Q[-___-Q ma leaw ja
Group Blog
 
All Blogs
 

มากินต้านอนุมูลอิสระกันเถอะ





ปัจจุบันนี้หลายคนคงคุ้นหูกับคำว่า "อนุมูลอิสระ" กันมากขึ้นและอนุมูลอิสราะคืออะไร เรามีเฉลยมาฝากกันดังนี้



อนุมูลอิสระอธิบายตามความเข้าใจอย่างง่ายๆก็คือสารต่างๆที่เป็นพิษต่อร่างกายซึ่งมีทั้งภายในและภายนอก โดยสารอนุมูลอิสระภายในร่างกายจะมีระบบของแอนติออกซิแด้นท์ขจัดออกไป



แต่ถ้าร่างกายได้รับสารอนุมูลอิสระจากภายนอกมากเกินไป ตัวอย่างเช่น ได้รับจากอาหารบางชนิดที่มีไขมันสูงหรือจากสิ่งแวดล้อม เช่น แสงอาทิตย์ซึ่งมีรังสีอุลตร้าไวโอเลต การแผ่รังสี (radiation) รังสี x-ray หรือจากมลพิษ เช่น ควันบุหรี่ ก๊าซจากท่อไอเสียรถยนต์ สารเหล่านี้หากได้รับเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่มากเกินกว่าความสามารถของแอนตี้ออกซิแด้นท์ในร่างกายจะขจัดหมดย่อมก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้



อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารเพื่อต้านอนุมูลอิสระนับเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สะดวกและง่ายต่อการดูแลสุขภาพ โดยล่าสุดนักวิจัยได้ค้นพบอาหารที่อุดมไปด้วยแอนตี้ออกซิแด้นท์ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการทดลองในวิธีอื่นๆแล้ว การเลือกรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจะให้ผลดีกว่านั่นเอง



อาหารชนิดใดบ้างที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหรือแอนตี้ออกซิแด้นท์? เช่นวิตามินอีมีในน้ำมันพืชต่างๆ น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย เมล็ดทานตะวัน เมล็ดอัลมอนด์ หรือเบต้าคาโรทีนสูงได้แก่ ผักใบเขียว (ตำลึง และ ผักบุ้ง)



อาหารที่มีสีเหลือง (มะละกอสุก มะม่วงสุก มะเขือเทศ ฟักทอง) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ มะเร็ง โรคเกี่ยวกับสายตา ตลอดจนป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย



ทั้งนี้อาหารทะเล ไข่แดง และเครื่องในสัตว์เป็นอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูงไม่ควรกินเป็นประจำสำหรับผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง



ดังนั้นคนเราจึงควรกินผักและผลไม้ซึ่งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระกันเป็นประจำและสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพที่ดีในอนาคต



โดยทีมนักวิจัยระดับนานาชาติสำรวจพบว่ามีผลไม้และผักสดมากกว่าพันชนิดที่มากคุณค่าด้วยแอนตี้ออกซิแด้นท์ได้แก่ ผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ เช่น ราสเบอร์รี่, แบล็คเบอร์รี่, สตรอเบอร์รี่, แครนเบอร์รี่, บลูเบอร์รี่ กาแฟ (ทานในปริมาณที่พอเหมาะ) และวอลนัทเป็นต้น



นอกจากนี้การควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสมด้วยการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์และไม่งดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง พร้อมกับการออกกำลังเป็นประจำ หลีกการสูบบุหรี่และลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ก็สามารถช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้เช่นเดียวกัน




 

Create Date : 23 สิงหาคม 2551    
Last Update : 23 สิงหาคม 2551 22:16:52 น.
Counter : 352 Pageviews.  

