All Blog
ไปขับรถเที่ยวกัน เยอรมัน ออสเตรีย เชค - Day 6 Rothenburg Od T


จากวันแรงที่เราเดินทางมาถึง Munich แล้วเริ่มต้นขับรถเที่ยวไล่จากทางตอนใต้ของแคว้น Bavaria คือเมือง Fussen และ Schwangau
จากนั้นเราก็เข้าสู่ออสเตรียที่เมือง Innsbruck แล้วขึ้นเหนือมาที่ Hallstatt ออกจากออสเตรียเข้าสู่สาธารณะเชคทางตอนใต้พักที่เมือง
Ceskey Krumlov ไล่ขึ้นทางเหนือมาที่ Prague วันนี้เราจะกลับเข้าเยอรมันไปที่ Rothenburg Ob der Tauber

ออกมาเดินเล่นที่สะพานชาลส์ (Charles Bridge) ยามเช้ากันอีกรอบครับ ตอนเช้าๆตนไม่ค่อยมีผิดกับยามค่ำครับ

 และเป็นเรื่องบังเอิญมากครับผมมาถึงปรากเมื่อวานเจอเพื่อนที่มาจากเมืองไทยตอนกำลังจะเข้าโรงแรม เช้านี้เดินถ่ายรูปอยู่มีเพื่อนคน

ไทยอีกคนเดินเข้ามาทัก อยู่เมืองไทยก็ไม่ค่อยได้เจอกัน

เมื่อวานเราไม่ได้ขึ้น Old City Hall เช้านี้หลังจากกินอาหารเช้าที่โรงแรมแล้ว เราก็เลยไปขึ้นก่อนออกจากปรากครับ ซื้อบัตรด้านล่างแล้ว
จะมีลิฟท์ขึ้นไปชั้น 3 จากนั้นต้องไปต่อลิฟท์อีกตัวขึ้นไปด้านบนหอคอย หรือจะเดินก็ได้ครับ แต่ขึ้นลิฟท์แล้วเดินลงดีกว่าเพราะรอคิวนาน
ครับ

Old town square และ โบสถ์ Tyn มองจาก Old town Hall

โบสถ์ st. Nicholas โบสถ์ชื่อเดียวกันนี้มี 2 แห่งนะครับอีกแห่งจะอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ ฝั่งเดียวกับปราสาทปรากครับ

โดมสีเขียวกลางภาพครับคือโบสถ์ st. Nicholas อีกแห่งที่เว่อร์วังอลังการกว่าโบสถ์ฝั่งนี้ ถ้าจะไปเที่ยวก็เดินข้ามสะพานชาลส์ไปฝั่งตะวัน

ตกครับ โบสถ์อยู่ปลายสะพานอีกฝั่ง

มุมนี้ด้านนาฬิกาดาราศาสตร์ครับเป็นด้านทางเข้าห้องขายตั๋วที่จะขึ้นมาบนหอคอยนี้ ตึกสีฟ้าข้างล่างคือร้านสตาร์บัคสาขา Old Town 
Square คนเต็มร้านตลอดครับ

กลับมาเอากระเป๋าที่โรงแรม เราก็รีบเดินทางกันต่อครับวันนี้ไปกันยาวๆเลยสามร้อยกว่ากิโลเมครจาก Prague ไป Rothenburg มีการ
ซ่อมถนนเป็นช่วงๆช่องจราจรจะโดนบีบเวลาขับก็ยังรู้สึกเสียวๆอยู่บ้างเพราะกะระยะไม่ถูกยังไม่ชินกับรถครับ เพราะช่วงที่ขับจริงๆก็คือ
ช่วงเปลี่ยนเมือง ไปถึงก็จอดไว้ที่โรงแรมแล้วเดินเที่ยว

โรเทนบวร์ก ออบ เดอร์ เทาเบอร์ (Rothenburg ob der Tauber) เมืองเก่าแก่ของจักรวรรดิฟรังค์ ในแคว้นบาวาเรีย(Bavaria) ประเทศ
เยอรมนี เป็นเมืองโบราณตั้งอยู่ภายในวงล้อมของกำแพงเมือง ถือว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างมีประวัติศาสตร์อันแสนโรแมนติกของเยอรมนี
เช่นกัน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางเมืองทางประวัติศาสตร์ และแนวกำแพงป้องกันเมืองดั้งเดิมบ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของเมืองที่ทำการค้า 
ไวน์, โค, กระบือ และขนสัตว์ที่มีมาตั้งแต่ค.ศ.1274 คำว่า Ob der Tauber ภาษาเยอรมันหมายถึงริมแม่น้ำ Tauber ซึ่งเมืองนี้ตั้งอยู่


ผ่านประตูเมืองฝั่งตะวันออกหรือประตู Rödertor เข้ามาก็ถึงโรงแรมที่เราจะพักกันคืนนี้เลยครับ ขับรถเข้ามาได้เลยทางโรงแรมมีบริการที่
จอดรถส่วนตัวฝั่งตรงข้ามโรงแรมครับ โรงแรมที่เรามาพักมีชื่อว่า Hotel gasthof zum breiterle อยู่ติดกับ หอคอย Röder Tower เป็น
หอคอยที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองสร้างในศตวรรษที่ 13 ด้านข้างหอคอยมีบันไดขึ้นไปบนกำแพงเมือง สามารถเดินบนกำแพงไปได้ทั้งฝั่ง
เหมือและฝั่งใต้ แต่กำแพงไม่รอบเมืองนะครับเพราะฝั่งตะวันตกเป็นเหวเลยไม่ต้องสร้างหอคอย

ห้องพักเราเป็นห้องใต้หลังคาด้านหลังที่เห็นหน้าต่างชั้นบนมี 2 ห้องนอนราคา 150 ยูโรต่อคืนรวมอาหารเช้า พนักงานที่นี่ Friendly มาก
อาหารเช้าก็อร่อยใช้ได้ครับ บรรยากาศโรงแรมอาจดูเก่าๆโบราณตอนเดินขึ้นบันไดเสียงไม้ดังลั่นเหมือนฝรั่งหนังสยองขวัญ แต่ห้องพัก
สะอาดมาก



หลังเช็คอินเก็บสัมภาระเข้าห้องเสร็จก็ออกไปสำรวจเมืองกันครับ ออกจากโรงแรมเลี้ยวซ้ายแล้วเดินไปตามถนน Rödergasse เรื่อยๆทาง
ขวามือเราจะเห็นถนนแยกไปสู่หอคอยของซุ้มประตู Weißer Turm หรือ White Tower

เดินต่อไปตามถนนที่ปูด้วยหิน สองข้างทางเป็นอาคารบ้านเรือนแบบโกธิคและเรอเนสซองซ์ บ้านโครงไม้ซุงหลังคาหน้าจั่วตั้งเรียงราย
ติดๆกันไปตามถนน Rodergasse

จนถึงซุ้มประตู Roderbogen ซึ่งมีป้อมหอคอย Markusturm อยู่ด้านบน สองฝั่งเป็นร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านอาหาร โรงแรม ซุปเปอร์
มาเก็ต และร้าน Discount Store เหมิอน Diso บ้านเรา

เดินตรงต่อเข้าไปอีกนิดก็จะถึง จัตุรัสกลาง(Marktplatz) อันเป็นที่ตั้งของ ศาลาว่าการเมือง (Rathaus) แสนสวยที่มีหน้ามุขเป็นศิลปะ
แบบเรอเนสซองซ์โดยตัวอาคารนั้นถูกสร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1250 ริมจัตุรัสทางด้านเหนือคือ อาคาร Ratsherrntrinkstube อดีตโรง
อาหารของสภาเทศบาลเมืองเก่า บนหน้าจั่วแบบบารอคมีนาฬิกาต่างยุคอยู่ 3 เรือน โดยทุกต้นชม.ในช่วงกลางวันจะมีตุ๊กตา นายก
เทศมนตรีนุช กับนายพลทิลลี่ออกมาจากบานหน้าต่าง

รอบจตุรัสรายล้อมด้วยอาคารบ้านเรือนหลังคาทรงจั่วสีสวยและบ้านโครงไม้ซุงอีกหลายหลัง ถ้าอยากชมภาพมุมสูงของเมือง ก็ให้เข้าไป
ข้างในอาคารสีขาวที่อยู่ติดกับอาคารศาลาว่าการแล้วปีนบันไดขึ้นไปยังหอคอยสูง 55 เมตร (ค่าบริการ 2 ยูโร) แต่เราไม่ได้ขึ้นเพราะมา
ถึงเย็นเกินไป

เดินต่อไปทางด้านหลังอาดาร Ratsherrntrinkstube ถึงสี่แยกด้านซ้านจะพบโบสถ์เซนต์จาคอปส์ Saint Jakobs Kirche โบสถ์โกธิค
หลังใหญ่แห่งโรเธนบวร์ก สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1311 และเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ.1485

ส่วนด้านขวามือจะเจอถนน Georgengasse และซุ้มประตู Weißer Turm หรือ White Tower

เราเดินย้อนกลับมาทาง Marktplatz แล้วข้ามไปอีกฝั่งทางด้านทิศใต้ตามถนน Schmiedgasse จนมาถึง Plonlein ซุ้มประตูเด้านทิศใต้ 
ซึ่งมีซุ้มและหอสังเกตการณ์ Siebersturm ตั้งขวางถนนอยู่ ส่วนด้านขวาคือประตู Kobolzeller รายรอบด้วยอาตารโครงไม้ซุงหลังคา
หน้าจั่วหลายหลัง บนถนนสองสายต่างระดับที่มาบรรจบกัน กลายเป็นแลนด์มาร์คยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูปด้วยมากที่สุด

ไปทางฝั่งตะวันตกของเมืองกันบ้างครับ ฝั่งนี้กำแพงเมืองไม่มีป้อมด้านบนให้ขึ้นไปเดินได้ครับเพราะเป็นหน้าผาลงไป มีหมู่บ้านอยู่ด้าน
ล่าง ขับรถลงไปได้ครับถนนเส้นที่เห็นจะวนรอบเขตเมืองเก่าไปออกอีกด้านนึงในเขตเมืองใหม่

เดินย้อนกลับมาทาง Marktplatz แล้วเลียวซ้ายไปทางประตูเมืองด้านทิศตะวันตกจะผ่านพิพิธภัณฑ์คริสมาสต์มีรถของขวัญสีแดงสดอยู่
ด้านหน้าแต่ไม่ได้เข้าครับเพราะเค้าปิดแล้ว เราพลาดการเข้าชมหลายๆที่ที่นี่เพราะระยะทางจากปรากมาถึงโรเธนบวร์กค่อนข้างไกลครับ
มาถึงก็เย็นแล้วถ้าใครมาเที่ยวฤดูใบไม้ร่วงคงต้องวางแผนดีๆครับเพราะมันมืดเร็ว 

