|
เศรษฐกิจแบบ โก่งคันธนู
ขอเปลี่ยนชื่อกระทู้ใหม่นะครับ จาก "รั้ง" เป็น "โก่ง" หายไปครานี้ ได้อะไรบางอย่างติดสมองกลับมาบ้าง ก็อยากลองนำเสนอให้หลายๆท่านช่วยติติงแนะนำกันด้วยครับ จะได้เพิ่มมุมมองในด้านอื่นๆบ้าง
คราวนี้ได้มีโอกาสไปเยี่ยมคารวะผู้อาวุโสท่านเดิมอีกครั้ง แต่ไม่ได้สนทนากันนานๆเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากท่านกำลังอยู่ในระยะพักฟื้น แต่ก็โชคดีได้พบนักธุรกิจหนุ่มที่สืบสานปฏิภาณของท่านผู้เฒ่า คลาดกันหลายครั้งหลายครา พอมีโอกาสได้พบก็เลยสนทนากันมากหน่อย มีหลายๆอย่างที่ผมสังเกตุได้ว่า เขาได้รับการถ่ายทอดแนวคิดจากท่านผู้เฒ่ามามากอย่างที่ผมไม่สามารถเทียบได้ (ก็เขาพบเขาเจอกันมากกว่านี่ครับ 5555)
อันที่จริง ผมได้คิดพิจารณาอยู่นานพอสมควร ว่าจะตั้งชื่อกระทู้นี้ว่าอะไรดี พอดีลองอ่านข้อมูลของสินธรสถานไปเรื่อยๆ และพบเรื่องที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่งคือ เศรษฐกิจฟองแชมพู ซึ่งกล่าวถึงหลายสิ่งหลายอย่างซึ่งเป็นที่น่าวิตกอยู่มากพอสมควร โดยในขณะที่ผมอ่านไป ก็ทำให้พบได้คิดทบทวนถึงเรื่องราวที่ผมได้สนทนากับนักธุรกิจหนุ่ม ซึ่งดูเหมือนว่า มีความคล้ายคลึงกัน แต่ตีความต่างกันพอสมควรก็เลยถือโอกาสใช้ชื่อที่มีความหมายตรงกันข้าม ที่มาของชื่อกระทู้นี้ก็มีเพียงเท่านี้ครับ แต่ใจความเป็นอย่างไรผมจะค่อยๆถ่ายทอดจากความจำออกมานะครับ
ผมเริ่มเรื่องด้วยการถามความเห็นเกี่ยวกับความเป็นไปของโลกในหลายๆด้าน ทั้งทางด้านการเมือง ศาสนา สงคราม การศึกษา บันเทิง และอื่นๆอีกพอประมาณ รวมทั้งความเป็นไปของประเทศไทยเราในมุมมองของเขา เพื่อหยั่งดูว่า เขามีความรู้กว้างขวางเพียงใด และมีความสนใจในประเทศไทยมากน้อยเท่าใด คำตอบที่ได้รับ ทำให้ผมประเมิณได้ว่า นับเป็นความโชคดีที่ผมได้มีโอกาสคุยกับเขาจริงๆ ถ้าจะสรุปทุกคำถามและคำตอบที่ผมได้คุยกับเขา คงต้องใช้เวลาพิมพ์ข้อความมากมายหลายหน้า ดังนั้นผมคงต้องแบ่งเรื่องราวเป็นตอนๆ แต่จะพิพม์ได้กี่ตอน ก็ต้องแล้วแต่โอกาสอำนวยด้วยนะครับ แถมยังมีเรื่องติดค้างท่านผู้อ่านเรื่องกลลวงทั้ง 9 ซึ่งเหลืออีก 8 ตอนที่ยังไม่ได้นำเสนออีกด้วย ต้องขออภัยจริงๆครับ
ในตอนนี้ ผมจะขอสรุปเพียงคำถามพอสังเขป ที่ผมได้ถามเกี่ยวกับเรื่อง เศรษฐกิจ ซึ่งพอจะสรุปได้คร่าวๆดังนี้นะครับ (อาจมีมุมมองต่างจากหลายๆท่านบ้าง ถือเป็นข้อมูลในอีกด้านนะครับ 5555)
