Q[-___-Q ma leaw ja
Group Blog
 
All Blogs
 

อาบน้ำตอนเช้าๆ ก็มีประโยชน์นะ

หลายๆ คนคงจะคิดว่าตอนเช้าๆ ไม่มีเหงื่อไม่ต้องอาบน้ำก็ได้ แต่รู้มั้ยคะว่าการอาบน้ำตอนเช้าๆ เนี่ยก็สำคัญไม่แพ้ตอนเย็นเลยนะคะ


การละเลยการอาบน้ำตอนเช้า เท่ากับการละเลยการดูแลและบำรุงผิวไปโดยปริยายนะคะ เพราะการอาบน้ำในตอนเช้าจะช่วยกระตุ้นให้ผิวตื่นตัวผิวพรรณจะเปล่งปลั่งสดใสแต่เช้าค่ะ ดังนั้น ตื่นเช้าอีกนิดนะคะ มาอาบน้ำให้สดชื่นสดใสกันแต่เช้าเลยค่ะ




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 27 กรกฎาคม 2551 21:29:25 น.
Counter : 261 Pageviews.  

กินไอศกรีมแล้วทำไมปวดหัว...?

ไอศกรีม เป็นของหวานที่น่าลิ้มลองมากอย่างหนึ่ง บางคนถึงขั้นเสพติดก็มี โดยมากคนชอบรับประทานไอศกรีมเมื่อรู้สึกร้อนและต้องการผ่อนคลาย แต่หลายคนคงเคยมีประสบการณ์ปวดแปลบขึ้นสมองในขณะที่ไอศกรีมคำแรกเข้าปาก และอาการนั้นจะค้างอยู่นานหลายวินาทีกว่าจะทุเลาลง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น


อาการปวดหัวจี๊ด…ขึ้นสมองนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะตอนกินไอศกรีมเท่านั้น กินน้ำเย็น น้ำแข็งปั่น น้ำแข็งใส ก็ปวดหัวได้เหมือนกัน อาการนี้เขาเรียก ไอศกรีม เฮดเอดซ์ส (Ice cream headache) สาเหตุเพราะว่าของพวกนี้มีความเย็นจัด เมื่อความเย็นสัมผัสเส้นประสาทในปากจะทำให้เส้นประสาททั้งหลายเกิดอาการช็อก โดยเฉพาะแถว ๆ เพดานปากด้านใน อาการช็อกนี้ยังทำให้เส้นเลือดแดงที่ส่งสัญญาณไปสมองเกิดการขยายตัวและหดตัวแบบทันทีทันใด ทำให้เปลือกหุ้มสมองมีปริมาณเลือดน้อยลง สมองจะปวดชายาวนานหลายวินาที

อาการนี้มักเกิดในช่วงที่อากาศร้อนมาก ๆ เพราะอุณหภูมิภายนอกกับภายในร่างกายแตกต่างกันเกินไป วิธีแก้อาการนี้ให้สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สักพักจะดีขึ้น และหลีกเลี่ยงการกินของเย็นจัด ๆ หากพบว่าเกิดอาการนี้เกิดกับคุณบ่อยครั้งเกินไป

รสชาติไอศกรีมบอกนิสัย (สนุก ๆ อย่าคิดมาก)

ชอกโกแลต
เป็นคนอ่อนไหว “sensitive” ช่างฝัน มักฝังใจกับคำสอนในวัยเยาว์จึงมีชีวิตอยู่ในกรอบประเพณีเสียเป็นส่วนใหญ่

วานิลา
เป็นคนอบอุ่นและเป็นที่รักของเพื่อนฝูง ใคร ๆ ก็อยากอยู่ใกล้คุณเพราะความเป็นคนง่าย ๆ ไม่เรื่องมาก จนบางทีดูเหมือนเป็นคนหัวอ่อนถูกจูงได้ง่าย

สตรอเบอรี่
เป็นคนน่ารักเข้าอกเข้าใจผู้อื่น หวานแหววแต่ขี้อาย เก็บความรู้สึกเก่ง

ช็อคโกแลตชิป
เป็นคนมองโลกในแง่ดี กระตือรือร้นและชอบเรื่องท้าทาย เป็นพวกตั้งความหวังไว้สูง บางทีดูเวอร์และมั่นเกินไปหน่อย

กาแฟ
เป็นคนที่เชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองมากจึงเหมาะที่จะเป็นผู้นำของหมู่คณะ มีความรับผิดชอบต่องานสูง และเมื่อลงมือทำทุกอย่างต้องเพอร์เฟ็ก

บันทึกช่วยจำ : ตำนานไอศกรีม
ว่ากันว่าชาติแรกที่เป็นต้นตำรับของไอศกรีมคือ จีน โดยนำหิมะจากยอดเขาสูงมาราดด้วยน้ำผลไม้ แล้วกินขณะที่น้ำแข็งยังไม่ละลาย จนศตวรรษที่ 13 ตำรับนี้ถูกนายมาร์โคโปโล นักบุกเบิกชาวอิตาลีซึ่งอยู่เมืองจีนนานถึง 16 – 17 ปี นำกลับไปทำกินบ้างในดินแดนบ้านเกิด เมื่อถึงอิตาลีมีการปรับเปลี่ยนใส่นมใส่ครีมจนกลายเป็นสูตรเฉพาะตัวไป ต่อมาไอศกรีมได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งในฝรั่งเศส อังกฤษและอเมริกา

