นิทาน ตะ-หลาด-ลัก-ทรัพย์ โดย ปรัชญา
ประสพการณ์ กับชีวิตนักลงทุน
ไม่แปลกเลยที่คนแต่ละยุคแต่ละสมัย ในแต่ละปี แต่ละเดือน แต่ละวัน จะพบปะกับเรื่องราวมากมาย ในสังคม
ย้อนอดีต ถอยหลังไปประมาณยี่สิบปีก่อน ในความทรงจำที่พล่ามัว ของชายคนหนึ่ง ในสังคมบ้านนอก(ต่างจังหวัด) หัวเมืองเล็กๆ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ในมุมหนึ่งของห้อง วีไอพี ของโลกการลงทุน เซียนหุ้นต่างอำเภอ แต่มีวงเงินเล่นหุ้นนับหลายร้อยล้าน
การเล่นหุ้นเป็นประสพการณ์ใหม่ที่ทุกคนต้องการ สร้างความร่ำรวย บนความผันผวนของราคาหุ้น ความโลภ อยากรวย ความเสี่ยง ความรู้ต่างๆ
เมื่ออ่อนประสพการณ์ ก็ต้องการเรียนรู้และลองปฏิบัติ ตามแต่โอกาสและจังหวะเวลา แหล่งที่ได้มามีเพียงหนังสือพิมพ์ และบทวิเคราะห์คำแนะนำจากโบรกเกอร์ คอมฯเครื่องละแสนกว่าบาทพร้อมสอนดูโปรแกรมกราฟ ก็ยังซื้อ (คิดว่าไม่แพงมันคงคืนทุนและทำกำไรได้ในไม่ช้า) สมัยก่อนไม่มีเวปบอร์ดไม่มีอินเตอร์เน็ต(ความเร็วสูง+ความเร็วต่ำ) อย่างดีตอนกลางคืนก็มีเพียง เทเลเทค เป็นคลื่นสัณญานที่ส่งมากับ TVช่อง5 ให้ตรวจดูราคาปิดของหุ้น น้ำมัน ทองคำ ยังไม่มีเซ็ทเทรด
เปรียบคนเล่นหุ้นสมัยก่อน ก็เหมือน ตาบอดคลำช้าง
เปรียบมาร์...เหมือนสุนัขนำทางคนตาบอด ลากไปจูงกันไป
โดยมาร์เองก็ไม่มีพื้นฐานความรู้อะไรเลย รู้เพียงนโยบาย + คำสั่ง จากผอ. และความจริงใจ (ที่แท้เสแสร้งอยากได้%ค่าคอม) มีเปเปอร์(โพย) ที่แฟ็กซ์มาจากบริษัท บอกชื่อหุ้น บอกราคา ว่าควรซื้อเท่าไหร่ และขายเท่าไหร่
ซื้อได้ถูก ขายได้แพง มีกำไร
(ก็ดีใจไปกับลูกค้า)
สมัยก่อนที่ได้รับบทเรียนจากมาร์ เมื่อเวลาหุ้นลง
หลักการ วิชาการ กลยุทธ บทเรียน
หลักการ เมื่อเวลาหุ้นตกในยุคสมัยก่อน บรรดากูรู นักวิเคราะห์ ต่างหาวิธีการ เพื่อเอาชนะตลาดหุ้น เพื่อลูกค้าจะได้ยืนหยัด เป็นลูกค้าที่ดียามมีเงิน (เป็นลูกค้าที่เลวเวลาหมดเงินติดหุ้น)
วิชาการที่บรรดาบริษัทพัฒนาการมาสู้กับภาวะตลาดซึ่งผลันผวน ตอนครั้งแรก แรก ก็จะได้รับคำแนะนำ ถึง วิธีการถัวเฉลี่ย เมื่อหุ้นตกมาได้ระดับหนึ่งก็ให้ลูกค้าเข้าซื้อเฉลี่ยต้นทุน เผื่อมีโอกาสเด้งเท่าทุน หรืออาจได้แถม กำไร มาสักหน่อยก็จะได้ออกตัว บรรดาอาเสี่ย อาซ้อ อาซิ้ม อาเจ่ก ทั้งหลายก็ถัวกันจนเงินหมดหน้าตัก
เมื่อลูกค้าหมดเงิน แต่ใจยังสู้ เมื่อเข้าปรึกษากับมาร์ หรือ ผอ.ห้องค้า คำแนะนำที่ได้มา แบบเงินต่อเงิน คือเอาบัญชีหุ้นเงินสด มาเปิดเพิ่มเป็นบัญชีมาร์จิ้น เพื่อซื้อหุ้นที่กำลังไหลลง
