Q[-___-Q ma leaw ja
Group Blog
 
All Blogs
 

รำข้าว ตัวปราบคลอเลสเตอรอล

อย่าดูถูกอาหารหมูไปนะคะว่าไม่มีประโยชน์ เพราะรำข้าวเป็นเปลือกชั้นนอกของเมล็ดข้าวไม่ขัดขาวนี่แหละ ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ ที่จะช่วยลดคลอเลสเตอรอลได้

จากการทดลองพบว่าระดับคลอเลสเตอรอลลดลง 8% เมื่อกินรำข้าวทุกวันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ ยิ่งเป็นรำข้าวโอ๊ตยิ่งดีใหญ่ เพราะสามารถลดคลอเลสเตอรอลได้ถึง 13% แต่รำข้าวเจ้าก็ยังได้ผลกว่ารำข้าวโอ๊ต เพราะสามารถลดสารประกอบของคลอเลสเตอรอลบางตัวที่อันตรายเป็นดิเศษได้ดีกว่า อย่างนี้แล้วน่าจะหาซื้อข้าวโอ๊ตและข้าวไม่ขัดขาวมาทานกันบ้างนะคะ





 

Create Date : 25 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2551 7:14:11 น.
Counter : 256 Pageviews.  

เชื้อ VIBRIO VULNIFICUS จากหอยนางรมดิบ

เค้าว่ากันว่าหอยนางรมเป็นอาหารชูกำลังอย่างดี กินแล้วปึ๋งปั๋ง แต่ต้องระวังให้ดีนะคะ ถ้ามันมีเชื้อโรคอยู่ด้วยละก็ อันตรายทีเดียวค่ะ

เชื้อโรคนี้อันตราย แต่ไม่รุนแรงเช่นเดียวกันทุกครั้งไปครับ อาการทั่งไปเมื่อรับประทานเชื้อคืออาหารเป็นพิษรุนแรง ท้องเสีย แต่ตับจะเป็นตัวช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อติดต่อไปยังกระแสเลือด

ทั้งนี้ เชื้อสามารถติดเข้าสู่กระแสเลือดำได้ง่าย ในกลุ่มผู้ที่มีโรคตับ ตับไม่แข็งแรง ผู้สูงอายุ ผมไม่แน่ใจว่าอาจจะรวมถึงผู้ที่มีแผลในกระเพราะด้วยหรือไม่ครับ จะลองดูข้อมูลเพิ่มอีกครั้ง

ที่น่ากลัวอีกอย่าคือ นอกจากเชื้อสามารถติดต่อได้นอกจากการรับประทานอาหารทะเลดิบแล้ว ยังสามารถเข้าสู่ร่างกายทางแผลเปิดอีกด้วย (มีแผลแล้วลงไปเล่นน้ำทะเล)

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องบอกว่าการระบาดของเชื้อนี้ ไม่มีลักษณะที่แน่นอน แต่อาจมีความสัมพันธ์กับน้ำเสีย เพราะมีรายงานว่ามีการระบาดมากในเมืองชายทะเลในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเฮอริเคนที่สหรัฐสองลูกที่ผ่านมา ซึ่งมีน้ำท่วมขัง ขยะ และของเสียมาก

ที่น่าเป็นห่วง คือยังไม่สามารถบอกได้ว่าทะเลแหล่งไหนมี หรือ ไม่มี (ตามที่บอกว่าการระบาดเป็นแบบสุ่มนั่นแหละ)

ตามรายงาน มีการแนะนำให้รับประทานเฉพาะหอยนางรมจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ว่าแต่เมืองไทยเรามันไม่มีการสำรวจและบอกว่าตรงไหนทานได้หรือไม่ได้ ดังนั้นคงต้องเสี่ยงกันเอาเอง

หาข้อมูลเชื้อโรคนี้ได้ง่ายมาก เพียงแค่เสิร์ชในกูเกิล มีเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ ทั้งวิทยาลัยแพทย์ หน่วยงานสาธารณสุข ทั้งในสหรัฐ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย

สรุปว่า ถ้าตับไม่ดี ก็อย่าเสี่ยง




 

Create Date : 25 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2551 7:34:24 น.
Counter : 1250 Pageviews.  