- การก่อการร้ายที่ลุกลามไปทั่วในปัจจุบันมีสาเหตุมาจากอะไร และจะส่งผลอย่างไรกับระบบเศรษฐกิจของนานาประเทศบ้าง - ทิศทางการเมืองของประเทศใหญ่ๆในโลกนี้ จะเป็นอย่างไรในอนาคต และมีผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจโลก - ทิศทางของดอกเบี้ยของแต่ละประเทศที่อ้างอิงกับประเทศใหญ่ๆ น่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต และจะมีผลอย่างไรต่อระบบเศรษฐกิจโลก - คาดการณ์ว่าฟองสบู่ของจีนจะแตกเมื่อใด และจะมีผลอย่างไรต่อสภาวะเศรษฐกิจของแต่ละภูมิภาค - เกิดอะไรขึ้นกับราคาน้ำมันในปัจจุบัน (ผมได้คาดการณ์ผิดไปว่าไม่น่าจะสูงกว่า High เดิมคราวที่แล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อจริงๆครับ) และเมื่อใดจึงจะกลับสู่สภาวะปกติ - ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนหรือไม่ในสายตาของนักลงทุนอย่างเขา และเขารู้จักประเทศไทยดีเพียงใด
ข้อทิ้งคำถามไว้แค่นี้ก่อนนะครับ อาบน้ำอาบท่าแล้วจะมาพิมพ์ต่อ ช่วงนี้หากใครจะลองตอบคำถามดูก็ได้นะครับ ถือเป็นข้อมูลเพิ่มเติมให้กับเพื่อนๆชาวสินธรนะครับ 5555
เงียบจังครับ สงสัยวันนี้หุ้นตกเลยไม่ค่อยมีอารมณ์เข้ามาอ่านกระทู้กัน อย่าวิตกกังวลกันมากเกินเหตุนะครับ เดี๋ยวแรงกรรมแห่งความกลัวจะทำให้จิตใจหดหู่ยาวนาน (ขอยึมปรมาจารย์ คลาย เครียด มาใช้ ไม่ว่ากันนะครับ 5555)
ลองดูนะครับว่า ผมได้รับคำตอบมาอย่างไรบ้าง - การก่อการร้ายที่ลุกลามไปทั่วในปัจจุบันมีสาเหตุมาจากอะไร และจะส่งผลอย่างไรกับระบบเศรษฐกิจของนานาประเทศบ้าง
เขาบอกผมว่า คนส่วนใหญ่ได้คิดถึงประเด็นนี้เรียบร้อยแล้ว ผมถามช้าไปหน่อยไหม ผมก็หัวเราะ และบอกเขาว่า คำถามท่อนแรกอาจจะช้าไป แต่คำถามท่อนหลังเป็นเรื่องของอนาคต แต่ที่มาที่ไปน่าจะมาจากท่อนแรก เขาหัวเราะบ้าง แล้วตอบดังนี้ครับ
หลายๆคนคิดว่า เป็นเพราะอเมริกา ไปโจมตี อิรัก โดยใช้ข้อมูลข่าวสารที่ไม่เป็นความจริง ซึ่งตั้งแต่ก่อนโจมตี ก็มีผู้รู้หลายๆคนออกมาให้ความเห็นกันอยู่แล้วว่า การก่อการร้ายจะขยายตัวออกไปทั่วโลก ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆไม่ใช่หรือ เขาเองก็คิดว่าสาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่ถูกต้องมากอันหนึ่ง แต่ก็ให้ข้อสังเกตุไว้ประการหนึ่งคือ จริงๆแล้ว อเมริกา เป็นผู้ดำเนินการจริงๆหรือ ผมคิดว่าใครมีอิทธิพลต่อการเมืองของอเมริกามากที่สุดในปัจจุบัน ผมก็ตอบอย่างไม่ลังเลว่าคือ อิสราเอล ครับ เขาบอก ถูกต้อง แต่ไม่ว่าผู้มีอิทธิพลรายนี้จะคิดอะไรอยู่ และต้องการให้อเมริกาทำอะไรก็ตาม ชาวโลกส่วนใหญ่จะไม่ได้รับรู้ว่า ผู้บงการและวางแผนที่แท้จริงเป็นใคร แต่หากสังเกตุให้ดี