บางคนไม่เล่นมาร์จิ้น เล่นซื้อกันแค่เท่าที่มีเงินสด ก็ได้คาถาประจำใจกับบ้าน
ไม่ขาย ไม่ขาดทุน
แล้วคำว่าบัญชีไม่เคลื่อนไหวที่ทาง กอลอตอ ผู้จัดการตลาดชอบเอ่ยถึง แต่ไม่เคยพูดตรงๆว่า..ที่ไม่ได้เคลื่อนไหวน่ะมันติดหุ้นหมดเงิน ถ้าเป็นหุ้นดี มีเงินปันผล นักลงทุนก็คงนำเอาเงินที่ได้รับมาซื้อหุ้นต่อ บัญชีเหล่านั้นก็จะมีการเคลื่อนไหว
เพื่อนกันเคยพูดว่า... เข้าตลาดเล่นหุ้นอยากรวย เริ่มต้นเป็นนักเก็งกำไร(ไม่เก็งขาดทุน) พอติดหุ้นนิดหน่อยปีครึ่งปีก็บอกเป็นนักลงทุน พอติดหุ้นหลายๆปีก็บอกพวกเพื่อนว่าเป็นวิ แล้วถามผมว่าคุณเป็นอะไร......(ว๊ะ)
หลังจากเปิดบัญชีมาร์จิ้นรับหุ้นกันได้สักระยะ แต่หุ้นเจ้ากรรมที่ ฝาหรั่งเน็ทเซลล์ก็ยังไม่เด้งขึ้นให้ได้กำไร
มาตรการความหวังดี (แต่ประสงค์เงิน) ก็มีออกมา จากที่เคยแนะนำว่า...ให้ซื้อถัวเฉลี่ย
มาตรการใหม่ หวังดีเหมือนเดิมนั่นล่ะ ก็มีออกมา ให้เล่นหุ้นช๊อตอะเกนพอท์ต
คือหลังจากการเรียนรู้เล่นหุ้นขาขึ้นแล้ว ก็ควรมาฝึกวิทยายุทธเล่นหุ้นขาลงให้เป็น โดยการช๊อตแล้วช้อน ช๊อตขายเพื่อซื้อกลับ ในราคาที่ถูกกว่า ได้หุ้นกลับคืนเท่าเดิม แต่ได้รับเงินทอน บรรดานักลงทุนก็ปฎิบัติตาม เพราะคนสมัยก่อน ไม่มีที่ไหนสอนวิชาการลงทุน ไม่มีเวปบอร์ดหุ้น ให้ปรับทุกข์ หรือปรึกษาเรื่องต่างๆ เมื่อมาร์หรือนักวิเคราะห์แนะนำอะไรมาก็ทำตามนั้น ยกย่องเขาอีกต่างหาก เรียกอาจารย์ก็มี(ทั้งที่ทั้งปีทั้งชาติก็ไม่เคยพูดกัน) ทำตามกันไป โดยลืมเรื่องค่าคอมมิตชั่นการซื้อขาย ว่าต้องเสียมากน้อยเท่าไหร่.....
เล่นเอามัน
อายเพื่อน กลัวเขาจะรู้ว่าติดหุ้นหมดเงิน ทำตัวจนไม่เป็น (ทั้งที่อกกัดหนอง)
เหตุการต่างๆก็ดำเนินเรื่อยมา จนถึงจุดจุดหนึ่งก็เริ่มสุกงอม เมื่อเวลาวงเงินเต็ม หลักทรัพย์ด้อยค่า มาร์กับ ผอ-ออ ก็เริ่มเชิญมาบอกว่า... นี่คุณปัญหามีอย่างนี้1-2-3-4 สรุปคุณต้องหาหลักทรัพย์มาวางเพิ่มไม่งั้นจะถูกฟอสเซลล์
ลูกค้าก็เริ่มต้องไปหาญาติหรือคนใกล้ตัว(อาจเป็นมอสระเอีย) หาตั๋วสัญญาใช้เงินมาวางค้ำ หาโฉนดที่ดิน และอื่นมาวางค้ำบัญชีมาร์จิ้น เหตการก็ยังคงดำเนินต่อไปแบบไม่มีข้อยุติ
สืบเนื่องจากเหตุการณ์การปล่อยบัญชีมาร์จิ้น แบบเหวี่ยงแห โดยไม่มีการกำกับดูแล และพิจารณาให้ดี-รอบครอบ เหตุการณ์ต่างๆในยุคนั้นเริ่มบานปลาย
จนต้องจดจารึก เป็นประวัติศาสตร์ของ...
