Q[-___-Q ma leaw ja
Group Blog
 
All Blogs
 

ระวัง!แม่เหล็กติดตู้เย็นทำผู้ป่วยโรคหัวใจถึงฆาต

นักวิจัยมหาวิทยาลัยแพทย์ซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เตือนภัยสนามแม่เหล็กแรงสูงที่ใช้ในแม่เหล็กติดตู้เย็นบางชนิดอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตต่อผู้ป่วยโรคหัวใจ

เตือนผู้ป่วยโรคหัวใจห้ามอยู่ใกล้แม่เหล็กแบบนีโอไดเมียมเกิน 3 ซม.

นักวิจัยมหาวิทยาลัยแพทย์ซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เตือนภัยสนามแม่เหล็กแรงสูงที่ใช้ในแม่เหล็กติดตู้เย็นบางชนิด อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตต่อผู้ป่วยโรคหัวใจ

จากการทดสอบพบว่า แม่เหล็กแบบนีโอไดเมียม มีผลต่อผู้ป่วยโรคหัวใจ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ และใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ เพราะไปรบกวนการทำงานของเครื่องกระตุ้นหัวใจ และอุปกรณ์เกี่ยวกับหัวใจที่ฝังไว้ในร่างกาย

สำหรับแม่เหล็กแบบนีโอไดเมียมนี้ จะมีลีกษณะเป็นสีเงินวาวและมีสนามแม่เหล็กแรงสูงมากขึ้น เพราะมีราคาถูก ซึ่งในอดีต นำไปใช้ในลำโพงฮาร์ดไดรฟ์ของคอมพิวเตอร์และหูฟัง

ด้านผู้ผลิตแม่เหล็กแบบนีโอไดเมียมในอังกฤษรายหนึ่ง กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ที่ต้องแจ้งให้ผู้บริโภคทราบ เนื่องจาก แม่เหล็กอยู่ในผลิตภัณฑ์รอบตัวเรา เช่น ป้ายชื่อ แม่เหล็กติดตู้เย็น โทรศัพท์เคลื่อนที่ และมีโอกาสสูง ที่แม่เหล็กประเภทนี้ จะใกล้ผู้ป่วยโรคหัวใจ ที่ใช้อุปกรณ์เกี่ยวกับหัวใจในระยะ 3 เซนติเมตร เช่น บนรถโดยสารสาธารณะที่แออัด




 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2551 12:08:31 น.
Counter : 684 Pageviews.  

วันแห่งความทุกข์ในรอบเดือน

วัลวิภาเป็นหญิงสาวที่ดูเหมือนจะโชคดีที่สุดคนหนึ่ง เธอมีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อม สุขสบาย ตั้งแต่เรียนจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้า เข้าทำงานก็ก้าวหน้ารวดเร็วตั้งแต่ยังสาว เจ้านายก็รัก ครอบครัวก็อบอุ่น คุณพ่อคุณแม่รวมทั้งสามีก็คอยให้ความเอาใจใส่ดูแลเธอเป็นอย่างดี แต่กระนั้นเลยเธอก็ยังคงรู้สึกว่า ตัวเองขาดความสุขในชีวิตอะไรไปอย่างหนึ่ง

สิ่งที่เกิดขึ้นกับวัลวิภาเป็นประจำทุกเดือนตลอดมา ตั้งแต่เข้าสู่วัยสาวเป็นเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกอย่างนั้น ทุกครั้งก่อนจะถึงวันที่ประจำเดือนมาเธอจะรู้ตัวก่อนเสมอ จากอาการสารพัดอย่างที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ใกล้ๆ จะถึงวันนั้น 2-3 วันเธอจะรู้สึกง่วงนอน เซื่องซึมไม่อยากทำอะไร หนักๆ ที่ต้นขาไปถึงท้องน้อย รู้สึกว่าตัวบวม เต้านมคัดตึง อึดอัดไปหมด ก่อนหน้าที่ประจำเดือนมาวันหนึ่งหรือชั่วโมงหนึ่งตะคริวจะมาเยือน ซึ่งทำให้เจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงช่วงเวลาที่ประจำเดือนเริ่มไหลออกมา ตลอดวันนั้นวัลวิภารู้สึกทั้งเจ็บปวดทั้งหงุดหงิดไม่อยากกระดิกตัวไปไหน หรือเคลื่อนไหวทำอะไรทั้งสิ้น เพราะมันเจ็บปวดสะเทือนไปหมดทั้งร่าง แถมยังตามมาด้วยความรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน และปวดหัวตึบๆ ตลอดเวลา สิ่งที่ทำได้ก็คือเธอต้องลาหยุดงานเพื่อนอนนิ่งๆ อยู่กับบ้าน