เมืองไทยเริ่มมีไอศกรีมในสมัยรัชกาลที่ 5 เพราะไอศกรีมหรือที่คนไทยเรียกว่า ไอติม จำเป็นต้องมีน้ำแข็งมาช่วยให้น้ำหวานต่าง ๆ เย็นจัดจนกลายร่างเป็น ไอติมแท่ง ซึ่งสมัยนี้ก็มีคนนำมาทำกันใหม่ แต่ที่เด็ดสุดและเป็นสูตรเฉพาะของไทยคือ ไอศกรีมกะทิ ที่เปลี่ยนจากนมและครีมเป็นกะทิและน้ำตาล เวลากินก็ราดด้วยทอปปิ้งอย่างไทย คือ ข้าวเหนียวมูล ลูกชิด มันเชื่อม มีทั้งแบบตักใส่ถ้วย ใส่กรวยกรอบหรือใส่ขนมปัง ซึ่งอร่อยทุกแบบไม่แพ้กันเลย

คราวนี้คงจะรับประทานไอศกรีมกันอร่อยยิ่งกว่าเดิมนะคะ...





 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 27 กรกฎาคม 2551 21:38:45 น.
Counter : 262 Pageviews.  

4 ยอดอาหารธรรมชาติ

คนยุคนี้ตื่นตัวดูแลเอาใจใส่สุขภาพกันมากอย่างเห็นได้ชัด ทั้งหันมาออกกำลังกายตรวจสุขภาพ ตลอดจนพิถีพิถันเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย โดยเฉพาะผู้หญิงวัยต่าง ๆ ที่ให้ความสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับสารอาหารมากเป็นพิเศษ อาทิ แคลเซียมช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ธาตุสังกะสี และโฟเลตมีประโยชน์สำหรับหญิงตั้งครรภ์ และยังมีอาหารธรรมชาติอีกหลายชนิดที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสำหรับคุณผู้หญิง ซึ่งถ้ามีติดตู้เย็นไว้บ้าง ก็จะดีต่อสุขภาพไม่น้อยเลยทีเดียว


1. อาหารลดคอเลสเตอรอล
แอปเปิล
ผลไม้หวานกรอบที่เหล่าสา วๆ มักชอบเคี้ยวกรุบกรอบกัน มีทั้งสีแดงและเขียว มีไฟเบอร์ที่ย่อยสลายได้ง่าย ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ดี แอปเปิลมีธาตุโบรอนเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง และยังช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือด แอปเปิลขนาดกลาง 1 ลูก ให้พลังงานประมาณ 80 แคลอรี

อะโวคาโด
บ่อยครั้งที่ผลไม้ชนิดนี้มักถูกเรียกว่า "ผลไม้เนย" ด้วยความที่มันให้ปริมาณไขมันสูง แต่เป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัวแบบเดี่ยว ดังนั้นอะโวคาโดจึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ อะโวคาโดมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งจะช่วยรักษาระดับของเหลวในร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุล อะโวนาโดที่ขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตส่วนใหญ่มาจากฟลอริด้า (เปลือกนอกเรียบสีเขียว) มีน้ำมาก ไขมันน้อย มีแคลอรีน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของอะโวคาโดฮาส์ (เปลือกสีเขียวเข้ม) ซึ่งในน้ำหนักครึ่งปอนด์ให้พลังงานสูงถึง 305 แคลอรี แต่อะโวคาโดฟลอริด้าให้พลังงานเพียง 170 แคลอรี

ข้าวบาร์เลย์
การวิจัยทางการแพทย์พบว่าข้าวบาร์เลย์มีคุณสมบัติช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล เพราะข้าวบาร์เลย์มีปริมาณไฟเบอร์สูง มีแมกนีเซียมช่วยรักษากระดูกให้แข็งแรง ส่วนวิตามินบีจะรักษาการทำงานของระบบประสาทให้เป็นปกติ ในครัวตะวันออกกลางข้าวบาร์เลย์มักอยู่ในรูปกผลิตภัณฑ์เมล็ดธัญพืช .แต่ครัวอเมริกันนำข้าวบาร์เลย์มาทำสลัดธัญพืช หรือพีลาฟ บาร์เลย์สุก 1 ถ้วย ให้พลังงานประมาณ 270 แคลอรี

ปลาและสัตว์น้ำที่มีเปลือก เช่น ปู กุ้ง หอยต่าง ๆ
นอกจากพืชผักผลไม้แล้ว ปลาก็จัดเป็นอาหารบำรุงสมองชั้นเลิศ เพราะมีกรดโอเมก้า-3 ซึ่งเป็นไขมันคุณภาพสูงที่ร่างกายต้องการ มีวิตามินบีช่วยเสริมความจำ ช่วยละระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ชาวญี่ปุ่นเป็นนักกินปลาตัวยงจึงมีอัตราเป็นโคหัวใจต่ำ ฉะนั้นถ้าคุณอยากมีหัวใจที่แข็งแรงต้องหันมากินปลาให้มาก ๆ โดยเฉพาะผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงพักฟื้น ร่างกายมีความต้องการปลา และกรดโอเมก้า-3 ซึ่งเป็นสารอาหารจำเป็นต่อการพัฒนาทางด้านสมองของทารกในครรภ์ รวมทั้งเด็กทารกในวัยกำลังเจริญเติบโต ปลาและสัตว์น้ำมีเปลือก 3 ออนซ์ มีแคลอรีประมาณ 65 - 140 (เปรียบเทียบกับเนื้อวัวขนาดเท่ากันให้พลังงานถึง 230 แคลอรี)

