"แมงเม่าของเมื่อวันวาน คือ เซียนหุ้นของพรุ่งนี้"
Group Blog
 
All Blogs
 

Trader's Diary: การทำธุรกิจ Know How ไม่สำคัญเท่า Know Who 29 พศจิกายน 2556

หากอยากทำธุรกิจส่วนตัว เป็นเจ้าของกิจการ ควรยึดหลัก Going Concern หรือธุรกิจจะต้องดำเนินไปเรื่อยๆ และคุณต้องยอมรับว่า Know How ไม่สำคัญเท่า Know Who หรือการมี Connection เยอะๆ รู้จักผู้คนให้มากๆ

จริงๆ คนทำงานทุกสายอาชีพ หากมี Connection หรือ Know Who ไว้มากๆ ย่อมได้เปรียบกว่าคนที่มี Connection น้อยกว่า โดยเฉพาะระบบอุปถัมภ์ในเมืองไทยด้วยแล้ว มี Know Who แล้วสร้าง Connection ไว้เยอะๆ เวลาติดต่อธุรกิจ หรือหางาน ย้ายเปลี่ยนงาน จะง่ายมากๆ

ศาสตร์ในการหา Know Who ทั้งชีวิตก็ไม่มีวันจบหลักสูตร เพราะจิตใจคนเรานั้นหลากหลาย ต้องเรียนรู้ เจอ และสัมผัสเยอะๆ และแน่นอนเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป มิตรแท้ ณ วันนี้ อาจเป็นศัตรูของเราในอนาคตได้ ถ้าผลประโยชน์มันขัดกัน

การจำแนก Know Who นั้นจำแนกได้ 3 พวก คือ
1. ส่งเสริมสนับสนุน
2. กลางๆ
3. ศัตรู คู่แข่ง เป็นภัย

ทั้ง 3 จำพวก สำคัญมาก

กลุ่มที่ส่งเสริมสนับสนุน เป็นกลุ่มที่จะต้องรักษาไว้ให้นานเท่าที่จะนานได้

กลุ่ม ที่เป็นกลางๆ เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ อาจทั้งจากนิสัยใจคอ ความจริงใจ หรือผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อดึงให้มาเป็นพวกเราได้ หาก Win-Win ทั้งคู่ เราก็จะได้พันธมิตรเพิ่ม

กลุ่มศัตรู คู่แข่ง ตำราพิชัยสงครามซุนวู กล่าวไว้ว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” และหาคุณสามารถเปลี่ยนศัตรู คู่แข่ง มาเป็นพันธมิตรได้ นั่นล่ะ คุณคือสุดยอดนักรบ

นั้นก็คือ “การชนะในสงคราม โดยที่ไม่ต้องออกรบ” ครับ

"แมงเม่าของเมื่อวันวาน คือ เซียนหุ้นของพรุ่งนี้"

 

//www.facebook.com/mhakkeaw

 




 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2556 15:19:17 น.
Counter : 10748 Pageviews.  

Trader's Diary: 5 คำถามก่อนการตัดสินใจซื้อระบบเทรด 27 พฤศจิกายน 2556

  ช่วงนี้เห็นมีเพจบน facebook เปิดสอน หรือการขายโปรแกรมเทรด (System Trade) ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด โดยเฉพาะ System Trade ที่ใช้ลงทุนใน SET50 Index Futures ซึ่งส่วนมากก็มักจะจัดคอร์สให้คนที่สนใจเข้าไปฟัง คือการโชว์ผลงานของ System ที่ตัวเองค้นพบว่ากำไรเท่านั้นเท่านี้ ซึ่งมักจะมาในรูปแบบ

1. การขาย System Trade โดยให้สูตรที่เขียนบน MetaStock
2. การจัดเข้ากลุ่มทั้ง Line Group หรือ กลุ่มปิดบน facebook แล้วรอสัญญาณจากเจ้าของคอร์ส โดยเก็บค่าบริการเป็นรายเดือน
3. เป็นมาร์เก็ตติ้งของบริษัทหลักทรัพย์ เอา System Trade ของบริษัทมาโชว์ เพื่อดึงดูดและเรียกลูกค้าเข้าทีมตัวเอง
ฯลฯ