สมองเสื่อม...โรคที่มาพร้อมความชรา

สมองเริ่มมีพัฒนาการตั้งแต่เรายังเป็นทารกในครรภ์ จนอายุประมาณ 30 ปี เซลล์สมองจึงหยุดพัฒนาและจะค่อยๆ ตายลง จนแสดงอาการสมองเสื่อมเมื่ออายุ 60 ปี ขึ้นไป และคาดว่าร้อยละ 5 ของคนอายุ 60 ปี จะมีอาการสมองเสื่อม แต่เราสามารถป้องกันโรคสมองเสื่อมได้นะคะ
ในคนปกติ สมองมีเซลล์กว่า 1 แสนล้านเซลล์ หากเริ่มสูญเสียเซลล์ประสาทเมื่ออายุประมาณ 20 ปี วันละประมาณ 5,000 เซลล์ เมื่อถึงอายุ 90 ปี เรายังเหลือเซลล์ที่ใช้งานได้อีก 99,983,585,000 เซลล์ แต่สำหรับคนสมองเสื่อม จะสูญเสียเซลล์ประสาทเร็วกว่าปกติ ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องความจำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเสียความเฉลียวฉลาด และการสั่งงานของสมองด้วย เช่น ใช้ภาษาผิด เรียกช้อนเป็นตะหลิว สิ่งที่เคยทำได้ก็ทำไม่ได้ เคยคิดเลขคล่องก็คิดไม่ได้ เดินผิดปกติ เกร็ง
สมองเสื่อมมีหลายสาเหตุ เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์คินสัน หลอดเลือดในสมองอุดตัน หรือหลอดเลือดในสมองแตก การดื่มสุรา โพรงน้ำในสมองโต ไทรอยด์ผิดปกติ การทำงานน้อยลงหรือหยุดทำงาน โรคตับเรื้อรัง เนื้องอกในสมอง การติดเชื้อ HIV และจากวัยที่ล่วงเลย ทำให้เซลล์สมองตายลงเรื่อยๆ
สำหรับอัลไซเมอร์ เป็นโรคเกี่ยวกับสมองเสื่อมที่พบมากที่สุด พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (เพราะผู้หญิงอายุยืนกว่า) ส่วนใหญ่อายุ 65 ปีขึ้นไป และเพิ่มเป็น 2 เท่าในทุกๆ อายุที่เพิ่มขึ้น 5 ปีและเมื่อถึงวัย 85ปี ขึ้นไป 1 ใน 2 คน จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ ที่สำคัญเมื่อเป็นแล้วประมาณ 10 ปี ผู้ป่วยจะเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อน โรคติดเชื้อที่ปอด หรือโรคทางเดินปัสสาวะ เนื่องจากช่วยตนเองไม่ได้
สาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด แต่คาดว่ากลุ่มเสี่ยง คือ เพศหญิง ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา ความเครียด คนที่มียีน APOE4 สูง จะมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์สูง 30-40% (สามารถเจาะเลือดตรวจยีนตัวนี้ได้ที่โรงพยาบาลศิริราช ใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์) และมีงานวิจัยพบว่าคนที่การศึกษาน้อยมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์สูงกว่า คนที่การศึกษาสูงประมาณ 6.5 เท่า ส่วนคนที่ศีรษะกระทบกระเทือนจนสลบบ่อยๆ ก็มีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์สูงกว่าคนที่สมองไม่ถูกกระทบกระเทือน 3 เท่า และคนที่ป่วยเป็นโรค Down ก็มักป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ตั้งแต่ก่อนอายุ 30 ปี
อย่างไรก็ตามสมองเสื่อมจากโรคอัลไซเมอร์ และสมองเสื่อมจากสาเหตุอื่น มีความแตกต่างกัน คือ ความเปลี่ยนแปลงของโรคที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนแทบไม่รู้ว่าป่วยเป็นอัลไซเมอร์ และไม่มีอาการเช่น เกร็ง สั่น แขนขาอ่อนแรงให้สังเกต เพราะเป็นเพียงความเสื่อมในเซลล์สมองเท่านั้น แตกต่างจากสมองเสื่อมจากสาเหตุอื่นที่มีอาการอื่นประกอบด้วย กว่าจะรู้ว่าเป็นอัลไซเมอร์ก็ถึงขั้นสุดท้ายก็ช่วยตนเองไม่ได้ จำอะไรไม่ได้แล้ว ที่สำคัญเมื่อเป็นโรคอัลไซเมอร์แล้ว ไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้ ทำได้เพียงชะลออาการให้น้อยลง ไม่มีพฤติกรรมรุนแรงเป็นอันตรายทั้งกับตนเองและคนใกล้ชิด ซึ่งต้องบำบัดตั้งแต่ตอนที่ผู้ป่วยยังมีอาการน้อยๆ หรือปานกลางจึงจะได้ผลดีที่สุด
วิธีสังเกตสมองเสื่อมหรือแค่หลงลืม
บางครั้งคุณอาจรู้สึกลืมนั่นลืมนี้ จนสงสัยว่าเป็นโรคสมองเสื่อมหรือเปล่า ข้อสังเกตคือ การหลงลืมจะเป็นชั่วครั้งชั่วคราว ลืมเรื่องธรรมดา เช่น กุญแจบ้าน เส้นทางขับรถ ชื่อคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก แต่ถ้าเป็นสมองเสื่อมจากโรคอัลไซเมอร์ จะมีอาการรุนแรงส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ทำให้มีพฤติกรรมผิดแปลกไป เช่น เก็บกุญแจบ้านในตู้เย็น แต่งตัวไปตลาดตอนตี 2 ทำของหายบ่อยๆ ลืมวิธีหุงข้าว (ทั้งๆที่หุงข้าวเองมาตลอด 50 ปี) ย้ำคิดย้ำทำ และอาจมีอารมณ์แปรปรวนป้องกันก่อนสมองแก่