อาการที่วัลวิภาเป็นแบบนี้เกิดขึ้นกับคุณผู้หญิงทั่วโลก จนหลายๆ คนนึกว่าเป็นเรื่องปกติธรรมชาติที่ใครๆ ก็เป็นกันได้ มีสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิงสูงขึ้นในร่างกายผู้หญิงในช่วงก่อนที่จะมีประจำเดือน ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้หญิงปกติทุกคน แต่การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนนี้จะส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงมาก หรือน้อย แตกต่างกันไปแล้วแต่คน

บางคนอาจเป็นมากเหมือนเป็นคนป่วย ขณะที่บางคนเป็นนิดหน่อยพอทนได้ โดยเฉพาะคนที่สูบบุหรี่ จมอยู่กับความเครียด ออกกำลังกายน้อย นอนน้อย ชอบกินเค็มมาก หรือหวานมาก กินเนื้อแดง หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์เป็นประจำมักพบว่าเกิดอาการไม่สบายตัวเช่นนี้มากกว่าคนอื่น อาการแย่ๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจมักจะเกิดก่อนช่วงเวลาที่ประจำเดือนจะมาประมาณ 1-2 วัน บางคนจะเป็นหนักในวันที่ประจำเดือนมาวันแรก จนถึงวันที่ 3 และจะค่อยบรรเทาลงหลังจากนั้น

การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศ ในระหว่างมีประจำเดือนนี้มีศัพท์เรียกหลายอย่าง เช่น premenstrual syndrome (PMS), premenstrual tension หรือ dysmenorrhea ซึ่งยังไม่มีใครตอบได้ชัดเจนว่าทำไมอาการเหล่านี้ถึงเกิดขึ้นกับเฉพาะบางคน และแต่ละคนที่เป็นก็อาจมีอาการต่างๆ ไม่เท่ากันเสมอไป คุณผู้หญิงที่ไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองมีอาการของ PMS หรือไม่ อาจลองใช้วิธีจดบันทึกของอาการที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมีประจำเดือนดูสักประมาณ 2-3 เดือนติดๆ กัน เพื่อสังเกตว่าเกิดอาการคล้ายๆ กันอย่างใดหรือไม่ มีความรุนแรงขนาดไหน และมีระยะเวลาเท่าใด รวมทั้งผลกระทบทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น หากพบว่ามีก็คงจะพอสังเกตเห็นได้ว่าเราเข้าข่ายที่ว่า และเมื่อคุณไปปรึกษาแพทย์ บันทึกที่ทำไว้นี้ก็จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ง่ายขึ้นเพื่อหาทางบรรเทาอาการต่อไป

อาการไม่สบายตัวก่อนมีประจำเดือนในแต่ละคนอาจเกิดขึ้นแตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ อาการทางกาย และอาการทางจิตใจ

อาการทางกาย ได้แก่

รู้สึกตัวเองอ้วน พองขึ้น ทำให้แน่นและอึดอัด เหมือนว่ามีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เจ็บปวดแบบเป็นตะคริวที่บริเวณท้องน้อย(มดลูก) เต้านมคัดตึง เจ็บสิวปะทุบริเวณใบหน้า ครั่นเนื้อครั่นตัว เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น หิวบ่อย วิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม รู้สึกเหนื่อยอ่อน หมดแรง ใจสั่น ปวดหัว
ปวดบริเวณกระดูกเชิงกราน ปวดหลัง หรือปวดกล้ามเนื้อ นิสัยการขับถ่ายเปลี่ยนไปจากปกติ เช่น ท้องผูก หรือท้องเสีย

อาการทางจิตใจ ได้แก่

หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย
ก้าวร้าว
เครียด
วิตกกังวล
ซึมเศร้า หดหู่
อารมณ์แปรเปลี่ยนง่าย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
เฉื่อยชา ความสนใจต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเปลี่ยนไป
นอนไม่หลับ
เบื่ออาหาร
อยากร้องไห้
อารมณ์ทางเพศเปลี่ยนไป
กระหายน้ำบ่อยๆ
รู้สึกสับสน