เดินเลยต่อมาอีกไม่ไกลถึงโบสถ์ Franziskanerkirche หรือ Franciscan Church  


เลยไปอีกนิดสุดถนนก็คือ ประตู Burgtor (Castle Gate) สร้างขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1356 

เดินลอดซุ้มประตูออกมาตือสวน Burggarten (Castle garden) ช่วงที่ผมมาเป็นต้นฤดูใบไม่ผลิ เค้าเพิ่งเริ่มลงดอกไม้เลยยังไม่ค่อยสวย

เท่าไหร่ครับ มีทิวลิปบานบ้างแต่ส่วนใหญ่ยังเป็นดอกตูมอยู่ ซุ้มประตูเมืองด้านนี้ผมว่าสวยกว่าซุ้มประตูอื่นๆ

จากสวน Burggarten มองลงไปเห็นโรงแรม Pension Herrnmühle ตรงแนวป่าที่เป็นร่องลึกนั่นคือแนวของแม่น้ำ Tauber


แนวกำแพงเมืองโรเธนบวร์กด้านตะวันตกมองจากสวน Burggarten

เราเดินเลาะแนวกำแพงกลับมาที่ Plonlein เพราะตั้งใจมาเก็บภาพยามค่ำอีกครั้งที่มุมนี้ครับ 

กลับมาที่ Marktplatz เพื่อมาเก็บภาพต่อ บ้านหน้าจั่วผสมไม้หลังทางขวาสร้างในปี ค.ศ. 1488 ให้กับนาย Jagstheimer นายกเทศมนตรี
ขณะนั้น มีขุนนางชั้นสูงมากมายเคยพำนักที่นี่ รวมถึงจักรพรรดิ์แม็กซิมิเลี่ยม ที่ 1 ได้เสด็จมาพักที่นี่ในปี 1513 สิ่งที่โดดเด่นคือมุขหน้าต่างที่ยื่นออกมา
ปัจจุบันกลายเป็นร้านขายยา ส่วนบ้านอีกหลังสร้างทับบนรากฐานของอาคารศาลากลางหลังเก่าที่โดนไฟไหม้ไปใน
ปี 1240 ที่ชั้นใต้ดินของบ้านหลังนี้เคยเป็นตลาดขายเนื้อ ในขณะที่ชั้นบนใช้เป็นที่จัดงานเต้นรำในเทศกาลต่างๆ มาจนถึงศตวรรษที่ 18 
ปัจจุบันชั้นใต้ดินใช้เป็นสถานที่จัดแสดงงานศิลปะ บ่อน้ำพุที่เห็นด้านหน้าคือน้ำพุเซนต์จอร์จ(St. George’s FountainX เนื่องจากเมืองนี้ 
สร้างอยู่บนที่ราบสูงน้ำจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ ทำห้ต้องสร้างบ่อเก็บกักน้ำถึง 40 บ่อ โดยบ่อน้ำพุเซนต์จอร์จเป็นบ่อที่ใหญ่ที่สุด มีความ
ลึก 8 เมตรและจุน้ำได้ถึง 100,00 ลิตร ยอดเสาน้ำพุเป็นรูปปั้นเซนต์จอร์จกำลังฆ่ามังกร เป็นศิลปะยุตเรอเนซองส์ตอนปลาย ประมาณปี 
1608

ในบรรดาเมืองต่างๆที่เราผ่านมา 6 วัน Rothenburg Od T ดูจะเป็นเมืองที่เงียบที่สุด เมืองอื่นๆจะมีนักท่องเที่ยวออกมาเดินเล่นยามค่ำ
หรือออกมานังดื่มบ้าง แต่ที่นี่เงียบมากจริงๆ ขณะที่เดินถ่ายรูปเล่นกันอยู่ก็มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นอยู่ไม่กี่คน

ดีที่ทริปนี้เราเตรียมอาหารมาทำกินกันเองด้วย ไม่งั้นมื้อเย็นวันนี้อาจไม่ได้กินอะไรเพราะไม่มีร้านค้าเปิดหลัง 6 โมงเย็นเลยครับ กลับไปหุงข้าว
ต้ทไข่คลุกน้ำพริกนรกกินกันอีกมื้อ พรุ่งนี้เราจะวนครบรอบกลับสู่มิวนิคกันแล้วครับ แต่ยังไม่กลับเมืองไทยเพราะจะเที่ยวในมิวนิคกันต่อ




Create Date : 23 สิงหาคม 2559
Last Update : 23 สิงหาคม 2559 15:00:33 น.
Counter : 968 Pageviews.

2 comment
ไปขับรถเที่ยวกัน เยอรมัน ออสเตรีย เชค - Day 5 Prague


วันที่ 5 

บรรยากาศเช้าวันนี้ของ Cesky Krumlov สดใสมากครับ ไม่มีเมฆฝนแต่ก็ต้องลุ้นเอาว่าระหว่างทางไป Prague จะเจอฝนมั๊ยแต่ถ้าเจอ
ระหว่างทางก็ยังดีกว่าไปเจอที่ปราก ตั้งแต่มานี่ก็เอาแน่เอานอนอะไรกับอากาศไม่ได้ครับ เดี๋ยวฟ้าใสเดี๋ยวฝนตก

ฟ้าสวยๆยามเช้าเหนือหอคอยของปราสาทเชสกี คลุมลอฟ ผมคว้ากล้องออกไปเดินซึมซับบรรยากาศยามเช้าก่อนที่จะกลับมากินอาหาร
เช้าและเดินทางต่อ

เมืองเชสกี คลุมลอฟยามเช้าสงบเงียบมากครับ บ้านเมืองสะอาดดีจริงๆ มาคิดถึงถนนบ้านเรายามผ่านค่ำคืนมามักเจอแต่ขยะรอการเก็บ
เต็มถนนไปหมด

ผมเดินกลับมาที่จุดชมวิวที่มาดูแสงเย็นเมื่อวาน จุดนี้ดูได้ทั้งแสงเช้าและแสงเย็นครับอยู่ไม่ไกลจากที่พักเดินไม่ถึง 5 นาทีก็มาถึงครับ
แสงเช้าก็สวยไม่แพ้แสงเย็นเลย

แดดยามเช้าเหนือเมืองเชสกี คลุมลอฟ 

บางมุมริมแม่น้ำวัลตาวา Vltava

มาเดินเล่นรอบๆเมืองกันบ้างครับ หนุ่มสาวชาวไทยกำลังถ่ายรูปเล่นกันอยู่ เมืองนี้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ช่วงเวลาที่ผมไปเป็นคนไทยครับ
ก็เป็นช่วงหยุดยาว มาเที่ยวช่วงนี้น่าจะสะดวกที่สุด

ตึกสีสันร้อนแรงดีจริงๆ

ผมชอบร้านค้าที่นี้แต่ละร้านทาสีสวยดีครับ

เขคเมืองเก่าของเชสกี คลุมลอฟไม่ใหญ่มากครับ เดินเวนไปวนมาแป๊บเดียวก็รอบเมืองกลับมาถึงจตุรัสกลางเมืองอีกครั้ง คงได้เวลากลับ
โรงแรมกินอาหารเช้าเก็บของและบอกลาเชสกี คลุมลอฟแล้วครับ หวังว่าสักวันจะได้กลับมาอีก

ระยะทางประมาณ 176 กม. จาก Ceskey Krumlov สู่ Prague เราใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ มาถึงปราก ในเมืองปรากต้องบอกว่า
ขับรถยากพอสมควรครับ เพราะเป็นเมืองใหญ่และรถเยอะมาก มีช่วงจังหวะนึงที่เลี้ยวขวาแล้วต้องชิดซ้ายเพื่อจะเลี้ยวซ้ายไปโรงแรม แต่
รถติดมากทำให้ชิดซ้ายไม่ได้ เลยต้องถูกบังคับเลี้ยวขวาไปวนมาอีกรอบ

ที่พักคืนนี้ของเราคือ  Hotel Royal Residence Ungelt เป็นห้อง Family Room ที่ใหญ่มาก มี 2 ห้องนอน มี Living Room และครัวให้
ห้องอาบน้ำและห้องสุขาแยกจากกัน ราคา 180 Euro ต่อคืนรวมอาหารเช้า และเป็นที่พักที่สะดวกมากอยู่ในย่าน Old Town หลังโบสถ์
Church of Our Lady before Tyn พิกัด 50.087939, 14.424228

เราเดินจากโรงแรมไม่กี่เมตรก็ออกมาถึง Old Town Square ก่อนอื่นก็ต้องไปแลกเงิน Koruna Czech ก่อนครับเพราะที่แลกไว้จากเชสกี
คลุมลอฟเหลือไม่พอแล้ว ร้านแรกเงินอยู่รอบๆจตุรัสนี่ครับมีหลายร้านเลย แลกเงินเสร็จก็ไปปราสาทปรากกันก่อนเลยครับ จริงๆเดินไปก็
ได้แต่เราอยากลองนั่งรถไฟใต้ดินปรากลอดแม่น้ำไป



เราเดินไปสถานี Staroměstská ประมาณ 400 เมตรจาก Old Town Square จริงๆแล้วก็ใช้เวลาไม่มากครับแต่เดินอ้อมดูนู่นดูนี่ไปเรื่อยๆ
จาก 400 เมตรก็รวมๆแล้วน่าจะกิโลกว่าแถทเดินไปเดินมาหลงทางอีกต่างหาก กว่าจะไปถูกทางก็เสียเวลาไปเยอะครับ แต่ก็เพลินดี


ขึ้นรถไฟใต้ดินไปแค่สถานีเดียวครับลอดใต้แม่น้ำ Vltava ไปฝั่งตะวันตกลงที่สถานี Malostranská ต้องขออภัยผมจำราคาค่าโดยสารไม่
ได้ว่าคนละเท่าไหร่ แต่ต้องเตรียมเหรียญไปหยอดซื้อที่ตู้ครับไม่มีพนักงานขายและตู้รับเหรียญเท่านั้น แต่ถ้าไม่มีเหรียญก็เข้าไปซื้อใน
ร้านสะดวกซื้อในสถานีเลยครับมีตั๋วขาย