ผมอยากแนะนำข้อสังเกต ก่อนท่านจะเสียเงินเพื่อซื้อระบบ หรือเพื่อให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มของการบอกสัญญาณซื้อขาย ดังนี้

1. ให้สอบถามว่าระบบเทรดที่ออกแบบมานั้น ทดสอบย้อนหลัง (Back Testing) มานานกี่ปี อย่างน้อยๆ ควรจะต้องเกิน 5 ปีขึ้นไป เพื่อให้ครอบคลุมในตลาดทุกๆ รูปแบบทั้ง Uptrend, Downtrend และ Sideway

2. ให้สอบถามว่าระบบเทรดที่ออกแบบมานั้น เป็นระบบเทรดแบบสั้น (คือใช้แท่งเทียนตั้งแต่ระดับวันลงมา) หรือเป็นระบบเทรดแบบกลางถึงยาว (คือใช้แท่งเทียนระดับวันถึงสัปดาห์ขึ้นไป)

3. ให้สอบถามค่าทางสถิติต่างๆ ของระบบเทรดนั้นที่ได้ทำการทดสอบย้อนหลังแล้ว เช่น Win-Lose Ratio เท่าไหร่, Reward-Risk Ratio เท่าไหร่, Expected Return เท่าไหร่, Max.Drawdown เท่าไหร่, Max.Accumulative Profit เท่าไหร่, ขาดทุนติดต่อกันมากสุดกี่ไม้, กำไรติดต่อกันมากสุดกี่ไม้, รวมค่าคอมมิสชั่นหรือยัง

4. ให้สอบถามว่า ราคาที่ใช้ในการเข้า-ออก ที่นำมาทดสอบย้อนหลัง (Back Testing) นั้น ได้ใช้ราคาเปิดของแท่งเทียนแท่งถัดไปหลังจากระบบคอนเฟิร์มให้ซื้อหรือขาย หรือไม่

5. ให้สอบถามว่า เคยนำระบบมาใช้เล่นเงินจริงหรือเปล่า? นานเท่าใด? ถ้าลองเล่นเงินจริง กำไรจริง ขาดทุนจริง แล้ว เกิด Slippage หรือค่าความคลาดเคลื่อนจากการเล่นเงินจริงกับที่ทดสอบย้อนหลังเท่าใด กี่เปอร์เซนต์?

สาเหตุที่ต้องให้ถาม 5 ข้อเบื้องต้นนี้ก่อนเพราะ

1. หากทดสอบระบบไม่ถึง 5 ปี ความน่าเชื่อถือในระบบเทรดนั้นมันจะต่ำ เพราะช่วง 3-4 ปีมานี้ ตลาดเป็นกระทิง ระบบเทรดแทบทุกระบบกำไรทั้งนั้น

2. ตลาดฟิวเจอร์ ไม่เหมือนตลาดหุ้น ที่สภาพคล่องนั้นถือว่าแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนั้นถ้าระบบเทรดที่ออกแบบมาเพื่อเล่นสั้น สภาพคล่องจะมีผลต่อกำไรขาดทุนของระบบมาก เช่น ระบบบอกให้ซื้อ SET50 Futures ที่ 925 แต่มี Offer ให้เคาะซื้อเพียงแค่ 1-5 สัญญา แล้วคุณเอาระบบมาขายให้นักลงทุนเป็นร้อยเป็นพันคน เค้าใช้ระบบเดียวกันนี้ ก็เกิดคำถามง่ายๆ ว่า เมื่อสภาพคล่องมันน้อย จะสามารถเก็บของได้ครบที่ราคา 925 ได้อย่างไร? แต่ถ้าระบบเทรดที่ออกแบบมาเพื่อเล่นในระยะกลางหรือยาว สภาพคล่องจะมีผลต่อกำไรขาดทุนน้อยลง คือยอมเสียต้นทุนมากกว่าระบบเทรดได้ 1-5 จุด ซึ่งในทางปฏิบัติ ยิ่งคนรู้ระบบเทรดนั้นๆ เยอะ ยิ่งแย่งของกันในตลาดฟิวเจอร์ ต้นทุนย่อมเกินกว่าที่ระบบให้เข้าเกิน 5 จุด ได้สบายๆ โดยเฉพาะในตลาดช่วงนี้ที่ Bid-Offer หายจากที่ TFEX เพิ่มค่า Initial Margin กว่าเมื่อก่อนเท่าตัว