และเนื่องจากยังไม่มีใครสามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดอาการไม่สบายตัวก่อนมีประจำเดือนเหล่านี้ได้ นอกจากตั้งข้อสังเกตกันไว้ต่างๆ นานา บ้างก็ว่าเกิดจากขาดวิตามิน B แคลเซียม และแมกนีเซียม บ้างก็ว่าเกิดจากการกินยาเม็ดคุมกำเนิด บ้างก็ว่าเกิดระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือระดับธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำไป ทำให้การรักษาเยียวยาจึงได้แต่รักษาไปตามอาการ เช่น ปวดท้องก็ให้ยาแก้ปวด เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามวิธีที่แพทย์เน้นเป็นพิเศษเพื่อบรรเทาอาการทรมานที่ว่านี้ก็คือ การเปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิตบางอย่างจะช่วยได้มาก ลองพิจารณาวิธีที่เราแนะนำต่อไปนี้แล้วลองนำไปปฏิบัติตามทีละขั้นเพื่อบรรเทาอาการไม่สบายตัวในช่วงมีประจำเดือนให้รู้สึกดีขึ้น

รับประทานผลไม้ ผัก ธัญพืชต่างๆ ที่มีกากใยเป็นประจำสม่ำเสมอ

ลดเกลือ หรืออาหารเค็ม เพราะเกลือจะมีผลต่ออาการบวมน้ำ และการตึงคัดที่เต้านม

จำกัดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ทั้งในชา กาแฟ ช็อคโกแลต รวมทั้งเครื่องดื่มประเภทโคคา-โคลา เพราะคาเฟอีนก็มีผลต่อการระคายเคืองและตึงคัดที่เต้านมเช่นเดียวกัน

หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเวลาที่คุณรู้สึกหดหู่หรือเครียด

พยายามทำจิตใจให้ผ่องใส ไม่จมอยู่ในความเครียด ด้วยการหาวิธีผ่อนคลายแบบต่างๆ เช่น การนั่งสมาธิ เล่นโยคะ การบำบัดโดยใช้กลิ่นหอมเข้าช่วย (อโรมาเธราปี) แม้กระทั่งการนอนแช่น้ำอุ่นๆ เวลาอาบน้ำสักพักหนึ่ง

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยครั้งละประมาณ 30 นาที 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ นอกจากจะช่วยลดความเครียดแล้ว ยังช่วยให้คลายความหงุดหงิดและรู้สึกกับตัวเองดีขึ้นมาก

หากเกิดอาการข้อเท้าบวม ให้บรรเทาด้วยการนอนราบ และยกขาขึ้นสูง

ปรึกษาแพทย์ถึงการได้รับสารอาหารบางชนิดเพิ่มขึ้น เช่น วิตามินบี วิตามินอี แคลเซียม แมกนีเซียม หรือน้ำมันดอกอีฟนิ่งพริมโรสหากอาการเป็นมาก ควรพบแพทย์

ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ควรพูดคุยถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นและอาการที่เป็นกับคู่ของคุณ หรือคนใกล้ชิด เพื่อให้เขาเข้าใจ และจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระที่คุณต้องทำ เช่นช่วยเลี้ยงลูก หรือทำงานบ้าน รวมทั้งไม่ถือสาหาความกับคุณ ในเวลาที่คุณหงุดหงิดฉุนเฉียว หรือไม่สบายตัว

ในเมื่อคุณต้องเผชิญกับช่วงระหว่างเวลาแห่งทุกข์อย่างนี้เป็นประจำทุกเดือน ก็คงยากที่จะเลี่ยงพ้น แต่คุณก็สามารถทำให้ตัวเองมีความสุขกับชีวิตได้ ด้วยการเข้าใจในธรรมชาติในแบบที่มันเป็น และให้รางวัลกับชีวิตด้วยการหากิจกรรมรื่นรมย์ต่างๆ ทำ ออกไปช้อปปิ้งให้สบายใจ หรือไปทำผม ทำเล็บ นวดหน้า อย่างไรที่มีความสุขก็ทำซะ แล้วคุณจะพบว่าคุณสามารถผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ได้ไม่ยากเลย

ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today




 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2551 11:56:22 น.
Counter : 401 Pageviews.  

โยเกิร์ต สูตรน้ำผึ้งผสมมะนาว ดีจริงหรือมั่วนิ่ม

พอดีได้อ่านบทความของนายแพทย์ บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล จากมติชน สุดสัปดาห์ เลยต้องสะดุ้งกันไปเป็นแถบๆ เคยมีคนบอกมาเหมือนกันว่า ให้ทำโยเกิร์ต สูตรน้ำผึ้งผสมมะนาว เพราะทานแล้วช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น แต่ก็ต้องมาเหยียบเบรกเอี๊ยดอ๊าดกันก็คราวนี้

โดยคุณหมอ บรรจบได้บอกเหตุผลที่ไม่เห็นด้วยไว้ว่า.....