ขึ้นจากสถานีรถไฟเดินผ่านสวนสาธารณะจะเจอทางขึ้นปราสาทปราก เดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆครับพอเหนื่อย ด้านบนมีจุดชมวิวเมืองปราก
และแม่น้ำวัลตาวา ปราก(Prague) อีกหนึ่งดินแดนแห่งการท่องเที่ยวที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งปราสาทร้อยยอด เมืองแห่ง
ทองคำ เมืองสุดยอดอารยธรรม รวมทั้งเป็นหัวใจแห่ง ยุโรป นอกจากนี้แล้ว กรุงปรากยังถือว่าเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐเช็ก (Czech) 
และกลายเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวระยะสั้นที่ได้รับความนิยมที่สุดในยุโรป ปรากเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศและมีแม่น้ำวัลตาวา 
(Vltava) ไหลผ่านกลางเมือง ตัวเมืองถูกยกให้เป็นมรดกโลก จาก UNESCO ด้วย

ปราสาทปราก (Prague Castle) งดงามดุจเจ้าหญิงผู้เลอโฉม ปราสาทเก่าแก่แห่งนี้คือสิ่งที่ทำให้ปราก ดูสวยอย่างมีมิติ เพราะใน
อาณาบริเวณของปราสาทยังมีความวิจิตรและแสนอลังการของมหาวิหารเซนต์วิตุส ศาสนสถานอายุ 600 กว่าปี ที่ว่ากันว่าคือสุดยอด
สถาปัตยกรรมแห่งปราก ที่ทั้งงดงามและศักดิ์สิทธิ์  


ปราสาทปราก (Prague Castle) สร้างขึ้นในปี ค.ศ.885 เคยเป็นปราสาทของกษัตริย์แห่งเช็คในอดีต อีกทั้งเคยได้รับการรับรองจาก
กินเนสส์บุ๊ก ว่าเป็นปราสาทโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความยาวประมาณ 570 เมตร และความกว้างประมาณ 130 เมตร มีขนาด
เนื้อที่ใหญ่กว่าสนามฟุตบอล 7 สนามรวมกัน อาคารที่โดดเด่นที่สุดในบริเวณปราสาทคือ มหาวิหารเซนต์วิตุส (St.Vitus Cathedral) 
เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และเป็นโบสถ์สำคัญคู่บ้านคู่เมืองมากว่าพันปี  

พระเจ้าชาลส์ที่ 4 โปรดให้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1344 ในศิลปะแบบโกธิกเพื่อแทนโบสถ์หลังเดิม  ใช้เวลาก่อสร้างมากกว่า 500 ปีจึงเสร็จ
สมบูรณ์เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 นี่เอง  เรียกได้ว่าเริ่มสร้างในยุคโกธิกและเสร็จในยุคนีโอโกธิก  ด้านหน้าทางเข้าหลักทางทิศตะวันตก
สร้างเสร็จเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 

ภายในมหาวิหารเซนต์วิตุส (St.Vitus Cathedral) เห็นโถงแบบโกธิก 


หน้าต่างประดับกระจกสี Stained-glass ภายในมหาวิหารเซนต์ วิตุส ยิ่งใหญ่อลังกานมาก

แต่ที่โดดเด่นกว่าบานอื่นก็คือบานนี้ เป็นผลงานของศิลปินอาร์ตนูโวที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลก Alfons Muchas ขณะที่งานเฉลิม
ฉลองครบรอบพันปีของวาตสลัฟที่ 1 ดุ๊กแห่งโบฮีเมีย (St. Wenceslas) ได้มีการให้ฟื้นฟูงานกอทิกของมหาวิหารเซนต์วิตัส (St. Vitas 
Cathedral) แห่งปรากจนเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1929 โดยหน้าต่างประดับกระจกสีนี้ได้ถูกติดตั้งในปี ค.ศ. 1931 ซึ่งหน้าต่างจะมีภาพเซนต์
วาสลัฟในวัยเด็กกับคุณยายของเขาอยู่ใจกลางภาพแวดล้อมไปด้วยฉากเหตการณ์ของนักบุญซีริล (Saints Cyril) และเมโทดิอุส 
(Methodius) ที่เผยแพร่ศาสนาคริสต์อยู่ท่ามกลางชาวสลาฟ ทั้งหมดนี้จะอยู่ด้านล่างของเยซูคริสต์เสมอ และเป็นสัญลักษณ์ของธนาคาร
ชาวสลาฟที่ให้การสนับสนุนเงินทุนในการสร้างหน้าต่างประดับกระจกสีบานนี้

หน้าต่างกุหลาบ หรือ Rosetta หรือ Rose Window ออกแบบโดย Frantisek Kysela สร้างเสร็จในปี 1927

แท่นบูชาภายในมหาวิหารเซนต์ วิตุส มีหลายแท่น แต่ละแท่นมีรูปสลักที่สวยงามมากครับ


St. George's Basilica เป็นโบสถ์แรกที่ถูกสร้างขึ้นภายในปราสาทปราก ส่วนใหญ่ของตัวโบสถ์ถูกสร้างขึ้นช่วงกลางศตวรรษที่ 12 
ยกเว้นส่วนด้านหน้าศิลปะ Baroque ถูกสร้างขึ้นใหม่ในช่วงศตวรรษที่ 17 เนื่องจากถูกไฟไหม้


เราย้อนกลับมาเดินเล่นย่าน Old town กันต่อครับ เขตเมืองเก่า (Old Town) เป็นจุดศูนย์กลางการค้าขายมาแต่ยุคกลาง  ในปัจจุบันยัง
คงมีตลาดนัดทุกวันเสาร์และหน้าเทศกาลต่าง ๆ  เช่นเทศกาลคริสต์มาสหรืออีสเตอร์ บริเวณโดยรอบจัตุรัสเมืองเก่า (Old Town Square) 
ที่คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว  เต็มไปด้วยอาคารสวย ๆ มากมายจนเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งได้ทีเดียว 

ตรงกลางจัตุรัสมีอนุสาวรีย์ของนักปฏิรูปศาสนาชื่อยาน ฮุส (Jan Hus)  ท่านผู้นี้ต่อต้านความเหลวแหลกฟุ้งเฟ้อของศาสนาคริสต์นิกาย
แคธอลิกในยุคนั้นเมื่อกว่า 500 ปีก่อน เช่นการที่บาทหลวงชั้นผู้ใหญ่แอบมีภรรยาลับ  มีการขายบัตรไถ่บาปสร้างความร่ำรวยให้กับสำนัก
วาติกัน  จนเขาถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการเผาทั้งเป็น  เหตุการณ์นี้ทำให้มีการลุกฮือเพื่อต่อต้านอำนาจของพวกแคธอลิก  มีการจับ
บาทหลวงโยนลงมาจากหอคอย  จนเกิดเป็นสงครามฮุสไซต์ (Hussite Wars) ระหว่างฝ่ายที่ยึดมั่นต่อคริสตจักรกับฝ่ายที่ต่อต้าน  ยาน 
ฮุสจึงถือเป็นวีรบุรุษที่สำคัญคนหนึ่งของชาวเช็ค

โบสถ์โกธิกสูงใหญ่ มียอดแหลมราวกับเปลวเพลิงพุ่งสูงเสียดฟ้า  มีชื่อว่า Church of Our Lady before Tyn หรือเรียกสั้น ๆ ว่าโบสถ์ทิน 
(Tyn Church)  เป็นโบสถ์ที่มีความสำคัญอันดับสองรองจาก St.Vitus Cathedral

หอคอยสูง 60 เมตรที่เห็นเป็นส่วนหนึ่งของศาลาว่าการเมืองเดิม (Old City Hall) ใช้เป็นศาลาว่าการเมืองตั้งแต่สมัยยุคกลาง  จากบน
ยอดหอคอยสามารถชมวิวได้รอบทิศ

นาฬิกาดาราศาสตร์ปรากเก่าแก่ (Town Hall Clock) ที่ตั้งอยู่ตรงฐานของหอคอย  นอกเหนือจากตัวเรือนที่ดูสวยงามแล้ว นาฬิกาเรือนนี้
ยังเป็นนาฬิกาที่สามารถใช้งานได้จริงจวบจนปัจจุบัน ทั้งนี้ทั้งนั้นส่วนหนึ่งอาจจะเป็นกุสโลบายของคนในสมัยโบราณ ที่บอกว่าถ้านาฬิกา
เรือนนี้หยุดเดินเมื่อไหร่จะถือเป็นลางร้ายสำหรับบ้านเมือง เลยทำให้นาฬิกาเรือนนี้ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีมาโดยตลอด วงด้านนอกของ
นาฬิกานี้เป็นตัวเลขอารบิกสมัยยุคกลางบอกเวลาสมัยโบฮีเมียนที่มีการแบ่งเวลา 24 ชั่วโมง ในหนึ่งวันตามพระอาทิตย์ ส่วนวงในที่เป็น
เลขโรมันนั้นก็คือเวลาที่พวกเรารู้จักกันในปัจจุบัน สีฟ้าที่หน้าปัดสื่อถึงสีของท้องฟ้า ซึ่งถูกแบ่งออกเป็น 12 ส่วนตามสมัยบาบิโลนซึ่งสั้น
ยาวต่างกันตามฤดู

     หลังจากเดินเล่นรอบ Old Town Square แล้วเรากลับเข้าที่พักกันก่อนเพื่อนกินอาหารเย็นแล้วออกมาใหม่อีกครั้งตอนค่ำๆ เพื่อจะเดิน
ไปสะพานชาร์ล

เราออกมาอีกครั้งตอนหัวค่ำ เดินเลย Old Town Square ไปไม่ไกลนักก็ถึงสะพานชาร์ลซึ่งคลาคร่ำไปด้วยผู้คน จากริมฝั่งแม่น้ำด้านตะวัน
ออกมองข้ามฝั่งไปเห็นปราสาทปรากใหญ่โตมาก

สะพานชาลส์ (Charles Bridge) คือสัญลักษณ์สำคัญของปรากที่มีชื่อเสียงที่สุด  เป็นสะพานเก่าแก่ที่สุดในเมือง สร้างบนจุดที่น้ำตื้นที่สุด
ขนาดเดินลุยน้ำเพื่อข้ามฝั่งได้  พระเจ้าชาลส์ที่ 4 แห่งอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์โปรดให้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1357 เพื่อทดแทนสะพาน
แห่งเดิมที่พังทลายจากน้ำท่วม  สะพานชาลส์เชื่อมฝั่งปราสาทปรากทางตะวันตกเข้ากับเขตเมืองเก่าทางตะวันออก มีความยาว 516 
เมตร และกว้างถึง 10 เมตร  มีเสาค้ำยัน 16 ต้น

