Q[-___-Q ma leaw ja
Group Blog
 
All Blogs
 

กินยาก่อนอาหารและหลังอาหาร? กินยังไงให้ถูกวิธี

เคยสังเกตมั้ยคะว่าเวลาเราไปหาหมอ แล้วคุณหมอสั่งยามีทั้งก่อนอาหารและหลังอาหาร หรือบางทีก้มียาที่ทานพร้อมอาหารอีกด้วย เราจะทานยังไงให้ถูกวิธีนะคะ ดูตามนี้ได้เลยค่ะ


1.ยาก่อนอาหาร : ให้รับประทานยาก่อนอาหาร (รวมทั้งนม ขนม ฯลฯ) ประมาณ 30-60 นาที
2.ยาพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที : ให้รับประทานอาหารครึ่งหนึ่งแล้วรับประทานยา แล้วรับประทานอาหารต่อจนอิ่ม หรือหลังจากรับประทานอาหารคำสุดท้าย แล้วตามด้วยการรับประทานยาทันที
3.ยาหลังอาหาร : ให้รับประทานยาหลังอาหาร ประมาณ 15-30 นาที
4.ยาระหว่างมื้ออาหาร : ให้รับประทานยาก่อนหรือหลังอาหาร 1-2 ชั่วโมง โดยถ้าเลือกรับประทานเป็นยาก่อนอาหาร (หรือหลังอาหาร) แล้ว ครั้งต่อไปก็ต้องรับประทานก่อนอาหาร (หรือหลังอาหาร) ทุกครั้งของการรักษาคราวนั้นๆ
5.ยาก่อนนอน : รับประทานยาก่อนเข้านอน ประมาณ 15-30 นาที
6.ยาตามอาการต่างๆ : เช่น รับประทานยา ครั้งละ 2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมงเวลาปวด หมายความว่า รับประทานครั้งละ 2 เม็ดเมื่อมีอาการปวด ถ้าต่อมามีอาการปวดอีก แต่ยังไม่ถึง 4-6 ชั่วโมง ก็ยังไม่ควรรับประทานยานั้นซ้ำอีก เพราะอาจเกิดพิษเนื่องจากรับประทานยาเกินขนาดได้ ต้องรอให้ครบอย่างน้อย 4 ชั่วโมง จึงจะรับประทานยาครั้งต่อไป

หมายเหตุ : การลืมรับประทานยาครั้งหนึ่ง ให้รีบรับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่ถ้าใกล้ถึงเวลามื้อต่อไปแล้ว ให้ข้ามมื้อที่ลืมไปเสีย อย่าเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า ในมื้อต่อไปเป็นเด็ดขาด และเพื่อให้อาการป่วยนั้นหายแบบฉับพลัน คุณควรรับประทานยาตามกำหนดเวลาที่แพทย์หรือเภสัชกรณ์สั่งอย่างเคร่งครัด...





 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2551 7:45:12 น.
Counter : 291 Pageviews.  

ปวดคอ อาการนี้มีหลายสาเหตุ

อาการปวดคอนั้นอาจเกิดขึ้นได้จากอุบัติเหตุ บาดเจ็บ หรือเป็น โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและโครงกระดูก หรือแม้แต่มีก้อนเนื้อก็ทำให้เกิดอาการแบบเดียวกันได้

แต่ที่เกิดขึ้นบ่อยๆนั้น มักจะมีสาเหตุมาจากการวางท่าผิด รวมไปถึงการนอนตกหมอน ก็ทำให้คอขัดแข็งตึง
ขึ้นมาได้เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้า

จากข้อมูลของสมาคมกายภาพบำบัด อเมริกา บอกว่า บางทีการเปลี่ยนหมอนอาจช่วยให้คุณรู้สึกถึงความ
แตกต่างได้ ต้องเลือกหมอนที่แน่ใจว่ามันจะไม่ทำให้การนอนของเราอยู่ในท่าที่ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะ
นอนให้หมอนสูงหรือต่ำเกินไปก็ย่อมไม่ดีทั้งนั้น

โดยทั่วไปแล้วหมอนที่ทำจากขนนกขนเป็ด หรือขนสัตว์ปีกนั้นจะดีกว่าหมอนที่ทำด้วยโฟม เพราะมันจะรอง
รับรูปศีรษะและคอโดยไม่เกิดแรงกดดันจนทำให้ผิดท่าและปวดคอตามมา