น้ำมันมะกอก
นิยมบริโภคกันมากในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนในบ้านเราก็นำมาปรุงอาหารบางชนิด น้ำมันมะกอกเป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงาน 125 แคลอรี

2. อาหารชะลอวัย

กะหล่ำปลี
มีสารต้านอนุมูลอิสระ ไฟเบอร์ และวิตามินซี ซึ่งมีสรรพคุณช่วยสร้างและดูแลคอลลาเจน (เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง) ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ช่วยสร้างเนื้อเยื่อใหม่ทำให้ผิดดูอ่อนเยาว์ กะหล่ำปลีดิบ 1 ถ้วย ให้พลังงาน 20 แคลอรี

ผลไม้รสเปรี้ยว
อุดมไปด้วยวิตามินซี ป้องกันผิวหนังจากความแห้งกร้านและริ้วรอยฟกช้ำต่าง ๆ ผลไม้จำพวกนี้มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ รวมทั้งโรคมะเร็ง ส้มโอครึ่งลูกให้พลังงานประมาณ 40 แคลอรี

กีวี
ผลกีวี 1 ลูก ให้วิตามินซี 74 มิลลิกรัม วิตามินซี ช่วยบรรเทาอาการของโรคหวัดได้ทั้งยังเป็นผลไม้ที่ให้ไฟเบอร์สูง กีวี 5 ลูกให้พลังงานประมาณ 45 แคลอรี

พริก
ไม่ว่าพริกหวาน พริกหยวก หรือพริกเผ็ด ต่างก็มีวิตามินซีในปริมาณที่เกือบเท่ากับส้ม พริกหวานสีแดงมีแคโรทีนอยด์ช่วยป้องกันมะเร็ง ส่วนแคปไซซินที่ทำให้พริกมีรสเผ็ดนั้นจะกระตุ้นให้สมองผลิตสารเอนดอฟิน ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย พริกเผ็ดยังดีต่อระบบหายใจคือช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น พริกเผ็ดหรือพริกหวาน 1 เม็ด ให้พลังงาน 20 แคลอรี

มะม่วงและมะละกอ
เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีและวิตามินเออยู่มาก รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัย มะม่วงยังมีวิตามินบี 1 และวิตามินบี 6 เสริมพลังงานและสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย มะม่วงครึ่งลูกและมะละกอ 1 ถ้วย ให้พลังงาน 65 แคลอรี

3. อาหารต้านมะเร็ง

แอปริคอตและลูกพีช
ทั้งสองชนิดเป็นผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีนเป็นส่วนประกอบสำคัญ ช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด แอปริคอตตากแห้งมีโพแทสเซียม และธาตุเหล็กปริมาณสูง แอปริคอตสด 1 ลูก ให้พลังงาน 17 แคลอรี แอปริคอตแห้งครึ่งถ้วยให้พลังงาน 77 แคลอรี ลูกพีชสดให้พลังงาน 35 แคลอรี

ผลไม้วงศ์แตง และฟักทอง
มีเบต้าแคโรทีนซึ่งเป็นสารต้านมะเร็ง รวมทั้งอุดมไปด้วยไฟเบอร์ และโพแทสเซียม ฟักทองบด 1 ถ้วย ให้พลังงาน 50 แคลอรี และแตงหั่นลูกเต๋า 1 ถ้วย มีพลังงาน 80 แคลอรี

กะหล่ำดอก
ผักตระกูลกะหล่ำทุกชนิดมีซัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งชนิดหนึ่ง อีกทั้งเป็นแหล่งไฟเบอร์ โพแทสเซียม วิตามินซี และโฟเลต กะหล่ำดอกสุก 1 ถ้วยให้พลังงาน 30 แคลอรี

มะเขือยาว
เป็นผักสำคัญสำหรับนักทานมังสวิรัติ มะเขือยาวประกอบด้วยน้ำย่อยโปรตีนที่เรียกว่า โพรทีแอส (protease) ซึ่งเป็นตัวต้านมะเร็ง ในมะเขือยาวยังมีโพแทสเซียมและไฟเบอร์ปริมาณสูง ช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ มะเขือยาวสุก 1 ถ้วย มีพลังงาน 25 แคลอรี

เต้าหู้และถั่วเหลือง
อาหารหลักของชาวเอเชีย ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ก้อน น้ำเต้าหู้ ฯลฯ เป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ จากการวิจัยพบว่าเต้าหู้และถั่วเหลือง ช่วยลดการเกิดมะเร็งได้หลายชนิด เต้าหู้และถั่วเหลืองมีธาตุเหล็กและแคลเซียมสูง ซึ่งมีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับผู้หญิง ผลวิจัยยังระบุอีกว่าเต้าหู้และถั่วเหลือง ช่วยบรรเทาอารมณ์แปรปรวนของผู้หญิงในช่วงใกล้หมดระดูได้ด้วย ถั่วเหลืองสุก 1 ถ้วย ให้พลังงาน 235 แคลอรี เต้าหู้ครึ่งถ้วยให้พลังงาน 95 แคลอรี