แม้ไม่มีงานวิจัยชิ้นใดที่รับรองว่าสามารถยืดอายุสมองให้ยาวนานออกไปได้ แต่การถนอมสมอง และใช้สมองอย่างเต็มความสามารถ โดยไม่หักโหม อาจช่วยชะลอความเสื่อมของสมองออกไป สำหรับผู้สูงอายุไม่ควรเลิกทำกิจกรรมต่างๆ หยุดคิด หยุดใช้สมอง เพราะสมองก็เหมือนกับอวัยวะส่วนอื่นหากไม่ใช้ไม่บริหารก็เสื่อม ฝ่อลงได้ การป้องกันสมองแก่ทำได้โดย
a.. ให้สมองทำงานใหม่ๆ บ้าง การทำกิจกรรมใหม่ที่สมองไม่เคยเรียนรู้มาก่อน ช่วยให้เกิดการแตกแขนงเซลล์ประสาทเพิ่มขึ้น ซึ่งควรเป็นกิจกรรมที่ได้ใช้สมองคิด กิจกรรมใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน ต้องอาศัยการเรียนรู้ หรือเรียนรู้ในสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้เดิมที่มีอยู่ นอกจากนี้คุณอาจทำกิจกรรมง่ายๆ แต่สนุก เช่น ฝึกบวกเลขทะเบียนหลังรถ เล่นต่อจิกซอร์ เล่นเกมลับสมอง เล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่ต้องใช้ความคิด หรือจากที่เคยเดินไปข้างหน้าอย่างเดียวก็ฝึกเดินถอยหลัง หรือนับเลขถอยหลังจาก 100 99 98 97 96 95......ไปเรื่อยๆ เมื่อชำนาญแล้วอาจลบเลขในจำนวนที่ยากขึ้น เช่น จาก 100 ลบลงครั้งละ 6 จำนวนลงไปเรื่อยๆ เป็นต้น
b.. ออกกำลังกระตุ้นสมอง หากออกกำลังกายอย่างเต็มที่ให้เลือดสูบฉีดเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 60% จากอัตราการเต้นปกติของหัวใจ เลือดจะไปเลี้ยงสมองมากขึ้น ทำให้เซลล์ประสาทและสมองก็มีอาหารและออกซิเจนมากขึ้น ช่วยให้สมองสั่งงาน และทำงานได้ดีขึ้น การออกกำลังกายที่เหมาะสมคือเต้นแอโรบิก วิ่ง ปั่นจักยาน ชี่กง ไทเก็ก โยคะ อย่างน้อย 15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง สมองจะปลอดโปร่งขึ้น เพราะสารเอนโดฟินที่หลั่งออกมา แต่สารนี้อยู่ในร่างกายได้เพียง 48 ชั่วโมง ดังนั้นการออกกำลังกาย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะทำให้ร่างกายได้รับสารเอนโดฟินอย่างต่อเนื่อง
c.. กินต้านสมองแก่ อาหารที่สมองต้องการส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการผลิตสารสื่อประสาท ควบคุมการทำงานของเซลล์ประสาทและกล้ามเนื้อ ได้แก่
คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน จากแป้งและน้ำตาลไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวสาลีโฮลวีท ข้าวโพด จมูกข้าวสาลี
ผัก ผลไม้และพริก โดยเฉพาะผักโขม กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อกโคลี่ แคนตาลูป ถั่วลิสง ถั่วเหลือง และพริก วันละ 1 ช้อนชา เพราะพริกมีสารแคบไซซิน ทำให้เลือดในเส้นเลือดฝอยไหลเวียนดี มีเลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น สมองได้รับสารอาหารและออกซิเจนมากขึ้น แต่ละวันควรกินผักผลไม้ให้หลากหลาย อย่างน้อยวันละ 5 ส่วน คือผักสด 2 จาน ผลไม้สดชนิดใดก็ได้ 2 ผล (ปริมาณเท่าลูกแอปเปิ้ล) และน้ำผลไม้สดอีกวันละ 1 แก้ว
โปรตีนวันละ 1 ฝ่ามือ จากไข่แดง ถั่ว ตับ ปลา ถั่วลิสง อินทผลัม กล้วย และเนื้อแดงทุกประเภท แต่ถ้ากินมังสวิรัติ ควรกินเม็ดธัญพืชพร้อมกัน 2 ชนิดขึ้นไป เพื่อให้ได้กรดอะมิโนหน่วยย่อยของโปรตีนครบถ้วน
ระดับน้ำตาลที่พอดี สมองต้องการน้ำตาลในเลือดมากกว่า 80 มิลิกรัมต่อเดซิลิตร เพื่อเป็นพลังงานสำรองในการทำงาน หากน้ำตาลในเลือดต่ำ สมองไม่สามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ และถ้าน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป สมองจะถูกแช่ในน้ำตาลซึ่งเป็นสารกลุ่มฟอร์มาลดีไฮด์ ทำให้เนื้อเยื่อในระบบประสาทเสียหาย การสั่งงานของสมองไม่ดี จึงไม่ควรกินขนมหวาน น้ำอัดลม หรือน้ำหวานมากเกินไป