สองข้างสะพานประดับไปด้วยรูปปั้นของนักบุญในศาสนาคริสต์ทั้งหมด 30 รูป  ที่โดดเด่นที่สุดคือรูปปั้นของเซนต์จอห์น เนโปมุก 
(St.John Nepomuk)  ตามตำนานบอกว่าท่านถูกโยนลงแม่น้ำวัลตาวาโดยกษัตริย์พระองค์หนึ่ง เนื่องจากปฏิเสธที่จะเปิดเผยความลับว่า
พระราชินีของพระองค์มาสารภาพบาปว่าอะไร  ใต้รูปปั้นมีแผ่นทองเหลืองภาพนูนต่ำ  ว่ากันว่าถ้าใครได้มาลูบแผ่นทองเหลืองนี้จะได้กลับ
มาเยือนปรากอีก


เดินถ่ายรูปเล่นได้พักเดียวเท่านั้นฝนก็เริ่มมาแล้วครับ ต้องรีบเผ่นก่อนที่จะมาถึง เพราะเริ่มมีละอองฝนมาแล้วแถมสายฟ้าไกลๆนั้นก็น่า
กลัวไม่ใช่น้อย

ขนาดโดนฝนไล่มาก็ยังไม่ยอมที่จะเลิกถ่ายรูปกัน ขออีกสักรูป Church of Our Lady before Tyn เพราะที่พักเราอยู่หลังโบสถ์นี่เองครับ
แต่สุดท้ายก็วิ่งไปไม่ทันเพราะฝนลงหนักสะก่อน สะใจจริงๆทั้งหนาวทั้งเปียก

     พรุ่งนี้เราจะกลับเยอรมันกันแล้วครับเหรือรีวิว 2 ตอนสุดท้าย ที่ Rothenburg Ob DT กับมิวนิค 2 วันผมจะรวบไว้ตอนเดียวเลยครับ





Create Date : 02 สิงหาคม 2559
Last Update : 2 สิงหาคม 2559 11:39:53 น.
Counter : 1019 Pageviews.

1 comment
ไปขับรถเที่ยวกัน เยอรมัน ออสเตรีย เชค - Day 4 Cesky Krumlov


วันที่ 4 ของทริปวันนี้เราจะไปสาธารณะเชคกัน ใน 3 ประเทศของทริปนี้ผมชอบออสเตรียมากที่สุด อาจเป็นเพราะบรรยากาศที่ถูกจริต
ของคนที่ชอบเที่ยวธรรมชาติมากกว่าเที่ยวเมือง ออสเตรียมีธรรมชาติที่สวยงามมากและค่าครองชีพก็ถูกกว่าสวิสเซอร์แลนด์ที่เคยไป
ในทริปก่อนๆ คงจะมีโอกาสได้กลับมาเจาะลึกออสเตรียอีกครั้ง

ผมตื่นมาตั้งแต่เช้ามืดกะว่าจะออกไปดูทางช้างเผือก แต่ไม่ไหวครับอากาศเย็นมากถุงมือก็ไม่มีแถมมุมก็ไม่ได้อีกเลยกลับเข้าบ้านพักมา
รอจนเช้าค่อยกลับออกไปอีกรอบ หน้าบ้านมีทุ่งหญ้ากับสายหมอกก็สวยไปอีกแบบ

บรรยากาศสงบยามเช้าของฮัลสตัตต์ เริ่มมีคนทะยอยออกมากันเยอะทั้งนักท่องเที่ยว ผู้คนท้องถิ่นที่ออกไปทำงาน นักเรียนทะยอยมา
โรงเรียน เพิ่งได้เห็นรถเมล์ตอนเช้านี้ ไม่รู่เมื่อคืนน้องๆกลุ่มคนไทยมีรถกลับกันรึเปล่า เพราะตอนกลางคืนดูเงียบมาก

Schloss Grub หรือ Castle Grub ปราสาทส่วนตัวอยู่ฝั่งตรงข้ามทะเลสาบเริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1522 และมีการเปลี่ยนผู้ครอบครองมา
เรื่อยจนสมัยนาซีถูกยึดโดยรัฐบาลนาซี ปัจจุบันเป็นของ Herbert Handlbauer

พระอาทิตย์ขึ้นแสงอุ่นๆเริ่มมา แต่เห็นแสงแบบนี้อีกไม่นานครับฝนถล่มแบบไม่น่าเชื่อ

ได้เวลากลับไปที่พักเพื่อกินข้าวเช้าและเตรียมตัวเดินทางกันต่อครับ ลำธารใสๆไหลมาจากไหนก็ไม่ทราบแต่สุดทางที่ทะเลสาบ ดูเหมือน
มันจะมีน้ำทิ้งจากครัวเรือนมาด้วย แต่มันได้รับการบำบัดมาจนใสมาก ตรงตึกสีเหลืองๆด้านในขวามือนั่นเป็นสถานีรถรางขึ้นไปชมวิวบน
ยอดเขาซึ่งเป็นเหมืองเกลือโบราณ แต่วันที่ผมมานี่มันไม่เปิดให้บริการครับ เปิดแต่ส่วนของพิพิธภัณฑ์ด้านล่าง

นั่งจิบกาแฟยามเช้าบนระเบียงข้างบ้าน บรรยากาศน่าหยุดเวลาไว้ตรงนี้จริงๆครับ

วิวจากหน้าต่างห้องครัว หลังอาหารเช้าและจัดเตรียมอาหารมื้อกลางวันแล้ว เราก็เก็บข้าวของขึ้นรถเครียมเดินทางสู่เมืองเชสกี คลุม
ลอฟ Cesky Krumlov สาธารณรัฐเชค ระยะทาง 210 กิโลเมตร  

จากแดดดีท้องฟ้าสดใสเพียงไม่กี่นาทีฝนก็ตั้งเค้ามาอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่นาทีก็ตกลงมาอย่างหนัก เราขับรถลุยฝนออกจาก Hallstatt
ขึ้นไปทางเหนือ 

แวะเติมน้ำมันที่เมือง Bad Goisern ซึ่งห่างจาก Hallstatt ไปไม่ไกลเผื่อไว้ก่อนเพราะต้องขับไปยาวๆ เราถามหาซื้อสติ๊กเกอร์ Vignett 
ของ Czech แต่ไม่มีขายเค้าบอกมิแต่ของ Austria พนักงานบอกต้องไปซื้อใกล้ๆพรมแดน นั่นแหละปัญหาเพราะเวลาขับรถผมไม่รู้เลย
ว่าอะไรคือสัญลักษณ์ที่บอกว่าเราข้ามพรมแดนแล้ว เพราะมันก็คือถนนเส้นเดียวกันและไม่มีด่านพรมแดน

มากันไกลพอสมควรฟ้าเริ่มใสขึ้น ได้เวลาอาหารกลางวันเราแวะปั๊มระหว่างทาง แต่ปั๊มนี้ไม่มีร้านสะดวกซื้อก็เลยยังไม่ได้ซื้อ Vignett แต่
ยังดีที่มีที่นั่งกินข้าวและมีห้องน้ำสะอาดให้เข้าแถมวิวดีพอใช้ได้

กว่าเราจะได้ Vignett ของ Czech ก็ผ่านพรมแดนเข้ามาใน Chech แล้วเพราะเส้นทางหลังจากที่เราแวะกินข้าวกลายเป็นเส้นทางสายรอง
ผ่านไปตามชนบทจนไปเจอปั๊มน้ำมันก็อยู่ใน Chech Republic แล้ว พอซื้อ Vignett เสร็จเลี้ยวออกจากปั๊มไม่ถึง 5 กม. ก็เจอด่านตรวจ
เลย ตำรวจขอดูพาสปอร์ตและถามหา Vignett ซึ่งผมยังไม่ได้แกะมาติดกระจก ตำรวจก็เลยติดให้แล้วให้ไปต่อ จนมาถึง Cesky Krumlov
ถนนในเมืองเล็กมากเราเลยจอดรถไว้แล้วเดินหาโรงแรมที่พัก ตรงจุดที่เราจอดรถไว้เป็นจุดชมวิวของเมืองพอดี


จากจุดชมวิวที่เราจอดรถ ขับลงเนินมาประมาณสักร้อยเมตรเราก็ถึงจคุรัสกลางเมืองและลานน้ำพุ Jihočeské divadlo เราขับรถลงมาทาง
ช่องระหว่างตึกสีส้มกับสีเหลือง ส่วนโรงแรมอยู่ทางด้านที่ยืนถ่ายรูปนี่ครับ



คืนนี้เราพักกันที่นี่ครับ Muzeum Residence ห้องแบบ Family Room ใหญ่มาก 2 ห้องนอน มีโซฟานั่งเล่นมีครัว โรงแรมน่าจะรีโนเวท
จากอาคารเก่าไม่มีลิฟท์และบันไดแคบ ตอนลากกระเป๋าขึ้นไปนี่เหนื่อยเลยครับ พักที่นี่ต้องมาถึงที่พักก่อน 6 โมงเย็นครับเพราะพนักงาน
เลิกงาน 6 โมงและจะไม่มีพนักงานอยู่กลางคืนต้องใช้ Key Card ในการเข้า-ออก ราคาห้องพัก 78 ยูโร นับว่าถูกที่สุดตลอดทริปนี้


หลังจากเซ็คอินพนักงานให้บัตรจอดรถเราราคาที่พักรวมค่าที่จอดรถด้วยครับ แต่ที่จอดรถนี่ขับไปไกลมาก เนื่องจากเมือง Ceskey 
Krumlov มีเมืองโบราณอยู่ชั้นในและเมืองใหม่อยู่ชั้นนอก หลังเอากระเป๋าลงจากรถแล้วเราต้องขับอ้อมออกไปเมืองชั้นนอกเพื่อไปจอด
รถในที่จอดรถสาธารณะ แต่หลังจากจอดรถเสร็จเดินกลับมาโรงแรมไม่ไกลเลย จากที่จอดรถมองเห็นซุ้มประตูนี้เดินลอดซุ้มกลับเข้าเขต
เมืองโบราณได้เลยครับ

