Group Blog All Blog
|
Kumagaya
Kumagaya Sakura Tsutsumi อยู่ภายในสวน Kumagaya Arakawa Ryokuchi Park ซึ่งเป็นสวนริมน้ำยาวเป็นอุโมงค์ต้นซากุระถึง 2 กิโลเมตร ที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ อีกไฮไลท์สำคัญในการชมสวนแห่งนี้คือมีดอกเรปซีด(Rapeseed)หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกกันว่า นาโนะฮานะ(Nanohan)ที่เป็นเหมือนดอกไม้ริมทางต้นเล็กๆ
Ogawara
Ogawara-machi จังหวัด Miyagi สถานที่ชมซากุระอีกแห่งที่มีตวามสวบงามไม่แพ้ที่อื่นๆ มีแม่น้ำชิโระอิชิ(Shiroishi)ไหลเอื่อยๆไป สิ่งที่ทำให้สถานที่แห่งนี้มีความพิเศษจากที่อื่นคือ รูปแกะสลักพระโพธิสัตว์กวนอิมขนาดใหญ่ บนยอดของเนินเขาเล็กๆ เป็นจุดที่มอง การเดินทาง จากสถานีเซนได(Sendai) ใช้เวลา 40 นาทีมาลงที่สถานี Funaoka แล้วเดินไปเที่ยวสวนปราสาทฟูนะโอกะ เดิมทีสวน
[Autumn in Tohoku] - Towada-Hachimantai National Park
Day 3 แผนการเที่ยวของเราวันนี้คือ เช้าไปตลาดปลาฟูรุกาวา (Furukawa Aomori Fish Market) สายๆไปทะเลสาบโทวาดะ
เราเดินจากโรงแรมไปตลาดปลา Furukawa ประมาณแค่ 400 เมตรเดินลัดด้านหลังตรงลานจอดรถของโรงแรมไปซอยด้านหลัง
ร้านสาเกริมทางเช้าๆไม่เปิดครับส่วนกลางคืนก็มีแต่หนุ่มออฟฟิศ เมืองอาโอโมรินี่เงียบมากทั้งกลางวันกลางคืน แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็น
ตลาดเปิด 7 โมงเช้าครับแต่เรามาถึงก่อนก็เข้ามาด้านในได้ครับ ภายในตลาดแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆคือส่วนที่เป็นของสดซื้อ
จุดพิเศษของตลาดปลาแห่งนี้ คือให้นักท่องเที่ยวได้สร้างสรรค์ข้าวดงบูริ(donburi ข้าวราดหน้าต่างๆ)ด้วยตนเอง เรียกว่า
เริ่มต้นด้วยการซื้อตั๋วแบ่งออกเป็นเซต 5 ราคา 540 เยน กับเซต 10 ราคา 1,080 เยน โดยตั๋วที่ได้รับสามารถนำไปแลกเปลี่ยน
เริ่มต้นก็ไปที่ร้านข้าวก่อนครับ ร้านขายข้าวจะขายข้าวสวยใส่ชามโฟมและมิโซะซุปต้องซื้อต่างหาก ร้านนี้จะมีโต๊ะให้นั่งมีน้ำชา
ใครไม่ถนัดของสดก็ไปร้านของทอดได้ครับ เนื้อปูทอดที่นี่อร่อยสะท้านทรวงจริงๆครับเนื้อหวานมาก นอกจากอาหารทะเลแล้วก็ยัง
เรากลับมาเอารถที่โรงแรมแล้วเดินทางไปยังทะเลสาบโทวาดะ (Towada Lake) ระยะทางประมาณ 62 กม. ทางขึ้นเขาชันและ
ภูเขาฮักโกดะ(Mount Hakkoda) เป็นกลุ่มยอดภูเขาไฟที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองอาโอโมริ(Aomori)และทะเลสาบโทวาดะ(Lake