ความหวานจากน้ำผึ้งที่ใส่เข้าไป แคลอรี่ความหวานจากน้ำผึ้งก็คือแคลอรี่จากน้ำตาล การทานน้ำผึ้งไม่ได้ปลอดภัยกว่าการทานน้ำตาล ความหวานของน้ำผึ้งสามารถเปลี่ยนให้โปรตีนจับตัวเป็นก้อน ขนาดแบคทีเรียในโปรตีนยังตายเมื่อเจอกับน้ำผึ้ง คนโบราณจึงมักใช้น้ำผึ้งทาแผลเปื่อยเพื่อฆ่าเชื้อโรค แต่ผลข้างเคียงก็คือทำให้เนื้อเยื่อบริเวณแผลเปลี่ยนสีและแปรรูปกลายเป็นแผลเป็น ส่วนคนจีนโบราณเค้าจะใช้น้ำผึ้งในการดองศพ ลองนึกดูนะว่า น้ำผึ้งเข้มข้นสามารถดองเนื้อเยื่อได้ถึงขนาดนั้น โอ้ว แล้วกระเพาะและลำไส้เราจะเป็นอย่างไร




 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2551 11:55:45 น.
Counter : 350 Pageviews.  

อัลมอนด์ องครักษ์พิทักษ์หัวใจ

"อัลมอนด์" เป็นถั่วประเภท Tree Nut ซึ่งถูกจัดให้เป็น 1 ใน 10 สุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะมีคุณประโยชน์มากมาย ในเมล็ดอัลมอนด์อุดมไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ประกอบไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ซึ่งช่วยเพิ่มระดับ HDL (High-Density Lipoproteins) หรือไขมันดี และช่วยลดระดับ LDL (Low-Density Lipoproteins) หรือไขมันเลว

ทั้ง HDL และ LDL จะเป็นตัวพาคอเลสเตอรอลเคลื่อนที่ไปตามกระแสเลือด หากร่างกายมี LDL หรือไขมันเลวมาก คอเลสเตอรอลจะเคลื่อนที่ลำบาก และจะสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือด โดยเฉพาะเส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงหัวใจและสมอง ซึ่งถ้ามันไปรวมตัวกับสารอื่น อาจเกิดเป็นลิ่มไขมัน ทำให้หลอดเลือดตีบตัน ขัดขวางการไหลเวียนของกระแสเลือดได้ หากเส้นเลือดตีบตันที่หัวใจ อาจทำให้เกิดโรคหัวใจ และหากเส้นเลือดตีบตันที่สมอง อาจทำให้เป็นอัมพาตได้ แต่ถ้าร่างกายเรามีไขมันดี หรือ HDL มากกว่า ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ เพราะ HDL จะช่วยให้คอเลสเตอรอลเคลื่อนที่ได้ดี ทำให้คอเลสเตอรอลหลุดออกจากผนังหลอดเลือดและส่งไปยังตับเพื่อกำจัดออกจากร่างกายได้ง่ายกว่า

ผลการวิจัยจากสถาบันชั้นนำทั้งในยุโรปและอเมริกาพบว่า ถ้ารับประทานอัลมอนด์เพียงวันละ 1 หยิบมือ ช่วยลด LDL ได้ถึง 4.4% และถ้ารับประทาน 2 หยิบมือต่อวัน ช่วยลด LDL ได้ถึง 9.4% รวมไปถึงผลวิจัยจาก Nation Cholesterol Education Program ก็รายงานผลออกมาในรูปแบบเดียวกัน โดยให้กลุ่มตัวอย่าง รับประทานอาหารที่มีและไม่มีอัลมอนด์ประกอบอยู่ พบว่าในกลุ่มที่มีการบริโภคอัลมอนด์มากขึ้น ระดับ LDL ก็จะลดลง และระดับ HDL ก็เพิ่มขึ้นด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานอัลมอนด์เป็นอาหารเสริมเป็นเวลา 1 ปี โดย 6 เดือนแรกให้รับประทานอาหารตามปกติ และ 6 เดือนหลังให้รับประทานอัลมอนด์ในช่วงระหว่างมื้ออาหารประมาณ 52 กรัมต่อวัน เปรียบเทียบกันพบว่ากรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อนเพิ่มขึ้น กรดไขมันอิ่มตัวลดลง คอเลสเตอรอลและน้ำตาลลดลง จึงส่งผลโดยตรงในการช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเบาหวาน ได้ถึง 30-50%

อัลมอนด์ยังอุดมไปด้วยไยอาหาร โปรตีน วิตามินบี วิตามินอี และโอเมก้า3 ซึ่งจำเป็นสำหรับการเสริมสร้างเซลล์ที่สึกหรอของผิวหนัง เส้นผม ทั้งยังช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัย ไยอาหารยังช่วยลดความเสี่ยงตากมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วย




 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2551 13:25:39 น.
Counter : 284 Pageviews.  

