Breaking Dawn (Twilight Saga IV) Copyright for non-commercial use ONLY
 
 

Breaking Dawn (Twilight Saga IV) - Chapter 2

2. ค่ำคืนที่แสนยาวนาน (Long Night)





"ฉันเริ่มคิดถึงเธอแล้วสิ"





"ฉันไม่จำเป็นต้องไป ...​ฉันอยู่ต่อก็ได้"





"อืมม"





มันเป็นช่วงเวลาที่แสนจะยาวนาน มีเพียงแต่เสียงหัวใจของฉันที่เต้นโครมคราม เสียงลมหายใจที่ขาดหายเป็นช่วงๆ และเสียงริมฝีปากของเราเคลื่อนไหวไปด้วยกัน



บางครั้ง ฉันก็ลืมไปแล้วว่าตัวเองกำลังจูบกับแวมไพร์อยู่

ไม่ใช่เพราะว่าเขาดูเหมือนมนุษย์ธรรมดา กลับกลายเป็นว่าฉันไม่อาจลืมได้เลยว่า คนที่ฉันกำลังกอดอยู่นั้นงดงามมากกว่าเทวดาเสียอีก

ไม่ใช่เพราะว่าเขาทำให้ฉันไม่รู้สึกถึงรสริมฝีปาก ใบหน้า และลำคอของเขา

เขาเคยบอกฉันว่า ความกลัวที่ฉันจะพรากจากเขาไปนั้น ทำลายแรงปรารถนาต่อเลือดของฉันจนหมดสิ้น แต่ฉันรู้ดีว่ากลิ่นเลือดของฉันก็ยังคงทำให้เขาเจ็บปวด ราวกับคอของเขาถูกเผาด้วยเปลวไฟ ...​ราวกับเขาได้กลืนกันมันเข้าไป



ฉันลืมตาขึ้นมา และพบว่าเขาก็กำลังมองฉันอยู่เช่นกัน

มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะมองฉันแบบนั้น สายตาที่มองราวกับว่า ฉันเป็นของรางวัลอย่างหนึ่งมากกว่าผู้ชนะที่โชคดีที่สุด



สายตาของเราสองหยุดอยู่ที่กันและกัน ฉันจ้องมองไปที่ดวงตาสีทองคู่นั้น ให้ลึกลงไป .... ลึกลงไปถึงจิตวิญญาณของเขา

มันดูโง่ไปหน่อยเมื่อฉันสงสัยถึงการมีอยู่ของจิตวิญญาณของเขาทั้งๆที่เขาเป็นแวมไพร์

แต่เขาก็เป็นคนที่มีจิตวิญญาณที่งดงามที่สุด งดงามยิ่งกว่าจิตใจ หน้าตาและร่างกายของเขาเสียอีก

เขามองกลับมาที่ฉันเช่นกัน ...​คงจะมองลึกลงไปที่จิตวิญญาณของฉัน ...​ราวกับว่าเขาชอบที่จะมองมันอยู่อย่างนั้น





เขาอ่านใจฉันไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถทำแบบนั้นได้กับทุกคน จะมีใครรู้มั้ยว่าเพราะเหตุใดถึงเป็นแบบนั้น

หรือว่าสมองของฉันจะมีภูมิคุ้มกันต่อสิ่งประหลาดที่น่าสะพรึงกลัว

แต่อย่างไรก็ดี ฉันก็ดีใจมากที่สมองของฉันผิดปกติแบบนั้น เพราะฉันไม่ต้องการให้ Edward ได้ล่วงรู้ถึงความคิดของฉัน มันช่างน่าอายเหลือเกินเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น



ฉันดึงหน้าของเขาเข้ามาใกล้กับตัวเอง





"ฉันขออยู่ต่อดีกว่า" เขาพึมพำออกมา



"ไม่ๆ เธอต้องไปงานฉลองสละโสดนะ (bachelor party)"



ถึงแม้ว่าฉันจะพูดออกไปแบบนั้น แต่มือขวากลับสัมผัสอยู่ที่ผมบรอนซ์ของเขา ในขณะที่มือซ้ายก็รั้งเขาไว้แน่น





"งานพวกนั้นมีไว้สำหรับคนที่เสียดายวันเวลาของการเป็นหนุ่มโสด แต่สำหรับฉันมันไม่สำคัญอะไรเลย"



"ก็จริง" ลมหายใจของฉันรดที่ต้นคอเขาอย่างแผ่วเบา





นี่ก็ใกล้จะถึงที่ที่ฉันจะมีความสุขแล้ว Charlie หลับสนิทในห้องของตัวเอง ในขณะที่เรากำลังอยู่บนเตียงเล็กๆนี้

ฉันไม่ชอบเลยที่ต้องห่มผ้าไว้แบบนี้ แต่มันก็จำเป็น เพราะเสียงฟันกระทบกันของฉันคงจะทำลายความโรแมนติกไปเสียหมด และ Charlie ก็คงจะสงสัยถ้าฉันเปิดฮีตเตอร์ตอนเดือนสิงหาคม



หากเรารีบร้อนจะต้องใส่เสื้อผ้า เสื้อของ Edward ก็อยู่บนพื้นนี่เอง ฉันไม่เคยไม่ตื่นเต้นไปกับร่างกายที่สุดแสนจะเพอร์เฟ็คของเขา ... ละเอียด งดงาม และแข็งแกร่งราวกับหิน



มือของฉันลูบไล้ที่แผ่นอกของเขา ...​ผ่านไปที่ท้อง

แสงสว่างผ่านแวบเข้ามา ทำให้ริมฝีปากของเขาพบริมฝีปากฉันอีกครั้ง



ฉันค่อยๆใช้ลิ้นสัมผัสรสริมฝีปากเขา ...​ลมหายใจของเขา ...​ ที่สุดแสนจะเย็นยะเยือก แต่ก็หอมหวาน ...​รดเต็มหน้าของฉัน









เขาเริ่มผละตัวออกไป นี่เป็นปฏิกริยาอัตโนมัติที่เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาคิดว่า มันชักจะเลยเถิดไปกันใหญ่

และเมื่อเขาต้องการมากที่สุดที่จะให้มันดำเนินต่อไป

Edward ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตปฏิเสธความสัมพันธ์ทางกายเช่นนี้

ฉันรู้ดีว่า มันน่ากลัวขนาดไหนที่ต้องการจะเปลี่ยนนิสัยเหล่านั้นเดี๋ยวนี้





"รอก่อนสิ" ฉันจับบ่าของเขาไว้แน่น และกอดเขาเอาไว้

ฉันเหยียดขาข้างหนึ่งออกไป และรวบเอวเขาเข้ามา



"ยิ่งเราฝึกฝน มันก็จะยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้นนะ"



เขาหัวเราะเบาๆ "อ๋อ งั้นเราก็คงใกล้จะถึงจุดนั้นแล้ว หรือไม่ใช่ล่ะ ทั้งเดือนที่ผ่านมาเธอได้นอนบ้างมั้ย"





"แต่นี่เป็นวันซ้อมใหญ่นะ" ฉันเตือนขา "เราก็ต้องลองซ้อมทุกช็อตสิ"





ฉันคิดว่าเขาจะหัวเราะ แต่เขาไม่พูดอะไรเลย ...​เขานิ่งไปทันที





"Bella" เขากระซิบเรียกฉัน



"ไม่ต้องพูดถึงมันอีก" ฉันโพล่งออกมา "สัญญาต้องเป็นสัญญาสิ"



"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน มันยากเหลือเกินที่จะมีสมาธิจดจ่อว่าเธอกับฉันกำลังจะทำอะไรแบบนี้

ฉันไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้เลย เธออาจจะบาดเจ็บได้นะ"





"ฉันไม่เป็นอะไรหรอก"





"Bella"





"ชู่วว์" ฉันจรดริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของเขา ฉันได้ยินมาไม่รู้กี่หนแล้ว เขาจะไม่ทำตามข้อตกลงก่อนที่ฉันจะแต่งงานกับเขาเป็นอันขาด



เขาจูบฉันกลับทันที แต่ฉันสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป



กังวล ... มันจะแตกต่างไปมากขนาดไหนนะเมื่อเขาไม่ต้องกังวลเรื่องนี้



"เท้าเธอเป็นยังไงบ้าง"



ฉันรู้ดีว่าเขาไม่ได้อยากจะถามอะไรฉันแบบนี้ "ก็อุ่นดี"



"จริงเหรอ แทบจะไม่ต้องคิดเลยนะ มันยังไม่สายเกินไปหรอกที่เธอจะเปลี่ยนไป"



"นี่เธอกำลังจะเบี้ยวฉันรึเปล่า"



เขาหัวเราะเบาๆ "แค่จะให้แน่ใจเท่านั้นว่าเธอมั่นใจที่จะทำแบบนี้จริงๆ"



"ฉันแน่ใจเรื่องเธอ ส่วนที่เหลือฉันจะสามารถผ่านมันไปได้"



เขาลังเล



"เธอแน่ใจนะ" เขาถามฉัน "ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องงานแต่งงาน แต่ฉันหมายถึงหลังจากนั้น ...​แล้ว Renee และ Charlie ล่ะ"



"ฉันจะคิดถึงพวกเขา" ฉันถอนหายใจ ฉันรู้ดีว่ามันแย่ยิ่งกว่า เมื่อพวกเขาจะคิดถึงฉันเหมือนกัน แต่ฉันไม่ต้องการจะราดน้ำมันลงบนกองเพลิงตอนนี้





"Angela Ben Jessica และ Mike ล่ะ"





"ฉันจะคิดถึงเพื่อนฉันด้วย โดยเฉพาะ Mike เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไรนะ"