ควรเปลี่ยนหมอนเป็นอันใหม่เมื่อมันเริ่มแบนและไม่สามารถให้แรงหนุนได้ดีพอ อย่าชดเชยความสูงของ
หมอนด้วยการนำหมอนหลายอันมาซ้อนกัน

ในส่วนของที่นอนก็มีผลต่ออาการปวดคอได้ กล่าวคือ ควรจะเลือกที่นอนที่มีความหนาแน่นพอประมาณและ
รองรับแผ่นหลังได้ดี อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ และลองยืดกล้ามเนื้อคอทั้งก่อนนอนและเมื่อตื่นนอนด้วย




 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 27 กรกฎาคม 2551 21:19:13 น.
Counter : 461 Pageviews.  

ผลไม้ล้างพิษ

ไม่ต้องบอกก็คงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าการกินผักผลไม้เป็นประจำนั้นจะระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ทำให้ผิวพรรณผ่องใสสุขภาพดี วันนี้เลดี้ทิปมีความรู้ใหม่เกี่ยวกับผลไม้ที่นอกจากจะช่วยในเรื่องขับถ่ายแล้ว ก็ยังล้างพิษให้ร่างกายได้ด้วย

ผลไม้อย่างแรกเลยก็คือแอปเปิ้ลที่ให้กากใยสูง ช่วยทำหน้าที่กวาดทำความสะอาดลำไส้ ทำให้ตับและระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น และป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่าด้วย
ต่อมาก็คือ สับปะรด ซึ่งมีเอนไซม์โปรเมลิน ซึ่งจะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น และยังช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อและช่วยกำจัดน้ำมูกได้อีกด้วยค่ะ
องุ่น เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย เกลือแร่อุดม ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย
นอกจากนั้นมะละกอ และมะม่วง ซึ่งมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น ช่วยทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหารได้ดี เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย
แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ด หากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเปลือกของแตงโมอุดมด้วยคลอโรฟิลล์และเมล็ดอุดมด้วยวิตามิน

ทั้งหมดนี้ก็เป็นผลไม้ที่หาได้ทั่วไป ใครสนใจก็ลองซื้อผลไม้เหล่านี้ติดตู้เย็นที่บ้านไว้ กินเป็นประจำ รับรองดีต่อสุขภาพแน่นอน




 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2551 7:45:26 น.
Counter : 334 Pageviews.  

วิตามินกินอย่างไรให้ถูกวิธี

วิตามินกินอย่างไร วิตามินที่ร่างกายได้รับส่วนใหญ่มาจากอาหารที่เรากินเข้าไปค่ะ และส่วนหนึ่งร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง วิตามินที่ดีจึงต้องสกัดจากอาหาร ถึงอย่างไร เราก็ไม่กินวิตามินแทนอาหารนะคะ และวิตามินไม่ใช่ยา แต่เป็นสารสกัดจากสิ่งมีชีวิต (Organic) ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย มีหน้าที่ช่วยให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ถูกต้อง และช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะถ้าขาดวิตามินแล้วร่างกายจะหยุดทำงานค่ะ





ในที่นี้จะขอเล่าถึงวิตามินบางตัวที่มีความสำคัญต่อภูมิชีวิต (Immune System) เรา ซึ่งที่น่ารู้จักก็คือ วิตามินในกลุ่มแอนติออกซิแดนท์ ได้แก่ A, C, D และ E และกลุ่มวิตามิน B ชนิดต่างๆ



วิตามิน A: พบในน้ำมันตับปลา ผักสีต่างๆ เช่น แครอท ผักโขม และหัวบีทรู้ท

ประโยชน์

* ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน

* ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง

* สร้างความต้านทานให้แก่ระบบหายใจ

* ช่วยสร้างภูมิชีวิตให้ดีขึ้น และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น

* ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดอาการอักเสบของสิว ช่วยลบจุดด่างดำ และจุดวัยสูงอายุ

* ช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับไทรอยด์

ปริมาณที่แนะนำ

* ผู้ชายควรกินอาหารที่มีวิตามิน A 1,000 R.E. หรือเท่ากับ 5,000 I.U. ต่อวัน

* ผู้หญิงควรกินอาหารให้ได้วิตามิน A 800 R.E. หรือ 4,000 I.U. ต่อวัน

* หากกำลังตั้งครรภ์ควรกินเพิ่มเป็น 1,000 R.E. หรือ 5,000 I.U. ต่อวัน

* สำหรับการกินวิตามิน A เป็นอาหารเสริมควรกินวันละ 10,000 I.U.