 

Create Date : 25 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2551 7:44:32 น.
Counter : 295 Pageviews.  

แป๊ะตำปึง หรือ จักรนารายณ์ กับประโยชน์คุณานัปการ

ที่มาและชื่อเดิม
- สมุนไพรแปะตำปึง เป็นพืชสมุนไพรที่คนไทยรูจักและคุ้นเคยมาประมาณ 3 ปี มีชื่อเป็นภาษาจีนอีกอย่างว่า จินจีเหมาเยี่ย ยังไม่ค้นพบที่มาว่าทำไมคนทั่วไปจึงเรียกติดปากว่าแปะตำปึง สันนิษฐานว่า ชื่อจินจีเหมาเยี่ย เรียกยากและจำยาก
- ถูกตั้งชื่อเป็นไทยว่า จักรนารายณ์ แต่มีชื่อเรียกหลากหลาย เช่น กิมกอยมอเช่า
ถิ่นกำเนิด
จากประเทศจีน ถูกนำเข้ามาปลูกในประเทศไทย ที่สวนสมุนไพรทางภาคเหนือและมีต้นพันธุ์วางขายในช่วงแรก ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ปัจจุบันด้วยสรรพคุณที่ช่วยผู้ป่วยได้มาก และขยายพันธุ์ได้รวดเร็วทำให้มีแพร่หลายทั่วไปในหมู่ผู้ชอบพืชสมุนไพร
คุณลักษณะและการขยายพันธุ์
แปะตำปึง
เป็นพุ่มไม้ขนาดเล็ก สูง 1.5-2.0 เมตร ลำต้นเดี่ยว แตกกิ่งก้านสาขาต่ำ กิ่งอ่อนเป็นสีเขียว ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับเป็นรูปรีแถบรูปไข่สลับ หรือรูปรีขอบรูปขนาน ปลายใบแหลมโคนใบสอบก้านใบสั้นขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อยตื้นๆ ใบเป็นสีเขียวสด เวลาใบดกจะเป็นพุ่มหนาทึกน่าชมมาก ดอกเป็นสีขาวนวล หรือสีขาวอมเหลือง ออกเป็นช่อที่ขอบใบและปลายขอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย 3-5 ดอก ลักษณะดอกคล้ายกับ”ดอกช้อนทอง” เวลามีดอกและบานพร้อมๆ กันทั้งต้นจะสวยงามมาก ดอกจะออกเกือบทั้งปี
สรรพคุณ
เหตุที่พืชสมุนไพรแปะตำปึงถูกเรียกว่า ยาเทวดา เนื่องมาจากสรรพคุณที่ทรงคุณค่าเป็นยาครอบจักรวาล (หลายโรค) แก้ได้สารพัดโรคซึ่งล้วนเป็นโรคยอดนิยม อาทิ
- โรคความดันเลือดสูง
- ความดันเลือดต่ำ
- โรคเส้นเลือดอุดตัน
- โรคหัวใจ
- โรคเบาหวาน
- โรคต่อมไทรอยด์
- ในใบมีสารอนุพันธุ์ป้องกันโรคมะเร็ง มะเร็งที่ลิ้น มะเร็งที่เกิดจากแผล
- โรคกระเพาะอาหาร
- ริดสีดวงทวาร
- โรคเกาส์
- โรคกระดูกเมื่อยล้า
- แผลบนใบหน้า
- ระดูขาว และซิฟิลิส
- ภูมิแพ้ เจ็บคอ ไอ หอบหืด
- โรคตับ
โดยเฉพาะผู้เป็นโรคความดันเลือดสูง โรคหัวใจจากเส้นเลือดอุดตัน เบาหวาน โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร ปวดท้ายทอย จะเห็นผลเร็วมาก หลังจากการกินสมุนไพรแปะตำปึงเป็นประจำ

วิธีใช้สมุนไพรแปะตำปึง
มีวิธีใช้ 3 แบบ คือ
วิธีที่1
ใชใบสด 7 ใบ ต้มกับน้ำเปล่า 2 ถ้วย (ถ้วยตราไก่จีนที่นิยมใส่ข้าวรับประทาน) ให้เหลือน้ำ 1 ถ้วย กิน 3 ครั้ง ต่อวัน ครั้งละ 1 ส่วน 3 ของถ้วย หรือเอาใบสด 7 ใบล้างให้สะอาดเคี้ยวให้ละเอียดกลืนลงท้อง กินติดต่อกันเป็นเวลา 12-20 วัน โรคที่เป็นจะค่อยๆ หายได้

วิธีที่ 2
ในรายที่ป่วยหนัก
ใช้ใบสด 30 ใบ ล้างให้สะอาด ต้มน้ำ 3 ถ้วย เหลือ 6 ส่วนของถ้วย กินตอนบ่าย 2 โมงของทุกวัน และเอาใบสดอีก 3 ใบ หั่นให้ละเอียดคลุกข้าวสวยกิน ในช่วงอาหารมื้อเย็นทุกวัน กินติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือนขึ้นไปอาการจะดีขึ้น

วิธีสุดท้าย
ใช้ใบ 7 ใบล้างให้สะอาด บดละเอียด เติมน้ำและน้ำตาลทรายเล็กน้อยผสมให้เข้ากัน กินติดต่อกันวันละครั้ง เป็นเวลา 15 วันขึ้นไป อาการของโรคที่กล่าวข้างต้นจะหายได้ ข้อห้ามเมื่อกินยานี้แล้วไม่ควรกินอาหารที่มีส่วนผสมผงชูรส และอาหารกระป๋อง

การขยายพันธุ์แปะตำปึง
ขยายพันธุ์
ด้วยวิธีปักชำกิ่ง หรือตอนกิ่งการปลูกขึ้นได้ในดินทั่วไป ชอบแดด ไม่ชอบน้ำท่วมขัง ปลูกเป็นทั้งไม้ประดับและไม้สมุนไพร จะปลูกลงดินกลางแจ้งหรือลงกระถางขนาด 10-12 นิ้วฟุต ก็ได้ รดน้ำเช้าเย็นจะเจริญเติบโตเร็วมาก
ลองอ่านความคิดเห็นดูล่ะกัน
2 Comments
Comments 1 - สวัสดีครับ เป็นประสบการณ์ตรงจากตัวของผมเองเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพรแป๊ะตำปึงดังรูปข้างบน
เนื่องจากนิสัยส่วนตัวในการรับประทานอาหารของผมเองไม่มีระเบียบวินัย อยากจะช่วงทานเวลาไหน
ก็ทาน บางทีก็ปล่อยให้หิวจัด เนื่องจากยังต้องติดภารกิจงานอยู่ ต่อมามีอาการ -แน่นท้องเหมือนกับมีลมอัดแน่นอยู่ อาจจะเป็นเพราะหิวหรือสาเหตุอื่นก็ไม่ทราบ
-หลังรับประทานอาหารจะแน่นท้องมาก ต้องขยับตัวบิดซ้ายขวาเหมือนออกกำลังกายหลายครั้งให้เรอออกมาจึงจะสบายตัว
-เวลานอนจะมีน้ำพุ่งขึ้นมาจากกระเพาะออกท้องจมูกลักษณะแสบจมูก(ทางการแพทย์เรียกว่ากรดไหลย้อน)
เป็นอาการดังกล่าวหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ
-ได้ข้อมูลเรื่องสมุนไพรจากคนรู้จักกันที่อ.แม่สายอายุประมาณ70กว่าปี แนะนำในรับประทานใบสมุนไพรแป๊ะตำปึง
-เด็ดใบสด7-9ใบทานตื่นนอนตอนเช้าทันที(ตามข้อมูลทั่วไป)
-อาการดีขึ้นมากจนหายไป
-ไขมันในเส้นเลือดที่เคยมี(เจ้าหน้าที่บอกสูงมากเกินไป)ให้ยามาครั้งเดียว ไม่เคยทานยาอีกเลย
-ตรวจครั้งสุดท้ายไขมันหายไป