เขาคำรามในคอเบาๆ



ฉันหัวเราะออกมา แต่แล้วก็เริ่มเอ่ยออกมาอย่างจริงจังว่า

"Edward เราคุยเรื่องนี้กันมาหลายครั้งแล้วนะ ฉันรู้ดีว่ามันยาก แต่นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ

ฉันต้องการเธอ และฉันต้องการเธอตลอดไป ช่วงชีวิตหนึ่งของฉันคงจะไม่เพียงพอ"





"หยุดอยู่ที่อายุสิบแปดตลอดไป" เขากระซิบ



"ความฝันของผู้หญิงทุกคนกลายเป็นจริงขึ้นมา" ฉันแหย่เขาเล่น



"จะไม่มีวัน ...​ไม่มีวันเดินไปข้างหน้าอีกเลย"





"มันหมายความว่าอย่างไรกันล่ะ"





"เธอยังจำได้มั้ยที่่เราบอก Charlie ว่าเรากำลังจะแต่งงานกัน แต่ Charlie เข้าใจว่าเธอท้องน่ะ"



"และเขาคิดที่จะฆ่าเธอ" ฉันหัวเราะออกมา "ยอมรับมาสิ ว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงๆ"



เขาไม่ตอบฉัน





"มีอะไรเหรอ Edward"





"ฉันแค่หวังว่า เออ หวังว่าเขาทำถูกแล้ว"





"เหอะ" ฉันสบถออกมาอย่างเสียอารมณ์ "ฉันรู้ดีน่ะว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่"





"เธอจะรู้ได้ยังไงกัน Bella ดูแม่ฉันสิ ดูน้องของฉัน ดูสิ่งที่พวกเขาต้องเสียสละไปสิ มันไม่ง่ายเหมือนที่เธอคิดไว้หรอก"



"Esme กับ Rosalie ก็โอเคนิ อย่างมากเราก็เป็นเหมือนพวกเขา เราจะรับเด็กมาเลี้ยง"





เขาถอนหายใจ และเสียงของเขาก็ค่อยๆดุดันขึ้น "นั่นมันไม่ถูกต้อง ฉันไม่ต้องการให้เธอมาเสียสละอะไรเพื่อฉัน ฉันต้องการจะให้เธอทุกอย่าง แต่ไม่ต้องการจะเอาอะไรมาจากเธอ ฉันไม่ต้องการจะทำลายอนาคตของเธอ ถ้าฉันเป็นมนุษย์..."





ฉันรีบเอามือปิดปากเขา "เธอคืออนาคตของฉัน หยุดได้แล้ว เลิกพูดเสียที หรือจะให้ฉันโทรบอกพวกพี่ๆให้มารับตัวเธอไปซะ บางทีเธอก็น่าจะไปงานเลี้ยงนะ"





"ฉันขอโทษ ฉันพูดเรื่องนี้อีกแล้ว"



"เท้าของเธอเย็นมั้ย"​ ฉันพยายามจะเบี่ยงเบนความสนใจของเขา เพื่อไม่ให้เขารู้สึกผิดไปมากกว่านี้





"มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ฉันรอคอยมานานนับศตวรรษ เพื่อจะได้แต่งงานกับเธอนะ Miss Swan งานแต่งงานเป็นอย่างเดียวที่ฉันแทบจะอดทนรอไม่ไหวเลย"​



"ทำไม มีอะไรเหรอ"





เขากัดฟันกรอด "เธอไม่ต้องโทรไปหาพวกพี่ๆฉันแล้วล่ะ Emmett กับ Jasper คงไม่ปล่อยให้ฉันเบี้ยวงานคืนนี้แน่นอน"





ฉันรั้งตัวเขาเข้ามา แล้วก็ค่อยๆปล่อยเขาไป "สนุกให้เต็มที่ล่ะ"



มีเสียงครืดคราดดังที่หน้าต่าง มีใครบางคนกำลังพยายามใช้เล็บขูดกับกระจก





"ถ้าเธอไม่ส่ง Edward ออกมา" Emmett นั่นเอง "เราจะเข้าไปลากเขา"





"ไปได้แล้ว ก่อนที่พวกนั้นจะพังบ้านฉัน" ฉันหัวเราะกับท่าทีของ Emmett



Edward กรอกตาไปมา แล้วเขาก็เจอเสื้ออยู่ใต้เท้าของเขา เพียงครู่เดียวเสื้อตัวนั้นก็อยู่บนร่างกายเขาเรียบร้อยแล้ว

เขาเอนลงมา จุมพิตที่หน้าผากของฉันอย่างแผ่วเบา





"ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้เธอมีงานใหญ่นะ"



"จ้ะ นั่นยิ่งจะทำให้ฉันหลับสบายมากขึ้น"





"ฉันจะไปพบเธอที่โบสถ์นะ"





"เฮ้ อย่าลืมเป็นคนเดียวที่ใส่ชุดขาวมาล่ะ" ฉันยิ้มอย่างมีความสุข





เขาหัวเราะ "แน่นอน" และเขาก็เดินไปที่หน้าต่าง .... พริบตาเดียวก็หายวับไป





ด้านนอก ฉันได้ยินเสียง Emmett กำลังบ่น



"พวกเธอจะต้องไม่ทำให้เขาสายนะ" ฉันพึมพำเบาๆ ด้วยรู้ดีว่าพวกเขาคงจะได้ยิน





และแล้ว Jasper ก็มาปรากฏกายที่ข้างหน้าต่าง





"ไม่ต้องกังวลไป Bella เวลาเหลือเฟือมากเราพาเขาไปทันแน่นอน"



ทันใดนั้น ฉันรู้สึกผ่อนคลายลงมาก Jasper ได้ใช้ความสามารถพิเศษของเขาช่วยฉันอีกแล้ว



ในขณะที่ Alice สามารถทำนายเรื่องราวในอนาคตได้ Jasper ก็สามารถควบคุมอารมณ์และบรรยากาศของคนรอบข้างได้ มันยากเหลือเกินที่จะต่อต้านกับสิ่งที่เขาต้องการจะให้ฉันรู้สึก





ฉันลุกขึ้นอย่างขี้เกียจ ตัวยังคงอยู่ในผ้าห่ม "Jasper แวมไพร์เขาทำอะไรกันในงานเลี้ยงอำลาเหรอ เธอคงไม่พาเขาไปบาร์เปลือยหรอก จริงมั้ย"





"อย่าไปบอกอะไรเธอนะ" Emmett ขู่อยู่ด้านหลัง ในขณะที่ Edward แอบหัวเราะอย่างเงียบๆ





"รีแลกซ์เถอะ" Jasper บอกฉัน และฉันก็รู้สึกแบบนั้น "พวกเรา Cullens มีวิธีแบบของพวกเราเอง แค่สิงโตและหมีไม่กี่ตัว ก็แค่เป็นอีกคืนที่เราออกไปล่าสัตว์น่ะ"





"ขอบคุณมากนะ Jasper"





และเขาก็ผลุบหายไป





ฉันได้ยินแค่เสียงกรนของ Charlie เท่านั้น ข้างนอกช่างเงียบสงบเหลือเกิน

ฉันนอนหนุนหมอน ชักจะรู้สึกง่วงขึ้นมาแล้วสิ
ฉันมองไปที่กำแพงอีกด้านของห้อง ที่มีแสงจันทร์สาดส่อง

คืนสุดท้ายในห้องนี้แล้วสินะ คืนสุดท้ายในการเป็น Isabella Swan
วันพรุ่งนี้ ฉันจะกลายเป็น Bella Cullen
ถึงแม้ว่าเรื่องงานแต่งงานทั้งหมดจะดูเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับฉัน แต่ฉันก็ต้องยอมรับว่า ฉันชอบชื่อใหม่ของฉันมากๆ

ฉันปล่อยใจให้ล่องลอย หวังว่าตัวเองจะค่อยๆหลับไป แต่แล้วอยู่ดีๆฉันก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา ความกังวลคืบคลานเข้ามาแทนที่ เตียงนี้ดูจะอุ่นเกินไป เมื่อไม่มี Edward อยู่เคียงข้าง
Jasper อยู่ไกลออกไป ... ทำให้ความรู้สึกผ่อนคลายนั้นจางหายไปด้วย

พรุ่งนี้จะเป็นวันที่แสนจะยาวนานสำหรับฉัน

ถึงแม้ว่าฉันจะรู้ดีว่าสิ่งที่ฉันกลัวนั้นมันช่างไร้สาระยิ่งนัก แต่ฉันก็ยังคงกังวลอยู่ดี

อย่างแรกเลย ฉันจะต้องใส่รองเท้าส้นสูงเดินลงบันไดที่บ้าน Cullen ลงมาพร้อมกับชายกระโปรงชุดแต่งงานที่แสนจะยาว ฉันควรจะต้องฝึกซ้อมซะหน่อย

ต่อมา ก็คือแขกที่มาในงาน

ครอบครัวของ Tanya พวก Denali clan จะมาถึงก่อนพิธีจะเริ่ม

การที่พวกของ Tanya และ พวก Quileute อันประกอบไปด้วย พ่อของ Jacob และพวก Clearwaters นั้น เป็นสิ่งที่ควรพึ่งระวังเป็นอย่างมาก พวก Denalis เองก็ไม่ชอบมนุษย์หมาป่าสักเท่าไร น้องสาวของ Tanya Irina ก็จะไม่มางานพรุ่งนี้ เพราะว่าเธอยังทำใจไม่ได้ที่มนุษย์หมาป่าเป็นคนฆ่าเพื่อนของเธอ Laurent (คนที่พยายามฆ่าฉันเช่นกัน) แต่ตอนที่ครอบครัวของ Edward ต้องการความช่วยเหลือ ตอนนั้นที่พวกแวมไพร์เกิดใหม่จะมาโจมตีพวกเรา พวก Denalis ปฏิเสธไม่ช่วยพวกเรา ในขณะที่มนุษย์หมาป่ากลับช่วยเหลืออย่างเต็มที่