โรคไบโพลาร์



รองอธิบดีกรมสุขภาพจิตชี้ป้าก่อคดีจับ 2 หลานโยนคอนโดฯ 9 ชั้น ดับสยองก่อนฆ่าตัวตาย ป่วย"โรคไบโพลาร์" เผยอาการเดียวกับดาราสาวฮอลลีวู้ด"ซ่าร่า คอนเนอร์"นางเอกคนเหล็ก ขณะที่ชาวไทย 6 แสนคน ก็เป็น ยืนยันแพทย์รักษาง่ายหายเร็วด้วยการออกกำลังตามโปรแกรม ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ ข้อมูล สศช.ระบุคนไทยป่วยโรคเครียดพุ่ง

นพ.อภิชัย มงคล รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงกรณีเกิดเหตุการณ์เศร้าสลด น.ส.อนุธราจับหลาน 2 คนโยนลงจากคอนโดฯและฆ่าตัวตายตาม ว่า ผู้ตายป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ หรือโรคอารมณ์แปรปรวนชนิดซึมเศร้าและครื้นเครง ซึ่งดาราฮอลลีวู้ดชื่อดัง ซาร่า คอนเนล นางเอกสาวจากภาพยนตร์เรื่องคนเหล็ก ที่ออกมายอมรับกับสังคมว่าเธอป่วยเป็นโรคนี้มา 20 ปี แต่สามารถรักษาให้หายได้ โดยเธอได้ทำตามโปรแกรมของแพทย์ คือ ออกกำลังกายอย่างเข้มงวด อาทิตย์ละ 3 วัน ครั้งละ 30 นาที ส่วนผู้ตายคือป้าของหลานทั้ง 2 คนนั้น เคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญาและโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นมากว่า 10 ปี และมีอาการดีขึ้น

"แต่ขณะเกิดเหตุผู้ตายดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์เข้าไปด้วยจึงยิ่งทำให้โรครุนแรงขึ้น และขอเตือนว่าถ้าใครป่วยเป็นโรคนี้ต้องห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารที่ผสมกาเฟอีนทุกชนิด และเท่าที่วิเคราะห์ผู้ตายรายนี้ไม่ได้ทำไปเพราะอารมณ์โกรธ แต่ทำไปเพราะซึมเศร้า สงสาร กลัวว่าต่อไปหลานจะไม่ดูแล" นพ.อภิชัยกล่าว

รองอธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวด้วยว่า ประเทศไทยมีประชากร 60 ล้านคน มีผู้ป่วยด้วยโรคซึมเศร้า 6 ล้านคน โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยด้วยโรคไบโพลาร์ 1% คือ 600,000 คน แต่โรคนี้ไม่ได้รุนแรงเพราะเป็นโรคที่รักษาง่ายและหายเร็ว บางคนหายเป็นปกติก็กลับมีสติปัญญาที่ดี สามารถทำงานทำประโยชน์ให้กับสังคมได้ เพียงแต่จะต้องไม่ดื่มแอลกอฮอล์และกาเฟอีนร่วมด้วยเท่านั้น สำหรับครอบครัวของผู้ตายนั้นทางกระบวนการของสาธารณสุขต้องเข้าไปดูแลช่วยเหลืออยู่แล้ว

"สำหรับสถิติการฆ่าตัวตายในสังคมไทยนั้น พบ 1.30 ชั่วโมงต่อ 1 ราย ส่วนสาเหตุหลักคือเป็นโรคซึมเศร้า และถูกกระตุ้นด้วยปัญหาหนี้สิน ปัญหาครอบครัว ฯลฯ ทำให้เกิดการตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นจะไม่สูงและยังมีวิธีป้องกันได้ โดยเบื้องต้นให้สังเกตคนใกล้ตัวว่ามีอาการซึมเศร้าหรือไม่ คือในช่วง 1-2 สัปดาห์จะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมคือ ซึมเศร้า เก็บตัว ไม่คบหาสมาคม ไม่ทำกิจกรรมอื่น นอนไม่หลับ บางรายเริ่มแต่งชุดดำ ดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าถึงจุดสุดขีดของคนเป็นโรคนี้แล้ว ให้ญาติพี่น้องและคนใกล้ชิดเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดและนำไปพบแพทย์" นพ.อภิชัยกล่าว