4. อาหารลดความเครียด

กล้วย
ไม่เพียงแต่เป็นผลไม้ราคาถูกเท่านั้น แต่ยังให้คุณค่ามหาศาล กล้วยมีวิตามินบี 6 โพแทสเซียม และไฟเบอร์ที่ย่อยสลายได้ ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร จากงานวิจัยของดร.จีน คาร์เพอร์ นักโภชนาการ ยืนยันว่ากล้วยช่วยบรรเทาอาการปั่นป่วนในท้องทีเกิดจากอาหารไม่ย่อยได้ กล้วย 1 ลูกใหญ่ ให้พลังงาน 105 แคลอรี

เห็ด
เป็นแหล่งวิตามินบี ช่วยบำรุงระบบประสาทให้เป็นปกติ และทำให้จิตใจสงบผ่อนคลาย เห็ดจัดอยู่ในจำพวกผักให้โปรตีน ผลวิจัยพบว่าเห็ดจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย แต่ทั้งนี้ต้องทำให้สุกก่อนทาน เพราะเห็ดดิบมีธาตุไฮดราซินซึ่งหากทานเข้าไปมาก ๆ อาจก่อให้เกิดเนื้องอกได้ เห็ดสุกครึ่งถ้วย มีพลังงาน 20 แคลอรี

พาสต้า
เป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยลดความตึงเครียดได้ พาสต้าสุก 1 ถ้วย ให้พลังงาน 190 แคลอรี

มะเขือเทศ
เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตอีกประเภทหนึ่งที่ช่วยบรรเทาความเครียด ที่สำคัญมีวิตามินซีมาก มีไฟเบอร์ที่ย่อยสลายได้ มีโพแทสเซียมและวิตามินบี นอกจากนี้ยังอุดมด้วยเบต้าแคโรทีน ช่วยป้องกันมะเร็ง มะเขือเทศสุก 8 ออนซ์ มีพลังงาน 220 แคลอรี ส่วนมะเขือเทศบดละเอียด ? ออนซ์ ให้พลังงาน 117 แคลอรี

ขนมปังโฮลวีต
ขุมพลังโภชนาการที่สำคัญ ขนมปังโฮลวีตทำจากข้าวสาลีซึ่งเป็นแหล่งวิตามินบี ซีลีเนียม และยังประกอบด้วยวิตามินอี และโคไลน์ (choline) ที่ช่วยให้ความจำดี ข้าวสาลี 1 ถ้วย ให้พลังงาน 100 แคลอรี ขนมปังโฮตวีต 1 แผ่น ให้พลังงาน 70 แคลอรี

อาหารธรรมชาติเป็นสิ่งที่พระเจ้าคัดสรรมาอย่างดีแล้วสำหรับมนุษย์ ฉะนั้นหากเรารู้จักเลือกกินแต่ของดีก็ย่อมเป็นการเพิ่มพลังให้ชีวิตสดใสและอายุยืนยาว




 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 27 กรกฎาคม 2551 21:21:31 น.
Counter : 259 Pageviews.  

คำเตือน"สุขภาพกายกับการใช้โทรศัพท์มือถือ

... คำเตือน "ยามนอน อย่าได้นำโทรศัพท์มือถือมากอดไว้แนบกายเสมือนหนึ่งตุ๊กตาแสนรัก หรืออย่าได้วางไว้ใต้หมอนเวลาใช้งานแทนนาฬิกาปลุก พยายามวางให้ห่างตัวไว้ 20-30 ซม. เป็นอย่างน้อย" แม้ไม่ได้ใช้แทนนาฬิกาปลุก แต่ก็มีหนุ่มสาวหลายคนซุกโทรศัพท์มือถือไว้ใต้หมอนบนเตียงนอน ใครจะไปรู้ว่าหวานใจจะโทรมาเมื่อใด ยิ่งหยิบรับได้ไว ยิ่งสื่อบอกความในใจ เป็นการทำคะแนนไปส่วนหนึ่งแล้ว


ประมินทร์ กุลพิจิตร บทความจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

ทำไมต้องมีคำเตือนอย่างข้างต้น อย่าลืมว่ามีคำถามหนึ่งที่ถูกถามนับหลายร้อยครั้ง โดยผู้ใช้โทรศัพท์มือถือหลายร้อยหลายพันคน แต่ยังไม่เคยได้รับคำตอบที่กระจ่างชัด นั่นก็คือ การใช้โทรศัพท์มือถือนั้น เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ ทุกวันนี้ ไม่มีข้อเท็จจริงที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ถึงผลร้ายที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตจากการใช้โทรศัพท์มือถือ นักวิทยาศาสตร์ทุกคนต่างยอมรับว่า มีผลกระทบอยู่บ้าง โดยสามารถตรวจจับได้ด้วยกระบวนการทางการวิจัยอันทันสมัย