Edward สัญญากับฉันไว้ว่า การที่ พวก Denalis กับมนุษย์หมาป่ามาอยู่ใกล้กันนั้นจะไม่มีอันตรายแต่อย่างใด ส่วนครอบครัวของ Tanya ยกเว้น Irina พวกเธอล้วนรู้สึกผิดถึงเรื่องที่ผ่านมา และหวังว่าการต้องญาติดีกับพวกมนุษย์หมาป่าเป็นสิ่งที่พวกเธอพอจะชดเชยให้ได้

นั่นเป็นปัญหาใหญ่ แต่ก็ยังมีปัญหาเล็กน้อยอย่างอื่นเช่นกัน ซึ่งก็คือความรู้สึกที่เปราะบางของฉันเอง

ฉันไม่เคยเจอ Tanya มาก่อน แต่ก็แน่ใจได้เลยว่า การได้พบเธอนั้นคงไม่ใช่สิ่งที่ฉันชื่นชอบสักเท่าไร กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ก่อนที่ฉันจะเกิด Tanya ก็คงสนิทสนมกับ Edward พอสมควร ฉันไม่โทษเธอหรอกที่เคยต้องการเขา เพราะอย่างน้อยๆ เธอก็สวยงดงามอย่างที่สุด
ถึงแม้ว่า Edward จะเลือกฉัน แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบระหว่างตัวฉันเองกับ Tanya

ฉันรู้สึกเศร้าอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่ง Edward คนที่รู้ดีว่าจุดอ่อนของฉันคืออะไร จับความรู้สึกฉันได้ และยิ่งทำให้ฉันรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก

“เราคือกลุ่มคนที่ใกล้เคียงที่สุดที่พวกเธอจะเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวนะ Bella” เขาเตือนฉันเป็นครั้งที่เจ็ด “พวกเธอยังคงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กกำพร้าตลอดเวลา เธอเองก็รู้ดี”

ดังนั้นฉันจึงทำเป็นยอมรับมัน และเก็บซ่อนความรู้สึกไม่เห็นด้วยเอาไว้

ครอบครัวของ Tanya เริ่มใหญ่ขึ้น ประกอบไปด้วยสมาชิกทั้งหมด 5 คน ได้แก่ Tanya, Kate, Irina, และพึ่งมี Carmen และ Eleazar มาสมทบ ทำนองเดียวกับ Alice และ Jasper พวกเธอผูกพันกันด้วยแรงปรารถนาที่ต้องการจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขมากกว่าที่แวมไพร์ธรรมดาต้องการ

ถึงแม้ว่าพวกเธอจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม Tanya และเหล่าน้องสาวของเธอก็ยังคงโศกเศร้า และเดียวดาย นานมากมาแล้ว พวกเธอก็เคยมีแม่เหมือนกัน

ฉันนึกภาพได้เลยว่ามันจะน่าเศร้าสักเพียงไหน ที่เนิ่นนานนับพันปี แต่ครอบครัวของเธอก็ยังคงขาดผู้ที่เป็นศูนย์กลาง ผู้ที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ผู้ชี้ทาง อย่างเช่น Carlisle

Carlisle เคยเล่าเรื่องของ Tanya ให้ฉันฟัง ในคืนหนึ่งที่ฉันอาศัยอยู่ที่บ้านของพวก Cullens เรียนรู้ให้มากที่สุด และเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ฉันเป็นคนเลือก เรื่องราวแม่ของ Tanya ก็เป็นหนึ่งในการเตรียมพร้อมเหล่านั้น เพื่อให้ฉันได้ตระหนักถึงสิ่งที่ฉันจะเป็น เมื่อฉันได้เข้าร่วมโลกแห่งความอมตะนี้ จริงๆแล้ว มีกฎเพียงข้อเดียวเท่านั้น คือ “เก็บรักษาความลับไว้ให้ดี”

เก็บรักษาความลับในที่นี้หมายถึงอะไรหลายๆอย่าง เช่นอยู่อย่างไรไม่ให้มนุษย์สงสัยว่าพวกเราจะไม่แก่ หรืออยู่กับมนุษย์อย่างสันติ ยกเว้นเวลาหาอาหาร อย่างเช่นครั้งหนึ่งที่ James และ Victoria เคยใช้ชีวิตอยู่ หรือการควบคุมพวก แวมไพร์เกิดใหม่ ที่เธอเป็นคนทำให้มันเกิดขึ้น อย่างที่ Maria ปฏิบัติต่อ Jasper และอย่างที่ Victoria ล้มเหลวที่จะปฏิบัติต่อพวกนั้นเช่นกัน


และมันก็หมายรวมถึง การไม่ให้กำเนิดสิ่งเหล่านั้นตั้งแต่แรก เพราะว่าบางทีเราก็ไม่อาจควบคุมมันได้

“ฉันเองก็ไม่รู้ชื่อแม่ของ Tanya เหมือนกัน” Carlisle ยอมรับ ฉันสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าในดวงตาของเขา ที่มีให้กับความเจ็บปวดของ Tanya “พวกเธอไม่เคยพูดถึงแม่เลยถ้าสามารถหลีกเลี่ยงได้”


“คนที่ให้กำเนิด Tanya, Kate และ Irina นั้น ฉันเชื่อว่าน่าจะอยู่มานานหลายปีก่อนฉันเกิด น่าจะอยู่ในช่วงเวลาที่โลกนี้เต็มไปด้วยเชื้อโรค และเด็กที่เป็นอมตะ”

“สิ่งที่พวกแวมไพร์สมัยก่อนคิดนั้น ฉันไม่เคยเข้าใจเลย ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพวกนั้นต้องให้กำเนิดแวมไพร์ที่อายุพอๆกับเด็กทารกด้วย”

ฉันพยายามจะนึกภาพตาม


“เด็กพวกนั้นงดงามมาก” Carlisle เล่าอย่างรวดเร็ว เพื่อดูปฏิกิริยาของฉัน “ทั้งมีเสน่ห์ และน่าทะนุถนอม เพียงแค่เธออยู่ใกล้เด็กพวกนั้น เธอก็จะหลงรักพวกเขาโดยอัติโนมัติ”

“แต่ถึงอย่างไรก็ดี เราไม่สามารถสั่งสอนพวกเขาได้ การพัฒนาการได้หยุดนิ่งอยู่ที่อายุก่อนที่พวกเขาจะโดนกัด เด็กที่อายุเพียงสองขวบก็สามารถทำลายหมู่บ้านได้อย่างราบเป็นหน้ากลอง ถ้าพวกนั้นกระหายเลือด เขาก็จะล่าเหยื่อ โดยที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้แล้ว เมื่อมนุษย์พบเจอเข้า เรื่องก็ถูกเล่าต่อๆกันราวกับไฟลามทุ่ง”

“แม่ของ Tanya ก็ให้กำเนิดเด็กแบบนั้นเช่นกัน โดยที่ฉันไม่เข้าใจเหตุผลของเธอสักเท่าไร แน่นอนว่า พวก Volturi ก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย”


ฉันรู้สึกสะดุ้งทุกครั้งที่ได้ยินชื่อนั้น แวมไพร์ตระกูลเก่าแก่สัญชาติอิตาเลี่ยน ราวกับเป็นพวกราชวงศ์แห่งแวมไพร์ เป็นศูนย์กลางของเรื่องนี้ ถ้ามันไม่มีบทลงโทษ ก็คงไม่ต้องใช้กฎหมาย มันคงไม่มีบทลงโทษ ถ้าไม่มีใครใช้กฎ
Aro, Caius และ Marcus ปกครองกองกำลัง Volturi
ฉันเคยได้พบพวกเขาครั้งหนึ่ง ดูเหมือนว่า Aro คนที่สามารถอ่านใจได้เพียงแค่ได้สัมผัสร่างกายของฝ่ายตรงข้าม จะเป็นผู้นำที่แท้จริง

พวก Volturi ศึกษาเรื่องเด็กอมตะพวกนี้ ที่ Volterra และส่วนอื่นๆบนโลก
Caius ตัดสินใจว่า พวกนี้จะไม่สามารถรักษาความลับของพวกเราได้ ดังนั้นจึงต้องทำลายให้ราบคาบ

“การทำลายล้างแวมไพร์เด็กเหล่านั้น ก็ได้เกิดขึ้นตามมา ก็อย่างที่ฉันเคยบอกเธอว่าพวกนั้นน่าทะนุถนอมขนาดไหน มีคนจำนวนมากตายเพราะปกป้องพวกเขา แต่ในที่สุดก็เด็กพวกนั้นถูกกำจัดทิ้งไปจนหมด การเอ่ยชื่อถึงเด็กพวกนั้นกลายเป็นสิ่งต้องห้ามของพวกเราทุกคน”


“ตอนที่ฉันอยู่กับพวก Volturi ฉันเคยเจอเด็กสองคน ดังนั้นฉันจึงรู้ดีว่าพวกเขามีเสน่ห์แรงดึงดูดมากมายขนาดไหน Aro เคยศึกษาเด็กคนหนึ่งเป็นเวลาหลายปี ก่อนที่การทำลายล้างจะเกิดขึ้น เขาหวังว่าจะทำให้เด็กพวกนี้เชื่องได้ แต่ในที่สุดก็มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ทำลายทิ้งซะ”


“สิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ Tanya มันก็ไม่ชัดเจนนักหรอก Tanya Kate และ Irina ยังคงไม่มีสติพอที่จะรับรู้เรื่องราวอะไร จนกระทั่งวันที่ Volturi มาหาพวกเธอ แม่ของพวกเธอ การให้กำเนิดที่ผิดกฎเช่นนั้น เมื่อ Aro สัมผัสพวกเธอ จึงได้รู้ว่าพวกเธอบริสุทธิ์ และไม่ถูกลงโทษตามแม่ไป”

“ไม่มีใครเคยเห็นเด็กผู้ชายคนนี้มาก่อน หรือนึกถึงการมีอยู่ของเขา จนกระทั่งวันที่พวกเขาได้เห็นเด็กคนนี้ถูกเผาทั้งๆที่อยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่ ฉันเดาได้แต่เพียงว่า แม่ของเขาคงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเพื่อปกป้องเขา แต่ทำไมเธอถึงให้กำเนิดสิ่งนี้ขึ้นมาแต่แรก เด็กคนนี้เป็นใคร และทำไมเขาถึงความหมายต่อเธอถึงขนาดนี้ ถึงขนาดทำให้เธอทำอะไรล้ำเส้นขนาดนี้ Tanya และคนอื่นๆ ก็ไม่เคยรู้คำตอบถึงคำถามเหล่านี้เช่นกัน แต่พวกเธอไม่อาจทักท้วงได้ถึงความผิดของแม่ของเธอในครั้งนี้ และฉันก็ไม่คิดว่าพวกเธอได้ให้อภัยแม่ของพวกเธอแล้ว”

“ถึงแม้ว่า Aro จะยืนยันได้ถึงความบริสุทธิ์ของพวกเธอ แต่ Caius ก็ยังต้องการให้เผาพวกเธอซะ โทษฐานที่ทำความผิดร่วมกัน โชคยังดีที่วันนั้น Aro มีเมตตา จึงได้ปล่อยพวกเธอไป เหลือไว้แต่เพียงหัวใจของพวกเธอที่สุดแสนจะบอบช้ำ”

ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ความทรงจำนี้ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความฝันรึเปล่า วูบแรกฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังนั่งฟัง Carlisle เล่าเรื่องอยู่ แต่แล้วฉันก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังมองไปที่ทุ่งหญ้าว่างเปล่า ปกคลุมไปด้วยสีเทาทะมึน ฉันได้กลิ่นไหม้ ฉันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวที่นั่น

นั่นเองสิ่งที่ทำให้ฉันกลัว กลุ่มคนกลุ่มใหญ่ภายในเสื้อคลุม น่าจะเป็นพวก Volturi
และน่าจะมีแต่ตัวฉันเอง กับพวกนั้น การเผชิญหน้าครั้งล่าสุด ฉันก็ยังคงเป็นมนุษย์ แต่ฉันรู้สึกว่า บางครั้ง ในความฝันของฉัน พวกเขาก็ไม่อาจมองเห็นฉันได้

ควันค่อยๆปกคลุมไปทั่ว ฉันได้กลิ่นที่หอมหวานของอากาศ แต่ไม่อยากจะจ้องมองเข้าไปที่ควัน เพราะเกรงว่าจะเจอคนที่ฉันรู้จักเป็นอย่างดี

พวก Volturi ยืนล้อมรอบคนบางคนอยู่ ฉันได้ยินเสียงกระซิบพึมพำไปมาด้วยความเกลียดชัง
ฉันขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น เพื่อจะดูว่า ใครอยู่ในนั้น ค่อยๆคลานผ่านคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าฉันสองคน

ฉันได้ยินเขาสองคนกำลังเถียงกันอยู่ และสุดท้ายก็ได้เห็นถึง “สิ่ง” ที่พวกเขากำลังเอ่ยถึง


เขางดงามและน่าทะนุถนอมอย่างที่ Carlisle เคยบอกฉันไว้ เด็กคนนั้นคงจะอายุแค่สองสามขวบเท่านั้น ผมดัดสีน้ำตาลอ่อนปกคลุมใบหน้าของเขา เขาหลับตาลง เพราะเขากลัวเกินว่าที่จะมองดูความตายที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามา

อยู่ดีๆ ฉันก็เกิดความรู้สึกที่ต้องการจะช่วยเด็กคนนี้ ถึงแม้ว่าฉันจะกลัวพวก Volturi มาก ฉันค่อยๆเร้นกายผ่านพวกนั้น ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าพวกนั้นจะเห็นฉันหรือไม่ ฉันวิ่งไปหาเด็กคนนั้น


แต่แล้วฉันก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อได้เห็นบรรยากาศรอบๆอย่างชัดเจน มันไม่ใช่ดินหรือหินที่ล้อมรอบเด็กคนนั้นไว้ แต่เป็นกองซากศพมนุษย์ขนาดมหึมา สายเกินไปเสียแล้วที่จะไม่เหลียวไปมองใบหน้าเหล่านั้น ฉันรู้จักพวกเขาทั้งหมด Angela Ben Jessica Mike และข้างๆเด็กคนนั้น คือศพของพ่อกับแม่ฉัน


เด็กคนนั้นค่อยๆลืมตาขึ้นมา .... ตาสีเลือดคู่นั้น






 

Create Date : 08 มกราคม 2552   
Last Update : 9 มกราคม 2552 11:12:37 น.   
Counter : 722 Pageviews.  


Breaking Dawn (Twilight Saga IV) - Chapter I

1. Engaged


เล่ม 1 ตอนที่ 1 หมั้น



ไม่มีใครจ้องเธอหรอก ... ฉันบอกกับตัวเอง


ไม่มีใครจ้องเธอหรอก


ไม่มีใครจ้องเธอหรอก




แต่ เพราะว่าฉันไม่สามารถโกหกตัวเองได้ ฉันจึงต้องเช็คดูอีกครั้ง



ในขณะที่ฉันกำลังนั่งรอไฟเขียวนั้น ฉันแอบมองไปทางขวามือ ในมินิแวนคันนั้น มิสซิส Weber หันมามองที่ฉัน เธอหันมาสบตาฉัน จนฉันต้องเหลียวกลับไปมอง สงสัยว่าทำไมเธอไม่หันมามองฉันด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน หรือว่าพฤติกรรมการจ้องหน้าผู้อื่นนั้น ดูจะเป็นการหยาบคายเกินไป


แต่แล้วฉันก็คิดได้ว่า เธอคงไม่รู้ว่าเป็นฉันที่อยู่ในรถคันนี้ เนื่องจากหน้าต่างรถฉันมืดเกินไปจนมองไม่เห็น


ฉันมองไปที่เธออีกครั้ง และก็พบว่า เธอไม่ได้จ้องมองฉัน เพียงแต่จ้องมองรถของฉันต่างหาก



รถของฉัน .... เฮ้อออ



ฉันหันมองไปทางริมฟุตบาท แล้วก็อดเซ็งไม่ได้ที่มีคนหันมามองรถของฉันด้วยความตกตะลึง



เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว ฉันก็ไม่รั้งรอที่จะรีบออกไปทันที


ฉันเหยียบคันเร่งอย่างแรง โดยแทบไม่ต้องคิด ซึ่งโดยปกติแล้ว ฉันจะต้องเหยียบคันเร่งอย่างแรงเพื่อให้รถบรรทุกโทรมๆของฉันพุ่งไปข้างหน้า


เสียงของเครื่องยนต์ดังราวกับเสือจ้องจะล่าเหยื่อ รถพุ่งไปข้างหน้าอย่างแรง ผลักให้ร่างของฉันติดอยู่ที่เบาะหนังสีดำ ท้องแทบจะติดกับกระดูกสันหลัง



"อ๊ากส์" ฉันรีบเหยียบเบรคทันควัน และบังคับใหตัวเองกลับไปทรงตัวอยู่ได้เหมือนดังเดิม



ฉันไม่อยากทนมองปฏิกริยารอบๆ ตอนนี้คงไม่มีใครสงสัยแล้วว่าใครขับรถคันนี้ ฉันค่อยๆเหยียบคันเร่ง และรถก็พุ่งออกไปข้างหน้าอีกครั้ง



ฉันมุ่งหน้าไปปั๊มน้ำมัน รีบร้อนราวกับว่ากำลังแข่งขันอยู่


ฉันไปที่ด้านข้างของตัวรถ แล้วทำการเติมน้ำมันอย่างรวดเร็ว แต่มันกลับไม่ทันใจเอาเสียเลย ตัวเกจวัดค่อยๆไหลไปอย่างช้าๆ



ฉันยังคงรู้สึกว่า คนอื่นๆกำลังมองฉันอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะดูโง่ก็ตามที


แต่นอกจากพ่อกับแม่ของฉัน มันสำคัญด้วยเหรอถ้าคนอื่นจะพูดเรื่องหมั้น หรือพูดถึงเรื่องรถคันใหม่ หรือการที่ฉันได้รับเข้าเรียนต่อที่ Ivy League หรือบัตรเครดิตสีดำที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงตอนนี้


"ใช่!! ใครจะไปสนในสิ่งที่พวกเขาคิดกันล่ะ" ฉันบอกกับตัวเอง


"เอ่อ ... คุณครับ"


ฉันหันไปตามเสียงเรียก



ผู้ชายสองคนยืนอยู่ข้างๆรถ SUV ที่มีเรือคายักผูกไว้อยู่ด้านบนรถ ไม่มีใครมองที่ฉัน ทั้งคู่กำลังจ้องมองไปที่รถของฉํน