ตลาด-ลัก-ทรัพย์
เมื่อวันหนึ่งมีชายไทย ถือปืนพกเข้าไปในอาคารตลาดขอพบกับผู้จัดการตลาด เพื่อขอความเป็นธรรม ในยุคตลาด เสรี เนื่องจากชายคนดังกล่าว ถูกบริษัทโบรกเกอร์ฟ้องร้อง ดำเนินคดีชั้นศาลพระภูมิ(ศาลสถิตย์ยุติธรรม) เรื่องบัญชีมาร์จิ้น ชายคนดังกล่าวถูกโบรกเกอร์จับหุ้นที่อยู่ในพอท์ต ขายจนหมดยังไม่คุ้มมูลหนี้ เลยต้องฟ้องร้องดำเนินคดีบังคับหนี้ ชายคนดังกล่าวเรียกร้องให้ทางตลาดยกเลิกบัญชีมาร์จิ้น และบอกด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจว่า...
ลูก-เมีย ญาติพี่น้อง ครอบครัว ได้แตกแยก
ด้วยเรื่องหุ้น หากไม่มีการยกเลิกจะเดือดร้อนกันหมดประเทศ ผลกระทบจะตกทอดถึงคนเปิดบัญชีซื้อ-ขายหุ้น ประมาณ2แสนครอบครัว
แต่เนื่องจากความเครียด เหตการบังคับ ปืนที่จ่อคอ เกิดลั่นไกขึ้นมา ทำให้เสียงปืนนัดนั้นเป้น เสียงปืนนัดแรกที่ส่งเสียงดัง ให้ผู้จัดการตลาดได้ออกมาฟัง
และต่อจากนั้นมาก็มีมาตรการสารพัดวิธีในการแก้ปัญหา
เป็นการก้าวสู่ตลาดยุคใหม่
เพิ่มคำว่า...วิสัยทัศน์ มาเกือบพร้อมกับคำว่าCEO
กาลเวลาต่อมา ได้เกิดพัฒนาการ จัดตั้งกองทุน เป็นการระดมทุนจากประชาชนเพื่อลงทุนในหุ้น
มีบริษัทจัดการ โดยมีพนักงานแบ๊งค์ เป็นพนักงานขายตรง เจาะขายลูกค้าสินเชื่อ ลูกค้าเงินออม โดยได้%ในการขาย โดยได้ทำยอดการขายของแต่ละสาขา และพนักงานขายก็ไม่ได้รับการอบรม หรือมีความรู้เรื่องการลงทุนในหุ้นแม้แต่น้อย หลอกประชาชน และมีหนังสือชี้ชวนในการซื้อกองทุน ไปพูดแบบไม่มีหลักการ บอกว่าจะได้ผลตอบแทนในอัตราสูงกว่าเงินฝาก แต่คนขายไม่รู้เรื่องความเสี่ยง ไม่รู้ว่ากองทุนจะบริหารขาดทุนก็ได้ เป็นการลงทุนที่แปลกใหม่มากในยุคนั้น ลูกค้าของแบ๊งค์ก็ซื้อแบบไม่รู้(ไม่มีความรู้เรื่องการลงทุน) พนักงานขายก็ขายทำยอดแบบไม่รู้อันตราย
จนถึงเวลาตกต่ำสุดสุด ของ...ตลาดหุ้นไทย
เลยมีผู้เขียนตำนานบทใหม่
ลุงช่วย เป็นคนหนึ่งที่ซื้อกองทุนหุ้น หมดเนื้อหมดตัว กับการเก็บออมเงินมาตลอดชีวิตการทำงาน หวังสบายมีเงินเก็บไว้กิน ไว้ใช้จ่ายในเวลาหลังเกษียณ แต่เงินทั้งหมด ก็หมดไปกับการซื้อกองทุน ลุงช่วยเรียกร้อง ประท้วง มาหลายปี
แล้วความอดทน-อดกลั้น ก็มีจุดจำกัด
วันหนึ่ง ที่หน้าแบ๊งค์ ลุงช่วย ป่าวประกาศให้นักหนังสือพิมพ์-วิทยุ-โทรทัศน์ ให้ไปทำข่าว การประท้วง
วันนั้นลุงช่วย เอาอึ(ขี้)มาราดตัวเอง หน้าแบ๊งค์ที่ขายกองทุนให้เพื่อการลงทุน พร้อมกับเดินเข้าไปในที่ทำการ วันรุ่งขึ้น ลุงช่วยก็ตกเป็นอาหารจานด่วนของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในยุคนั้น
ตัดประเด็น กลับมา
พนักงานแบ๊งค์ขาย กองทุน ให้ลุงช่วยผิดไหม? คุณลุงช่วย ซื้อกองทุนเพราะไว้เนื้อเชื่อใจคนทำงานแบ๊งค์ผิดไหม?