ต้นไม้แถบเทือกเขา Hakkoda จะเปลี่ยนสีในช่วงฤดูใบไม้ร่วงประมาณปลายเดือนกันยายน-กลางตุลาคม จะเร็วกว่าแถบทะเลสาบ
ระหว่างทางที่ขับรถมา มีฝนตกสลับแดดออกมาตลอดทางครับ แต่ขอบอกว่าเป็นเส้นทางที่ขับแล้วเพลินมากจริงๆครับ แต่สมาชิกส่วนใหญ่หลับกันหมดเพราะเส้นทางที่วกไปวนมาพาให้ง่วงนอน
ต้นลำธารมีประตูกั้นชะลอน้ำ Nenokuchi Watergate น้ำตรงนี้ใสมากครับคาดคะเนด้วยสายตาคาดว่าน่าจะลึกพอสมควรครับ ที่ประตูระบายน้ำนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าครับแต่มีโซ่กั้นและมีภาษาญี่ปุ่นพร้อมสัญลักษณ์ว่าห้ามขึ้น การเดินป่าเส้นทางนี้ถ้ายังไม่ได้กิน
เส้นทางเดินเลียบลำธารเป็นทางเดินง่ายๆแต่มีบางช่วงที่ต้องขึ้นไปเดินบนถนนเส้นที่เราขับรถมา ต้องเดินระวังหน่อยครับเพราะ
ลำธารโออิราเซะ(Oirase Stream) เป็นลำธารจากภูเขาที่งดงามในเขครอยต่อระหว่างจังหวัดอาโอโมริ(Aomori) และจังหวัด
ลำธารแห่งนี้ไหลไปตามหุบเขาโออิราเซะ(Oirase Gorge) ท่ามกลางต้นไม้อันเขียวชอุ่มในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน แล้วจะเปลี่ยน
เส้นทางเดินป่าโออิราเซะเชื่อมต่อระหว่าง Nenokuchi และ Ishigedo ด้วยสถานีรถบัสหลายจุดด้วยกัน เราสามารถเลือกเดินชมธรรมชาติในเส้นทาง Oirase Gorge trail โดยลงรถ Bus ระหว่างทางแล้วเดินสวนลำธารไปยังทะเลสาบ
ช่วงเวลาที่เราไปคือสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนตุลาคม ใบไม้เพิ่งเริ่มเปลี่ยนสีจึงมีสีเขียวกับสีเหลืองเป็นส่วนใหญ่ครับ ต้นที่แดงแล้วมี
ระยะทางตลอดเส้นทางเดินป่าของ Oirase Stream Walking 9 กม. แต่เราไม่มีเวลาทั้งวันเลยเลือกเดินแค่ 1 ป้ายรถประจำทาง
และไฮไลท์ของเส้นทางนี้ก็คือน้ำตก Choshi Ootaki Waterfall น้ำตกที่เกิดจากการไหลผ่านพื้นที่ต่างระดับของลำธาร Oirase
นักท่องเที่ยวที่ดูจะเยอะกว่าชาติอื่นๆที่ Choshi Ootaki Waterfall นี้น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจีนตรับ มีประมาณ 2 บัสที่จอดจุดจอด
Goryo Waterfall หนึ่งในน้ำตกสิบกว่าสายที่ไหลจากหุบเขาโออิราเซะ(Oirase Gorge) ลงสู่ลำธารโออิราเซะ(Oirase Stream)
อิ่มกันแล้วก็เดินทางกันต่อครับไปจุดที่เรียกว่าโอกุเสะ(Okuse) ระยะทาง 9.5 กม. จากตรงนี้ (พิกัด 40.429662, 140.895472)