วิตามิน C

ประโยชน์

* เป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นตัวเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด

* ช่วยแผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น

* ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม

* ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (MUTATION)

* ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตาย (SIDS) ในกรณีเด็กอ่อน

* ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน

* ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด

* ช่วยคลายเครียด

ปริมาณที่แนะนำ ในรายที่ขาดวิตามิน C ควรกิน เสริม วันละ 1,000 mg



วิตามิน D: พบมากในเนย นม เนยแข็ง และในแดด ดังนั้น เราจึงควรตากแดดวันละ 2-3 ชั่วโมง

ประโยชน์

* ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยในการย่อยอาหาร เพิ่มพลังงาน และช่วยรักษาสิว ทั้งนี้หากกินร่วมกับวิตามิน B6 ในขนาดสูงๆ จะช่วยรักษาข้ออักสบ และโรคเรื้อนกวาง (สะเก็ดเงิน) ได้

ปริมาณที่แนะนำ ควรกินวิตามิน D เสริม วันละ 1,000 I.U


วิตามิน E

ประโยชน์

* หน้าที่สำคัญที่สุดของวิตามิน E เป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ คือทำให้เกิดการเผาผลาญ (OXIDATION) โดยมีตัวออกซิเจนเป็นตัวการสำคัญ ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้น เป็นตัวช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ช่วยต้านการแข็งตัวของเลือด ช่วยลอความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด และลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจ

* บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมากมาย

* ช่วยให้ระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อทำงานได้ตามปกติ

* บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมากมาย

* ช่วยให้ผิวหนังสดใส และช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกให้หายเร็วขึ้น

* ช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้น และไม่อ่อนเพลียง่าย

ปริมาณที่แนะนำ

* ควรกินวิตามิน E เสริม ขนาดเม็ดละ 400 I.U. วันละ 2 เม็ด เช้า-เย็น

* ไม่ควรกินในปริมาณที่มากเกินไป เพราะอาจเกิดความดันโลหิตสูงได้ในบางราย วิธีแก้อาการดังกล่าวคือ ควรกินในปริมาณ 100 I.U. ก่อน แล้วจึงเพิ่มปริมาณเป็น 200 I.U. และ 400 I.U. ตามลำดับ
* หากกินเหล็กและวิตามิน E พร้อมกัน จะเกิดภาวะที่ร่างกายไม่สามารถดูดวึมวิตามิน E ได้ วิธีแก้คือ ควรแยกกินวิตามิน E ก่อนธาตุเหล็ก 8-12 ชั่วโมง



วิตามิน B1 หรือ Thiamin

ประโยชน์

* จำเป็นต่อการทำงานของสมอง ระบบประสาท ระบบย่อย หัวใจ และกล้ามเนื้อ ช่วยให้เจริญอาหาร และช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยแก้อาการเมาคลื่น และเมาอากาศ

* ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตและรักษางูสวัด (Herpes Zoster) ให้หายเร็วขึ้น

ปริมาณที่แนะนำ

* ถ้าต้องการกินวิตามินชนิดนี้เป็นอาหารเสริมควรกินวันละ 1 เม็ดหลังอาหาร เม็ดละ 100 mg
* หากเกิดอาการเครียด ตื่นเต้น เจ็บป่วยโดยเฉพาะหลังผ่าตัด ควรกินวิตามิน B1 ร่วมกับวิตามิน B Complex (วิตามินบีรวม)

* คนที่ควรกินวิตามิน B1 เสริม คือ

- คนที่ชอบกินของหวานๆ กับแป้งขาวมากๆ หรือสูบบุหรี่ และดื่มเหล้าจัด ซึ่งมีโอกาสเป็นโรคขาดวิตามิน B1 ได้

- คนที่กินยาลดกรดในกระเพาะเป็นประจำ เพราะยาลดกรดจะทำลายวิตามิน B1 ในอาหารให้เหลือน้อยลง

- ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรือคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้หญิงที่กินยาคุมกำเนิดเป็นประจำ