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจากประสบการณ์์ของผมเองเล่าเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไป ลองหาข้อมูลหลายส่วนแล้วนำมาวิเคาะรห์ดูว่ารักษาโรคได้จริงหรือไม
Comments 2 - เรื่อง อาการกรดไหลย้อน นั่นเป็นเรื่องจริงค่ะ คุณโชคดีมีแค่อาการแสบจมูก เคยมีน้องที่ทำงานมีอาการหลอดอาหารใกล้ ๆ กับท่อหลอดลม (Larlingo-pharingeal) ปวมขึ้นมาคล้ายกับมีอะไรติดคอ จริง ๆ เกิดอาการอักเสบและบวมขึ้นมา ต้องส่องกล้องลงไปดูจึงจะเห็น
จริง ๆ คนมีอาการกรดไหลย้อนมีข้อแนะนำเพิ่มเติมคือ อย่าทานอาหารก่อนนอนทันที ควรอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงก่อนนอนไปด้วย
ส่วนสรรพคุณของแป๊ะตำปึงเรื่อง ลดไขมันในเลือดรู้สึกน่าเชื่อถือได้เพราะมีพี่ ๆ ที่ทำงานหลายคนบอกว่าได้ผลค่ะ
ขอบคุณนะคะที่นำประสบการณ์มาแลกเปลี่ยน

ความคิดเห็นที่ 5

สรรพคุณ : สรรพคุณของทั้งสองมีเหมือนกัน มีรสเย็น ใช้ใบเป็นยา รสชาติคล้ายใบชมพู่สาแหรก โรคที่(มีผู้รับรองว่า)สมุนไพรชนิดนี้รักษาหายแล้วได้แก่ เบาหวาน ความดันสูง ภูมิแพ้ หอบหืด มะเร็ง งูสวัด เกาต์ ริดสีดวงทวารหนัก ขับนิ่ว แผลสะเก็ดเงิน แผลอักเสบ-พุพอง-ฝีหนอง ปวดประจำเดือน ปวดเส้น ปวดหลัง ไขมันในเลือด ไทรอยด์ ตาอักเสบ ตาเป็นต้อ โรคตาต่างๆ ปวดเหงือก ปวดฟัน โรคกระเพาะอาหาร โรคหัวใจ โลหิตจาง ฟอกเลือด ล้างสารพิษในร่างกาย ขับลม กินได้ นอนหลับ คนปกติทั่วไปกินแล้วสุขภาพแข็งแรง เรียกว่าเป็นสมุนไพรครอบจักรวาลเลยทีเดียว
การขยายพันธุ์ : หลังจากเด็ดใบมากินหมดแล้ว ให้ตัดกิ่งออกเป็นท่อนๆยาว 10-15 ซ.ม. นำมาปักชำ ไว้ในที่รำไรและหมั่นรดน้ำเสมอๆ ประมาณ 7-10 วัน ก็จะแตกยอด-ออกรากเป็นต้นใหม่ เมื่อโตเต็มที่จะออกดอกสีเหลือง แต่ไม่ติดเมล็ด (ของพ่อด้วงเคยติดเมล็ดนะแต่เพาะไม่ขึ้น) ต้องปักชำกิ่งเท่านั้น พืชชนิดนี้ไม่ชอบร่มมากนัก ชอบดินร่วน ชอบแดดพอควร ชอบน้ำ แต่อย่าให้มีที่รองน้ำก้นกระถาง รากจะเน่า

ความคิดเห็นที่ 6

วิธีใช้ : เป็นพืชสมุนไพรครอบจักรวาลที่ไม่มีพิษภัย ใช้ใบสดๆ ล้างให้สะอาด ซับน้ำให้แห้ง นำมาเคี้ยวกินสดๆหรือใช้ประกอบอาหารกิน เช่นแกงจืดหรือผัดน้ำมัน
หรือเป็นเครื่องเคียงกับขนมจีน ส้มตำ สลัดผัก ฯลฯได้ หรือจะนำใบมาล้าง ผึ่งแห้ง นำมาบดหรือตำ คั้นเอาแต่น้ำ นำไปนึ่งให้สุก ปล่อยให้เย็น ใส่ขวด ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ได้นาน แต่ที่ได้ผลดีที่สุด คือกินใบสด ก่อนเข้านอน 3-5 ใบ
(พ่อด้วง หม่ามี๊ กับพี่สาว ลองกินกันหมดแล้ว แม่เลิกกินคนแรก บอกว่าไม่อร่อยกินแล้วคลื่นไส้ ต้องกินน้ำตามเยอะ เลยเลิกกิน พ่อด้วงเลิกเป็นคนที่สองเพราะไม่อร่อยน่ะซิ ลองผัดน้ำมันแล้ว ก็ไม่อร่อยแฮะ มีพี่สาวที่ยังกินอยู่)