เป็นลานจอดรถที่มีสีสันมากครับ ค่าจอดรถตรงนี้ 500 เยน แต่ตรงริมทะเลสาบที่เราจอดเมื่อเช้าไม่เลยตังค์นะครับ อาคารสีส้มๆ
รอบๆทะเลสาบโทวาดะเป็นป่าหนาทึบระยะกว้างหลายร้อยเมตรเหนือระดับผิวน้ำ บริเวณรอบๆก็ยังคงสภาพเป็นธรรมชาติ ยกเว้น
จากริมทะเลสาบมีทางเดินขึ้นเขาเตี้ยๆ ไปยังศาลเจ้าโทวาดะ(Towada Shrine)ซึ่งเป็นศาลเจ้าชินโต เข้ามาก็รู้สึกเย็นเลยครับ
เราสามารถขับรถวนลงไปตามถนนเส้นนี้โดยไม่ต้องย้อนกลับทางเดิมจะไปเชื่อมกับถนนเส้นหลักเส้นทางเดิมที่เรามาเมื่อเช้า พอ
อีกอย่างอากาศก็เริ่มครึ้มเหมือนฝนจะตกครับ มีบางช่วงที่ลงเม็ดปรอยๆด้วย ช่วงขึ้นเทือกเขา Hakkoda ใบไม้มีสีสันมากขึ้นตลอด
สีสันของเทือกเขา Hakkoda บริเวณจุดจอดรถระหว่างทาง(พิกัด 40.649355, 140.850491) ใกล้ๆกันนี้มีบ่อน้ำพุร้อน
ตรงนี้คือจุดเริ่มต้นเส้นทางเทรลเดินไปสู่ยอดเขา Hakkoda จุดที่มีสถานีรถกระเช้า ใครอยากจะลองเดินดูก็ได้ครับแต่ผมไม่รู้ว่า
ได้เวลากลับสู่อาโอโมริ เราขับผ่าน Hakkoda Rope Way ไปอย่างเสียดายแต่ก็ไม่เป็นไรครับเพราะสิ่งที่เห็นวันนี้ก็คุ้มค่ากับการ [Autumn in Tohoku] - Aomori
ทริปนี้เหมือนๆทริปอื่นๆของผม คือเริ่มจากตั๋วเครื่องบินราคาโปรโมชั่น คราวนี้ได้ตั๋วโปรจาก Thai AirAsia X บินตรงดอนเมือง-นาริตะ - วันแรก เดินทางจากดอนเมืองไปนาริตะพักอูเอโนะ จัดโปรแกรมเสร็จก็มาดูที่พาสกันมี 2 ทางเลือก เนื่องจากตารางเที่ยว 7 วันพอดีและผมต้องการใช้ Narita Express ทั้งวันไปและวันกลับเลยตัดสินใจเลือกแบบแรกครับ
วันเรก กรุงเทพ - โตเกียว เที่ยวบินเราออกจากดอนเมืองเกือบ 11 โมงถึงสนามบิน Narita Terminal 2 ประมาณทุ่มผ่าน ตม. น่าจะประมาณชั่วโมงนึงผมลุ้น
เที่ยวบินที่ผมนั่งไปค่อนข้างจะเต็มครับ ถึงนาริตะพร้อมกับเที่ยวบินของคาเธ่ย์แปซิฟิก คนก็เลยเต็มที่ช่อง ตม. แต่สักพัก
พอผ่านศุลกากรออกมาด้านนอกลงบันไดเลื่อนไปอีกชั้นครับจะเห็นออฟฟิศ JR EAST Travel Service Center มีแถวอยู่ยาวพอ แต่ไม่ต้องตกใจครับกลับหลังหันจะเห็นห้องขายตั๋ว JR ป้ายสีเขียวเราก็เอาเอกสารไปยื่นที่ช่องนั้นครับ เจ้าหน้าที่จะ Validated
ถึงสถานี Tokyo ไปต่อรถไสาย Yamanote Line ครับลงจาก NEX ก็เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ Yamanote Line เป็นรถไฟสายสีเขียว ที่พักคืนนี้เป็นแบบฟูกห้องใหญ่ดีครับ มีห้องอาบน้ำและห้องสุขาแยกเป็นสัดส่วนทำภาระกิจพร้อมกันได้ไม่ต้องรอคิวครับ ที่นี่คือ