วิตามิน B6 หรือ Pyridoxine

ประโยชน์

* ช่วยเปลี่ยนแอมิโนแอซิดให้เป็นวิตามินอีกตัวคือ Niacin หรือวิตามิน B3 ช่วยร่างกายสร้างภูมิต้านทานแอนติบอดี และช่วยสร้างเซลล์โลหิตให้ดียิ่งขึ้น

* ช่วยร่างกายสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และแร่ธาตุแมกนีเซียม

* ช่วยบรรเทาโรคเกิดระบบประสาทและผิวหนัง

* ช่วยบรรเทาการคลื่นไส้ และอาเจียน

* ช่วยบรรเทาอาการปากแห้ง และคอแห้ง

* ช่วยแก้การเป็นตะคริว แขนขาชา และช่วยขับปัสสาวะ

ข้อแนะนำสำหรับบางคน

* ผู้ที่กินยาคุมกำเนิดควรกินวิตามิน B6 เป็นประจำ

* ผู้ป่วยเบาหวาน ถ้าต้องใช้อินซูลิน ควรกินวิตามิน B6 ควบ และปรับอัตราการใช้อินซูลินให้ได้ตามส่วนของน้ำตาลในเลือด



วิตามินB12 หรือ Cobalamin

ประโยชน์

* ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง

* ช่วยให้เด็กเติบโตและเจริญอาหาร

* ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดี

* ช่วยให้สมองไม่ฟุ้งซ่าน ความจำดี และมีสมาธิ

ข้อแนะนำสำหรับบางคน

* ผู้หญิงที่อ่อนเพลียเพราะประจำเดือนมามาก ควรกินวิตามิน B12 เสริม

* ผู้ที่เป็นมังสะวิรัติอย่างเคร่งครัด ก็ควรกินวิตามิน B12 เสริมเช่นกัน

* ผู้ที่ติดเหล้าหรือดื่มจัดก็ควรกินวิตามิน B12 เสริมเป็นประจำ


วิตามิน B3 หรือ Niacin

ประโยชน์

* ช่วยทำลายพิษหรือท็อกซินจากมลพิษ แอลกอฮอล์ และยาเสพติด

* รักษาโรคทางจิตและโรคเกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง

* ช่วยอาการต่างๆ ของผู้ป่วยเบาหวานให้ดีขึ้น

* ช่วยรักษาโรคปวดหัวไมเกรน

* ช่วยบรรเทาโรคอาไทรทิสและข้ออักเสบ

* ช่วยกระตุ้นและแก้ไขความบกพร่องทางเซ็กซ์

* ช่วยลดความดันโลหิตสูง

ปริมาณที่แนะนำ

* สามารถกินวิตามิน B3 เสริมได้ตั้งแต่ 100 - 2,000 mg ต่อวัน

* สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจควรใช้ในปริมาณที่สูงถึงวันละ 7,000-8,000 mg



วิตามิน B5 หรือ Pantoyhenic Acid

ประโยชน์

* ช่วยสร้างแอนติบอดี้ซึ่งเป็นตัวสำคัญของ Immune System หรือภูมิชีวิต

* เมื่อร่างกายเปลี่ยนไขมันที่สะสมไว้ให้เป็นน้ำตาลเพื่อสร้างพลังงาน วิตามินB5 จะเป็นตัวสำคัญในการเปลี่ยนไขมันเป็นน้ำตาล

* ช่วยให้บาดแผลหายเร็วขึ้น

* ช่วยให้ร่างกายหายจากการช็อคหลังการผ่าตัดใหญ่

* ช่วยให้อาการอ่อนเพลียหายเร็วขึ้น

ปริมาณที่แนะนำ

* ในรายที่ขาดวิตามิน B5 ควรกินเสริมวันละ 2 เม็ด เม็ดละ 100 mg


วิตามิน B Complex

ประโยชน์

* ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นก ลูโคส ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของโปรตีนและไขมัน

* ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ตามปกติ

* ช่วยให้กล้ามเนื้อในกระเพาะและลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น

* ช่วยบำรุงผิวหนัง เส้นผม ตา ปาก และตับ

* ในกลุ่มชีวจิตเราเชื่อว่าเมื่ออายุ 70 ปีขึ้นไป การดูดซึมของลำไส้จะทรุดโทรมลง ต้องแก้ไขด้วยการบริหารร่างกายและใช้วิตามินกลุ่ม B Complex

ปริมาณที่แนะนำ

* ตามปกติผู้ที่กินอาหารตามสูตรของชีวจิต จะได้รับวิตามิน 2 ชนิดนี้เพียงพอ

* ถ้าเป็นอาหาร วันหนึ่งๆ เรามีวิตามิน 2 ชนิดนี้รวมกันวันละ 300-400 mg ก็เพียงพอแล้วแต่ถ้าใช้เป็นยาต้องใช้ถึงวันละ 3,000-5,000 mg




 

Create Date : 23 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2551 7:45:39 น.
Counter : 330 Pageviews.  