ความคิดเห็นที่ 7

วิธีใช้เฉพาะโรค :
โรคเบาหวาน - กินใบสดๆ 2-5 ใบ ช่วงตี 5 -ถึง 7 โมงเช้าก่อนอาหาร เพราะลำไส้เริ่มทำงาน จะได้ผลเร็ว และกินอีกครั้งหลังอาหารเย็น 2-3 ชั่วโมงหรือกินก่อนนอน กินเช่นนี้นาน 7 วัน หยุดดูอาการ 2-3 วัน จึงกินต่อเพื่อน้ำตาลในเลือดจะได้ไม่ลดเร็วเกินไป
(พ่อด้วงขอเสริมตรงนี้นิดนึงว่าปริมาณการกินของแต่ละคนอาจไม่เท่ากันขึ้นกับขนาดของใบและน้ำหนักตัว จึงขอให้คนป่วยเบาหวานทดลองกินจำนวนใบน้อยๆก่อนแล้วคอยดูอาการ เพราะเคยมีคนบอกว่า บางคนกินแล้วน้ำตาลลดแบบฮวบฮาบ ซึ่งไม่รู้ว่ากินเยอะไปหรืออย่างไร และบางคนบอกว่าใบยาวลดน้ำตาลได้มากกว่าแบบใบกลมด้วยนะ และพืชชนิดนี้ยังไม่มีผลการวิจัยรองรับเป็นทางการจึงควรใช้ด้วยการระมัดระวังไว้ก่อนล่ะดี)
โรคตา - นำใบสดๆมาล้างให้สะอาด บด-โขลกในครกสะอาดๆ ให้แหลก แล้วนำมาพอกตาข้างที่อักเสบหรือมัว นาน 30 นาที ก่อนจะล้างออกด้วยน้ำ พอกเช้า-เย็น ตาจะดีขึ้นเร็ว
โรคความดันสูง-ต่ำ และมะเร็ง - ให้กินเป็นผัก เช่น จิ้มน้ำพริก ทุกวัน ถ้าเป็นมะเร็งกินก่อนนอน 5-7 ใบก่อนนอน ประมาณ 6 เดือน มะเร็งจะลดขนาดลง
งูสวัด - นำใบมาตำกับน้ำตาลทรายแดง เพื่อให้จับตัวเป็นก้อน ไม่หลุดง่าย พอกตรงรอยแผลไว้ 30 นาที หรือใช้น้ำคั้นทาก็ได้
ริดสีดวงทวารหนัก - ตำใบสดแล้วใส่ในทวาร จะทำให้หายเร็ว ติ่งที่โผล่จะยุบ เลือดที่ออกจะหยุด
โรคกระเพาะ - ถ้าปวดท้องและเป็นโรคกระเพาะ ให้กินเดี๋ยวนั้น สักพักอาการปวดจะหายไป ยังช่วยขับลม ที่แน่นในท้องออกมาได้ด้วย

สิ่งที่ควรระวัง- อาหารแสลง เช่น กุ้ง เนื้อ ปลาหมึก ปู ปลาทู ปลาร้า หูฉลาม กะปิ ข้าวเหนียว หน่อไม้ แตงกวา หัวผักกาด เผือก สาเก ของดอง แอลกอฮอล์ ชา-กาแฟ ควรงด แต่หากจำเป็นต้องกิน ขอให้กิน แปะตำปึง ก่อนหรือหลัง 2 ชั่วโมง

ความคิดเห็นที่ 8

(พ่อด้วงขอเสริมอีกแหละว่า
-การปลูกใช้เอง ไม่ควรใช้ยาฆ่าแมลง หรือถ้ามีการใช้ปุ๋ย ควรทิ้งไว้อย่างน้อย 1 อาทิตย์ก่อนเก็บใบมาใช้ และควรล้างให้สะอาดๆก่อนนำมาใช้ โดยเฉพาะการพอกตา)
หมายเหตุ : เมื่อเจ็บป่วย ควรไปพบแพทย์และรักษาตามปกติ การรับประทานใบยา ถือว่าเป็นการเสริม เพื่อให้การเจ็บป่วยหายเร็วขึ้น หรือเป็นทางเลือก หากท่านรับประทานแล้วได้ผล ขอให้บอกกล่าว-แนะนำช่วยเหลือผู้อื่นด้วย ก็ได้บุญดี

ความคิดเห็นที่ 9
คนเฒ่าคนแก่บอกไว้ว่า "ให้กินแปะตำปึงให้ได้วันละ 1 ใบ ทุกวันจึงจะดี" แต่ป้ามู๋เวลากินทีเป็นกาละมัง ไม่ทุกวัน วันไหนมีลาบปลา หรือ แทนใบเมี่ยง ก็เอามาห่อจิ้มได้เลยค่ะ
มีคนบอกไว้ว่า แปะตำปึง เป็นสมุนไพรจากสวรรค์ เพราะมีสรรพคุณในการรักษาโรคได้




ต้นยาแปะตำปึง

ต้นแปะตำปึงเดิมเป็นต้นยามาจากประเทศจีน ลักษณะของใบยาจะหนานุ่มคล้ายกำมะหยี่ รสชาดของใบยาคล้ายชมพูที่ยังไม่แก่