ตอบแบบเป็นกลาง คนซื้อไม่ผิด และ คนขายก็ไม่ผิด
แล้วใครตกเป็นแพะรับบาป
...ต้องยกให้คนที่เถียงไม่ได้ เรื่องมันถึงจะจบ แล้วใคร?
มันผิดที่ระบบต่าง โว๊ย...
(การซื้อกองทุน เท่ากับนำเอาเงินไปฝากเขาเล่นหุ้น ผู้จัดการกองทุนเป็น ผู้บริหารจัดการ หากลงทุนซื้อ-ขายหุ้น มีกำไร ก็ได้เงินเดือนบวกโบนัส ผู้บริหารจัดการ หากลงทุนซื้อ-ขายหุ้น ขาดทุน ก็ได้เงินเดือนบวกโบนัส ได้ทั้งขึ้นทั้งลง ประชาชนที่ลงเงินจะเป็นอย่างไรลองคิดกันเอาเอง)
การลงทุนมีความเสี่ยง
สอนแมงเม่า เป้นนักลงทุน
บัญญัติศัพท์ คำว่า......แมงเม่า ในพจนานุกรม ตลาด-ลัก-ทรัพย์ไทย ผมเองก็ไม่รู้จะไปค้นหาได้จากที่ไหน ว่าใครเป็นต้นคิดประดิษฐ์คำพูดนี้ออกมา
ผมเองก็เคยถูกเรียก ตอนเล่นหุ้นใหม่ๆ เคยให้หลายคนอธิบาย พอได้ใจความว่า... แมงเม่าเขาเปรียบเทียบให้ใกล้เคียง กับ ตัวปลวกออกปีก มาบินเล่นไฟ ก่อนที่ฝนจะตก มันบินร่าเริง ตื่นเต้น เร้าใจ หลงสีแสง คิดว่าพบสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของแมลง กว่าจะรู้ตัว เพราะลืมตัวไป ก็บินจนเรี่ยวแรงหมด ตกเป็นอาหารของจิ้งจก+ติ๊กแก หรือเขียด+อึ่งอ่าง เป็นอาหารหล่อเลี้ยงเหล่าสัตว์ในโลก ถ้าตกน้ำก็ตกเป็นเหยื่อปู ปลา กุ้ง หอย
ตลาดหลักทรัพย์ในยุคคิงคอง น่าจะเรียกแมงเม่าได้เต็มปากเต็มคำ เขาจุดไฟแนนท์ ล่อแมงเม่า และในจำนวนแมงเม่านับหมื่นนับแสน ก็มีผมรวมอยู่ด้วย เป็นเดย์เทรด เป็นนักเก็งกำไร 1 นาที หรือ1วัน ตามแต่โอกาส+จังหว่ะ+วัดดวง กับเจ้ามือกันอย่างสนุกสนาน เกิดมาในชาตินี้ คงไม่มีความสุขครั้งไหนที่ยิ่งใหญ่เท่ากับ การเข้าทำเงินมากมาย แบบง่าย-ง่าย จาก...ตลาดหุ้น ใครใจถึง+ฝีมือ+เงินเยอะ + จับหุ้นถูกตัว ก็รับกันเนื้อๆ สร้างความรวยแบบง่ายๆ
จนบางครั้งยังถามเพื่อนนักเล่นหุ้นร่วมห้องค้าว่า... เฮ้ย...พวกเราเล่นหุ้นกันได้ทุกคน แล้วใครมันเสียวะ สมัยนั้นทางตลาดไม่มีการแยกแยะ ระบบการซื้อขายหลัง ปิดตลาดเหมือนสมัยนี้
ที่พอตกเย็นตลาดปิด ก็มีเปเปอร์บอกแยกกลุ่ม
นักลงทุนต่างชาติ.......ซื้อ...........ขาย.......... นักลงทุนสถาบัน.........ซื้อ..........ขาย........... นักลงทุนรายย่อย.........ซื้อ..........ขาย..........