วันที่ 2 สู่อาโอโมริ AOMORI เช้าวันที่ 2 เราเช็คเอาท์ออกกันแต่เช้าเพื่อให้ทันขบวนรถชินกันเซน SHINKANSEN HAYABUSA 1 ซึ่งออกเวลา 6.38 น. ไป
ก็ไม่ต้องกังวนครับว่าจะขึ้นผิดขบวนมั๊ย เพราะตอนทำสำรองที่นั่งเค้าจะระบุขบวนรถและหมายเลขที่นั่งบนบัตรโดยสารตอนไปรอรถก็
ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่งโมงเราก็มาถึงสถานี Shin-Aomori เราต้องต่อรถไฟสาย JR Ou Line for AOMORI เพื่อไปลงสถานี Aomori แค่ 1 สถานีครับ มาถึงสถานี Aomori แล้วเราจะเจอ JR Office เข้าไปจองตั๋ว Shikansen ที่เราต้องนั่งตลอดทริปกันเลยครับ
เลยไปด้านหลังอาคารคืออ่าวอาโอโมริและสะพานข้ามอ่าว สะพานนี้ทำเชื่มถนน 2 ฝั้งของอ่าวมีท่าเรืออาโอโมริและสถานีรถไฟ
เราจองรถผ่าน Rentalcars.com เข้าไปจองเค้าจะให้ระบุสถานที่ที่เราต้องการใช้รถ รุ่นหรือขนาดที่ต้องการ ผมเลือกรถ 8 ที่นั่งเพราะไปกัน 7 คนได้ Nissan Van มากว้างนั่งสบายครับ ญี่ปุ่นขับรถง่ายเพราะฝั่งเดียวกับบ้านเรา รับรถเสร็จก็ตั้ง GPS ไปยังจุดหมายแรกกัน
จุดหมายแรก Mt. Nakano-momiji จาก Aomori เราขึ้นทางด่วนไปยัง Momiji Yama GPS มันพาเราขึ้นทางด่วนก็เลยขึ้นตรับ ขึ้น
พิกัดด้านบนนั้นคือลานจอดรถพอดีครับ เดินจากลานจอดรถลงมาไม่เกิน 50 เมตรจะถึงจุดชมวิวด้านบน เดินต่อไปอีกไม่ไกลจะ
จากบนสะพานแคงเห็นน้ำตกที่อยู่ด้านล่างเป็นน้ำตกเล็กๆ เสียดายที่ใบไม้เพิ่งเริ่มแดงหากแดงทั้งต้นคงสวยกว่านี้ ที่นี่มีคนมา
น้ำตกที่เห็นตรงสะพานแดงนั่นเดินลงไปด้านล่างได้ครับแต่เราต้องเดินข้ามสะพานกลับไปก่อน เพราะทางลงอยู่อีกฝั่งของเกาะ
Fudo waterfall น้ำตกเล็กๆแต่ก็สวยเหมือนกันครับ แต่ไม่รู้ต้นน้ำมาจากไหนครับไม่ได้เดินขึ้นไปดู แต่ลำธารนี้ไหลไปรวมกับ
Aomori เป็นเมืองแห่งแอ๊ปเปิ้ล ทั้งเมืองใช้สัญลักษณ์เป็นรูปแอ๊ปเปิ้ลทั้งเสาไฟ ราวสะพาน โลโก้ต้างๆ แม้แต่ต้นไม้ริมถนนที่ปลูก
แอ๊ปเปิ้ลที่นี่หวาน หอม กรอบ อร่อยมากครับยิ่งสีเหลืองกลับลูกแดงไซส์ยักษ์ไม่รู้พันธุ์อะไรนี่อร่อยสุด หากไม่ได้ขับรถมาเอง
เราเดินทางกลับสู่ Aomori แต่ขากลับเราไม่ได้ขึ้นทางด่วนกลับทางเดิมเพราะไปแวะที่ Hirosaki Park กันก่อนระยะทาง
เข้ามาด้านในมีศาลเจ้า Gokoku Shrine อยู่ใกล้ๆประตูทางเข้าเป็นศาลเจ้าชินโต เหมือนๆกับศาลเจ้าอื่นๆด้านหน้ามีบ่อน้ำให้ล้าง