ลอดซุ้มประตูมาจะเจอสะพานข้ามแม่น้ำเดินข้ามไปแล้วเดินค่ออีกไม่เกิน 200 เมตรก็ถึงโรงแรมครับ เชสกี ครุมลอฟ(Cesky Krumlov)
ไข่มุกแห่งโบฮีเมียเมืองเล็กโรแมนติกตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำวัลตาวา(Vltava) ตอนต้นใกล้แหล่งกำเนิดของแม่น้ำ ก่อนที่จะไหลต่อไปเป็น
กระแสน้ำสายใหญ่ผ่านกรุงปรากซึ่งเป็นแม่น้ำที่มีความสำคัญทางการค้าขายในโบฮีเมีย

ปราสาทคลุมลอฟมองเห็นได้จากแทบทุกส่วนของเมือง ที่ Czech เค้าไม่รับเงินยูโรต้องเอาเงินยูโรไปแลกเป็นเงิน โคลูนาเชคฯ (CZK) 
จากลานจอดรถเดินข้ามสะพานมาจะเจอร้านแลกเงินอยู่หลายร้านครับ ส่วนใหญ่พวกร้านขาย Souvenir จะมีเคาท์เตอร์แลกเงินอยู่ด้วย
1 EUR ประมาณ 27.XXXX CZK


ปราสาทครุมลอฟเป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในสาธารณรัฐเช็ก โดยเป็นรองจากปราสาทฮรัดชานี (Hradčany) ที่กรุงปราก 
ซึ่งปราสาทจัดว่ามีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับตัวเมืองที่มีพื้นที่น้อย 


ตระกูลวีเทค (Vitek) เป็นเจ้าของแรกของปราสาทครุมลอฟ ต่อมาในปีค.ศ. 1302 เมืองและปราสาทได้ตกเป็นของท่านลอร์ดแห่ง
โรเซนเบิร์ก (The Lords of Rosenberg) หลังจากตระกูลวีเทคได้เสียชีวิตลง หลังจากนั้นปราสาทได้ตกทอดมายังตระกูลโรเซนเบิร์ก 
ในปีค.ศ. 1601 ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลโรเซนเบิร์กได้ขายที่ดินและเมืองเชสกี้ ครุมลอฟ ให้กับจักรพรรดิแห่งโบฮีเมีย Rudolf ที่ 2 
แห่ง Habsburg และได้ส่งต่อให้ลูกชาย Julius d’Austria ต่อมาในปีค.ศ. 1622 จักรพรรดิ Ferdinand ที่ 2 แห่ง Habsburg ได้ยกเมือง
เชสกี้ ครุมลอฟให้เป็นของขวัญแก่ Johann Ulrich แห่งตระกูลEggenberg ในปีค.ศ. 1719 ถึง 1945 เชสกี้ ครุมลอฟตกทอดมายัง 
Adam Franz แห่ง Schwarzenberg ซึ่งเป็นผู้สืบทอดมรดกคนเดียวของตะกูล Eggenberg  จากเยอรมัน จึงทำให้ตระกูล 
Schwarzenberg ย้ายมาจากเยอรมันและเข้ามาอยู่ในแคว้นโบฮีเมียอย่างถาวร 

ช่วงยุค interwar (ช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและตอนเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง) เมืองเชสกี้คลุมลอฟเป็นส่วนหนึ่งของ
ประเทศเชคโกสโลวาเกีย ช่วงปีค.ศ. 1938 ถึง 1945 เมืองนี้ถูกยึดโดยนาซีเยอรมนีให้เป็นส่วนหนึ่งของ Sudetenland หลังสงครามโลก
ครั้งที่สอง เมืองนี้ได้กลับมาเป็นของประเทศเชคโกสโลวาเกียอีกครั้ง 

เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939 – 1945) สงบลง เชสกี้ ครุมลอฟเป็นเมืองที่รอดพ้นจากการทำลายล้างจากภัยสงคราม 
ปราสาทและหอคอยปราสาทครุมลอฟ ตลอดจนทรัพย์สินอื่นๆของตระกูล Schwarzenberg ก็ตกเป็นของรัฐบาล

ในช่วงคอมมิวนิสต์ (ค.ศ. 1948 - 1989) เมืองเชสกี้ คลุมรอฟมีความทรุดโทรมลงมาก ต่อมาได้มีการบูรณะเมืองให้สวยงามดังเดิมอีก
ครั้ง ภายหลังการปฏิวัติในปี ค.ศ 1989 ในปัจจุบันเมืองนี้เป็นเเหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งเขตเมืองเก่านี้ได้รับการ
ขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี 1992

ออกจากปราสาทมาเราก็เดินเล่นในเมืองกันแล้วไปหาอาหารเย็นกินกันก่อนที่จะกลับที่พัก อย่างที่เคยบอกครับร้านค้าในยุโรปปิด 6 โมง
พอ 6 โมงปุ๊บปิดปั๊บครับ ยังดีที่ร้านอาหารยังเปิดอยู่


แต่ที่เปิดอยู่ก็แค่บางร้านนะครับ ร้านริมน้ำด้านปราสาทปิดเกือบหมด เราข้ามแม่น้ำมาฝั่งที่พักมีร้านริมน้ำเปิดอยู่ แต่ไม่ได้ออกไปนั่งริมน้ำ
เพราะอากาศหนาวมากเดี๋ยวจะกินไม่อร่อย

มาประเทศแถบนี้ผมว่าพนักงานร้านอาหารดูเป็นมิตรและบริการดีแทบทุกร้าน แต่ถ้าเป็นร้านแบบแฟรนไชนส์อย่าง Mc Donald หรือพวก
พนักงานสาวร้านไอศครีมหน้าหงิกหน้างอมาก ที่นี่เบียร์ถูกกว่าน้ำมากก็เลยกินเบียร์แทนน้ำ


หลังอาหารมาเดินย่อยกันก่อนครับ ร้านปิดหมดแล้วเดินดูหน้าร้านเล่น

เราเดินกลับมาที่จุดชมวิวตรงที่เราจอดรถไว้ตอนมาถึงอีกครั้ง มารอเก็บแสงดึก จะบอกว่าแสงเย็นก็ไม่ใช่เพราะมันสองทุ่มแล้วเรียกแสง
ดึกแล้วกันครับ

กว่าฟ้าจะเป็นสีน้ำเงินเข้มก็เกือบสามทุ่ม ยืนหนาวๆรออยู่นานเลยครับ ที่นี่มีคนไทยมาเที่ยวกันเยอะครับ ที่ยืนรอถ่ายรูปกันส่วนใหญ่ก็เป็น
คนไทย มาเองบ้าง มากับทัวร์บ้าง ซอยด้านล่างก็มีคนไทยกลุ่มนึงเดินคุยกันมา ได้ยินเค้าคุยภาษาไทยกัน เพราะจากบนนี้มันไม่ได้สูง
มากนัก


เดินกลับมาที่พักเงียบมาก บรรยากาศชวนเสียวสันหลังดีครับ 5555 พรุ่งนี้เราจะเดินทางไปปรากกันครับ




Create Date : 26 มิถุนายน 2559
Last Update : 26 มิถุนายน 2559 19:43:00 น.
Counter : 1461 Pageviews.

0 comment
ไปขับรถเที่ยวกัน เยอรมัน ออสเตรีย เชค - Day 3 Hallstatt


เมืองอินนส์บรูคล้อมรอบด้วยเทิอกเขาแอลป์ โดยมียอดยอดเขานอร์ดเคทเทอ (Nordkett) สูง 2,334 เมตร อยู่ทางตอนเหนือของเมือง
ยอดพัทแชร์โคเฟิล 
(Patscherkofel) สูง 2,246 เมตร และแซร์เลส (Serles) สูง 2,718 เมตร ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง ยอดเขาทั้ง 3
ยอดสามารถขึ้นไปได้ครับ แต่วันนี้เราจะขึ้นยอด Nordkett กัน 

ยามเช้าจากหน้าต่างห้องพัก เมื่อคืนมีฝนตกลงมาแต่เช้านี้ฟ้าปลอดโปร่งมากครับ ตื่นขึ้นมาเตรียมเก็บของเดินทางกันต่อ ลงไปกินอาหาร
เช้าที่ทางโรงแรมจัดให้ รวมกับค่าห้องแล้ว ไลน์อาหารก็โอเคอยู่ครับมีให้เลือกกินพอสมควร

เราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมหลังอาหารเช้า เอาสัมภาระทั้งหมดไปเก็บในรถก่อนแล้วค่อยไปขึ้นเขากัน จากหน้าโรงแรมเดินไปทางซ้าย
มือเหมือนเมื่
อวาน เดินผ่านจคุรัสไปจนสุดทางแล้วเลี้ยวขวา เมื่อวานเราเลี้ยวซ้ายไปริมแม่น้ำอินน์

 เลี้ยว ขวาตรงสุดทางเดินจากจคุรัสแล้วเดินตรงไปไม่ไกลนัก ผ่านร้านขายของที่ระลึกที่ดูเหมือนของภาตเหนือบ้านเราซึ่งมีอยู่หลายร้านจะ เป็นทางลอดใต้อาคารเลี้ยวซ้ายอีกทีจะผ่านหน้าโรงละคร เดินอีกนิดเดียวจะถึงสถานีรถไฟ

เห็นหลังคาแบบนี้แสดงว่ามาถึงสถานีแล้วครับ สถานีแรกคือ Congess ซื้อตั๋วขึ้นเขากันเลยครับ ลงบันไดเลื่อนไปซื้อตั๋วด้านล่างกันเลย 
ตั๋ว จะมีหลายสถานีครับช่วงแรกเป็นรถไฟจะจอดที่สวนสัตว์แล้วขึ้นไปต่อสุดทางที่ ยอดเขาช่วงแรก ช่วงนี้ยังไม่มีหิมะ จากนั้นนั่งเคเบิลคาร์ต่อช่วงที่ 2 จะขึ้นไปถึงร้านอาหาร ช่วงนี้มีหิมะแล้วครับ และช่วงสุดท้ายต่อเตเบิลคาร์ไปยอดเชา ราคาตั๋วขึ้นอยู่กับว่าจะไปถึงสถานีไหนเราซื้อตั๋วแบบไปสุดๆเลย ตั๋วไป-กลับ 32 ยูโรต่อผู้ใหญ่ 1 คน แอบแพงมากแต่ดั้นด้นมาขนาดนี้ไม่ขึ้นได้ไง



รถ รางช่วงแรกวิ่งใต้ดินไประยะหนึ่งแล้วขึ้นสู่ด้านบนเลียบแม่น้ำ Inn แล้วจอด 1 สถานีริมแม่น้ำคือสถานี Lowenhaus จากนั้นทางจะมุดใต้แม่น้ำไปอีกฝั่งแล้วเริ่มไต่ขึ้นเขา