อยากเรียกว่ามวยวัด(วัดดวง) ไม่มีลายแทงให้เดา ให้ดู ลุยลูกเดียว ว่างั้นมั่ง
ซื้อขายหุ้น ที่น่าจะกำไรดีที่สุดสำหรับผมน่าจะเป็นหุ้นกระสอบทอง และตัวที่เจ๊งแบบลากเลือดในอก น่าจะเป็นจีเอฟ
ทำไมถึงเป็นจีเอฟ
ก็ห้องค้าของเขาอยู่ใกล้บ้าน เขาจะตั้งแบ๊งค์สำนักงานใหญ่ที่ภาคอีสาน มีหนังสือเวียนถึงร้านค้า สถานศึกษาต่าง เชิญร่วมลงทุน โดยการซื้อหุ้นที่กำลังจะออกมา หุ้นในตลาดก็วิ่งขึ้นไปรอการเพิ่มทุน แต่โทษทีครับ ฝันสลายหายไป แบบทั้งเจ็บทั้งคัน เมื่อวิกฤตการเงินในรัฐบาลที่มีนายกผู้เดินทางมาไกลหลายพันไมล์ และปัจจุบันก็ยังเป็นการทำเวรทำกรรม จองล้างจองผลาญไม่หยุด เมื่อพนักงานที่ได้รับวงเงินซื้อขายหุ้นติดหนี้บริษัท ต้องขึ้นศาลคดียังไม่สิ้นสุดในพอศอ2548 หลักทรัพย์ทีดิน และอื่นๆ ที่่ลูกค้า+พนักงาน+ญาติค้ำประกัน ไปกู้เงินโดนยึด ยังไม่ได้ขายทอดตลาด มีบริษัทบริหารสินทรัพย์ไทย รับหน้าเสื่อดำเนินการติดตามมาตลอด
หลังจากเล่นไฟ และ บิ๊กกะจิ๊ด ปิดบริษัทเงินทุน สุดท้ายหุ้นบริษัทเหล่านี้ ก็มีมูลค่าเท่ากับ 0 เบิกใบหุ้นมาได้ก็อย่างดีแค่เป็นกระดาษพับถุงใส่กล้วยปิ้งตามตลาด
หลังจากนักลงทุนทุกคน ไม่ได้ศึกษาอะไรเลย รู้เพียงว่า หุ้นเป็นแค่ตัวแทนของการเล่นได้-เสีย มันสมมุตหุ้นเหมือนหวย ที่จะมีคนเข้ามาแทง
เจ้ามือแทงขึ้น ฝาหรั่งแทงลง รายย่อย เฮ. ..เฮ ...เฮ ตามแห่
อะไรที่ได้มาง่ายๆ ก็จากกันไปแบบง่ายๆนั่นล่ะ
แล้วบรรดาศัพท์ต่างๆที่นักวิเคราะห์เอ่ยถึงคำว่า... พีอี พีบีวี ก็เริ่มมีเน้นให้เห็นคุณค่า โดยนำมานับว่า..เป็นการค้นหาหุ้นพื้นฐาน หรือเริ่มจะเน้น ให้นักลงทุนมีทางเลือกแบบทางเดินเส้นขนาน ลงทุนระยะยาว หรือ ระยะสั้น
การปั่นหุ้น มีมาทุกยุคทุกสมัย แต่ที่เป็นคดีตัวอย่างมีเพียงหนึ่งคดี แต่ผู้ต้องข้อกล่าวหากับ ชื่อ สอง
เขียนถึง...การปั่นหุ้น ทุบหุ้น ลากหุ้น ตบหุ้น เทหุ้น ทิ้งหุ้น
อ่านกี่ครั้งกี่หน มันก็มาอีหรอบเดิมนั่นหล่ะ ซ้ำๆซากๆน่าเบี่ย..ซะงั้น
ก่อนจะปั่นหุ้น เจ้ามือ ก็ต้องหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ เก็บหุ้นกันก่อน ให้ได้จำนวนเพื่อคุ้มค่ากับการลงทุน รอว่าการเก็บ ก็ต้องหาวิธีการมาเขย่าหุ้นก่อน
ลากขึ้นให้คนสนใจ ให้คนถือครองหุ้นหันมามอง เอ๊ยหุ้น....ไปแร้ววว ไปแล้ว