สรรพคุณ ของใบยา ได้แก่ จะฟอกเลือด ปรับระบบเลือดให้ดีขึ้น น้ำเหลืองจะดีขึ้น รักษาแผลภายใน - ภายนอก ชะล้างสารพิษภายในร่ายกายออกทาง (อุจจาระ ปัสสาวะ และทางตา) ทำให้กินข้าวใด้นอนหลับอาการปวดต่าง ๆ ก็จะหาย ระบบหายใจจะดีขึ้นไม่เหนื่อยหอบ ขับลมแน่นภายในช่องท้อง โรคที่ใบยาแปะตำปึง ได้รักษาหายมาแล้ว ได้แก่โรคเบาหวาน ความดันสูง-ต่ำ โรคหืดหอบ-ภูมิแพ้ โรคมะเร็งทุกชนิด ริดสีดวงทวารหนัก งูสวัด โรคเก๊า ขับนิ่ว แผลสะเก็ดเงิน แผดฝีหนองทั่วไป โรคหัวใจ โรคโลหิตจาง เนื้องอกต่าง ๆ ในไต ปวดเหงือก ปวดฟันแผลอักเสบ ปวดท้องประจำเดือน คอเรสเตอรอล ไขมันในเส้นเลือด ไทรอยท์ ปวดเส้น ปวดหลัง โรคกระเพาะ ดวงตาที่เป็นต้อ ดวงตาอับเสบ ขุ่นมัว โรคผิวหนังทั่วไป (สิว ฝ้า เป็นด่าง) <โรคเอดส์ถ้าทานใบยาก็จะมีผลให้สุขภาพดีขึ้น>

วิธีการรับประทาน ใบสด ควรรับประทานวันละ 1 ครั้ง ประมาณ 2,3 หรือ 5 ใบ เวลาที่ควรรับประทานใบยาที่ดีที่สุดคือ ตี 5-7 โมงเช้า เพราะลำไส้เริ่มทำงาน ท้องยังว่างอยู่จะได้ผลเร็ว ถ้าบางท่านที่ปวดเหงือก - ปวดฟัน ปากเป็นแผลลำคออักเสบ ควรรับประทานใบยาในเวลากลางคืน (แปรงฟันให้เรียบร้อย) ค่อยรับประทานใบยาเคี้ยวและอมทิ้งไว้สักระยะเวลาหนี่งแล้วค่อยกลืน ผลที่จะได้รับคือ ตื่นเช้าอาการปวดจะหายไป จะขับถ่ายโล่งสบาย จะมีขี้ตาออกมาเยอะหน่อย เพราะใบยาจะขับสารพิษออกทางตา ถ้าใครปวดท้องและเป็นโรคกระเพาะให้รับประทานใบยาเดี่ยวนั้น สักพักหนึ่งอาการปวดของโรคกระเพาะก็จะหายไป ยังช่วยขับลมแก๊สที่แน่นในท้องออกด้วย ยังสามารถนำใบยาแปะตำปึงใปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อีก นอกเหนือจากรับประทานใบสดแล้ว ได้แก่

1.นำใบยามาทำเป็นอาหาร เช่น แกงจืด (15-20 ใบต่อ 1 ท่าน)

2.นำมาพอกตาสำหรับคนที่ดวงตาเป็นต้อ ดวงตาอักเสบ ตามัว นำใบยาประมาณ 7-8 ใบ มาขยี้ หรือใช้ครกตำก็ได้ บีบน้ำยาใส่ที่ดวงตา แบ่งใบยาเป็น 2 ส่วน พอกไว้ 20-30 นาที ค่อยล้างออก ผลที่ได้รับคือ ดวงตาจะสว่างขึ้น แผลต่าง ๆ จะหายไป รวมทั้งต้อด้วย ถ้าท่านใดเป็นมาก ควรทำไว้สักระยะหนึ่ง

3. ท่านที่เป็นริดสีดวงทวารหนัก ควรทานใบสด และควรนำใบยามาขยี้หรือตำให้ได้พอเหมาะยัดใส่ทวารหนัก จำทำให้แผลหายเร็ว ติ่งที่โผล่ยุบเลือดที่ออกก็จะหยุด

การเก็บรักษาให้ได้นาน ถ้ามีใบยาที่แก่และเหลือง นำมาล้างแล้วผึ่งให้แห้ง นำมาปั่นหรือตำก็ได้ บีบน้ำยาใส่ถ้วย นำไปนึ่งให้สุกปล่อยให้เย็นแล้วใส่ขวดเก็บไว้ในตู้เย็น เก็บไว้ใช้ได้นาน ถ้าเป็นงูสวัด และแผลต่าง ๆ ใช้น้ำยาทา หรือนำใบยาสดมาตำพอกก็ได้ ตากแห้งทำใบชาได้

อาหารแสลงที่ควรระวัง เช่น เนื้อ กุ้ง ปลาหมึก ปู ปลาทู ปลาร้า หูฉลาม กะปิ ข้าวเหนียว หน่อไม้ แตงกวา หัวผักกาด เผือก สาเก เครื่องดองของเมา น้ำชา กาแฟ (ถ้าสุขภาพไม่แข็งแรงควรงด) <สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทาน>

วิธีการปลูก ต้นยาแปะตำปึงเมื่อปลูกได้ระยะหนึ่งประมาณปีกว่าต้นแม่ก็จะตาย ควรหักปักชำใหม่ เมื่อโตเต็มที่แล้วจะมีช่อดอกสีเหลืองไม่มีฝักและเมล็ด ต้องปักชำเท่านั้น ต้นยาชอบน้ำ อากาศดี ชอบแสงแดดพอสมควร และดินร่วน สิ่งที่ควรระวัง คือ เพี้ยแป้งชอบเกาะลำต้นและใบ ถ้ามีเพี้ยแป้งก็จะมีมดแดง จะทำให้ต้นยาเหียวแห้ง และตาย ต้องระวังสัตว์บางชนิดชอบกิน