6 วิธี ทำลายสมอง

มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาอย่างปกติสมบูรณ์ และในการดำเนินชีวิตที่ไม่ประสบกับเหตุเภทภัยที่เกิดกับสมอง จากอุบัติเหตุ ถูกทำร้าย หรือจากเชื้อโรคร้าย ก็จะมีอวัยวะสำคัญที่สุดของร่างกายเหมือนกันทุกคนคือ สมอง...

ความรู้ใหม่เกี่ยวกับสมองเกิดขึ้นมากมายแทนที่ความรู้เก่า ดังเช่น ความรู้เก่าที่ว่า สมองของคนเราเกิดมาเท่าไรก็มีเท่านั้น ไม่สามารถจะเกิดใหม่ได้ แต่ในความเป็นจริงเซลล์สมองมีการเกิดใหม่ได้ สเต็มเซลล์ที่เป็นเซลล์อ่อนพร้อมจะพัฒนาเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ของอวัยวะมนุษย์ก็พบอยู่ในสมองของผู้ใหญ่ด้วย...

จากเทคโนโลยีใหม่ๆ ของการสำรวจ เจาะตรวจสอบภายในร่างกายของมนุษย์เรา ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถมองเห็นการทำงานของสมองในสภาวะต่างๆ ก็จึงทำให้วงการวิทยาศาสตร์วันนี้ ได้ค้นพบวิธีต่างๆ มากมาย ที่จะทำให้คนเราใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในขณะเดียวกันก็พบว่า สมองมนุษย์ถึงแม้จะวิเศษเพียงใด แต่ก็เปราะบางอ่อนไหวต่อสิ่งกระตุ้น ทั้งที่เป็นสารเคมีที่เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและกัมมันตภาพรังสี และที่เสมือนหนึ่งไม่มีตัวตน แต่มีผลอย่างสำคัญต่อสมองคือ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก

ใครๆ ก็อยากมีสมองที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีอยู่มากมายที่คนซึ่งโดยปกติก็เคยเป็นคนเก่ง แต่ก็กลับกลายเป็นคนที่ใช้สมองได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ

มีคู่มือหรือวิธีมากมายที่จะกระตุ้นการใช้สมองของคนเราโดยทั่วไปให้มีประสิทธิภาพ แต่ในวันนี้ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงสิ่งตรงกันข้ามคือ คู่มือหรือวิธีที่จะทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ด้วยความหวังว่า บ่อยๆ ที่คนเรามักจะ "จำ" ข่าวร้าย หรือคำเตือนถึงวิธีการที่ส่งผลร้ายต่อตนเองได้มากกว่าข่าวดี หรือคำแนะนำถึงวิธีการที่ดี

ต่อไปนี้เป็นวิธีหรือคู่มือการทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

1.โกหกเป็นประจำ

การโกหกเป็นประจำทำให้สมองต้องทำงานหนักกว่าปกติ จริงๆ แล้วสมองของคนเรายิ่งทำงานหนักก็ยิ่งดี และมีข้อมูลจากการศึกษาทดลองทั้งกับสัตว์ทดลองและกับมนุษย์เองโดยตรงที่สนับสนุนเรื่องนี้ แต่การทำงานหนักของสมองมีอยู่ 2 อย่างคือ หนึ่ง : ทำงานหนักในด้านดี ด้านสร้างสรรค์ และสอง : ทำงานหนักในด้านไม่ดี ไม่สร้างสรรค์ เฉพาะการใช้สมองทำงานหนักในด้านสร้างสรรค์เท่านั้น จึงจะทำให้สมองมีประสิทธิภาพดียิ่งๆ ขึ้นไป

แต่คนโกหกเป็นประจำ สมองต้องทำงานหนักเป็นพิเศษในการที่จะต้องพยายามจำสิ่งที่ได้โกหกเอาไว้ และก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนของการใช้สมองทำงานหนักอย่างไม่สร้างสรรค์ การโกหกเป็นประจำจึงเป็นวิธีหนึ่งที่แน่นอน ทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