จาก นั้นทางเริ่มชันขึ้นไปสู่สถานีที่ 2 สถานีสวนสัตว์ Alpine Zoo ใครอยากเที่ยวสวนสัตว์ก็แวะลงสถานีนี้ได้ครับเป็นสวนสัตว์เปิด หรือจะแวะ ขากลับก็ได้เช่นกันเพราะตั๋วที่เราซื้อ ขึ้นลงได้ทุกสถานีครับ สถานีนี้ความสูง 750 เมตร หรือ 2,460 ฟุต จากสถานีสวนสัตว์ Alpine Zoo ทางชันขึ้นเรื่อยๆวิวก็เริ่มสวยขึ้นเรื่อยๆ

มาถึงสถานีสุดท้ายของรถรางคือสถานี Hungerburg ความสูง 860 เมตร หรือ 2,820 ฟุตเราต้องลงเพื่อไปต่อ Cable Car ครับ จุดนี้จะเห็นวิวเมืองอินนส์บรูคทั้งเมืองครับ มีร้านอาหารและโรงแรมอยู่บริเวณสถานีนี้ จริงจุดนี้และ Alpine Zoo มีถนนที่รถยนต์สามารถขึ้นมา
ได้ครับและเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทาง Trail สำหรับผู้ที่อยาก Hiking ครับ

เรา ต้องเปลี่ยนไปขึ้น Cable Car กันครับสถานีอยู่ติดกัน สำหรับคนที่นำรถขึ้นมาจอดที่นี่แล้วซื้อตั๋วเฉพาะ Cable Car ได้ครับ ช่วงนี้ก็นั้งกันยาวๆหน่อยครับ เริ่มเห็นหิมะหล่ะ


Cable Car พาเรามาถึงสถานี Seegrube ความสูง 1,905 เมคร หรือ 6,250 ฟุต สัมผัสหิมะกันแบบเต็มๆครับ นักสกีส่วนมากก็มาลงกันที่สถานีนี้ครับเพราะมีกระเช้าสำหรับนักสกีแต่วันที่ เรามานี่ลายสกีปิดไปแล้วครับเพราะหิมะเริ่มละลาย

ถึง ลานสกีจะปิดไปแล้ว แต่ก็ยังมีคนมาเล่นอยู่บ้างแต่ก็น้อยครับ ขอแอบเมาท์ตาเสื้อเขียวนั่นนิดนึงครับ หน้าตาก็หล่อดีแต่กลิ่นนี่สุดๆ นั่ง
เคเบิ้ล คาร์ขึ้นมาลำเดียวกัน เวียนหัวมาก 



ไป กันต่อครับ เรายังมาไม่ถึงยอดเขานั่ง Cable Car ช่วงที่ 2 ขึ้นสถานีเดียวกับที่เราลงเมื่อสักครู่ครับ ขึ้นไปลงสถานี Hafelekar ซึ่งเป็น
สถานีสุดท้ายที่ความสูง 2,256 เมตร หรือ 7,400 ฟุต

ถ้าจะขึ้นไปที่ยอด Nordkette จากสถานีต้องเดินต่อไปอีกครับ เห็นยอดลิบๆนั่น แต่เราไม่ได้เดินไปเพราะหิมะมันเริ่มอ่อนแล้วครับ เดินย่ำ
ลงไปแล้วมันยุบตัว และรองเท้าเราก็ไม่ใช่รองเท้าสำหรับลุยหิมะด้วยก็เลยมองอยู่แค่จุดนี้ดีกว่า


ได้เวลาบอกลา อินนส์บรูคเพื่อเดินทางต่อไปยังฮัลสตัทท์ Hallstatt เรากลับมาเอารถแล้วออกเดินทางกันต่อ ระยะทาง 247 กม.
ประมาณ 3-4 ชั่วโมงเพราะ ออสเตรียจำกัดความเร็วครับ บนทางด่วนได้แค่ 130 กม/ชม ตอนแรกทำแผนไว้ว่าจะแวะ ซาลซ์บูร์ก
Salzbrug ก่อน แต่ไปถึงมันเย็นแล้วเลยเปลี่ยนใจไม่แวะครับ 


ขับรถมาจนเลยเที่ยง เราก็แวะกินข้าวกันที่ปั๊มน้ำมันริมทาง ปั๊มนี้ดีครับมีที่นั่งกินแถมวิวดีด้วย ชมดอกไม้ระหว่างกินข้าวอากาศก็หนาว
สะใจดีจริงๆ มีห้องน้ำห้องท่าให้เข้าด้วย


เส้นทางสู่ Hallstatt เป็นอีกเส้นทางที่สวยงามมากครับ แต่ถนนแคบและลัดเลาะไปตามภูเขาโค้งเยอะมากต้องใช้ความระมัดระวังเป็น
พิเศษ ยิ่งเวลามีรถใหญ่วิ่งสวนมาแลเวเราไม่ชินกับการขับพวงมาลัยซ้ายยิ่งน่ากลัวครับ

แต่ก็มีบางช่วงที่ขับผ่านชุมชน ยังพอหาที่จอดลงไปชมวิวสวยๆและเก็บภาพเป็นที่ระลึกได้ครับ เห็นทวิวแบบนี้แล้วยังไงก็ต้องจอดเนอะ
มันอดใจไว้ไม่อยู่จริงๆ

โบสถ์ริมทางก่อนถึง Hallstatt เห็นปล้วนึกถึงหนังฝรั่งโบราณขี่ม้าสู้ศึกเลย

เรามาถึง Hallstatt ก็เจอปัญหาใหญ่ GPS มันไม่มีเลขที่ที่พักที่เราจองมา เลยต้องเปิด Google Map หาแทนจนมาถึงหน้าบ้าน ปรากฏ
ว่าบ้านปิด เอาละสิทำไงดี แล้วก็มีคนแถวนั้นผ่านมาก็เลยถามเค้า เค้าบอกไม่รู้แต่โชคดีในใบจองมีเบอร์โทรศัพท์ เค้าเลยโทรไปให้ ไม่
ถีงนาทีเจ้าของบ้านก็ขับรถมา ดูท่าทางเหมือนมาเฟีย ฮิๆๆ บ้านหลังนี้ทั้งหลังเป็นของครอบครัวเรา 5 คน ส่วนเพื่อนที่มาด้วยกันไปพัก
อีกหลัง บ้านที่เราจองมาชื่อ W&S Hallstatt เผื่อใครมาเป็นครอบครัวแล้วอยากมาพัก

ที่พักนี้ไม่ติดทะเลสาบนะครับ อยู่ในหุบเชาด้านในแต่เดินไปริมทะเลสาบได้ ผมก็จอดรถไว้หน้าบ้านแล้วเดินออกไป บรรยากาศบริเวณ
ใกล้ๆบ้านพักสงบมาก บ้านหลังที่เราพักมี 2 ชั้นห้องนอนล่างนอนได้ 2 คน ห้องนอนบนนอนได้ 4 คน ห้องน้ำแยก บน-ล่าง มีห้องนั่ง
เล่นดูทีวีและครัวขนาดใหญ่ มีกาแฟ ชา และมาม่าให้ด้วย ถ้วยชามมีพร้อมเจ้าของบอกกินเสร็จแล้วไม่ต้องล้าง จะให้แม่บ้านมาล้าง เค้า
กลัวล้างของเค้าไม่สะอาด แต่เราก็ล้างให้นะ แต่ไม่ได้เก็บให้เค้ามาเช็คความสะอาดก่อน


นั่งพักผ่อนและสำรวจบ้านเสร็จเราก็ออกมาเดินเล่นริมทะเลสาบ กำลังได้เวลาแสงเย็นตอนทุ่มพอดี เราเดินเลียบทะเลสาบไปเรื่อยๆ จุด
หมายคือมุมมหาชนที่เค้าไปถ่ายรูปกัน

เสน่ห์ อย่างหนึ่งของที่นี่คือเค้านิยมปลูกต้นเชอร์รี่ติดกับผนังบ้านเล้วดัดให้มัน ติดกับตัวบ้าน จากบ้านพักที่เราเดินผ่านมา เห็นเค้าทำแบบนี่
อยู่หลายหลัง ทั้งบ้านไม้บ้านตึก สวยดีครับแต่ก็นึกๆว่าแล้วรากมันไม่ทำบ้านร้าวหมดหรือ

ร้านอาหารในเมือง น่านั่งมากครับแต่ปิดเร็วมากเดินผ่านมาเค้าปิดแล้ว

เดินมาถึงจตุรัสกลางเมืองหรือ Marktplatz ก็ใกล้ถึงจุดหมายแล้วครับ บริเวณรอบนี้เป็นร้านค้าและโรงแรมรวมถึงร้านขายของที่ระลึก
เมืองฮัลสตัทท์(Hallstatt) ขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกจากองค์การ UNESCO ประเภท Historic Cultural Landscape เมื่อปี 1997
มีอายุกว่า 7 พันปี ตั้งอยู่ริมทะเลสาบฮัลสตัทท์เททอร์(Hallstätter See) ในเขตภูมิภาคซาลซ์คัมเมอร์กุท (Salzkammergut)

เราเดินมาถึงมุมมหาชนเกือบ 2 ทุ่ม ไกลไม่ใช่เล่นเลยครับ มาถึงมุมนี้ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงเป็นมุมที่คนทั่วโลกอยากมาเยือน
และเป็นมุมที่มีทังภาพถ่ายและภาพวาดมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้คือมองไปรอบๆตัวทำไมมีคนไทยล้วนๆ ก็เลยคุยทักทายแลกกัน
ถ่ายรูปให้กันสนุกสนานครับ


ฮัลสตัทท์เป็นเมืองเล็กๆที่เล็กมาก มีประชากรไม่ถึงพันคน พืี้นที่ก็น้อยเลยต้องปลูกบ้านลดหลั่นกันตามเชิงเขา ถนนแคบมาจนรถสวนกัน
แทบไม่ได้ แต่เมืองเล็กๆที่เหมือนจะไม่มีอะไรนี้ ก็มีอะไรมากมายในความไม่มีอะไรให้จดจำ หากเดินทางมาเที่ยวโดยรถไฟต้องลงรถที่
สถานีฮัลสตัทท์ซึ่งอยู่อีกฟากของทะเลสาบแล้วนั่งเรือข้ามฟากมาครับ