สวนสาธารณะฮิโรซากิเป็นหนึ่งในจุดชมดอกซากุระที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น รอบๆบริเวณปราสาทเต็มไปด้วยต้นซากุระที่มีมากกว่า
ต้นไม้ในสวนตอนนี้มีเปลี่ยนสีแค่บางต้นครับ ส่วนใหญ่ยังเขียวอยู่มีเหลืองบ้างเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นต้นซากุระที่กำลังผลัดใบ
ปราสาทฮิโรซากิสามารถเข้าไปชมด้านในได้ค่าเข้าชม 310 เยนแต่เค้าปิด 5 โมงเย็น เราเดินมาถึงทางเข้าปราสาทนี่ก็ 4 โมงกว่า วิธีเดินทางหากมารถสาธารณะ จากสถานี JR Hirosaki Station โดยสารรถบัส Dotemachi Loop Bus ที่วิ่งไปทางทิศตะวันตก พรุ่งนี้เเช้าราจะไปตลาดปลา Furukawa แล้วขับรถไป ทะเลสาบโทวาดะ(Towada-ko) ขากลับแวะชมวิวบนเขา Hakkoda กัน ไปขับรถเที่ยวกัน เยอรมัน ออสเตรีย เชค - Last day Munich
เรามาถึง 3 วันสุดท้ายของการเดินทาง สองคืนสุดท้ายเราจะกลับไปนอนที่มิวนิค มีเวลาเที่ยวในมิวนิควันกว่าๆ ส่วนใหญ่ก็คงให้เวลา
เราเริ่มต้นวันด้วยการขึ้นไปเดินบนกำแพงเมืองโรเธนเบิร์กแต่เช้าเพราะสายๆเราจะขับรถกลับมิวนิคกัน และวันนี้เราจะใช้รถเป็นวัน
อย่างที่เคยบอกครับมาเที่ยวยุโรปอากาศแปรปรวนไม่แน่ไม่นอนจริงๆ เมื่อคืนก่อนเราเข้านอนฟ้าใสมากตื่นขึ้นมาฟ้าฝนอึมครึม จาก
Gerlachschmiede เป็นหนึ่งในบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ที่สวยที่สุดในโรเธนเบิร์ก สร้างขึ้นในปี 1945 และเสียหายจากการถูกโจมตีทาง
เราเดินไปจนสุดกำแพงเมืองและวนกลับมาทางอีกด้านหนึ่งของซุ้มประตู Plonlein ที่เรามาเมื่อวาน ซึ่งแถวนี้เป็นจุดสุดท้ายของเมือง
ขากลับเราไม่ได้เดินกลับไปตามกำแพงแค่เดินผ่านซุ้มประตูแล้วเดินผ่านเมืองกลับไปโรงแรม เพื่อกินอาหารเช้าของโรงแรมซึ่งมี
เราขับรถออกจาก Rothenburg ob der Tauber มาท่ามกลางสายฝนที่พรำมาตลอดทางสู่สนามบินมิวนิค ด้วยระยะทางกว่า 260
คืนรถแล้วก็ลากกระเป๋าเดินตามป้ายเข้าไปยังอาคารเทอมินัลมีทางเดินเชื่อมเข้าไปในตัวอาคารครับ เข้าไปแล้วก็มองหาตู้สีแดงๆ
ขั้นตอนการซื้อก็กดเมนูภาษาอังกฤษตรงรูปธงชาติอังกฤษ จากนั้นเลือก All Offer พอเมนูเปลี่ยนไปอีกหน้าเลือก Group Tickets ตั๋ว
ได้ตั๋วแล้วก็เดินลงบันไดเลื่อนไปขึ้นรถด้านล่างเลยครับ จากสนามบินมิวนิคไป Center Station ได้ 2 สายคือ S1 และ S8 ไปสาย
ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าบนขบวนรถไฟจากสนามบินมิวนิคถึง Central Station ทำให้รู้ว่าต้องเผื่อเวลาพอสมควรสำหรับวันกลับ
ถึงสถานี Central Station เป็นสถานีปลายทางของทั้ง S1 และ S8 พอลงจากรถแล้วให้หาบันไดเลื่อนขึ้นมาเดินข้างบนครับไม่งั้นจะงง เพราะสถานีใหญ่มาก ถ้าออกผิดด้านขึ้นมาแล้วจะหาทางไปโรงแรมไม่เจอ ขึ้นมาด้านบนแล้วจะเห็นหัวรถไฟหลายชานชลา ให้
ออกมาจะมองเห็นถนนฝั่งตรงข้ามระหว่าง 2 ตึกนั้นเดินเข้าไปตามถนนนั้นเลยครับโรงแรมที่เราพักจะอยู่ถัดไปอีกบล็อคนึง เดินไม่
ฝนยังคงตกปรอยๆอยู่แต่ก็เป็นแค่ละอองเล็กๆ สมาชิกเลยขออิสระช๊อปปิ้งช่วงเย็น จากที่พักเดินกลับไปทาง Central Station พอถึง
ขอแนะนำกระเป๋า Rimova กับ Samsonite ราคาครึ่งนึงของบ้านเราแถม Refund Tax ได้อีก นอกนั้นก็มี Zwilling มีอยู่หลายร้านพวก
เช้าวันสุดท้ายของการเที่ยวเพราะพรุ่งนี้เราต้องออกไปสนามบินกันแต่เช้าเพื่อเดินทางกลับ เช้านี้เหมือนอากาศจะดีแต่ก็ไม่ดีทั้งวันครับ
1. Landgericht Munchen จากโรงแรมเราเดินมาทางถนนเส้นที่ตรงสู่ Central Station แล้วเดินเลี้ยวไปทางเดิมที่เราไปช๊อปปิ้งกันเมื่อวานครับ แวะถ่ายรูปกันที่หน้า
2. St. Michaels Church เดินตรงเข้าไปด้านในครับผ่านโบสถ์ St. Michael's Church วิหารของคณะเยซูอิต สไตล์เรเนสซองส์ สร้างขึ้นระหว่างปี 1593-1597 โดย
3. Neaes Rathaus
อาคารศาลากลางนี้มีนาฬิกาตุ๊กตากลครับ จะมีตุ๊กตาหมุนเต้นรำไปมาตรงหน้าต่างสีเขียวตามเสียงระฆังที่ประดับอยู่ข้างบน โดย
4. Altes Rathaus ถัดไปไม่ไกลคือศาลาเมืองหลังเก่า(Altes Rathaus) หรือ Old Town Hall สร้างขึ้นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 14 และปรับแต่งให้เป็น
5. Heiliggeistkirche เดินลอดซุ้มหอคอยของ Old town Hall ไปจะพบโบสถ์ไฮลิกไกสท์เคียเช่อะ (Heiliggeistkirche) โบสถ์นี้สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่
6. St. Peters Church เลี้ยวขวาแล้วเดินย้อนกลับจะพบกับ วิหารซังคท์ พีเทอร์ เคียเช่อะ (Sankt Peter Kirche) หรือเซนต์ ปีเตอร์ครับ เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่
ทางขึ้นหอคอยไม่ได้อยู่ในตัวโบสถ์ ต้องเดินอ้อมไปด้านหลังจะเห็นห้องขายตั๋วเล็กๆ คนละ 1.5 ยูโร เด็กนักเรียน 1 ยูโร กว่าจะเดิน
ออกมาระเบียงด้านนอกแล้วกว่าจะขยับมาถ่ายรูปด้านนี้ได้ก็ใช้เวลานานพอสมควรครับ ฝั่งนี้จะมองเห็นอาคารศาลากลางหลังใหม่