น้ำส้ม น้ำสำหรับนางเอกและตัวฉันเอง

น้ำส้มยังคงเป็นน้ำผลไม้ที่วิเศษสุด เพราะจากผลงานการวิจัยล่าสุดของ "คลีฟแลนด์คลินิก" นำโดยเดนนิส แอล สเปรชเชอร์ ระบุว่าการดื่มน้ำส้มวันละ 2 แก้ว ช่วยลดความดันโลหิตได้

จากการทดสอบในคนไข้โรคหัวใจ 25 รายที่มีอาการเส้นเลือดอุดตันเป็นบางส่วน ซึ่งทุกคนได้รับการรักษาด้วยการรับประทานยาแก้ความดัน แต่ระดับความดันก็ยังคงสูงอยู่

ในช่วงสองสัปดาห์แรก

พวกเขาดื่มเครื่องดื่มรสส้มที่มีส่วนผสมของวิตามินซีวันละ 2 แก้ว ระดับความดันลดลงเล็กน้อยสองสัปดาห์ต่อมาดื่มน้ำส้ม (ที่ไม่ใช่จากน้ำส้มเข้มข้น)

ความดันลดลงอีกเล็กน้อย อีกสองสัปดาห์ถัดมาพวกเขาดื่มน้ำส้มละลายกับวิตามินซี และในสองสัปดาห์สุดท้าย

ดื่มน้ำส้มละลายกับวิตามินซีและอี และในสองสัปดาห์สุดท้ายดื่มน้ำส้มละลายกับวิตามินซีและอี หลังสิ้นสุดการทดสอบในสองอาทิตย์สุดท้ายคนไข้ส่วนใหญ่มีระดับความดันโลหิตในระดับปกติ

ซึ่งจากการทดสอบกับผู้ป่วยทำให้สามารถเห็นระดับความดันเลบือดที่ลดลงได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะลดลงเพียงเล็กน้อยก็ตาม

อย่างไรก็ตามนักวิชาการทางด้านโรคหัวใจและหลดเลือดได้กล่าวว่า

การค้นพบในครั้งนี้มิใช่การออกมาบอกให้ทุกคนหันมาดื่มน้ำส้มวันละ 2 แก้ว แต่คนไข้ที่พฤติกรรมการบริโภค

เพราะมีแหล่งข้อมูลที่น่าสนใจกล่าวว่าการบริโภคอาหาร การควบคุมน้ำหนัก ตลอดจนการดูแลระดับแอลกอฮอล์และระดับเกลือในร่างกายนั้นถือว่ามีความสำคัญ และมีผลกระทบมากกว่าการรักษาทางการแพทย์เสียอีก

นักวิชาการยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่าความแตกต่างเพียงเล็กน้อยของความดันโลหิตนั้น สามารถสร้างความแตกต่างเพียงอย่างใหญ่หลวงต่อความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจได้

และเช่นกันกับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งไม่ควรพอใจกับการควบคุมที่เป็นเหตุเป็นผลเท่านั้นหากควรมุ่งไปยังเรื่องของความดันโลหิตเป็นสำคัญด้วย

จะได้เป็นนางเอกสาวสวยสุขภาพดีไงคะ




 

Create Date : 23 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2551 7:46:29 น.
Counter : 303 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  

นากาชิม่า
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Tried to take a picture
Of love
Didn't think I'd miss her
That much
I want to fill this new frame
But it's empty

Tried to write a letter
In ink
It's been getting better
I think
I got a piece of paper
But it's empty
It's empty

Maybe we're trying
Trying too hard
Maybe we're torn apart
Maybe the timing
Is beating our hearts
We're empty

And I even wonder
If we
Should be getting under
These sheets
We could lie in this bed
But it's empty
It's empty
Friends' blogs
[Add นากาชิม่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.