2.คิดในทางไม่ถูกต้อง

การใช้สมองคิดในทางที่ไม่ถูกต้อง เป็นอีกวิธีหนึ่งของการทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้อย่างแน่ชัด การคิดในทางที่ไม่ถูกต้อง คือ ผิดทำนองคลองธรรม ผิดกระบวนการ ผิดจริยธรรม ผิดจรรยาบรรณ ผิดกฎหมาย ตัวอย่างเช่น การคิดหาทางร่ำรวยทางลัด การเจริญก้าวหน้าในด้านอาชีพโดยวิธีการทางลัด โดยทุกวิถีทางไม่ว่าจะเป็นการคดโกง การประจบผู้บังคับบัญชา การวางแผนทำลายเพื่อนร่วมงานเพื่อตนเองจะได้รับตำแหน่งแทน การคิดหาช่องทางกอบโกยผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ เช่น การคอร์รัปชัน การแสวงหาผลประโยชน์ทับซ้อน โดยวิธีการที่แยบยล หรือผิดกฎหมาย ผิดประเพณีปฏิบัติที่ดีงาม โดยที่ไม่ต้องได้รับการลงโทษ เหล่านี้เป็นวิธีที่แน่นอนอีกวิธีหนึ่งในการทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

3.หมกมุ่นอบายมุข

การคิดหมกมุ่นอยู่กับอบายมุข เช่น การพนัน คลั่งหวย ฯลฯ ทำให้สมองต้องทำงานหนักทั้งเวลาตื่นและหลับ เพราะเวลาตื่นก็จะหมกมุ่นหาแต่อาจารย์เด็ด เลขเด็ด ตีความหมายของการฝันให้เป็นตัวเลข เวลาหลับก็จะฝันแต่เรื่องเป็นตัวเลข พบเห็นสิ่งผิดปกติในธรรมชาติก็จะคิดเป็นตัวเลข การหมกมุ่นกับอบายมุขทำลายทั้งประสิทธิภาพการทำงานของสมองและคุณภาพชีวิต

4.(เจ้า) คิด (เจ้า) แค้น

คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นประจำจะมีสภาพเป็นคนหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ไม่เป็นมงคล สมองจะถูกทำลายเสมือนหนึ่งถูกอาบด้วยยาพิษเป็นประจำ ก็จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลในการทำลายสมอง

5.เครียด ฟุ้งซ่าน

ความเครียด ความฟุ้งซ่าน ทำให้สมองต้องทำงานหนักอย่างผิดทาง ทำให้สมองหลั่งสารหรือขาดสารบางอย่างที่หล่อเลี้ยงและกระตุ้นให้สมองได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดอาการซึมเศร้าหรือฟุ้งซ่านอย่างหนัก ถึงขั้นขาดสติยั้งคิดทำร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตาย

6.ไม่ยอมคิด

ตรงกันข้ามกับคนที่คิดมากอย่างผิดทาง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงอย่างหนัก ก็คือคนที่ไม่ยอมคิดอะไรเป็นพิเศษขึ้นมาเลย นอกเหนือไปจากการคิดเพื่อชีวิตอยู่ไปวันๆ เช่น การกินอาหาร การทำงานตามหน้าที่อย่างเคร่งครัดเท่านั้น เผินๆ อาจดูคล้ายผู้บรรลุในสัจจะแห่งชีวิตและธรรมแบบ "เต๋า"

แต่...ความว่างเปล่าของสมองแตกต่างอย่างมากกับผู้บรรลุแบบ "เต๋า" ยังมีอีกหรือไม่ วิธีทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมอง?

คำตอบคือ มี! แต่ 6 วิธีที่กล่าวถึงนี้ เป็นวิธีที่ต้องระวังกันมากที่สุด!




 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2551 13:22:30 น.
Counter : 297 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  

นากาชิม่า
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Tried to take a picture
Of love
Didn't think I'd miss her
That much
I want to fill this new frame
But it's empty

Tried to write a letter
In ink
It's been getting better
I think
I got a piece of paper
But it's empty
It's empty

Maybe we're trying
Trying too hard
Maybe we're torn apart
Maybe the timing
Is beating our hearts
We're empty

And I even wonder
If we
Should be getting under
These sheets
We could lie in this bed
But it's empty
It's empty
Friends' blogs
[Add นากาชิม่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.