แต่กระนั้นก็ยังไม่มีใครสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำถึงธรรมชาติอันแท้จริงของมัน นักวิทยาศาสตร์ผู้ทำการทดลอง เพื่อประเมินผลกระทบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมาจากตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือสู่สัตว์ทดลอง และตัวมนุษย์ได้ผลลัพธ์ที่บอกเราให้ทราบเฉพาะในบางเรื่องเท่านั้น ภาพโดยรวมของผลกระทบที่แท้จริง ยังคลุมเครือไม่ชัดเจน

การศึกษาหนึ่งที่ทำกันเป็นระยะเวลา 2 ปี ในประเทศฟินแลนด์ โดย Radiation and Nuclear Safety Authority ซึ่งมุ่งเป้าหมายไปที่ผลกระทบของโทรศัพท์มือถือ ที่มีต่อสุขภาพของมนุษย์ ได้ผลสรุปออกมาว่า การได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถือ มีผลกระทบบางประการต่อสุขภาพของมนุษย์ า

อย่างไรก็ตาม นับเป็นการยากที่จะสรุปลงไปในตอนนี้ เพราะยังไม่ค่อยมีการศึกษา ที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยา ที่เกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์ อันสืบเนื่องจากสาเหตุนี้ ข้อมูลที่ได้เพียงทำให้ทราบว่า มีการตอบสนองทางชีววิทยาบางอย่างเกิดขึ้น ปฏิกิริยาตอบสนองนี้แม้ไม่ได้เป็นปัญหาที่คุกคามชีวิต แต่ก็สร้างความวิตกกังวลให้ไม่น้อย มีกลุ่มนักวิจัยชาวสวีเดนกลุ่มหนึ่งได้ชี้ให้เห็นถึงความเกี่ยวโยงกันระหว่างโรคความจำเสื่อมกับการใช้โทรศัพท์มือถือ

นักวิทยาศาสตร์แห่ง Bristol University และ British Queen"s hospital ได้ทำการทดลองภายใต้การนำของ ดร. Alan Preece เพื่อค้นหาผลกระทบระยะสั้นที่โทรศัพท์มือถือ มีต่อสุขภาพ อาสาสมัครที่เข้าร่วมถูกกำหนดงานให้ทำในต่างสภาวะกัน เพื่อตรวจเช็คความสามารถทางปัญญา กลุ่มหนึ่งทำงานอยู่ภายใต้อิทธิพลของคลื่นไมโครเวฟจากเครื่องโทรศัพท์ระบบดิจิทัล อีกกลุ่มหนึ่งจากเครื่องโทรศัพท์ระบบอนาล็อก และกลุ่มสุดท้ายทำงาน โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโทรศัพท์มือถือแต่อย่างใด นักวิจัยกลุ่มนี้พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่มีนัยสำคัญเกิดขึ้นกับความจำระยะสั้น หรือทำให้สมาธิน้อยลงหลังได้รับอิทธิพลจากคลื่นนาน 30 นาที ยิ่งไปกว่านั้น การทดสอบทางการเห็นแสดงว่า เวลาที่ใช้ในการตอบสนองของสมองยังลดลงภายใต้อิทธิพลของโทรศัพท์มือถือ

ในปีเดียวกัน MedScape ออกบทความหนึ่งที่ถูกนำเสนอโดยทีมวิจัยชาวสวีเดน การทดลองนี้ใช้ผู้ป่วย 233 คน นักวิทยาศาสตร์ศึกษาถึงความเป็นไปได้ของ การเกิดเนื้องอกขึ้นในบริเวณของสมอง ที่ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากเรดิโอโฟนมากที่สุด การวิเคราะห์ทางสถิติแสดงว่า สมองบริเวณนี้มีความเสี่ยงต่อการเป็นเนื้องอกสูงกว่าส่วนอื่น อย่างไรก็ตาม ความจริงนี้เป็นเพียงแค่สัญญาณเตือนแต่ยังไม่ใช่เหตุผลที่ดีที่จะฟันธงลงไปได้เลย เพราะมีคนไข้ 12 คนใน 13 คนที่เป็นเนื้องอกชนิดมะเร็ง และไม่ใช่มะเร็งที่ใช้โทรศัพท์ระบบอนาล็อกที่มีการแผ่รังสีสูง

จะเห็นได้ว่าข้อมูลถึงผลกระทบต่อสุขภาพจาก การใช้โทรศัพท์มือถือเท่าที่มีอยู่นี้ ยังไม่ได้ทำให้คำตอบที่ประจักษ์ชัดแต่อย่างใด เราอาจต้องรอฟังผลไปอีก 10 ปีข้างหน้า ต้องรอใช้ไปจนแก่เสียก่อน หรือไม่ก็รอให้ลูกหลานหาคำตอบให้ นักวิชาการว่าอิทธิพลของเทเลคอมมูนิเคชั่นยังเป็นเรื่องใหม่เกินกว่าจะพูดอะไรได้ชัดเจนในตอนนี้ บ้างว่าอาจจะไม่มีผลกระทบอะไรตามมาเลย ระบบภูมิคุ้มกันที่ได้มาแต่กำเนิด ช่วยให้มนุษย์สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม สรุปได้ว่าทุกวันนี้ ยังไม่มีข้อเท็จจริงที่จะทำให้เราทราบได้แน่ชัดว่าการแผ่รังสีของ เครื่องโทรศัพท์มือถือนั้น ปลอดภัยต่อสุขภาพแค่ไหน การขาดข้อเท็จจริงทางวิชาการยังคงสร้างเสียงร่ำเสียงลือกันไปต่างๆ นานา ได้อีกนาน