หมายเหตุ ทุกท่านที่เจ็บป่วยเมื่อรับประทานใบยาแล้ว ก็ควรไปพบแพทย์ และตรวจรักษาตามปกติ และทานยาตามแพทย์สั่งส่วนใบยานั้นควรเป็นใบยาเสริมให้เจ็บป่วยหายเร็วขึ้นเท่านั้น (ท่านที่มีต้นยาปลูก และปลูกต้นยาพอรับประทานแล้วขอความกรุณาช่วยเหลือผู้อื่นด้วย จะได้เป็นบุญกุศล ที่ได้ช่วยผู้อื่นพ้นทุกข์)




 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 27 กรกฎาคม 2551 21:27:21 น.
Counter : 2609 Pageviews.  

สมุนไพรต้านเบาหวาน

สมุนไพรต้านเบาหวาน

ตำลึง
เป็นผักที่เรารับประทานเป็นอาหารประจำวันอยู่แล้ว มีรายงานการศึกษาวิจัยหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า ทุกส่วนของตำลึง ตั้งแต่ ราก ลำต้น ใบ และผล สามารถลดน้ำตาลในเลือดได้โดยกลไกการออกฤทธิ์จะคล้ายกับยาแผนปัจจุบันชื่อ Tolbutamide
อีกทั้งยังมีวิตามินAมหาศาล ช่วยป้องกันโรคตาบอดในเด็กตามชนบท ทั้งยังประกอบด้วยแคโรทีน ซึ่งมีประโยชน์ในการชะลอความแก่และต้านมะเร็ง ตำลึงจึงเป้นผักที่ควรจะเป็นอาหารหลักของผู้ป่วยเบาหวานเพราะไม่มีพิษภัยและยังสามารถนำมาทำอาหารหลากหลายรูปแบบได้อย่างเอร็ดอร่อย

มะระ
ในการลดเบาหวานพบว่า มีสารชื่อpolypeptide-p ซึ่งไปลดการดูดซึมของกลูโคส อีกทั้งมะระยังลดการเกิดต้อกระจก ซึ่งเป็นผล-ข้างเคียงของคนเป็นเบาหวานได้อีกด้วย การทำนำ้มะระ-คั้นสดๆ จึงน่าจะเป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพของคนเป็นโรคเบาหวาน หรือจะรับประทานมะระในรูปแบบของอาหารอื่นๆก็ไม่ว่ากัน
แต่สำหรับคนที่หนาวง่าย ร่างกายเย็น คนจีนเชื่อว่าไม่ควรรับประทานมะระทุกวัน เพราะจะทำให้ร่างกายเย็นเกินไป หรือถ้ารับประทานทุกวัน ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุร้อนร่วมด้วย เช่น ขิง หรือพริก(ควรรับประทานมะระจิ้มพริกซะเลย)

ใบมะยม
เป็นผักที่มีวิตามินAและC สูููงมากอีกชนิดหนึ่ง ชาวอีสานนิยมทานใบมะยมแกล้มกับส้มตำ มีรายงานการศึึกษาวิจัยพบว่า น้ำสกัดจากใบมะยม สามารถลดน้ำตาลในหนูที่เป็นเบาหวานและไม่เป็นเบาหวาน ดังนั้นคนที่เป็นเบาหวานควรทานใบมะยมเป็นหลัก แต่คนปกติไม่ควรทานใบมะยมมากเกินไป

ผักบุ้ง
เป็นผักที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และรู้มานานว่าเป้นผักสมุนไพรที่บำรุงสายตา เพราะอุดมด้วยวิตามินA แต่สำหรับคนอินโดนีเซียมักกินผักบุ้งแดง เป็นอาหารรักษาเบาหวาน ปัจจุบันพบว่า ในผักบุ้งมีสารคล้ายอินซูลินสามารถลดน้ำตาลในเลือดได้จริง ผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงควรรับประทานผักบุ้งเป็นประจำ ผักบุ้งยังช่วยลดการท้องผูก ลดอาการร้อนในได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

สะตอ
เป็นผักประจำถิ่นและเป็นสัญลักษณ์ของภาคใต้ สะตอสามารถนำมาทำอาหารได้หลายชนิด รับประทานเป็นผักสด หรือจะนำมาผัดก็ได้ทั้งนั้น การศึกษาวิจัยพบว่าสะตอสามารถลดน้ำตาลในเลือดในหนูที่เป็นเบาหวานได้
แต่ไม่มีผลในหนูที่ปกติ ทั้งยังสามารถช่วยลดความดันได้อีกด้วย คนไข้เบาหวานประเภทนี้ จึงควรรับประทานสะตอเป็นหลัก


มูลนิธิสุขภาพไทย




 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2551 7:44:58 น.
Counter : 352 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  

นากาชิม่า
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Tried to take a picture
Of love
Didn't think I'd miss her
That much
I want to fill this new frame
But it's empty

Tried to write a letter
In ink
It's been getting better
I think
I got a piece of paper
But it's empty
It's empty

Maybe we're trying
Trying too hard
Maybe we're torn apart
Maybe the timing
Is beating our hearts
We're empty

And I even wonder
If we
Should be getting under
These sheets
We could lie in this bed
But it's empty
It's empty
Friends' blogs
[Add นากาชิม่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.