นพ.อภิชัยกล่าวว่า จากตัวเลขของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ระบุว่า มีผู้ป่วยโรคเครียดเข้ารับคำปรึกษาจากโรงพยาบาลเพื่อขอรับคำปรึกษาทางจิตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะโครงการ 30 บาทคุ้มครองผู้ป่วยจิตเวชแล้ว และยังมองว่าการขอรับปรึกษาไม่ได้ชี้ว่าตัวเองเป็นโรคประสาท ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีเนื่องจากสามารถบำบัดช่วยเหลือได้ตั้งแต่ต้น ส่วนจังหวัดที่มีผู้ฆ่าตัวตายมากที่สุดแต่ก่อนเคยเป็นลำพูน แต่ปัจจุบันพบว่าเป็นจังหวัดเชียงใหม่แล้ว

ด้าน พ.ต.อ.ศรีโรจน์ เตชะมีเกียรติชัย นายแพทย์งานจิตเวชและยาเสพติด โรงพยาบาลตำรวจ กล่าวถึงกรณีที่มีการฆ่าตัวตายและทำร้ายตัวเองบ่อยครั้งในช่วงนี้ว่า คนที่คิดฆ่าตัวตายในทางจิตวิทยาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ

๐ กลุ่มที่ 1 คือกลุ่มที่เคยคิดฆ่าตัวตาย ซึ่งพบได้บ่อย
๐ กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่พยายามฆ่าตัวตาย
๐ กลุ่มที่ 3 กลุ่มฆ่าตัวตายสำเร็จ

ผลการศึกษาในต่างประเทศพบว่าคนที่คิดฆ่าตัวตายเกิดจากหลายปัจจัยรวมกัน โดยคนที่มีประวัติว่าครอบครัวหรือคนใกล้ชิดฆ่าตัวตามสำเร็จ ก็จะมีความเสี่ยงสูงที่คนนั้นจะฆ่าตัวตายสำเร็จด้วย นอกจากนี้พบว่าเพศหญิงเป็นเพศที่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูงกว่าเพศชาย แต่พบว่าเพศชายมีเปอร์เซ็นต์ในการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงกว่า ขณะที่คนโสดก็มีเปอร์เซ็นต์ฆ่าตัวตายมากกว่าคนที่มีคู่ครอง แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนที่มีคู่ครองนั้นชีวิตสมรสดีหรือไม่

พ.ต.อ.ศรีโรจน์กล่าวว่า"โดยสรุปแล้วปัจจัยที่ทำให้คนมีความคิดฆ่าตัวตายเกิดจาก 3 ปัจจัยหลักคือ

ปัจจัยทางด้านร่างกาย ที่หากร่างกายอ่อนแอภาวะโรครุมเร้ากลายเป็นโรคเรื้อรัง จะเป็นสาเหตุให้คนฆ่าตัวตายได้ ประกอบกับหากได้รับสารออกฤทธิ์ทางประสาทเข้าไปด้วยก็จะทำให้ฆ่าตัวตายได้ง่ายขึ้น

ปัจจัยทางด้านจิตใจ ซึ่งเป็นภาวะที่คนรู้สึกอ่อนแอจากความผิดหวังเรื่องความรัก การงาน เศรษฐกิจ

ปัจจัยด้านสังคม จากการไม่ยอมรับของสังคม"

พ.ต.อ.ศรีโรจน์กล่าวต่อว่า ที่คลีนิคจิตเวชและยาเสพติดโรงพยาบาลตำรวจ จะมีคนไข้มีอาการทางจิตพยายามฆ่าตัวตามมารักษาเป็นประจำ เฉลี่ยสัปดาห์ละ 4-5 ราย ส่วนใหญ่พยายามทำร้ายตัวเองด้วยการกินยาเกินขนาด โดยกลุ่มวัยรุ่นจะมีมากที่สุด รองลงมาคือวัยทำงานและคนชรา ซึ่งกลุ่มวัยรุ่นจะมีช่วงอายุตั้งแต่ 12 ปี จนถึง 20 ปีต้นๆ สาเหตุที่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังในเรื่องความรัก ทะเลาะกับแฟน ความสัมพันธ์กับคนรักไม่ราบรื่น ถูกบอกเลิก จนเกิดอารมณ์ชั่ววูบ ขณะที่วัยทำงานจะประสบปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ โดนไล่ออกจากงาน งานไม่สำเร็จ หรือกระทั่งความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ตลอดจนเจ้านาย ส่วนวัยชราจะมีปัญหาภาวะโดดเดี่ยว เศร้าซึม รวมทั้งโรครุมเร้า จนทำให้คิดฆ่าตัวตาย