เสียงที่ได้จากการทำโพลล์แสดงให้เห็นว่า ผู้ใช้มือถือส่วนใหญ่คิดว่า เมื่อเทียบกับแฮนด์ฟรีแล้วตัวเครื่องจะมีอันตรายต่อสุขภาพ แต่พูดลงตัวเครื่องมีความสะดวกกว่ามาก จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมผู้ใช้จึงไม่ค่อยนิยมแฮนด์ฟรีกัน การใช้โทรศัพท์มือถือมีผลร้ายต่อสุขภาพมากน้อยแค่ไหน และจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่นั้น แม้ยังไม่มีหลักฐานใดยืนยันแต่ก็ควรให้ความระมัดระวังในการใช้ โดยมีคำแนะนำที่ปฏิบัติตามได้ง่ายไม่ยากดังต่อไปนี้

- ถ้าเป็นไปได้ให้ใส่ไว้ในกระเป๋าถือหรือย่ามสะพาย ซึ่งคุณผู้หญิง ส่วนใหญ่มักจะทำเช่นนี้อยู่แล้ว ในขณะที่คุณผู้ชายมัก จะเหน็บติดตัว

- อย่าเอาโทรศัพท์มือถือมากอดนอน พยายามวางไว้ห่างตัวอย่างน้อย 20-30 ซม. เวลาใช้เป็นนาฬิกาปลุก ก็อย่าวางไว้ใต้หมอน

- การใช้ Bluetooth ทำให้เราสามารถวางมือถือห่างตัวได้ถึง 10 เมตร และการแผ่รังสีจาก Bluetooth ต่ำกว่าของตัวโทรศัพท์เอง ถ้าอุปกรณ์นี้มีราคาแพงเกินให้เลือกใช้แฮนด์ฟรีแทน

- ถ้าใช้โทรศัพท์มือถือในรถบ่อย ควรหาซื้อชุดติดตั้งรถยนต์

- อย่าพยายามเปิดหน้ากากมือถือทิ้งไว้หรือปิดเสาอากาศ เพราะอาจทำให้เครื่องเสื่อมสภาพหรือ ไปเพิ่มกำลังรับส่งในโหมด standby

- ใช้เสาอากาศนอกถ้าเป็นไปได้ จะช่วยลดกำลังในการเพิ่มสัญญาณ ขณะเดียวกัน ก็เป็นการลดผลกระทบลงด้วยเช่นกัน

- ระบบอนาล็อกรุ่นเก่ามีผลกระทบสูงสุดต่อร่างกายมนุษย์ เมื่อเทียบกับระบบดิจิทัลรุ่นใหม่ นึกถึงเรื่องนี้ไว้ด้วยเวลาเลือกใช้

- ความปลอดภัยของโทรศัพท์ไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่เป็นเพราะมีชิ้นส่วนประกอบที่ล้ำหน้ากว่า และทำงานได้ดีในกำลังส่งต่ำ

- โทรศัพท์ที่มีกำลังสูงจะมีผลสูงสุดต่อร่างกาย บางรุ่นมีกำลังรับที่ดีมาก แต่พอพูดไปได้ 5 นาทีก็รู้สึกว่าหูร้อนแล้ว และนี่เป็นเพียงแค่ผลกระทบภายนอกที่เรารู้สึกได้เองเท่านั้น ส่วนผลกระทบภายในใครจะไปบอกได้ เพียงหวังไว้ว่าในอนาคตคงไม่ต้องเห็นข้อความเตือนว่า การใช้โทรศัพท์มือถือมีอันตรายต่อ สุขภาพเหมือนดังที่ปรากฏบนซองบุหรี่ เพราะที่ผ่านมา ก็โดนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากันไม่รู้จักเท่าไรแล้ว ...





 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 27 กรกฎาคม 2551 21:49:37 น.
Counter : 237 Pageviews.  

กินผลไม้ถูกเวลา...มากคุณค่า

คนส่วนใหญ่ทราบว่าเราควรกินผลไม้เพราะจะได้คุณค่าสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ กรดอะมิโน กรดไขมันต่างๆ ที่จำเป็น ซึ่งจะเป็นกำลังเสริมให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ผลไม้บางครั้งยังเป็นเหมือนยาบำบัดที่ธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ เช่นในวันที่อากาศร้อนๆ หากได้ลิ้มรสแตงโมสักชิ้นก็ทำให้ฉ่ำชื่นใจคลายร้อนไปได้มาก หรือคุณอาจเคยได้ยินว่ากินกล้วยน้ำว้าแล้วจะทำให้คลายจากท้องผูก แถมยังทำให้อารมณ์ดี เพราะเชื่อว่าในกล้วยมีสาร Tryptophan เมื่อกินเข้าไปจะเปลี่ยนเป็น Serotonin ที่เป็นสารสร้างความสุขให้กับคนเรา แต่ก็เชื่อว่าหลายๆ คนยังมองการกินผลไม้เป็นเรื่องรอง มีก็กิน ไม่มีก็ไม่กิน หรือบางคนตั้งใจกินผลไม้แต่กินผิดเวลา คุณค่าที่ควรจะได้จากผลไม้ที่กินเข้าไปก็เลยลดลงอย่างน่าเสียดาย