3. ค่าทางสถิติที่ให้ถามเป็นค่าที่สำคัญแทบทั้งสิ้น ถ้าตอบได้ไม่เคลียร์ แสดงว่าคุณไม่เข้าใจระบบที่คุณออกแบบมาจริงๆ

4. ในทางปฏิบัติ เราจะต้องรอให้ระบบคอนเฟิร์มการซื้อขายเสียก่อน แล้วถึงจะกดซื้อขายตามมัน ดังนั้นการรอให้ระบบคอนเฟิร์มนั้นคือรอให้แท่งเทียนแท่งที่เกิดสัญญาณซื้อ ขายนั้นปิดสมบูรณ์เสียก่อน เมื่อปิดแล้ว จึงจะทำการเปิดสถานะในแท่งเทียนถัดไป นั้นคือการเปิดต้นทุนให้ใกล้เคียงราคาเปิดของแท่งถัดไปให้มากที่สุด

5. สำคัญที่สุด เคยนำมาลงทุนกับเงินจริงหรือไม่ กำไรขาดทุนจริงเกิด Sippage เท่าไหร่ ซึ่งในตลาดฟิวเจอร์นั้น ด้วยสภาพคล่องที่ต่ำ Slippage นั้น ให้ตีขั้นต่ำไปเลยครับ 30% เช่น ระบบเทรดนั้นทำกำไรต่อปี 100 จุด (จากการทดสอบย้อนหลัง) พอลงเงินจริงกำไรจะหายไปเหลือแค่ 70 จุด และยิ่งคนรู้ระบบเทรดนั้นยิ่งเยอะมากเท่าไหร่ Slippage ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะมีคนมาแย่งของเราในการเปิดหรือปิดสถานะนั้นเอง

คำถาม 5 ข้อนี้ถ้าคำตอบไม่ผ่าน หรือตอบไม่ได้จบครับ นี่ยังไม่รวมคำถามที่ สามารถเจาะลึกลงไปอีกมากมายทั้งการบริหารเงินบนระบบ (Money Management) และการเทรนนิ่งการใช้ระบบในส่วนของวินัยการเทรด (Most Discipline)

ทางที่ถูกคือ คุณควรจะต้อง “เรียนรู้วิธีการหาปลา มากกว่ารอชิ้นเนื้อ” ครับ ผมเคยแนะนำคร่าวๆ ถึงขั้นตอนการสร้างระบบเทรดไปเมื่อหลายปีมาแล้ว ลองตามอ่านใน blog ของผมครับ

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=mhakkeaw&group=23&page=10

"แมงเม่าของเมื่อวันวาน คือ เซียนหุ้นของพรุ่งนี้"

//www.facebook.com/mhakkeaw




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2556 11:43:07 น.
Counter : 9544 Pageviews.  

Trader's Diary: หน้าที่ โค้ช ไม่ใช่การ "ให้" แต่เป็นการ "ดึงออกมา" 26 พฤศจิกายน 2556

หน้าที่ โค้ช ไม่ใช่การ "ให้" แต่เป็นการ "ดึงออกมา" ประโยคเด็ดจากหนังสือ "วิถีแห่งโดราเอมอน ฝึกสอนคนขี้แพ้ให้เป็นผู้ชนะ" บทที่ 1 หน้า 17 เห็นด้วยอย่างยิ่ง ความเห็นส่วนตัวจากประสบการณ์ตรงในการเป็นโค้ชของผม มันมีเงื่อนไขประการสำคัญที่คนถูกเทรนนิ่ง ต้องยอมรับ คือ....