 

Create Date : 22 สิงหาคม 2551    
Last Update : 22 สิงหาคม 2551 15:33:12 น.
Counter : 618 Pageviews.  

โรคบูลีเมีย... ค่านิยมผิดๆ หรือโรคจิตกันแน่ !



โดย รศ.ดร.นพ.กำพล ศรีวัฒนกุล

อ้วน อ้วน อ้วน ....คำสั้นๆ คำนี้ค่อนข้างทรงอิทธิพลป่วนคุณภาพชีวิตคนยุคนี้ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะผู้หญิงมักจะกังวลกับรูปร่างและน้ำหนักของตัวเองเกินจริง แม้กระทั่งจะเปรียบเทียบกับตารางดัชนีมวลกายแล้วยังอยู่ต่ำกว่า 22.9 หรือเรียกว่ายังมีหุ่นได้มาตรฐานอยู่แล้วก็ตาม เธอเหล่านั้นก็ยังมักจะคิดว่าตัวเองอ้วนอยู่ดี

ความอ้วนเป็นปัญหาสุขภาพที่กำลังเป็นที่สนใจอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน และมีข่าวครึกโครมหลายเรื่องเกี่ยวกับอันตรายจากการลดความอ้วน โดยวิธีที่ไม่ถูกต้องสำหรับผู้ที่อ้วนจริงการลดน้ำหนักเป็นสิ่งที่พึงกระทำ เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่เป็นผลสืบเนื่องจากความอ้วน แต่ควรที่จะต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกวิธีการลดน้ำหนักที่ปลอดภัย และได้ผลยาวนาน

ในขณะที่มีการรณรงค์ให้ลดน้ำหนักเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่อิทธิพลของสื่อโฆษณาวิธีการ และผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักที่กระทำอยู่ในปัจจุบัน จะมุ่งเน้นภาพลักษณ์ของผู้หญิงผอมมีหุ่นแบบบางเป็นแบบอย่าง สร้างแรงจูงใจให้ผู้หญิงทั่วไปอยากมีหุ่นบางเหมือนนางแบบเหล่านั้นบ้าง กลายเป็นค่านิยมอย่างหนึ่งไปในที่สุดทั้งที่อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เพราะน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรเป็น

ค่านิยมอยากผอมบางนี้ทำให้เกิด "โรคกลัวอ้วน" ที่มีชื่อ ภาษาอังกฤษว่า "บูลีเบีย (Bulemia)" ในหมู่ของผู้หญิงสาวที่ไม่ได้อ้วนจริง แต่มีความประสงค์จะทำให้ตัวเองผอมให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพทั้งทางร่างกาย และจิตใจ เป็นอย่างมาก


โรคบูลีเมีย เกิดจากการสร้างนิสัยผิดๆ ให้กับตนเอง เป็นความผิดปกติในการรับประทานอาหาร ซึ่งแสดงอาการโดยรับประทานอาหารอย่างมากมายหลังจากที่กระตุ้นให้ตัวเองอาเจียน ในบางรายอาจใช้ยาถ่ายช่วยให้ตัวเองมีน้ำหนักลดลง หรือใช้วิธีการลดน้ำหนักที่ผิดวิธีอื่นๆ เมื่อผู้ที่เป็นโรคนี้รับประทานอาหารมากเกินไปจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย และจะพยายามทุกวิถีทางที่ขจัดเอาอาหารที่รับประทานเข้าไปออกโดยการอาเจียน หรือใช้วิธีอดอาหารและออกกำลังกายอย่างหนักมาก ความกดดันทางอารมณ์ที่ตนเองมีความผิดปกติเกิดขึ้นจะกลับส่งผลให้รับประทานอาหารมากมายผิดปกติเป็นวัฎจักรเลวร้ายเช่นนี้ไปเรื่อยๆ

จากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสาเหตุของโรคบูลีเมีย ไม่พบว่ามีองค์ประกอบประการใดที่เป็นสาเหตุอย่างแน่ชัด ผู้ป่วยอาจมีอาการซึมเศร้า เครียด หรือรู้สึกกังวลกับน้ำหนักตัวหรือรูปร่างของตนเองเกินขอบเขต ส่วนใหญ่จะมีรูปร่างผอมมาก แต่ยังคิดว่าตัวเองหนัก หรือมีไขมันส่วนเกินมากเกินไปจนทนตัวเองไม่ได้ จากประสบการณ์ที่พบผู้ป่วยโรคนี้ในประเทศไทย มักจะพบในผู้ที่มีอายุอยู่ในช่วง 20-30 ปี หน้าตาดี และมาจากครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดี สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการมักจะมาจากถูกคนใกล้ชิดล้อเลียน หรือใช้ถ้อยคำเหน็บแนมเกี่ยวกับรูปร่าง ยังไม่มีการเก็บข้อมูลสถิติอย่างชัดเจนว่ามีผู้เป็นโรคนี้มากน้อยเท่าใด แต่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก

5 ลักษณะอาการที่ชี้ชัดว่าเป็นโรคบูลีเมีย
รับประทานอาหารมากเป็นระยะ โดยทั่วไปจะรับประทานบ่อยกว่า 2 ชั่วโมง และรับประทานครั้งละมากๆ

ควบคุมตนเองไม่ได้เลยเกี่ยวกับการควบคุมอาหาร

ใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหนักขึ้น เช่นการล้วงคอให้อาเจียน ใช้ยาระบายในปริมาณเกินควร เป็นต้น

มีความกังวลในรูปลักษณ์ของตนเองมากจนเกินพอดี

มีอาการผิดปกติในการรับประทานอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลามากกว่า 3 เดือนขึ้นไป หมายถึง เมื่อรับประทานอาหารแล้วอาเจียนโดยอัตโนมัติ
คุณจะเห็นว่าเมื่อเกิดค่านิยมที่อยากมีหุ่นผอมบางแล้วเริ่มต้นด้วยการรับประทานอาหารแล้วล้วงคอให้อาเจียนนี้วิธีการที่ผิดอย่างมาก เพราะจะสร้างนิสัยที่เคยชินให้กับระบบของร่างกาย ซึ่งจะทำให้ร่างกายคุณไม่ยอมรับอาหาร และกลายเป็นโรคขาดอาหารไปในที่สุด อีกทั้งยังฉุดคุณภาพชีวิตคุณเองให้จมอยู่กับกิจกรรมสองอย่างนี้ด้วย

โรคบูลีเมียจึงเป็นโรคที่มีผลกระทบต่อจิตใจอย่างงรุนแรง จนทำให้รู้สึกด้อยค่าในที่สุด เมื่ออาเจียนเป็นเนืองนิตย์ก็จะทำให้ร่างกายเกิดการสูญเสียน้ำ และเกลือแร่ จนอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ การใช้นิ้วมือล้วงคอให้อาเจียน อาจทำให้เกิดแผล หรือเนื้อเยื่อทะลุในทางเดินอาหาร หรืออย่างการใช้ยาระบายติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดอาการท้องผูกเรื้อรังอย่างรุนแรง หลายคนอาจมีความผิดปกติของประจำเดือน และสุขภาพทรุดโทรมลงได้

การแลกมาเพื่อหุ่นผอมบางกับอาการทรมานร่างกายต่างๆ เหล่านี้ไม่คุ้มค่ากันเลย ในที่สุดก็ต้องหันมาพึ่งพาการรักษากับคุณหมอเป็นทางออกสุดท้ายเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น