ทุบหุ้นให้คนสนใจอีก ทิ้งกันทีละหลายสเต็บ (บางครั้งมองเหมือนหมดสภาพ) ปล่อยข่าวร้าย จากห้องค้าหนึ่งไปห้องค้าหนึ่งเป็นข่าวลือ ให้คนถือหุ้นตัวนั้น เกิดการ เสียดาย รู้งี้ ตรูขายตอนราคาสูงสุดสุด รู้งี้ ตรูจะมารับกลับตอนมันแดงๆนี่ล่ะ บวกลบคูณหาร ตรูรับเละ พอเห็นมันไหลลง บางคนถอดใจก็ขายทิ้ง
เพื่อไปหาหุ้นที่มีอนาคตดีกว่าตัวที่ถือ
หลังจากพวกร่วมมือกันทุบลง (จนน่าพอใจ) ก็เริ่มตั้งรับ ไม่ให้หลุดราคานั้นๆ และค่อยขยับดันหุ้นขึ้น วันละนิดละหน่อย เก็บหุ้นเรื่อยๆบางครั้งต้องใช้เวลาหลายวัน
หลังจากการเก็บหุ้น และทุบเสร็จ ก็มาถึงตอนลากหุ้น หรือเรียกตามภาษาคอหุ้นลุ้นโชคว่า... สร้างราคา ในมือของกลุ่มคน กลุ่มนี้ได้หุ้นมาในจำนวนที่ต้องการแล้ว ก็เริ่ม ตั้งขายเอง และให้พวกตัวเองไล่เคาะซื้อกันขึ้นไป ซื้อกันแบบมีวอลุ่มหนาแน่น ถ้าจะให้คนเข้ามาร่วมแจม ก็ควรติดTOP10 ของตะหลาด
เฉลี่ยบต้นทุน บวก-ลบ-คูณหาร ว่าทำกันมาแรมเดือนจะได้กำไรเท่าไหร่ก็ขาย พร้อมปล่อยข่าวดี ข่าวลือ บางเจ้ามือเก็บหุ้นได้พอ แล้วให้เด็กเขียนบทวิเคราะห์ให้เวปบอร์ด หนังสือพิมพ์ ทีวี เป็นข้อมูลพื้นฐานจ่ายแจกฟรีอีก ประมาณนั้น
เวลาขายก็จะมีคนมาช่วยรับด้วยความโลภ เห็นพฤกติกรรม เจ้าหุ้นตัวนี้ เวลาลงแล้วมันเด้งขึ้นเคยได้เป็นกอรปเป็นกำ ของเคยกินเคยใช้บริการ หากเจ้ามือตบสั่งลาครั้งสุดท้ายเข้าไปรับก็เก็บไว้ ไม่ขาย ไม่ขาดทุนเหมือนเดิม
แต่ถ้าไม่อยากมีปัญหาเหมือนเฮียสอง ควรจะตกลงกับเจ้าของบ้านให้เรียบร้อย จะได้ไม่เกิดปัญหา ไปขึ้นโรงขึ้นศาล เสียงเวลา เสียเงิน เสียอารมณ์
>>>นักเก็งกำไร (นักลงทุนระยะสั้น) >>>นักลงทุนVI (นักลงทุนระยะยาว) >>>นักวิเคราะห ์(เซียนข้างกระดานหุ้น)
ล้วนต้องอาศัยซึ่งกันและกันตลอดมา+ตลอดไป
หลังจากการเก็งกำไร แบบเป็นร่ำเป็นสันสร้างสีสันต์ให้ตลาดหุ้น หลายคนร่ำรวยจนเป็นนักลงทุนรายใหญ่มีพอท์ตเป็นพันล้าน
นักเก็งกำไร (นักลงทุนระยะสั้น)
ตามแต่จะมีผู้เรียกขานกันไปต่างๆ บางคนเรียก นักช๊อปปิ้ง บางคนเรียก อาหารจานด่วน บางคนเรียก พวกมือไว-ใจเร็ว บางคนเรียก เจ้าอารมณ์ บางคนเรียก แมงเม่า
หลายคนที่คิดจะเข้ามาลงทุนในหุ้น มีความรู้สึกว่า เป็นเรื่องง่าย(ใครๆก็ทำได้) การซื้อถูก-ขายแพง เล่นไม่ยาก
แต่ในความเป็นจริง ตะ-หลาด-ลัก-ทรัพย์ เป็นเรื่อง..อะไร ที่เข้าใจยาก ลึกลับ-ซับซ้อน แฝงไว้ด้วยเล่ห์เหลี่ยม ชั้นเชิง กลยุทธ ลูกเล่น ลูกชน รวมความหลากหลาย
แต่น่าเข้ามาสัมผัส เพื่อการค้นหา ทุกคนต่างเดินต่างเส้นทาง ที่เดินเข้ามา แต่จุดหมายปลายทางน่าจะเป็นอย่างเดียวกัน คือ....