1. ต้องยอมรับและไว้ใจโค้ชว่าสามารถทำให้เค้าเก่งขึ้นได้ คุณว่าเฟอร์กี้เตะบอลเก่งกว่าเบคแฮม หรือ กิ้กส์ หรือ สโคล์ส เด็กปั้นแมนยูฯ มั้ย? แต่เค้ารู้จักการสร้างวินัย และวิธีดึงความสามารถเด็กๆ ออกมา

2.ทำ อย่างไรให้คนถูกเทรนนิ่ง รู้ว่าสิ่งที่โค้ชพูดและสอน โดยไม่ใช่การ "ให้" แต่เป็นการ "ดึงออกมา" นั้น มันมีประโยชน์ และควรปฏิบัติตาม ถ้าคุณเคยดูหนังเรื่อง “The Karate Kid” ภาค 1 ทั้งฉบับดั้งเดิม และฉบับรีเมก (เวอร์ชั่นเฉินหลง) หรือเคยดูหรืออ่านการ์ตูนเรื่อง Dragonball ภาคแรกสมัยที่โงกุนกับคูริรินไปฝึกวิชากับผู้เฒ่าเต่า แล้วต้องวิ่งส่งนมขึ้นเขาทุกวัน พรวนดินด้วยมือเปล่าทุกวัน ก็จะเข้าใจ

ปัญหาหลักๆ ที่เจอของ 1 ใน 3 ของคนที่ถูกเทรนนิ่งที่ผมพบคือ พวกนี้ อีโก้สูง คิดว่าตัวเองถูกเสมอ จึงไม่เชื่อโค้ช ไม่ไว้ใจโค้ช สุดท้ายพอเจ๊ง ก็โทษโค้ชว่าไม่สอนอะไรเค้าเลย ในขณะที่ 2 ใน 3 รับฟัง คิดตาม ลองปฏิบัติ

การใช้วิธี "ทำให้ดู" คือ "แนะนำ ทำให้ดู รู้วิธี และค่อยดึงความสามารถเด็กแต่ละคนออกมา" ผมพบว่าใช้การได้ดีมาก แต่ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา ก็พยายามเอาพวกที่อีโก้สูงออกไปก่อนตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์ ก็ช่วยได้เยอะมากครับ

"แมงเม่าของเมื่อวันวาน คือ เซียนหุ้นของพรุ่งนี้"

//www.facebook.com/mhakkeaw




 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2556 14:50:53 น.
Counter : 9277 Pageviews.  

Trader's Diary: เมื่อเทรดเดอร์ฟอร์มตกหรือขาดความมั่นใจ แก้ไขอย่างไร 21 พฤศจิกายน 2556

ช่วงเวลาที่เทรดเดอร์ฟอร์มตกหรือขาดความมั่นใจ อาจสืบเนื่องจากหลายสาเหตุเช่น

1. ขาดทุนติดต่อกัน แต่ละครั้งไม่มากแต่บ่อยครั้ง....คือการเล่นคร่อมจังหวะของลูกคลื่น เหมือนการเต้นผิดสเตป
2. ขาดทุนไม้หนักๆ จนมีอารมณ์อยากเอาคืน+หงุดหงิด+โมโห ทำให้ขาดทุนหนักเพิ่มขึ้นไปอีก
3. กำไรอยู่ดีๆ แต่เห็นเทรดเดอร์คนอื่นกำไรดีกว่า จึงพยายามเร่งจังหวะตัวเองเพื่อทำกำไรให้มากขึ้น จนทำให้ผิดสเตปการเทรดของตัวเองไป เปรียบเสมือนการวิ่งจ๊อกกิ้ง อยู่ในสเตปการก้าวและการหายใจของเราอยู่ดีๆ จู่ๆ มีนักวิ่งคนอื่นวิ่งแซงเราไป เราพยายามไล่กวดตาม ทั้งๆ ที่ความฟิต สเตปการก้าวเท้า การหายใจเรายังไม่เท่าจังหวะของเค้า ทำให้หมดแรง
ฯลฯ อีกหลายสาเหตุ

วิธีแก้ปัญหาที่ผมมักแนะนำเชิงบังคับกับอดีตลูกทีมของผม รวมทั้งตัวผมเองด้วยคือ....