การรักษาโรคบูลีเมีย มีด้วยกัน 2 วิธีใหญ่ๆ คือ
การใช้ยาระงับอาการซึมเศร้า และการบำบัดทางจิตวิทยา แต่ผลของการรักษายังไม่ดีนัก

การนำเอาหลักการปรับพฤติกรรม และให้ความรู้ทางโภชนาการอย่างเหมาะสม เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้การรักษาได้ผลดีขึ้น แต่วิธีที่ดีที่สุด คือการปรับมุมมองของตนเอง (Self Image) ให้เหมาะสม
เนื่องจากโรคบูลีเมีย เป็นปัญหาสุขภาพที่ค่อนข้างใหม่ของประเทศไทย หากคุณมีบุตรหลานที่มีอาการบูลีเมียควรหาทางนำมาปรึกษาจิตแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญโดยเร็วที่สุด และเพื่อป้องกันการเกิดโรคนี้ ไม่ควรที่จะสร้างปมด้อยให้กับผู้อื่นในเรื่องของรูปร่าง และน้ำหนักตัว เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดโรคร้ายแรงนี้ด้วย อีกทั้งยังไม่ควรริอ่านที่จะใช้วิธีล้วงคอให้อาเจียน หรือใช้ยาระบาย เพื่อหวังผลในการลดน้ำหนักโดยเด็ดขาดครับ





 

Create Date : 22 สิงหาคม 2551    
Last Update : 22 สิงหาคม 2551 15:29:59 น.
Counter : 329 Pageviews.  

ข้อเข่าเสื่อม กินปลาเล็กปลาน้อยป้องกันได้



สาธารณสุขเผย พบคนไทยเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุกว่า 6 ล้านคน โดยพบในผู้หญิงวัย 50 ปีขึ้นไป มากถึงร้อยละ 40 แนวโน้มมีสูงขึ้น พร้อมเตือนประชาชนให้เร่งดูแลสุขภาพตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยทำงาน เพราะกระดูกคนเราจะเริ่มเสื่อมเมื่ออายุ 40 ปี ทำให้ไร้ประสิทธิภาพการทำงาน แนะกินปลาเล็กปลาน้อย นม ผักใบเขียวและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะป้องกันได้

นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดประชุมวันโรคข้อสากล เฉลิมพระเกียรติทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ที่โรงพยาบาลราชวิถี ว่า โรคกระดูกและโรคข้อกำลังเป็นปัญหาของประชาชน โดยทั่วโลกมีผู้ ป่วยโรคนี้กว่า 400 ล้านคน ในอีก 20 ปีข้างหน้า คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 50 เนื่องจากประชากรโลกมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อายุยืนยาวขึ้น

แต่ขณะเดียวกันผลจากการใช้ชีวิตที่สุขสบายมากขึ้น ขาดการออกกำลังกาย ไม่กินผักใบเขียว จะทำให้เกิดโรคข้อกระดูกและโรคข้อมาก รวมทั้งเกิดมาจากอุบัติเหตุจราจร ทำให้กระดูกหัก กระดูกผิดรูปไป


ทั้งนี้ จากสถิติผู้ป่วยโรคกระดูกและข้อในไทยของมูลนิธิโรคข้อพบว่า
ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมกว่า 6 ล้านคน และมีโรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ และโรคเกาต์ รวมกันเกือบ 7 ล้านคน โรคข้อเสื่อมจะพบมากในกลุ่มผู้สูงอายุ มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป มากถึงร้อยละ 50 รองลงมาคือ โรคกระดูกหัก เนื่องจากกระดูกพรุน ซึ่งพบในหญิงอายุมากกว่า 50 ปี ถึงร้อยละ 40 และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี


“โดยทั่วไป กระดูกคนเราจะเริ่มเสื่อมเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากแคลเซียมในร่างกายจะเริ่มเสื่อมสลายทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายจะลดลง แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ปลาเล็กปลาน้อย นม ผักใบเขียว ตับ งดเครื่องดื่มประเภท ชา กาแฟ สุรา อาหารรสเค็ม และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ” นพ.ปราชญ์กล่าว





 

Create Date : 22 สิงหาคม 2551    
Last Update : 22 สิงหาคม 2551 15:25:50 น.
Counter : 418 Pageviews.  