โดยส่วนตัวแล้ว ฉันไม่เข้าใจท่าทีเหล่านี้เลย แต่แล้วฉันก็ภูมิใจว่าฉันสามารถแยกความแตกต่างของสัญลักษณ์รถโตโยต้า ฟอร์ด และ เชฟวี่ออกจากกันได้ รถคันนี้สีดำ มันวาว และก็สวยสุดๆไปเลย แต่มันก็ยังคงเป็นแค่ "รถยนต์คันหนึ่ง" สำหรับฉันอยู่ดี



"ผมขอโทษที่รบกวนคุณนะครับ แต่คุณช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าคุณขับรถอะไร" คนที่ตัวสูงกว่าถามฉัน



"Mercedez" (รถเบนซ์)



"ใช่แล้วครับ" ผู้ชายคนนั้นเห็นด้วย ในขณะที่คนที่ตัวเตี้ยกว่าถามต่อไปว่า "ผมรู้ แต่ผมแค่สงสัยว่าคุณขับ Mercedes Guardian ใช่ไหม"


ทันทีผู้ชายคนนั้นเอ่ยชื่อรุ่นรถออกมา ฉันก็รู้ได้เลยว่า ผู้ชายคนนี้ต้องเข้าได้ดีกับ Edward ... คู่หมั้นของฉันอย่างแน่นอน (ซึ่งอันที่จริงแล้ว เรากำลังจะแต่งงานกันในอีกไม่กี่วันครั้งหน้า)


"มันน่าจะยังไม่มีขายในยุโรปด้วยซ้ำ"



ในขณะที่ตาของเขากำลังสำรวจรถอยู่นั้น สำหรับฉันแล้ว มันก็ดูเหมือนรถเบนซ์ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่ฉันจะรู้อะไรล่ะ



ฉันหวนกลับมาคิดเรื่องของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ... คู่หมั้น งานแต่งงาน สามี ฯลฯ



ฉันคิดไปถึงตัวเองในชุดแต่งงานสีขาวถือช่อดอกไม้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น ฉันไม่อาจทำใจได้กับแนวคิดทื่อๆของคำว่า "สามี" กับแนวคิดของฉันที่มีต่อ Edward ราวกับการเห็นทูตสวรรค์เป็นนักบัญชียังไงยังงั้น ฉันไม่อาจจินตนาการถึงเขาในบทบาทที่ธรรมดาได้เลย



ก็เหมือนเช่นทุกๆครั้ง เมื่อฉันคิดถึง Edward ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองราวกับตกอยู่ในห้วงของจินตนาการ


คนแปลกหน้ากระแอมเบาๆ เพื่อเรียกความสนใจจากฉัน เขายังคงรอคำตอบของฉันอยู่



"ฉันไม่รู้เหมือนกัน" ฉันตอบเขาตามจริง



"คุณจะว่าอะไรมั้ย ถ้าผมขอถ่ายรูปกับรถของคุณ"



ฉันใช้เวลาสักครู่ เพื่อคิดใคร่ครวญดู


"คุณอยากจะถ่ายรูปกับรถจริงๆเหรอ"



"แน่นอนสิ คงจะไม่มีใครเชื่อผมแน่นอน ผมเลยต้องการหลักฐาน"



"อืม งั้นก็ ได้สิ"



ฉันรีบเข้าไปในรถ ประจำที่นั่งคนขับ ในขณะที่สองหนุ่มนั่นถ่ายรูปกันอยู่บริเวณด้านหลังของตัวรถ



"ฉันคิดถึงรถบรรทุกของฉัน" ฉันโอดครวญกับตัวเอง



หลังจากที่ฉันกับ Edward ได้ตกลงที่จะประนีประนอมต่อกัน เขาเสนอให้ฉันเปลี่ยนรถ โดยอ้างถึงสภาพของรถต่างๆนาๆ ซึ่งสุดท้ายฉันก็ยอม



"รถรุ่นนี้ยังไม่มีขายในตลาด เว้นแต่คันที่คุณกำลังเห็นอยู่ตรงหน้านี้ ซึ่งถูกออกแบบเฉพาะมาให้กับนักการทูตของพวกตะวันออกกลาง พวกค้าอาวุธ และค้ายาเสพย์ติด"



"คิดว่าเธอจะเป็นหนึ่งในพวกนั้นมั้ย" คนที่ตัวเตี้ยถามด้วยเสียงอันแผ่วเบา ฉันเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวที่แก้มทันที



"น่าจะนะ ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเธอถึงต้องการรถกระจกกันกระสุน หุ้มเกราะด้วยสี่ร้อนปอนด์แถวนี้ มันต้องกำลังไปในที่ที่อันตรายกว่านี้แน่นอน" คนตัวสูงกว่าเอ่ย



รถหุ้มเกราะ กระจกกันกระสุน เยี่ยม!! อย่างน้อยมันก็ฟังดูมีเหตุมีผลขึ้นมาบ้าง ถ้าคุณจะคิดเป็นเรื่องขำขัน



ฉันไม่ได้คาดหวังให้ Edward เอาเปรียบในข้อตกลงของเรา โดยการให้สิ่งต่างๆแก่ฉันมากมายกว่าที่เขาจะได้รับจากฉันไป ฉันตกลงกับเขาว่า ฉันจะยอมเปลี่ยนรถเมื่อมันจำเป็นจริงๆ แต่ก็ไม่คาดคิดว่า เวลานั้นจะมาถึงอย่างรวดเร็ว ฉันรู้ว่าการเปลี่ยนรถในครั้งนี้จะทำให้ฉันอับอาย ทำให้ฉันเป็นจุดสนใจของทุกคน ทั้งสายตาที่จ้องมองและการกระซิบกระซาบลับหลัง แต่ทว่า ฉันไม่คิดเลยว่า เขาจะให้รถฉันถึงสองคัน



'Before' car และ 'After' car รถก่อนแต่งงาน และ รถหลังแต่งงาน



นี่แค่รถก่อนแต่งงานเท่านั้น เขาสัญญากับฉันว่าเขาจะรับรถคันนี้คืนไปหลังงานแต่งงาน ซึ่งฟังดูแล้วไร้เหตุผลสำหรับฉันอย่างมาก จนถึงเดี๋ยวนี้



555 เพราะว่าฉันมันเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอ ซุ่มซ่าม เป็นเหยื่อแห่งความโชคร้ายของตัวเอง แน่นอนว่าฉันย่อมจะต้องการรถที่สามารถปกป้องฉันได้ ฉันมั่นใจว่า เขาและพี่ชายของเขาจะต้องรู้สึกสนุกสนานกับเรื่องนี้ลับหลังอย่างแน่นอน



หรือไม่ก็ .... เสียงกระซิบในตัวของฉันบอกว่า ... โง่น่า มันไม่ใช่เรื่องตลกนะ จริงๆแล้วเขาแค่เป็นห่วงเธอมากๆก็เท่านั้นเอง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาออกจะเว่อร์มากไปสักหน่อยที่พยายามปกป้องเธอ



เฮ้ออออ



ฉันยังไม่เคยเห็น รถหลังแต่งงาน มันถูกซ่อนไว้ในผ้าคลุมผืนใหญ่ อยู่ลึกสุดในโรงรถของพวก Cullens ฉันรู้ดีว่าตอนนี้ทุกคนก็คงได้เห็นกันหมดแล้ว แต่ฉันก็ไม่อยากที่จะรู้จริงๆ



แต่ที่แน่ๆ รถหุ้มเกราะไม่จำเป็นสำหรับฉันอีกต่อไป หลังฮันนีมูน ร่างกายที่แข่งแกร่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันตั้งหน้าตั้งตารอมาตลอด สิ่งที่ดีที่สุดของการได้เป็น Cullen ไม่ใช่รถยนต์ราคาแพง และบัตรเครดิตสุดหรู


 


"เฮ้" คนที่ตัวสูงเรียกฉัน "เราถ่ายรูปเสร็จแล้ว ขอบคุณมาก"



"ด้วยความยินดี" ฉันตอบกลับไป และหลังจากนั้น ก็ค่อยๆสตาร์ทรถและขับออกไป




ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ฉันขับผ่านถนนสายนี้เพื่อกลับบ้าน ใจของฉันก็ถูกรบกวนด้วยภาพแห่งความทรงจำในอดีตต่างๆ


เพื่อนที่ฉันรักที่สุด ... Jacob



โปสเตอร์ "คุณเคยเห็นเด็กผู้ชายคนนี้หรือไม่" ไม่ใช่ความคิดของพ่อของ Jacob แต่เป็นความคิดของพ่อฉันเอง Charlie ผู้ซึ่งพรินท์ใบปลิว และแจกจ่ายไปทั่วเมือง และไม่ใช่แค่ที่ Forks เท่านั้น ยังหมายรวมถึงที่ Port Angeles Sequim Hoquiam  Aberdeen รวมไปถึงทุกๆเมืองใน Olympic Peninsula แห่งนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกสถานีตำรวจในมลรัฐ Washington ได้แปะใบปลิวนี้ไว้บนกำแพง ในสถานีของเขาเอง บอร์ดอันใหญ่ได้ถูกอุทิศให้แก่รูปที่ใช้ประกาศตามหาตัว Jacob



พ่อของฉันรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมากที่ทุกคนดูราวกับไม่สนใจที่ Jacob โดยเฉพาะ Billy พ่อของ Jacob เอง



สำหรับ Billy แล้ว เขาไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับการตามหาตัวลูกชายวัย 16 ปี เขาปฏิเสธที่จะแปะใบปลิวที่ La Push เขื่อนกักเก็บน้ำ ใกล้ๆบ้าน Jacob เขาดูเหมือนจะทำใจยอมรับได้กับการหายตัวไปของ Jacob ราวกับว่าเขาไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ "Jacob โตแล้ว เขาจะกลับมาเอง ถ้าเขาต้องการเช่นนั้น"