ร่างกายคนเราเหมาะจะย่อยผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์
หนังสือขายดีไปทั่วโลกชื่อ Fit for Life ของนักบรรยายเรื่องโภชนาการชาวอเมริกัน ฮาร์วีย์ และมาริลีน ไดมอนด์ ได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกินผลไม้จนเราอดไม่ได้ที่ต้องนำมาถ่ายทอดสู่กันฟังว่า ที่จริงแล้วเมื่อสืบค้นถึงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์มนุษย์ อย่างที่ ดร.อลัน วอล์คเกอร์ นักมานุษยวิทยาคนสำคัญ ได้เผยผลการศึกษาในหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2522 นั้น ดร.วอล์คเกอร์ได้ศึกษาอย่างละเอียดทั้งจากหลักฐานโครงกระดูกและฟันของมนุษย์ ตลอดจนซากฟอสซิลต่างๆ เขายืนยันว่ามนุษย์นั้นแต่เดิมไม่ใช่เป็นพวกที่กินเนื้อ เมล็ดพืช หรือแม้แต่ผักหญ้าใดๆ หากแต่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการเก็บผลไม้มากิน ธรรมชาติได้สร้างร่างกายคนให้รองรับกับการกินผลไม้เป็นอาหารตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เพิ่งมามีช่วงศตวรรษที่ผ่านมานี้เองที่เราหันไปกินเนื้อสัตว์กันมากขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งผลตามมาก็คือ ร่างกายต้องปรับตัวอย่างหนัก บางครั้งปรับตัวไม่ไหวก็กลายเป็นพิษ เห็นจากอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นของโรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน หรือมะเร็งนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งเม็ดเลือด เต้านม ตับ กระเพาะอาหาร ฯลฯ ขณะที่การกินผลไม้เป็นวิธีสำคัญที่ช่วยล้างพิษ เพราะผลไม้ส่วนใหญ่มีน้ำประกอบอยู่ในปริมาณ 80-90% ทั้งมีกากใย จึงช่วยกวาดล้างพิษต่างๆ ซึ่งคั่งค้างในร่างกายให้ออกไปโดยการขับถ่าย ดังนั้นเมื่อรวมกับสารอาหารที่เราได้จากผลไม้แล้ว จึงนับว่าเป็นอาหารที่ให้ประโยชน์กับร่างกายสูงกว่าอาหารอีกหลายชนิด ในข้อแม้ว่าต้องกินอย่างถูกต้องและเหมาะสมจริงๆ

นอกจากให้สารอาหารต่างๆ แล้ว ไดมอนด์ยังยืนยันว่าการกินผลไม้ แม้จะมีน้ำตาล คาร์โบไฮเดรต และแคลอรีสูง แต่ไม่ได้ทำให้เราอ้วนแบบการกินอาหารชนิดอื่นๆ โดยอ้างถึงผลงานวิจัยของ ศ.จูดิท โรแดง จากมหาวิทยาลัยเยล ที่ได้แถลงผลงานวิจัยของเธอในเดือน ต.ค.ปี 2526 เกี่ยวกับน้ำตาลในผลไม้มีผลต่อการกินอาหารมื้อต่อไปได้ลดลง โดยทดลองให้คนดื่มน้ำหวานจากน้ำตาลฟรุคโตสที่ได้จากผลไม้กลุ่มหนึ่ง เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่ให้กินน้ำหวานจากน้ำตาลซูโครส แล้วให้ทั้งสองกลุ่มกินอาหารมื้อต่อไป พบว่ากลุ่มที่กินน้ำตาลผลไม้จะกินอาหารมื้อต่อไปได้น้อยกว่าอีกกลุ่มเฉลี่ยถึง 479 แคลอรี ขณะที่ ดร.วิลเลียม คาสเทลลี จากฮาร์วาร์ด และศูนย์ศึกษาโรคหัวใจฟรามิงแฮม (แมสซาชูเส็ท) พบว่าสารหลายชนิดที่พบในผลไม้มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหัวใจวายได้ โดยช่วยป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวหนาจนไปอุดตันในหลอดเลือด นอกจากนี้ร่างกายจะใช้เวลาในการย่อยและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้ไปใช้ในร่างกายเพียง 20-30 นาทีเท่านั้น แถมยังใช้พลังงานสำหรับการย่อยน้อยมาก (โดยเฉพาะผลไม้ที่มีน้ำมาก เช่น ส้ม องุ่น ในขณะที่หากเป็นกล้วย ทุเรียน อินทผลัม ซึ่งมีน้ำน้อยจะใช้เวลาย่อยนานขึ้น) ซึ่งต่างกับการกินอาหารชนิดอื่น เช่น ข้าว เนื้อสัตว์ ฯลฯ จะต้องใช้พลังงานในการย่อยอย่างสูง ใช้เวลานานตั้งแต่ชั่วโมงครึ่ง ถึง 4 ชั่วโมง หรือหากกินอาหาร หลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น เนื้อสัตว์ แป้ง ในปริมาณมากๆ อาจใช้เวลาย่อยนานถึง 8 ชั่วโมง ใช้พลังงานไปกับการย่อยเต็มที่ ผลก็คือ ทำให้เรารู้สึกเพลีย ง่วงเหงาหาวนอนหลังอาหารมื้อนั้น ซึ่งอาการนี้จะไม่เกิดเลยหลังจากที่เรากินผลไม้เข้าไป