1. ให้หยุดเทรด และกลับไปทำ Paper Trade หรือการเทรดจำลองบนกระดาษหรือบน Excel เพื่อหยุดการขาดทุนนั้น และเรียกสเตปในการเทรด และความมั่นใจกลับคืนมาก่อน อีกทั้งการหยุดเทรด ทำให้เรากลับไปพิจารณา Performance ของเราอีกทางด้วยว่า Win-Loss Ratio (อัตราส่วนชนะต่อแพ้) มันเป็นเท่าไหร่? Reward-Risk Ratio (อัตราส่วนกำไรต่อขาดทุน) มันเป็นเท่าไหร่? ถ้า Win Rate สูง ถูกทางเกิน 50% แต่ Reward Rate กลับต่ำ คือเวลาถูกทางได้น้อย เวลาผิดทางโดนเยอะ ซึ่งปัญหานี้พบมาก เราก็ต้องไปแก้ให้เวลาขาดทุน ให้ขาดทุนเป็นจำนวนเงินน้อยๆ เวลากำไรต้องได้จำนวนเงินที่มากกว่า อย่างน้อยๆ ควร 2 เท่าขึ้นไป

2. หลังจากหยุดเทรด และทำ Paper Trade จนสเตป และความมั่นใจของเรากลับคืนมาแล้ว ก็กลับมาใช้เงินจริงในการเทรด แต่ให้ลดจำนวนเงินในการเทรดลง เริ่มจากน้อยๆ ก่อน จากนั้นเมื่อสเตป และความมั่นใจกลับเข้าที่เข้าทางแล้ว ก็ค่อยๆ เพิ่มวงเงินกลับขึ้นไป

 

"แมงเม่าของเมื่อวันวาน คือ เซียนหุ้นของพรุ่งนี้"

 

//www.facebook.com/mhakkeaw

 




 

Create Date : 21 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2556 12:22:48 น.
Counter : 9512 Pageviews.  

Trader's Diary: ทฤษฎีเกม เกมระหว่างรายย่อยเดย์เทรด กับ Prop Trader 19 พฤศจิกายน 2556

ทฤษฎีเกม (Game Theory) เป็นการจำลองสถานการณ์ทางกลยุทธ์ หรือเกมคณิตศาสตร์ ซึ่งความสำเร็จในการตัดสินใจของแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับทางเลือกของบุคคลอื่น แต่ละฝ่ายต่างก็พยายามแสวงหาผลตอบแทนให้ได้มากที่สุด นั่นคือ ทางเลือกใดที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ผู้เล่นจะเลือกทางเลือกนั้น

ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆ ที่เราเห็นประจำในระหว่างขับรถ คือ สมมติมีผู้ขับขี่แค่ 3 คน คนนึงเป็นคนขับรถเก๋ง อีกคนนึงขี่มอเตอร์ไซค์ อีกคนนึงขับรถเมล์ ขณะที่รถเก๋ง อยากเปลี่ยนเลน กำลังหักพวงมาลัย แต่ชำเลืองเห็นมอเตอร์ไซค์แทรกผ่านเข้ามา พฤติกรรมโดยธรรมชาติ คือ รถเก๋งจะชะลอแล้วให้มอเตอร์ไซค์ไปก่อนเสมอ เพราะหากชนตัวเองจะเสียเปรียบมาก ได้ไม่คุ้มเสีย ส่วนมอเตอร์ไซค์ โดยธรรมชาติ ก็จะแทรกผ่านไปก่อนเพราะคิดว่ายังไงรถเก๋งก็ไม่แทรกเข้ามาชนตัวเองแน่ ในขณะที่ตัวอย่างเดียวกัน คนขับรถเมล์ จังหวะแทรกเปลี่ยนเลนได้ จะจิ้มหัวรถมาทันที เพราะคิดว่ารถเก๋งและมอเตอร์ไซค์ ยังไงก็ต้องหยุด เพราะเค้าใหญ่กว่าเยอะ อาจได้รับเสียงบีบแตรด่าบ้าง ส่วนรถเก๋งกับมอเตอร์ไซค์ โดยธรรมชาติ จะเบรคและปล่อยให้รถเมลไป เพราะถ้าชนขึ้นมาตัวเองจะเสียเปรียบมาก