และพ่อของฉันก็หงุดหงิดที่ฉันเข้าข้าง Billy



ฉันไม่ไปแปะโปสเตอร์เช่นเดียวกัน เพราะทั้ง Billy และฉันต่างรู้ดีว่า Jacob ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป



ใบปลิวทำให้ฉันรู้สึกจุกอกที่คอ น้ำตาค่อยๆเอ่อท้นรอบดวงตา ฉันรู้สึกดีใจที่ Edward ออกไปล่าสัตว์เสาร์นี้ เพราะถ้า Edward ได้มาเห็นปฏิกริยาของฉันตอนนี้ มันคงจะทำให้เขารู้สึกเสียใจด้วยเช่นกัน



แน่นอนว่ามันก็มีข้อเสียที่วันนี้เป็นวันเสาร์ด้วยเช่นกัน ฉันเห็นรถของพ่อจอดไว้อยู่ตรงริมทางแถวบ้านของเรา วันนี้เขาไม่ไปตกปลาอีกแล้ว ยังคงวุ่นวายกับพิธีงานแต่งงาน



ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถใช้โทรศัพท์ข้างในบ้านได้ แต่ฉันก็ยังต้องโทร



ฉันจอดรถไว้ข้างหลังรถของพ่อ และใช้โทรศัพท์มือถือที่ Edward ให้ไว้เผื่อฉุกเฉิน โทรหา ในขณะที่รอสาย ฉันเอานิ้ววางไว้ที่ปุ่ม "เลิกสาย" เผื่อในกรณีที่ต้องใช้มัน จะได้กดทันท่วงที


 


"Hello" Seth Clearwater ตอบ และฉันก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก 


"Hey! Seth, นี่ Bella เองนะ"


"Oh! Bella เป็นยังไงบ้าง"


"Fine"


"โทรมาถามความคืบหน้าเหรอ"


"เธอนี่มันมีพลังจิตชัดๆ"


"ไม่หรอก ฉันไม่ใช่ Alice นะ เธอทำตัวเดาออกง่ายจะตายไป" เขาหัวเราะ ทั้งกลุ่มของ Quileute มีแต่ Seth ที่เอ่ยถึงชื่อของพวก Cullen


"ฉันรู้ตัวดี เขาเป็นอย่างไรบ้าง"



Seth ถอนหายใจ "ก็เหมือนปกติแหล่ะ เขาไม่พูดอะไรเลย ถึงแม้ว่าเขาจะได้ยินเราก็ตามที เขาพยายามที่จะไม่คิดอย่างมนุษย์ แบบว่า ... ใช้สัญชาตญาณแทนน่ะ"



"เธอรู้มั้ย ว่าตอนนี้เขาอยู่ไหน"


"บางแห่งในตอนเหนือของ Canada แหล่ะ ฉันไม่รู้หรอกว่าเมืองไหน เขาไม่ได้สนใจเส้นทางเท่าไรนัก"


"ไม่มีเบาะแสเลยเหรอว่าเขาอาจ..."


"เขาไม่กลับบ้านหรอก Bella ขอโทษนะ"



ฉันกลืนคำพูดของตัวเองลงไป "อ่อ เหรอ โอเค Seth ฉันรู้ก่อนที่ฉันจะถามเธอซอีก แค่อดไม่ได้ที่จะหวังน่ะ"


"ใช่ ทุกคนก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน"


"ขอบคุณที่ทนนะ Seth ฉันรู้ว่า คนอื่นๆทำให้เธอต้องลำบากใจ"


"อย่าไปสนใจพวกเขาเลย Jacob ตัดสินใจแล้ว เธอเองก็เช่นกัน


Jacob ก็ไม่ชอบทัศนคติพวกเขานักหรอก แต่ว่า เขาก็คงไม่ดีใจที่เธอคอยโทรเช็คเขาอย่างนี้เหมือนกัน"



"ฉันคิดว่า เขาไม่ได้คุยกับเธอเสียอีก"


"เขาไม่อาจซ่อนทุกอย่างจากเราได้ ถึงแม้ว่าจะพยายามแล้วก็ตามที"



ดังนั้น Jacob ก็รู้สิว่าฉันเป็นห่วงมาก ฉันไม่แน่ใจว่า ฉันรู้สึกอย่างไร แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่า ฉันไม่ได้ลืมเขา



"ฉันหวังว่า จะได้เจอเธอที่งานแต่งงานนะ" ฉันพยายามเปล่งเสียงให้รอดไรฟันออกมา



"แน่นอน ฉันและแม่ของฉันจะไปที่นั่น มันดีมากๆเลยนะที่เธอเชิญพวกเราไป"



ฉันยิ้มอย่างดีใจเมื่อสัมผัสได้ถึงความกระตือรือร้นในน้ำเสียงที่อยู่ปลายสาย ถึงแม้ว่าการเชิญตระกูล Clearwater จะเป็นความคิดของ Edward แต่ฉันก็ดีใจ การที่มี Seth มาร่วมได้ในงานแต่งงานอย่างน้อยก็เป็นสิ่งเชื่อมโยงถึงคนที่ไม่อาจจะมาได้  ... ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมเลย เมื่อปราศจากเธอ



"บอก Edward นะว่าฉันฝากสวัสดี โอเคมั้ย"


"แน่นอน" ฉันพยักหน้า



มิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่าง Seth กับ Edward เป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจของฉันรู้สึกปลื้มปิติขึ้นมา ... มิตรภาพระหว่าง Vampire กับ มนุษย์หมาป่า



แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบความคิดแบบนี้



"เออ" Seth เอ่ย เสียงของเขาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว "Leah กลับมาบ้านแล้ว"



"โอ้ bye" ฉันวางสายโทรศัพท์ทันที และวางมันไว้บนเบาะที่นั่ง เตรียมตัวเพื่อจะเข้าไปในบ้าน ที่ที่ Charlie กำลังรออยู่



พ่อของฉันมีเรื่องให้ต้องคิดมากมายตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Jacob หนีออกจากบ้าน เรื่องของฉันเอง ลูกสาวของเขา กำลังจะกลายเป็น "นาง" ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า


ฉันค่อยๆเดินอย่างช้าๆผ่านฝกที่ตกปรอยๆ หวนคิดถึงคืนที่เราบอกเขา



เมื่อเสียงรถยนต์ของ Charlie ป่าวประกาศว่าเขากลับมาแล้ว แหวนที่อยู่ที่นิ้วของฉันก็หนักขึ้นเป็นร้อยปอนด์ ฉันต้องซ่อนมือซ้ายตัวเองไว้ในกระเป๋า หรือแม้กระทั่งนั่งทับมัน แต่มือที่แข็งแรงของ Edward ก็จับมือของฉันไว้และยื่นไปข้างหน้า



"หยุด สั่น ได้แล้ว Bella ช่วยจำด้วยว่าเธอไม่ได้มาสารภาพว่าไปฆ่าใครมานะ"


"เธอก็พูดง่ายสิ"


 


ฉันได้ยินเสียงรองเท้าบู้ทของพ่อค่อยๆเดินตามทางขึ้นมา กุญแจไขผ่านประตูที่เปิดเรียบร้อยแล้ว เสียงนี้ทำให้ฉันนึกถึงหนังสยองขวัญตอนที่เหยื่อลืมล๊อคบ้านของเธอ"



"ใจเย็นๆ Bella" Edward กระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบา ฟังเสียงหัวใจของฉันเต้น



"เฮ้ Charlie" Edward ทักทายอย่างผ่อนคลายเมื่อ Charlie กำลังเดินเข้ามาในบ้าน



"ไม่!!" ฉันประท้วง


"อะไรเหรอ" Edward กระซิบกลับไป


"รอจนกระทั่งพ่อเก็บปืนแล้ว"


Edward อดขำไม่ได้ เขาใช้มือจัดผมสีบรอนซ์ของตัวเอง



Charlie เดินวนรอบๆบริเวณมุมของบ้าน ยังคงอยู่ในชุดเครื่องแบบ และพยายามที่จะไม่แสดงอาการเมื่อเขาแอบมอง Edward กับฉันนั่งอยู่ด้วยกัน ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าเขาพยายามที่จะชอบ Edward มากขึ้น แต่แน่นอนว่าการบอก Charlie เรื่องนี้คงจะทำให้เขาเลิกพยายามทันที



"เฮ้ ว่าไง เกิดอะไรขึ้นเหรอ"


"เราต้องการจะคุยกับคุณ" Edward เอ่ยขึ้น "เรามีข่าวดี"



สีหน้าของ Charlie แปรเปลี่ยนจากเป็นมิตรเป็นความสงสัยทันที



"ข่าวดีเหรอ" Charlie มองตรงมาที่ฉัน


"นั่งสิคะ พ่อ"



เขาจ้องมาที่ฉันราวๆห้าวินาที และแล้วก็นั่งลงบนโซฟา



"อย่าพึ่งตกใจไป ทุกอย่างโอเคค่ะ"



Edward ฮึมฮัมในลำคอเบาๆ ฉันรู้ดีว่านั่นคือการคัดค้านต่อคำว่า "โอเค" ของฉัน เขาคิดว่าฉันควรจะใช้คำที่แสดงออกถึงความยินดีปรีดามากกว่านี้



"แน่สิ Bella ถ้าทุกอย่างดีจริงๆล่ะก็ ทำไมเธอถึงได้เหงื่อท่วมตัวขนาดนั้นล่ะ"