การเข้ามาเก็งกำไร ต้องมีหลายสิ่งหลายอย่าง ต้องมีเหตุผล มีความสามารถน่าจะเรียกได้ว่าต้องพิเศษ ต้องดูอารมณ์ตลาดออก (จิตวิทยามวลชน) ต้องมีเครื่องมือแบบเข็มทิศ (คือดูกราฟ อ่านกำหนดจุดเป้าหมาย) ต้องมีข่าวสารที่แม่นยำ (ซื้อก่อนและพยายามขายก่อน) ต้องดูวอลุ่มเป็น รู้จังหว่ะ (น่าจะมีฝีมือ มั๊ก มัก) ต้องมีเคล็ดลับ (เคล็ดลับเลยเปิดเผยไม่ได้) ไม่ใช่เล่นทุกวันแต่จะเล่นเฉพาะวัน.......(ต้องดูออก) และอื่นๆ ที่ผู้รู้ ผู้ใช้คนเดียวได้ผลเลยไม่ยอมบอกต่อ
ในสังคมนั้น นักเก็งกำไร ไม่มีวันตาย มีตัวตายตัวแทนเสมอมา ทุกยุคทุกสมัย ไม่ใช่ว่าผู้เขียนจะเรียนรู้ได้มาหมด หาไม่เลย ทุกวันนี้ก็ยังไม่พบสูตรสำเร็จ ใครเก่ง กรุณาชี้แนะ แนะนำ ส่งเสริมด้วยนะครับ
อยากได้1ใน10 ของคุณหมอฟัน หรือเสี่ยปู่
---------------------------------------------------------------------------- เคยเขียนถึงครั้งก่อนเก็บมารวมกัน
การเล่นเก็งกำไร
ควรใช้เครื่องคิดเลข แบบF4 ทศนิยม4ตำแหน่ง
สมมุติซื้อหุ้น A มา 1,000,000หุ้น ราคาหุ้นละ 1 บาท
=1,000,000x1=1,000,000บาท เสียค่าธรรมเนียม 0.25% =2,500บาท+ค่าภาษี175บาท รวม2,675บาท เป็นต้นทุนในการฐื้อหุ้น=1,002,675บาท
และได้ขายหุ้น A ออกไป ได้ราคา 1.02บาท(หนึ่งบาทสองสตางค์) =1,000,000x1.02บาท = 1,020,000บาท เสียค่าธรรมเนียม 0.25% = 2,550บาท+ค่าภาษี178.50บาท รวม2,728.50บาท
ต้องเอาเงินได้จากการขายตั้ง 1,020,000บาท ลบด้วย 2,728.50บาท รับสุทธิ 1,017,271.50บาท
สรุป ลงทุน1,000,000บาท +ค่าธรรมเนียม 1,002,675บาท ขายได้เงิน 1,020,000บาท - ค่าธรรมเนียมจ่ายคงเหลือ 1,017,271.50บาท
นำเอามา 1,017,271.50บาท ลบด้วย 1,002,675บาท
เท่ากับกำไรคงเหลือ 14,596.50บาท
ไม่รู้ว่าเขียนอย่างนี้จะมีคนอ่านเข้าใจหรือเปล่า
ตัดมาแป่ะ จาก...พันทิบ
//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I3507978/I3507978.html
Create Date : 22 สิงหาคม 2548 | | |
Last Update : 22 สิงหาคม 2548 14:36:38 น. |
Counter : 1330 Pageviews. |
| |
|
|
|