขึ้นรถบัสตัดข้าม Otago Peninsula จากฝั่ง Otago Habor ไปยังฝั่ง South Pacific
จากนั้นเจ้าหน้าที่จะพาเรามุดไปตามอุโมงเพื่อไปแอบดูเพนกวินตาเหลือง (Yellow Eyed Penguin) ที่อาศัยอยู่ในป่าหญ้า แต่
เห็นลูกเพนกวินกำลังผลัดขนเหมือนเป็นขี้เรื้อนเลยครับ
หลังจากแอบดู Penguin เจ้าหน้าที่จะนำเราไปที่หน้าผาริมทะเลครับ ถ้าโชคดีก็จะเห็นเพนกวินเดินขึ้นมาจากทะเลผมเห็น
แค่ 2 ตัวเท่านั้นครับตอนแรกคิดว่าจะมีเป็นฝูงแบบในสารคดีที่ดู
เห็นตัวเล็กๆแบบนี้เดินเร็วมากครับ เพราะไม่กี่นาทีเจ้าเพนกวินก็เดินขึ้นเขามาใกล้จุดที่เราซุ่มดูอยู่ เลยได้เก็บภาพในระยะ
ใกล้ครับ

นอกจากเพนกวินแล้วยังมีแมวน้ำ(Fur Seals) นอนเล่นอยู่ตามโขดหินให้ได้ดูครับ จะว่าแล้วไปผมเห็นแมวน้ำมากกว่าเพนกวิน
ซะอีก รอบการดูประมาณ 1 ชั่วโมงเค้าก็ต้อนเราขึ้นรถพากลับ

เราขับรถกลับเส้นทางเดิมเพื่อข้ามกลับไปฝั่ง Dunedin เราเข้าพักที่ Victoria Hotel Dunedin เป็นที่เดียวที่เราพักโรงแรม
เพราะที่นี่หาโมเตลที่อยู่ในเมืองไม่ได้เลยครับ นอกจากจะพักฝั่ง Otago Peninsula ซึ่งค่อนข้างไกลไปหน่อยโรงแรมนี้อยู่ในตัว
เมือง เยื้องกับโรงงานชอคไกแลต Cadbury และใกล้กับ Countdown Supermaket เหมือนว่าห้อง Family room จะมีห้องเดียว
ทั้งโรงแรม เพราะเราต้องขึ้นลิฟท์ไปชั้น 4 แล้วเดินบันไดขึ้นไปอีกชั้นซึ่งจะเจอห้องพักห้องเดียวอยู่บนสุดแต่ก็เป็นส่วนตัวดีครับ
และมีครัวให้ทำอาหารได้เหมือนโมเตลมีห้องนอนแยก 2 ห้อง

สถานีรถไฟแห่งดะนีดิน (Dunedin Railways Station)
หลังจากเก็บของเสร็จก็ค่ำพอดี เราออกจากโรงแรมไปยังสถานีรถไฟดะนีดิน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมอยู่บริเวณจัตุรัส
แอนแซค อาคารเป็นหินอันงดงามที่สุดในนิวซีแลนด์ ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองส์สไตล์เฟลมมิช สร้างในปี
1904 เนื่องจากเรามาถึงหลังรถไฟเที่ยวสุดท้าย ทำให้ไม่สามารถเข้าไปชมด้านในได้ จึงได้แต่เดินชมเพียงด้านนอก

โปรแกรมเดินทางสำหรับวันพรุ่งนี้
- ขับรถชมเมือง Dunedin ยามเช้า
- แวะโรงงานช๊อคโกแลต Cadbury
- ชมมหาวิทยาลัยแห่งโอทาโก
- เดินทางไป Te Anau
ดิฉันก็ชอบเมือง wanaka เหมือนกัน เพราะสวยสงบ ตอนที่ไปเือน ตค ยังมีหิมะตามยอดเข้าอยู่ค่อนข้างเยอะ ก็สวยไปอีกแบบตามประสาคนอยู่ประเทศเมืองร้อนอย่างเรา แต่ก็ไม่ได้เห็นสวน apple งามๆ แบบนี้คุณลูกคุณแม่คงถูกใจนะคะ