"ฉันไม่ได้เหงื่อแตกซะหน่อย" ฉันโกหก



ฉันรีบเอามือเช็ดเหงื่อที่หน้าผากออกไปทันที



"เธอท้องเหรอ" Charlie ระเบิดออกมา "เธอท้อง ... ใช่มั้ย"



ถึงแม้ว่าฉันจะเข้าใจคำถามของเขาชัดเจน แต่ตอนนี้เขาจ้องที่ Edward และฉันสาบานได้เลยว่า ฉันเห็นมือเขาเอื้อมไปหยิบปืน



"ไม่ใช่แน่นอนค่ะ" ฉันถองซี่โครง Edward เพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่ฉันคิดนั้นถูกต้อง คนอื่นๆมักจะคิดว่าเป็นเรื่องนี้ จะมีเหตุผลอื่นใดอีกล่ะที่คนอยากแต่งงานกันตอนอายุสิบแปด (คำตอบของเขาทำให้ฉันต้องกรอกตาไปมา ... เพราะว่าความรักไง ... แน่สิ)



สีหน้าของ Charlie ดีขึ้น เมื่อฉันพูดความจริง และเขากำลังจะเชื่อฉัน "โอ้ ขอโทษที"



"หนูยอมรับคำขอโทษค่ะ"



มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน จนกว่าฉันจะรู้สึกตัวว่า ทุกคนรอให้ฉันพูดบางสิ่งบางอย่างออกมา ฉันมองไปที่ Edward และเริ่มตื่นกลัว ไม่มีทางที่ฉันจะพูดคำเหล่านี้ออกมาได้เลย



เขายิ้มให้ฉัน และหันไปหาพ่อ



"Charlie ผมรู้ดีว่า ผมทำผิดธรรมเนียมไปหน่อย ผมควรจะถามคุณก่อน ผมหมายถึง .... ผมไม่ได้ไม่เคารพคุณ แต่ Bella ได้ตอบตกลงกับผมเรียบร้อยแล้ว และผมต้องการที่จะรับฟังความคิดเห็นของเธอในเรื่องนี้มากกว่าที่จะให้คุณตัดสินใจแทนเธอ ผมอยากให้คุณอวยพรให้เรา เรากำลังจะแต่งงาน Charlie ผมรักเธอมากกว่าสิ่งใดๆบนโลกใบนี้ เธอเป็นมากกว่าชีวิตของผม และ ราวกับปาฏิหาริย์ เธอรักผมเช่นนั้นเหมือนกัน คุณพอจะอวยพรให้เราได้ไหม"



เขาพูดอย่างหนักแน่น ใจเย็น และเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ฉันรับรู้ได้เลยว่า เขาถ่ายทอดเรื่องนี้ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม



แต่แล้วเมื่อหันไปดูปฏิกริยาของ Charlie ก็พบว่า หน้าของ Charlie เปลี่ยนสีจากแดง กลายเป็นม่วง จากม่วงกลายเป็นฟ้า เมื่อเห็นดังนั้น ฉันจึงตัดสินใจลุกขึ้น


ฉันไม่แน่ใจว่าต้องทำอย่างไร ฉันควรจะเช็คเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ชัก แต่ Edward บีบมือของฉันไว้แน่น "ให้เวลาเขาสักหน่อยเถอะ" เขากระซิบอย่างแผ่วเบา เพื่อให้มีฉันคนเดียวที่ได้ยิน



ความเงียบเข้าปกคลุมเป็นระยะเวลานาน และแล้วสีหน้าของ Charlie ก็กลับคืนสู่สภาพปกติ เขากำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง



"ฉันไม่แปลกใจเลย" Charlie เอ่ยออกมา "รู้ดีกว่าจะต้องเจอกับอะไรทำนองนี้ในไม่ช้า"



ฉันถอนหายใจออกด้วยความโล่งอก



"หนูแน่ใจใช่ไหม" Charlie จ้องมาที่ฉัน



"หนูมั่นใจในตัว Edward ร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ" ฉันตอบโพล่งกลับไปทันควัน



"แต่งงานเหรอ ทำไมดูรีบกันจัง" เขามองมาที่ฉันด้วยความสงสัย



การเร่งรีบในครั้งนี้เนื่องมาจากฉันใกล้จะอายุสิบเก้าเต็มที ในขณะที่ Edward ค้างอยู่ที่อายุสิบเจ็ดมามากกว่าเก้าสิบปีแล้ว แต่แล้วการแต่งงานก็เกิดขึ้นจากการประนีประนอมระหว่างฉันกับ Edward ฉันต้องการที่จะเปลี่ยนให้ตัวเองไปมีชีวิตอมตะ



ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ฉันไม่อาจที่จะอธิบายให้ Charlie ฟังได้เลย



"เราจะไปเรียนที่ Dartmouth ด้วยกัน ในฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า Charlie" Edward บอกกับเขา "ผมอยากจะให้มันถูกต้อง นี่คือสิ่งที่ผมถูกสอนมา"



เขาไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย นั่นเป็นธรรมเนียมคร่ำครึโบราณตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1



"ฉันรู้ดีว่ามันต้องมาถึง" เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง แล้วทันใดนั้นหน้าของเขาก็ผ่อนคลายมากขึ้น



"พ่อ" ฉันถามด้วยความวิตกกังวล ฉันมองไปที่ Edward แต่ไม่สามารถอ่านสีหน้าเขาออกได้



"55+" Charlie เอ่ยออกมาเสียงดัง ทำให้ฉันสะดุ้ง "555+"



ฉันมองไปที่ Charlie ที่กำลังหัวเราะรื่นด้วยความแปลกใจ



ฉันมองไปที่ Edward เพื่อต้องการคำอธิบาย แต่ ริมฝีปากของ Edward นั้นเม้มแน่น ราวกับว่าเขาพยายามที่จะไม่หัวเราะตามไปด้วย


 


"โอเค ดีแล้ว" เขาหัวเราะ "แต่งงาน" แล้วเขาก็หัวเราะอีกครืนใหญ่ "แต่..."



"แต่...อะไรเหรอคะ"



"แต่หนูต้องบอกให้แม่รู้ พ่อจะไม่บอก Renee นี่เป็นหน้าที่ของหนู" แล้วเขาก็หัวเราะอีกครั้ง



คำพูดของ Charlie ทำให้ฉันรู้สึกกลัว การบอกแม่เรื่องนี้คือหายนะชัดๆ


มีใครพอที่จะรู้ถึงปฏิกริยาล่วงหน้าของแม่ได้บ้าง ฉันอาจจะต้องถาม Alice



"อ๋อ Bella" แม่เอ่ยออกมาหลังจากที่ฉันบอกว่า ฉันจะแต่งงานกับ Edward "ทำไมหนูถึงรอตั้งนานกว่าจะมองแม่ล่ะ ตั๋วเครื่องบินยิ่งแพงขึ้นไปอีก หนูคิดว่า Phil จะหาชุดทันมั้ย แม่ไม่อยากจะคิดถึงภาพเขาใส่ ทัก..."



"แม่คะ แป๊ปนึงค่ะ แม่หมายความว่ายังไงตอนที่บอกว่า แม่รอตั้งนานแล้ว หนูพึ่งหมั้น... ทุกอย่างพึ่งลงตัววันนี้เอง"



"วันนี้ จริงเหรอ ว้าววว นี่เป็นเซอร์ไพรส์เลยนะ แม่เดาว่า.."



"แม่เดาว่าอะไรค่ะ แม่เดาเมื่อไหร่เนี่ย"



"อ๋อ ก็ตอนที่หนูมาเยี่ยมแม่เมื่อเดือนเมษา ก็ดูเหมือนจะเป็นทำนองนี้อยู่แล้วนี่จ้ะ ที่รัก หนูดูออกไม่ยากหรอก แต่แม่ไม่พูดอะไรเลย เพราะแม่รู้ว่ามันคงไม่ดีเท่าไร หนูเหมือนพ่อทุกอย่างเลย" แม่ถอนหายใจ "เมื่อหนูตัดสินใจแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรอีกที่จะเปลี่ยนใจหนูได้ หนูเหมือนพ่อตรงนี้แหล่ะ"



และแล้วแม่ก็พูดในสิ่งที่ฉันคิดว่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายบนโลกที่จะได้ยินจากปากแม่



"หนูไม่ได้ทำผิดอะไรเลยลูก Bella หนูดูกลัวแม่นะ แม่รู้ดีว่าแม่เคยพูดถึงงานแต่งงานว่ามันเป็นสิ่งที่โง่เง่า และแม่ก็จะไม่เอาคำพูดเหล่านี้คืนหรอก เพียงแต่ว่า หนูควรจะเข้าใจนะว่า สิ่งเหล่านั้น แม่เห็นในมุมมองของตัวเอง แต่หนูไม่ใช่แม่ หนูเป็นคนละคน แม่เชื่อว่า ถ้าหนูได้ตัดสินใจด้วยเองแล้ว หนูจะไม่เสียใจกับมันเลยถึงแม้ว่าจะต้องทุกข์เพราะมันก็ตามที หนูมีโอกาสที่ดีกว่า ดีกว่าคนที่อายุเกือบสี่สิบปีอย่างแม่ แม่รู้ดี" Renee หัวเราะอีกครั้ง "ลูกสาวฉัน ... ค้นพบอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตเธอแล้ว"



"แม่ไม่โกรธเหรอคะ ... แม่ไม่คิดว่าหนูทำผิดเหรอ"



"อ๋อ แน่นอนจ้ะที่รัก แม่หวังว่าหนูจะรอสักสองสามปี แม่ดูเหมือนคนจะเป็นแม่สามีเหรอไง ไม่ต้องตอบหรอก เพราะมันไม่เกี่ยวกับแม่ มันขึ้นอยู่กับหนู หนูมีความสุขมั้ย"



"หนูไม่รู้"



Renee เอ่ยอย่างอ่อนโยน "เขาทำให้หนูมีความสุขรึเปล่า Bella"



"ค่ะ  แต่..."