โรคไขมันในตับ



โรคไขมันในตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ หรือ Non Alcoholic Fatty Liver Disease, NAFLD คุณหมอ Ludwig ในปี 2523 เป็นผู้ที่ทำให้วงการแพทย์รู้จักโรคนี้ว่ามีไขมันจำนวนมากไปสะสมในตับ ทำให้ตับมีการอักเสบทีละเล็กละน้อย จนกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง โรคตับแข็ง และอาจจะกลายเป็นมะเร็งของตับได้


โรคนี้มีอันตรายมาก และจะเป็นโรคที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากโรคนี้เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน โดยเฉพาะที่พุง โรคไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และร่างกายมีความดื้อต่อสารอินซูลิน (สารอินซูลินมีหน้าที่คอยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงจนเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกเรียกรวมกันว่าเป็น Metabolic Syndrome


โรคอ้วนจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในโลกนี้ เช่น ในปี 2540 มีคนอ้วนแค่ 200 ล้านคน แต่ปี 2568 จะมีคนอ้วนถึง 600 ล้านคน! คนอ้วนในที่นี้คือ คนที่มีดัชนีมวลกาย หรือ body mass index 30 ขึ้นไป (สำหรับชาวโลกที่ไม่ใช่ชาวเอเชีย)


Non Alcoholic Fatty Liver Disease เป็นชื่อรวมของโรคนี้ ตอนแรกจะมีแต่ไขมัน (steatosis) เท่านั้น แต่ถ้ามีไขมันมากขึ้นตับจะอักเสบ เมื่อมีการอักเสบจะเรียกว่า Non Alcoholic Steatohepatitis (NASH) หรือการอักเสบของตับเนื่องมาจากไขมันในตับ ถ้ายังไม่มีการรักษาที่ดีจะกลายเป็นตับแข็ง และมะเร็งตับ


การป้องกันและรักษาโรคตับที่เกิดจากการสะสมไขมันในตับ คือ การลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสม การรับประทานอาหารที่เหมาะสม จนกระทั่งดัชนีมวลกาย หรือ body mass index, BMI อยู่ต่ำกว่า 23 (สำหรับคนไทยและเอเชีย สำหรับชาวโลกประเทศอื่นๆ ค่าปกติคือ ต่ำกว่า 24.9 ระหว่าง 24.9-29.9 จะเรียกเพียงว่าน้ำหนักเกิน)


แม้ท่านยังไม่มีความดันโลหิตสูง ไม่มีไขมันในเลือดสูง ไม่อ้วน ไม่เป็นเบาหวาน ท่านก็ยังต้องคุมอาหารและออกกำลังกายตั้งแต่บัดนี้เพื่อดู BMI และพุงของท่านให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ ต่ำกว่า 23 และ 90 เซนติเมตร (ชาย) 80 เซนติเมตร (หญิง) ตามลำดับ ถ้าท่านทำได้แค่นี้ท่านจะป้องกันโรคต่างๆ ได้มากมาย เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดัน โรคมะเร็ง โรคกระดูกพรุน ฯลฯ

ป้องกันไว้ดีกว่าครับ ได้ประโยชน์ คุ้มค่า ไม่ต้องเจ็บป่วย เสียเงิน เสียเวลา




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2551    
Last Update : 22 สิงหาคม 2551 15:25:20 น.
Counter : 341 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  

นากาชิม่า
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Tried to take a picture
Of love
Didn't think I'd miss her
That much
I want to fill this new frame
But it's empty

Tried to write a letter
In ink
It's been getting better
I think
I got a piece of paper
But it's empty
It's empty

Maybe we're trying
Trying too hard
Maybe we're torn apart
Maybe the timing
Is beating our hearts
We're empty

And I even wonder
If we
Should be getting under
These sheets
We could lie in this bed
But it's empty
It's empty
Friends' blogs
[Add นากาชิม่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.