กินผลไม้ตอนท้องว่าง...ได้ประโยชน์สูงสุด
ไดมอนด์เสนอแนวความคิดว่าน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกายจะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้อย่างถูกวิธี คือการกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหารอื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไปตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ การห้ามกินผลไม้หลังอาหารนั้นเพราะเมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลาย่อยประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็กได้เลยก็จะต้องถูกขัดขวางจากอาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหารและผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้ ทั้งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ ดร.เฮอร์เบิร์ต เอ็ม. เชลตัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโภชนาการของสหรัฐฯ ที่เน้นว่าคุณค่าของผลไม้จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง แต่หากใครที่กินผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไร ก็แสดงว่าร่างกายคุณปรับตัวได้ดี แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น

ดังนั้นหากใครที่กินอาหารแล้วต้องการกินผลไม้ตาม ควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้านั้นย่อยหมดก่อน แล้วจึงค่อยกินผลไม้ หากเป็นอาหารเบาๆ เช่น สลัดผักสด ใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมง หรือหากคุณเพิ่งกินอาหารหนักอย่างเช่น ข้าว หรือเนื้อสัตว์ ที่ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ก็อาจต้องรออย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือกินอาหารหลายๆ อย่างรวมกัน มีกากใยน้อย ย่อยยากขึ้น ก็อาจใช้เวลามากถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งไม่แนะนำให้กินผลไม้ตามไปในช่วงเวลานั้นเลย

ตามแนวคิดนี้ เวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ควรจะกินผลไม้หรือดื่มน้ำผลไม้ คือ ช่วงเช้าของทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่นจนถึงเที่ยง เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายสะสมพลังงานไว้เต็มเปี่ยมตลอดคืน ดังนั้นเวลาตื่นจะเป็นช่วงที่ร่างกายสดชื่นที่สุด จึงไม่ควรจะสูญเสียพลังงานที่มีค่าของวันนี้ไปเปล่าๆ กับการย่อยอาหารนานๆ แต่การกินผลไม้ที่ใช้พลังงานในการย่อยต่ำจะช่วยให้เรามีพลังงานเหลือเฟือไว้ใช้ประโยชน์กับกิจกรรมอื่นๆ ของชีวิต และดูดซึมสารอาหารที่ควรจะได้รับอย่างเต็มที่ รวมทั้งได้กากใยช่วยชับของเสียที่สะสมมาจากวันก่อน ทั้งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลง โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าวเราสามารถกินผลไม้ได้มากเท่าที่อยากกิน และเว้นระยะประมาณสักครึ่งชั่วโมงจึงค่อยกินอาหารมื้อกลางวัน หากทำแบบนี้ได้เป็นประจำ ร่างกายเราก็จะได้รับสารอาหารสำคัญจากผลไม้เต็มที่ ช่วยให้เราคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ดี มีอายุยืน สุขภาพดี กระชุ่มกระชวย อยู่เสมอ

มาตรฐานคือ ต้อง “สด” 100%
ผลไม้ที่เราจะกิน หรือน้ำผลไม้ จะเป็นชนิดไหนก็ได้ สำคัญที่สุดคือ ต้อง “สด” 100% ไม่ได้ผ่านความร้อน การหมักดอง หรือการปรุงรสใดๆ เพราะร่างกายเราจะนำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดเมื่อมันอยู่ในสภาพธรรมชาติเท่านั้น แต่ผลไม้ที่ผ่านความร้อนปรุงเป็นอาหาร จะสูญเสียคุณค่าในตัวเองไปหมดแล้ว หากเป็นน้ำผลไม้ก็ควรเลือกดื่มชนิดที่คั้นสด 100% จะดีกว่าชนิดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน หรือน้ำผลไม้ที่ผสมจากหัวเชื้อเข้มข้น ซึ่งแบบนั้นจะไม่ได้คุณค่าอาหารแบบที่น้ำผลไม้คั้นสดจะให้ได้ ดื่มน้ำผักหรือผลไม้คั้นสดแทนการดื่มชา กาแฟ ในยามเช้า ก็เป็นหนทางสู่การมีสุขภาพดี แถมยังช่วยให้แต่ละวันของคุณเป็นวันที่แจ่มใสได้อีกด้วย

แนวคิดของไดมอนด์ที่ปรากฏในหนังสือนั้นเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการดูแลสุขภาพร่างกายให้สอดคล้องกับที่ธรรมชาติสร้างมา ให้ใครสนใจอาจลองนำไปปฏิบัติตามได้ไม่เสียหลายนะคะ




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2551 7:12:14 น.
Counter : 248 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  

นากาชิม่า
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Tried to take a picture
Of love
Didn't think I'd miss her
That much
I want to fill this new frame
But it's empty

Tried to write a letter
In ink
It's been getting better
I think
I got a piece of paper
But it's empty
It's empty

Maybe we're trying
Trying too hard
Maybe we're torn apart
Maybe the timing
Is beating our hearts
We're empty

And I even wonder
If we
Should be getting under
These sheets
We could lie in this bed
But it's empty
It's empty
Friends' blogs
[Add นากาชิม่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.