"หนูจะต้องการคนอื่นอีกมั้ย"



"ไม่ค่ะ แต่ ..."



"แต่อะไรจ้ะ"



"แต่แม่จะไปว่าหนู ว่าหนูเหมือนวัยรุ่นใจแตก โง่ๆทั่วไปเหรอคะ"



"หนูไม่เคยเป็นวัยรุ่นเลยจ้ะ ที่รัก หนูรู้ดีว่าอะไรดีที่สุดสำหรับหนู"



ในช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา Renee ใช้เวลาในแต่ละวันปรึกษาเรื่องงานแต่งงานกับแม่ของ Edward ไม่ต้องกังวลเลยว่าทั้งคู่จะเข้ากันไม่ได้ Renee ชื่นชมในตัว Esme อย่างมาก


ทั้งครอบครัวของฉันและ Edward เป็นคนจัดการเรื่องงานแต่งงานทั้งหมด โดยที่ฉันไม่ต้องทำอะไรเลย



Charlie โมโหอย่างมาก แต่ไม่ได้โมโหฉัน เขาหาว่าแม่เป็นคนทรยศ เขากะว่าจะเล่นเธอให้หนัก


ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ได้เลย เมื่อเขาคิดว่า สิ่งเดียวที่ขู่ฉันให้กลัวได้คือการบอกแม่ กลับกลายเป็นไม่มีอะไรเลย ดังนั้นเขาจึงเดินไปรอบๆบ้าน บ่นโน่นนี่ราวกับว่าเขาไม่สามารถเชื่อใจคนอื่นในโลกได้อีกเลย


 


 


"พ่อ" ฉันเอ่ยขึ้นมา ในขณะที่กำลังผลักประตูเข้าไปในบ้าน "หนูมาถึงบ้านแล้วค่ะ"


"รอก่อน Bella อยู่ตรงนั้นแหล่ะ"


"ฮะ" ฉันหยุดทันที


"ขอเวลาพ่อสักครู่ Alice"



"ขอโทษที Charlie ... เป็นอย่างไรบ้าง"



"ผมกำลังเลือดไหล"


"คุณสบายดี Charlie ไม่ได้เป็นอะไรเลย เชื่อฉันสิ"



"เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ" ฉันเดินกระวนกระวายอยู่แถวทางเดิน



"สามสิบวินาที Bella"




"โอเค Bella เข้ามาได้เลย"



ฉันเดินตรงไปที่ห้องนั่งเล่น



"อ่อ พ่อ ทำไมพ่อถึงดู..."



"โง่เหรอ" Charlie ถาม



"หนูกำลังคิดว่า พ่อดูมีเสน่ห์มากๆเลย"



Charlie หน้าแดง Alice ไม่รีรอที่จะผลักให้ Charlie หมุนตัวให้ Bella ดูเต็มๆในชุดทักษิโด้สีเทา



"พอเถอะ Alice ตอนนี้ผมคงดูเหมือนไอ้งั่งมากเลย"



"ไม่มีใครดูเป็นไอ้งั่งหรอกนะคะ ถ้าหนูเป็นคนแต่งตัวให้"



"เธอพูดถูกต้องนะคะ พ่อ พ่อดูเยี่ยมไปเลย เนื่องในโอกาสอะไรคะ"



"มันเป็นการเช็คความพร้อมครั้งสุดท้าย สำหรับเธอทั้งคู่น่ะ"



เมื่อได้ยินดังนั้น ฉันก็หันเหสายตาจาก Charlie เป็นครั้งแรก และหันไปเห็นชุดของตัวเองวางอยู่บนโซฟา



"Aaah"



"ไปรอที่ห้องเถอะ Bella เดี๋ยวพ่อก็เสร็จแล้ว"



ฉันถอนหายใจออกอย่างหนักหน่วง ปิดตา และเดินไปที่ห้องของตัวเอง ถอดเสื้อผ้าออก และกางแขนเหยียดตรง



และ Alice ก็เข้ามาทาเล็บให้ฉัน



ในห้องของฉัน ฉันโยนเรื่องงานแต่งงานทั้งหมดทิ้งไป


เราอยู่ด้วยกันตามลำพัง มีแค่ Edward กับฉันเพียงสองคน


Edward ไม่เคยเอ่ยถึงสถานที่ที่เราจะไปฮันนีมูนกันแม้แต่ครั้งเดียว เขาตั้งใจจะเซอร์ไพรส์ฉัน


แต่สิ่งที่ฉันกังวลไม่ใช่ "ที่ไหน"



Edward กับฉันอยู่ด้วยกัน ฉันทำตามข้อตกลงทุกอย่างที่เราเคยประนีประนอมกันไว้ ฉันแต่งงานกับเขาเรียบร้อย และฉันก็รับของขวัญที่มีมูลค่ามากมายหลายอย่าง รวมถึงการไปเรียนต่อที่ Dartmouth



ตอนนี้ถึงตาเขาบ้างล่ะ ....



ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนให้ฉันเป็นแวมไพร์ เขาจะต้องทำอะไรอีกอย่างหนึ่งให้ฉันก่อน



Edward ค่อนข้างหมกมุ่นกับสิ่งที่ฉันต้องเสียสละไปในการเป็นมนุษย์ ประสบการณ์ต่างๆที่เขาไม่ต้องการให้ฉันต้องพลาดมันไป ยกตัวอย่างเช่น งานพรอม ถึงแม้ว่าจะดูไร้สาระสำหรับฉัน แต่มีประสบการณ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ฉันไม่ต้องการจะพลาดมันไป แน่นอนว่า เป็นสิ่งเดียวที่เขาหวังว่าฉันจะลืมมันไปได้เสียที



ฉันแทบจะไม่รู้ว่าฉันจะเป็นอย่างไรต่อไป ถ้าฉันไม่ใช่มนุษย์ต่อไปแล้ว ฉันได้ฟังเรื่องราวต่างๆของการเป็นแวมไพร์เกิดใหม่ จากสมาชิกในครอบครัวทุกคน


ฉันจะกระหายเลือดมาก และมันก็ต้องใช้เวลานานกว่าฉันจะได้กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง


และถึงแม้ว่าฉันจะได้กลับมาเป็นตัวเองแล้ว ฉันก็จะไม่รู้สึกแบบนี้ .... อย่างที่ฉันรู้สึกตอนนี้อีกแล้ว



รู้สึกถึงความเป็นมนุษย์ ... มนุษย์ที่ลุ่มหลงในความรัก



ฉันต้องการประสบการณ์ที่เติมเต็มชีวิตของฉัน ก่อนที่ฉันจะยอมแลกร่างกายที่อบอุ่น แสนจะเปราะบาง เพื่อความแข็งแกร่ง สวยงาม ในแบบที่ฉันไม่รู้จัก ฉันต้องการที่จะไปฮันนีมูนจริงๆกับ Edward
ถึงแม้เขาเกรงว่าจะทำให้ฉันตกอยู่ในอันตราย เขาก็ตกลงที่จะลองพยายามดู



ฉันพึ่งรู้สึกถึงการมีอยู่ของ Alice ที่เธอพยายามจะใส่ชุด satin ให้ฉัน


ฉันไม่สนใจว่าคนทั้งเมืองจะพูดถึงฉัน ไม่สนใจว่าจะต้องถูกจ้องมองสักเท่าไรในพิธี



ฉันอยู่กับ Edward ในที่ที่ฉันมีความสุขที่สุด





 

Create Date : 30 ธันวาคม 2551   
Last Update : 30 ธันวาคม 2551 15:39:06 น.   
Counter : 814 Pageviews.  


Breaking Dawn (Twilight Saga IV) - Preface

Preface (บทนำ)



ฉันเคยผ่านประสบการณ์เกือบตายหลายครั้ง แต่ยังไงมันก็ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะรู้สึกคุ้นเคยได้เลย


การที่ได้มาเผชิญกับความตายอีกครั้ง คงจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ราวกับว่าตัวฉันเป็นคนที่ถูกสาปให้ต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้


ถึงแม้ว่าฉันจะพยายามหนีสักเท่าไร แต่สิ่งนั้นก็ยังคงไล่ตามฉัน


 


แต่ครั้งนี้ แตกตากจากทุกครั้ง


 


คุณอาจจะวิ่งหนีคนที่คุณกลัวได้


คุณอาจจะสู้กับคนที่คุณเกลียดได้


 


ปฏิกริยาทุกอย่างของฉันถูกผลักดันให้รู้สึกเช่นนั้น ... สิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในตัวฉัน ... ความรู้สึกของฆาตกร


 


ไม่มีทางเลือกอื่นอีกต่อไปเมื่อคุณรักคนที่กำลังฆ่าคุณได้


 


 


คุณจะวิ่งหนีได้อย่างไร


คุณจะต่อสู้ต่อไปได้อย่างไร


เพราะถ้าคุณทำเช่นนั้น คุณจะทำร้ายจิตใจของคนที่คุณรัก


ถ้าชีวิตของคุณคือสิ่งที่คุณสามารถมอบให้คนที่คุณรักได้ ... คุณจะไม่มอบให้เขาเชียวเหรอ


โดยเฉพาะถ้าเป็นคนที่คุณรักอย่างแท้จริง ...


 






Free TextEditor




 

Create Date : 30 ธันวาคม 2551   
Last Update : 30 ธันวาคม 2551 10:41:06 น.   
Counter : 849 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  

BaTT~TaBB
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add BaTT~TaBB's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com