ด้านซ้ายมือคือโบสถ์หัวหอม มหาวิหารฟราวเอ็นเคียเช่อ (Frauenkirche) ซึ่งเป็นจุดหมายต่อไปที่เราจะเดินไปครับ ผมดูด้านนี้ได้
เรากลับลงมาด้านล่างเพื่อเดินไปโบสถ์หัวหอมหรือฟราวเอ็นเคียเชอะ Frauenkirche แต่เห็นคนเดินเข้าไปในศาลาว่าการเมืองกันเลยเดิน
7. Frauenkirche จากหน้าร้านก็มองเห็นมหาวิหารฟราวเอ็นเคียเชอะ Frauenkirche (Church of Our Lady) เป็นมหาวิหารคาธอลิคสไตล์โกธิค ที่ใหญ่
เข้ามาภายในตัวโบสถ์ จะเห็นรอยเท้าปีศาจ Teufelstritt (ทอยเฟลชตริทท์) ตามตำนานเล่าว่า เป็นรอยเท้าที่เกิดจากการกระทืบของ
มหาวิหาร Frauenkirche บรรจุคนได้กว่า 20,000 คนในการประกอบศาสนพิธี เสาที่ตั้งเรียงรายนี้สูงกว่า 72 ฟุต วิหารนี้ไม่เสียค่าเข้าชม
ออกจากมหาวิหารฟราวเอ็นเตียเชอะฝนก็เริ่มลงเม็ดเลยหยุดพักให้สาวๆเดินดูของก่อน พอฝนซาก็ไปกันต่อครับ เราจะไป Munich
9. Hofgarten เดินหลงมาถึงด้านหลังคือ Court Garden หรือ Hofgaten สวนโฮฟการ์เท็น เคยเป็นพระราชอุทยาน สร้างในปี 1613 ในรัชสมัยดยุคแม็ก
ดูร่มรื่นมาก
อีกด้านคืออาคาร Munich Residenz แต่ทางเข้าไม่ใข่ด้านนี้เลยต้องเดินอ้อมไปเข้าอีกด้านครับ
10. Munich Residenz ในที่สุดก็เข้ามาด้านในแต่ตรงนี้คือลานกว้างชื่อ Odeonsplatz ซึ่งจะเจออาคาร Feldhernhalle สร้างปี 1841-1844 โดยพระเจ้า Ludwig
Residenz Munich ตัว Residenz แบ่งออกเป็นหลายส่วน ทั้งอาคารและสวน พระราชวังเรซิเด้นซ์ มุ้นเช่น (Residenz Munchen) ใช้เป็น
ซึ่งจากการตกแต่งต่อเติมมาหลายยุคหลายสมัยตามรสนิยมของผู้ปกครองแต่ละพระองค์รวมทั้งสมบัติอันมีค่าที่ได้สะสมมา จึงทำให้
การเข้าชมพระราชวัง จะไม่มีคนนำแต่เขามีหูฟังที่คอยอธิบายส่วนต่างๆให้ ซึ่งรวมอยู่ในค่าตั๋วเข้าชมแล้ว คนที่นำกระเป๋าใบโตมาก็ต้องฝากกระเป๋าไว้กับเจ้าหน้าที่ตรงบริเวณทางเข้าก่อน จำนวนห้องต่างๆมีมากมายถึง 130 ห้อง เดินกันขาขวิดเลยทีเดียว
เราใช้เวลาอยู่ใน Residenz Munich นานพอสมควรครับ ออกมาก็เย็นแล้วเราเลยเดินย้อนกลับมาที่ Marienplatz กันอีกครั้งแล้วก็ถึงเวลา
จบทริปขับรถเที่ยวยุโรป 3 ประเทศเพียงเท่านี้ครับ เช้าวันต่อมาเราออกจากโรงแรมแต่เช้าแต่ไปถึงแถวเช็คอินยาวมากเนื่องจากไฟล์ท
|
นักบัญชีขี้บ่น
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?] Link |