ยิ่ง ดึกอากาศก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆเราจึงเดินกลับที่พัก มาถึง Marktplatz แวะเก็บภาพยามค่ำอีกรอบ ระหว่างเดินกลับมีกลุ่มนึงมากัน 4-5
ตนมาถามว่า พี่เป็นคนไทยรึเปล่าพอบอกใช่ครับน้องๆก็ถามว่ารู้มั๊ยว่าที่นี่มี Taxi หรือ รถเมล์ขึ้นที่ไหน พูดคุยกันได้ความว่าพวกน้องๆกลุ่ม
นี้พักอยู่อีกสถานี นึงนั่งรถไฟมาเที่ยวแล้วข้ามเรือมา ขากลับเรือหมดเลยข้ามกลับไปขึ้นรถไฟไม่ได้ เราก็เพิ่งมาเป็นครั้งแรกก็ไม่รู้ว่าขึ้นรถ
ตรงไหน เราก็ไม่ได้เอารถมากันไม่งั้นคงขับไปส่งสุดท้ายก็แยกกันตรงนั้น จากตรงที่แยกกันกลับมาที่พักเราก็ประมาณกิโลกว่าๆ ตอนเดิน
ไปคิดว่ามันไม่ไกลขากลับถึงได้รู้ว่ามันไกลมาก กลับมาต้มมาม่าเกาหลีกินกันมื้อค่ำ พรุ่งนี้จะไปเก็บแสงเช้าแล้วเดินทางเข้า Czech Rep.
จุดหมายต่อไปคือ Cesky Krumlov




Create Date : 01 มิถุนายน 2559
Last Update : 1 มิถุนายน 2559 11:41:48 น.
Counter : 1373 Pageviews.

1 comment
ไปขับรถเที่ยวกัน เยอรมัน ออสเตรีย เชค - Day 2 Innsbruck


      วันที่ 2 ของการเดินทาง โปรแกรมสำหรับวันนี้เช้าไปเที่ยวปราสาท Neuschwnstein แล้วกลับมาเก็บของเดินทางเข้า Austria ไป
Innsbruck

เช้านี้เราตื่นมาทำข้าวต้มเตรียมกินมื้อเช้ากันในอพาร์ทเมนท์ แต่ขณะกำลังง่วนกันอยู่ในครัว ผมดันเปิดประตูระเบียงออกไปชมบรรยากาศ 
ก็พบกับขุนเขาตระหง่านปกคลุมด้วยหิมะอยู่ตรงหน้า เลยเรียกสมาชิกออกมาชม

จากนั้นโปรแกรมก็เปลี่ยน ข้าวต้มและกับข้าวถูกลำเลียงขึ้นรถ ออกไปกินข้างนอกแทน จากที่พักเราไปปราสาท Neuschwanstein ไม่
ไกลนัก เปิดให้เข้ารอบแรก 9 โมงเช้า เราเลยออกมาขับรถเล่นกันก่อน

แต่จริงๆแล้วมันก็คือเส้นทางสู่ปราสาท แต่ไม่ใช่เส้นทางหลักเท่านั้น และแล้วข้าวต้มก็ถูกจัดการกันที่ท้ายรถ เป็นมื้อที่อร่อยและพิเศษ
อีกมื้อ เสร็จสรรพจากอาหารเช้า เราก็ไปขึ้นปราสาท Neuschwanstein มีลานจอดรถอยู่ด้านล่าง ก่อนขึ้นต้องไปซื้อตั๋วเข้าชมปราสาท
ด้านล่างก่อนถ้าจะขึ้นไปอย่างเดียวโดยไม่เข้าชมภายในก็ได้ครับไม่ต้องซื้อตั๋ว ค่าตั๋ว 12 ยูโร ต่ำกว่า 18 ฟรี ถ้าต้องการเข้าชมปราสาท 
Hohenschwangau Castle ด้วย 23 ยูโร แต่ผมไม่ได้เข้าปราสาทนี้ ตอนซื้อก็เลือกรอบ ว่าต้องการเข้าชมรอบไหน แต่ละรอบห่างกัน
ประมาณ 15 นาที

จากห้องซื้อตั๋วเดินเข้าไปด้านในมีพิพิธภัณ์แต่ตอนเรามาถึงยังไม่เปิด ตอนแรกไม่รู้หรอกครับว่ามีพิพิธภัณ์ เดินเข้าไปหาห้องน้ำห้องน้ำก็
ยังไม่เปิดเหมือนกัน แต่ก็ทำให้มาเจอทะเลสาบ Alpsee แทน

เราเดินย้อนกลับมาทางเดิมเพื่อมารอรถบัสเพื่อขึ้นปราสาท ที่จุดรอรถเราจะเห็นปราสาทโฮเฮ็นชวานเกา (Schloss Hohenschwangau) 
เป็นปราสาทที่พระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรียประทับเมื่อยังทรงพระเยาว์ ตัวปราสาทสร้างบนซากปราสาทชวานสไตน์เดิมซึ่งกล่าวถึง
เป็นครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ปราสาทเดิมสร้างโดยครอบครัวของอัศวิน หลังจากการยุบเลิกระบบอัศวินในคริสต์ศตวรรษที่ 16 
ปราสาทก็เปลี่ยนมือหลายครั้ง และตัวปราสาทก็เสื่อมโทรมลงจนเหลือแต่ซากเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในปี ค.ศ. 1829 มงกุฏราช
กุมารแม็กซิมิลเลียนแห่งบาวาเรีย ผู้ต่อมาเป็นพระเจ้าแม็กซิมิลเลียนที่ 2 แห่งบาวาเรียทรงพบว่าปราสาทนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่มีสิ่งแวดล้อม
เป็นที่ต้องตา ทรงถูกพระทัยจึงได้ซึ้อปราสาทเมื่อปี ค.ศ. 1832 ปีหนึ่งต่อมาการก่อสร้างปราสาทใหม่ก็เริ่มขึ้นและสร้างต่อมาจนถึง 
ค.ศ. 1837 โดยมีสถาปนิกโดเมนนิโค ควากลิโอเป็นผู้รับผิดชอบในการสร้างปราสาทให้เป็นแบบฟื้นฟูกอธิค

ปราสาทโฮเฮ็นชวานเกาสร้างเป็นพระราชวังฤดูร้อนและล่าสัตว์ของพระเจ้าแม็กซิมิลเลียน, เจ้าหญิงมารีแห่งปรัสเซียพระชายา และพระ
โอรสสององค์ เจ้าชายลุดวิกและ เจ้าชายอ็อตโต พระเจ้าแม็กซิมิลเลียนและพระชายาประทับอยู่ในตัวปราสาทใหญ่ และพระโอรสในส่วน
ที่ต่อเติม



เมื่อพระเจ้าแม็กซิมิลเลียนที่ 2 สิ้นพระชนม์เมื่อปี ค.ศ. 1864 พระราชโอรสเจ้าชายลุดวิกก็ขึ้นครองต่อเป็นพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย 
ทรงย้ายจากส่วนที่ต่อเติมไปอยู่ในห้องบรรทมของพระบิดาและมารดา ในเมื่อลุดวิกไม่ทรงมีครอบครัว เจ้าหญิงมารีแห่งปรัสเซีย
พระมารดาจึงทรงประทับอยู่ที่ปราสาทได้ พระเจ้าลุดวิกโปรดการพำนักอยู่ที่โฮเฮ็นชวานเกาโดยเฉพาะเมื่อทรงเริ่มสร้างปราสาท 
นอยชวานชไตน์บนเนินเหนือโฮเฮ็นชวานเกา

การขึ้นไปยังปราสาท Neuschwanstein ไปได้ 3 ทางคือ เดินขึ้นแต่มันไกลและชันพอสมควร ทางที่ 2 ขึ้นรถบัสแล้วเดินต่อ ราคา 1.8 
ยูโรขาขึ้น ขาลง 1 ยูโร ทางที่ 3 ขึ้นรถม้า ซึ่งแพงสุด ขาขึ้น 6 ยูโร ขาลง 3 ยูโร เราเลือกทางที่ 2 นั่งรถบัสขึ้นแล้วเดินต่ออีกประมาณ
1 กิโลเมตร แต่มีจุดชมวิวที่สวยงามคุ้มกับที่เดิน

เดินไปอีกสักพักก็ถึงตัวปราสาท ต้องรอเข้าให้ตรงรอบกับที่เราจอง ตอนเข้าชมจะมีมัคคุเทศ บรรยายให้ฟัง ห้ามถ่ายรูปโดยอุปกรณ์ทุก
ชนิด ห้ามใช้โทรศัพท์และสมาร์ทโฟน เป้ต้องสะพายไว้ด้านหน้า เพราะเต้ากลัวว่าจะไปขูดพนังทำให้เกิดเสียหาย ด้านในมีห้องมากมาย
แต่แปลกที่แต่ละห้องดูแคบและอึดอัด อาจเป็นเพราะมันหนาวเลยต้องทำห้องให้มันแคบๆ ปราสาทนอยชวานชไตน์ เป็นปราสาทตั้งอยู่ใน
เทือกเขาแอลป์แถบแคว้นบาวาเรีย สร้างในสมัยพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย ในช่วง ค.ศ. 1845-86 เป็นปราสาทที่งดงามมากที่สุด
อีกแห่งหนึ่งของโลก และเป็นต้นแบบของการสร้างปราสาทเทพนิยายเจ้าหญิงนิทรา


พระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรียมีพระประสงค์ให้จัดสร้างเพื่อเป็นที่ประทับอย่างสันโดษ ห่างจากผู้คน และเพื่ออุทิศให้แก่กวีชื่อริชาร์ด 
วากเนอร์ ผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างให้เป็นไปตามบทประพันธ์เรื่องอัศวินหงษ์ (Swan Knight Lohengrin) ปราสาทแห่งนี้จึงได้
รับการตกแต่งตามเรื่องราวในบทประพันธ์ดังกล่าว  

ปราสาทนอยชวานชไตน์ ได้รับการออกแบบโดยคริสเตียน แยงค์ (Christian Jank) ซึ่งเป็นนักออกแบบทางการละครมากกว่าที่จะเป็น
สถาปนิก ถามว่าด้านในสวยมั๊ยก็สวยระดับหนึ่งครับ