ในตลาดหุ้นและตลาดอนุพันธุ์ โดยเฉพาะตลาดฟิวเจอร์ ทฤษฎีเกม ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้เช่นเดียวกัน ผมจะพุ่งประเด็นไปที่ผู้เล่น 2 กลุ่ม ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนเรื่องค่าคอมมิชชั่น นั่นคือเกมระหว่างรายย่อยเล่นเดย์เทรด ผู้ต้องจ่ายค่าคอมฯ กับ Prop Trader ที่ไม่มีค่าคอมฯ

รายย่อยเล่นเดย์เทรดนั้น คือการเล่นสั้นๆ เปิดปิดภายในวัน วันนึงเล่นหลายรอบ ต้องจ่ายค่าคอม แน่นอนว่าเค้าเหล่านี้เสียเปรียบ Prop Trader อย่างเต็มๆ อธิบายสั้นๆ คือการเล่นเดย์เทรดนั้น เป็นเกมของพวก Prop Trader ที่รายย่อยไม่ควรกระโดดเข้ามาเล่นเดย์เทรดแต่ต้น ถ้ากระโดดเข้ามาเล่นเกมนี้ รายย่อยจะต้องคิดว่ามีอะไรที่เหนือกว่า เช่น เล่นได้ทุกตัวในตลาด, หาหุ้นเล่นได้เก่งกว่า, ประสบการณ์สูงกว่า ฯลฯ

ส่วน Prop Trader จริงอยู่ การเล่นเดย์เทรด สั้นๆ ซื้อขายรอบเยอะๆ จะได้เปรียบ ซึ่งเป็นเกมของเค้า แต่เกมนี้ Prop Trader เล่นหุ้นไม่ได้ทุกตัว, บริษัทหลักทรัพย์เสียภาษีจาก Capital Gain อัตรา 20% จากกำไร, เทรดเดอร์ก็โดนภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเช่นเดียวกัน ดังนั้น Prop Trader ที่ประจำโต๊ะเก็งกำไรจากทิศทางราคา (Directional Trading) จึงเล่นสั้นๆ ถึงสั้นมาก เพราะเป็นเกมที่ได้เปรียบ ในขณะที่ถ้าเล่นรอบยาวๆ จะเสียเปรียบรายย่อยอย่างมาก เพราะต้องโดนเก็บภาษี ในขณะที่รายย่อย ไม่มีการถูกเก็บภาษี

สรุปคือ การเล่นสั้นๆ แบบเดย์เทรดนั้นเป็นเกมของ Prop Trader ส่วนการเล่นยาวๆ เช่นการเล่นรอบ เป็นเกมของรายย่อย ที่ได้เปรียบกว่า Prop Trader ที่รายย่อยไม่ต้องเสียภาษี

ดังนั้นเคสที่เป็น Talk of the Market คือ รายย่อยที่กระโดดเข้ามาในเกมที่ตัวเองเสียเปรียบแต่ต้น และไม่สามารถทำให้ตัวเองได้เปรียบในเกมเล่นสั้นนั้นได้ เวลาขาดทุน ก็มักจะโทษแพะอย่างพวก Prop Trader ในขณะที่รายย่อยที่เล่นสั้นมานาน อยู่รอดในตลาดได้เป็นสิบๆ ปี เค้าเข้าใจข้อได้เปรียบเสียเปรียบในเกมนี้ดี ^ ^

"แมงเม่าของเมื่อวันวาน คือ เซียนหุ้นของพรุ่งนี้"

//www.facebook.com/mhakkeaw




 

Create Date : 19 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2556 15:12:34 น.
Counter : 9912 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

หมากเขียว
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]




สวัสดีครับทุกท่าน...ผมหมากเขียวแห่งสินธร...จาก Head of Prop Trade สู่ Private Trader อิสรภาพที่รอคอย



สงวนลิขสิทธิ์ © พ.ศ.2553 โดย หมากเขียว™ ห้ามลอกเลียน ทำซ้ำ หรือคัดลอกส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความที่เขียนโดยข้าพเจ้านอกจากจะได้รับอนุญาต

Copyright © 2010.All rights reserved. These articles and photos may not be copied, printed or reproduced in any way without prior written permission of Mhakkeaw™.
Friends' blogs
[Add หมากเขียว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.