ออกจากปราสาทกว่าจะลงมาเอารถก็ 11 โมงกว่า ที่พักเค้าให้เว็คเอาท์ 11 โมง ปรากฎว่ามาถึงป้าเจ้าของบ้านเอากระเป๋าเราออกมาตั้ง
นอกห้องแล้ว แกบอกว่าแกจะทำความสะอาด แต่ก็พูดจาดีนะครับแกก็ไม่ได้ว่าอะไร เราก็เลยขอโทษขอโพยแกที่มาช้า แล้วรีบเก็บของ
เพื่อไปอินนส์บรูคต่อวันต่อๆมาเราเลยเก็บของเอากระเป๋าไว้ท้ายรถก่อน แล้วเช็คเอาท์เลย แต่ขอฝากรถจอดไว้

เราเก็บของออกจาก Schwangau มุ่งสู่ Innsbruck ประเทศออสเตรียแผนแรกตั้งใจว่าจะไป Linderhof และ Mittenwald ในเยอรมันก่อน
ค่อยข้ามไปออสเตรีย ตรง Mittenwald ซึ่งอยู่ติดกับ Innsbruck แต่กะเวลาดูแล้วผมก็เลยเปลี่ยนใจไม่ไปเส้นนั้น ก็แอบเสียดายอยู่
เหมือนกันแต่กลัวจะไปถึงค่ำเกินเลยเปลี่ยนเส้นทางเข้า Austria จาก Schwangau เลย ออกมาก็แวะปั๊มซื้อสติ๊กเกอร์ผ่านทางก่อน 
เรียกว่า Vignette ราคา 8.8 ยูโร เป็นสติ๊กเกอร์ผ่านทางของรถ เพราะรถที่เราเช่าเป็นทะเบียนเยอรมัน เวลาผ่านข้ามประเทศอื่นต้องติด
Vignette ไว้หน้ารถครับ แต่ละประเทศก็จะมีสติ๊กเกอร์แบบของตัวเอง ถ้าจะขับเที่ยวหลายประเทศ เวลาเปลี่ยนประเทศอย่าลืมซื้อติด
ด้วย ยกเว้นตอนกลับเข้าประเทศต้นทางก็ไม่ต้องซื้อแล้วครับ


เส้นทางนี้เป็นเส้นทางขึ้นเขาตลอด เป็นเส้นทางที่สวยมาก ขับไปแล้วอยากจอดถ่ายรูปตลอดทาง แต่ถนนไม่มีไหล่ทางให้จอดครับ เค้า
ทำจุดพักรถเป็นระยะ แต่จุดที่พักรถแต่ละจุดมันคือจุดพักรถไม่ใช่จุดพักคนเลยมองไม่เห็นวิว มีกำแพงกั้น มีต้นไม้บังทุกจุดครับ เส้นทาง 
B179 พาเราลัดเลาะมาตามเทือกเขาสูง รอยต่อพรมแดนของเยอรมันและออสเตรีย เส้นทางคดเคี้ยวตลอดทางแต่สวยมากจริงๆครับ 
ผ่านหมู่บ้านในหุบเขาหลายหมู่บ้าน แบบอยู่ในหุบเขามีทุ่งหญ้าเขียวๆและภูเขาหิมะด้านหลังนึกถึงเรื่อง The Sound of Music ขึ้นมา
เลยครับ 

ครึ่งทางของเส้นทางสู่ Innsbruck หลังจากผ่านเทือกเขาสูง ลงสู่ที่ราบเบื้องล่างเราผ่านทะเลสาบ Fernsteinsee อยู่ด้านซ้ายของถนน 
ส่วนด้านขวามีปราสาท Schloss Fernsteinsee ตั้งอยู่บนเขาโดยมี Hotel Schloss Fernsteinsee ตั้งอยู่ด้านหน้า เลยไม่รู้ว่าปราสาทมัน
คือส่วนหนึ่งของโรงแรมรึเปล่า

แต่ริมทะเลสาบอีกด้านก็มีจุดพักรถและศูนย์อาหาร เราเลยแวะกินมื้อกลางวันกันที่นี่ การขับรถเที่ยว 3 ประเทศนี้ถ้าจะเข้าห้องน้ำต้อง
หยอดเหรียญนะครับ 1.5 - 2 ยูโร แต่สามารถเอามาเคลมคืนได้ถ้าซื้อของในร้านเค้า เป็นทุกที่ทั้งร้านอาหารและปั๊มน้ำมัน นอกจากร้าน
พวก Mc Donald เข้าได้เลย และจุดพักรถที่ไม่มีปั๊มหรือปั๊มที่ไม่มีร้านสะดวกซื้อ พวกนี้ส่วนใหญ่เข้าฟรี

เรามาถึง Innsbruck ประมาณบ่าย 3 คืนนี้เราพักกันที่ Hotel Golden Krone (Krown = Crown) Shop sign ของที่นี่เลยเป็นรูปมงกุฏ
ทองคำ แต่ละร้านจะมี Shop sign เป็นเหล็กดัดรูปต่างๆติดไว้หน้าร้านในรูปตือตึกสีเขียวซ้ายมือครับ ห้องพักเราได้ห้องวิวดีมาก ชั้น 3 
ห้องหัวมุมที่มีมุกยื่นออกมาจุดที่ผมยืนถ่ายรูปคือประตูชัยของเมือง Innsbruk ตรงกับห้องพักพอดี

โรงแรมนี้ไม่มีที่จอดรถครับ เราวนตาม GPS มารอบนึงเจอโรงแรมแล้วต้องกลับไปวนอีกรอบหาที่จอดรถ ตอนวนรอบ 2 นี่ขับรถแบบเสียว
มาก เพราะมีรถรางอยู่ข้างหลัง ทำอะไรไม่ถูกเลยเพราะรถยนต์กับรถรางวิ่งอยู่บนถนนเดียวกันแล้วไม่รู้ว่าเราต้องหลบให้รึเปล่า ถนนก็แคบ
ไม่มีที่หลบอีกต่างหากเล่นเอามือเปียกเหงื่อเลยลุ้นมาก

ที่จอดรถเอกชนอยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 100 เมตรเป็นที่จอดของมหาวิทยาลัย เข้าไปจอดได้ครับค่าจอด 12 EUR ต่อ 24 ชั่วโมง 
เข้าไปจอดแล้วไปหยอดตู้จะมี Ticket มาให้ เราก็เอาไปว้หน้าคอนโซลรถ ที่พักในเมืองโบราณของยุโรปนี่ลำบากเวลามีกระเป๋าหนักๆ
ครับ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นตึกเก่าที่มารีโนเวทเป็นโรงแรม มันไม่มีลิฟท์หรือมีก็เล็กมาก ถ้าได้ห้องชั้นบนๆนี่ลำบากเหมือนกัน

เราเดินมาทางซ้ายมือของโรงแรมเรื่อยๆจะถึงจตุรัสของเมือง ตึกเก่าๆกับร้านใหม่ๆอย่าง Mc Donald แต่ดูกลมกลืนกันดี รวมถึงร้านชุด
กีฬาอีกหลายยี่ห้อ นอกจากนั้นก็มีร้านขายเนื้อ ชีส ไอสครีม ซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านขายของที่ระลึก แต่แปลกที่มันดูกลมกลืนกับตึก
เก่าๆทุกร้าน แต่ที่ต้องแวะชิมก็คือร้านไอศครีมเพราะคนเข้าแถวยาวมาก เป็นไอศครีมคล้ายๆสเวนเซ่น มีหลายรสชาติตักใส่โตนอร่อย
เว่อร์จริงๆ

เดินไปเรื่อยๆจนถึงหอนาฬิกาแล้วเลี้ยวซ้าย เดินต่อไปสักพักจะถึงริมแม่น้ำอินน์(Inn River) เมืองอินส์บรุคมีชื่อเสียงในด้านเป็นศูนย์กลางของกีฬาฤดูหนาว ซึ่งเมืองแห่งนี้เคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาฤดูหนาวหลายครั้ง ได้แก่ โอลิมปิกฤดูหนาว 1964 และ 1976 
พาราลิมปิกฤดูหนาว 1984 และ 1988 รวมถึงโอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาวที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2012 ทำให้อินส์บรุคเป็นเมืองแรก
ของโลกที่ได้จัดกีฬาโอลิมปิกถึง 3 ครั้ง 

เดินเลียบแม่น้ำไปทางซ้ายเราก็มาถึงมุมมหาชน ตึกสีสวย แม่น้ำอินน์ และยอดเขาสูงได้แก่ นอร์ดเคทเทอ (Nordkette) ไม่น่าแปลกใจที่
มันเป็นมุมมหาชน เพราะมันสวยจริงๆ

เราเดินย้อนกลับมาทางเดิม หามื้อเย็นกินกันแถวจตุรัส แวะซุปเปอร์ซื้ขนมและผลไม้ด้วย บรรยากาศหลังหกโมงเย็นแม้แดดยังแรงอยู่แต่
ร้านค้าเริ่มทะยอยปิดกันแล้ว ยังมีแต่นักท่องเที่ยวที่ยังคงเดินเล่นกันอยู่

เรากลับออกมาจากโรงแรมอีกครั้งตอนเกือบสองทุ่มเพื่อไปเก็บแสงเย็น ฤดูนี้พระอาทิตย์กว่าจะตกก็หลังสองทุ่มครับ ช่วงเย็นเลยกลับไป
พักเอาแรงก่อนแล้วค่อยออกมาใหม่

อินส์บรุค มาจากคำว่า Inn ซึ่งเป็นชื่อแม่น้ำที่ไหลผ่านเมือง รวมกับ bruck ที่มาจากคำว่า Brücke ซึ่งเป็นคำในภาษาเยอรมันหมายถึง สะพาน ดังนั้นชื่อเมืองจึงมีความหมายว่า สะพานข้ามแม่น้ำอินน์ 

ถ่ายภาพริมแม่น้ำเสร็จเราก็เดินกลับโรงแรมกัน แค่สามทุ่มกว่าเมืองทั้งเมืองเงียบมากครับ ร้านปิดหมดมีรถมาจอดขายฮอทดอกอยู่
คันเดียวตรงใกล้ๆลานน้ำพุกลางจตุรัส ภาพประตูชัยของเมืองที่สร้างขึ้นในปี 
1765 อยู่ทิศใต้บนถนนหลักของเมืองซึ่งคือ Maria-
Theressien-Strasse เพื่อเป็นอนุสรณ์เนื่องในพิธีมงคลสมรสของเจ้าชาย Leopold แห่งออสเตรียกับเจ้าหญิง Maria Ludovica แห่ง
สเปน




Create Date : 16 พฤษภาคม 2559
Last Update : 16 พฤษภาคม 2559 9:37:49 น.
Counter : 1249 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

นักบัญชีขี้บ่น
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]