มีสัญญาณหลายๆอย่างให้เราจับพฤติกรรมได้เหมือนกัน เช่น การที่อเมริกามักออกเสียงคัดค้านมติของยูเอ็น ทั้งๆที่ชาวโลกส่วนใหญ่ก็เห็นว่า อิสราเอล ผิด ขนาดศาลโลกตัดสิน อิสราเอล ยังไม่แยแสเลย ประเทศเล็กๆแค่นั้น เขาให้ผมคิดดูแล้วกันว่ามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของอเมริกาเพียงใด ดังนั้น เขาเห็นว่า สาเหตุที่สำคัญอย่างแท้จริงน่าจะเป็นอิสราเอลมากกว่า ตราบใดที่หนามนี้ยังปักอยู่ในดินแดนตะวันออกกลาง และทำทุกอย่างโดยไม่สนใจความรู้สึกชาวตะวันออกกลางส่วนใหญ่ การก่อการร้าย ก็จะสามารถเติบโตใหญ่ขึ้นได้เรื่อยๆ แต่สิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ "ความแค้น" เขาถามผมว่า ผมสามารถประเมิณได้หรือไม่ว่า มีคนอีกกี่คน ที่พร้อมจะติดระเบิดพลีชีพ เพื่อทำลายล้ายฝ่ายตรงกันข้ามให้ย่อยยับไปพร้อมกับชีวิตตน ผมส่ายหัว สักพักเขาจึงพูดต่อ เขาเดินทางไปติดต่อธุรกิจกับชาวต่างชาติมากมาย เขาเดินทางไปในหลายๆประเทศ แต่ประเทศที่เขาไม่ต้องการไปมากที่สุดจะอยู่ในตะวันออกกลาง เพราะเขารับรู้ถึง ความแค้น ของคนเหล่านั้นเป็นอย่างดี และผู้ชักนำในประเทศเหล่านั้น ก็รู้ว่า เขาจะได้ประโยชน์อันใดจาก พลังความแค้น ของคนในประเทศของเขา พร้อมๆกันนั้นเขาก็รู้สึกว่า คำว่า ตีสองหน้า ยังน้อยเกินไปสำหรับการใช้กับบางบุคคลในประเทศเหล่านั้น ผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนแถบนั้นได้ ต้องเป็นผู้ที่มี ruthless ไม่ธรรมดาจริงๆ
ส่วนเรื่องผลกระทบต่อการลงทุนของนานาประเทศ ขึ้นอยู่กับการดำเนินการภายในของแต่ละประเทศมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่า แทบทุกประเทศทั่วโลกในปัจจุบัน ย่อมได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายแทบทั้งสิ้น ที่ราคาน้ำมันในทุกวันนี้มีราคาสูงมากที่สุดในรอบ 20 กว่าปี ก็ล้วนเกิดจากความกังวลในเรื่องการก่อการร้ายทั้งสิ้น แต่หากหักมุมมองไปอีกด้านหนึ่ง (มีหักมุมตัวเองด้วย) การที่คนกลุ่มนี้ทำการก่อการร้ายไปเรื่อยๆ ผลร้ายที่เกิดขึ้นอาจเป็นโอกาสในวิกฤติของฝ่ายตรงข้ามก็ได้ ผมงงครับ โอกาสในวิกฤติเรื่องการก่อการร้าย สงสัยจะมีก่อเรื่องธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเท่านั้นกระมังที่เป็นไปได้
เขาหัวเราะ บอกว่า ไม่ได้หมายความถึงธุรกิจที่ได้รับประโยชน์ เรากำลังคุยกันในประเด็นเรื่องการก่อการร้ายไม่ใช่หรือ ผมพยักหน้า เขาก็พูดต่อ เขาหมายถึงจำนวนคนที่มีความเห็นสอดคล้องกับอุดมการณ์ของกลุ่มผู้ก่อการร้าย เพราะจุดพลาดของกลุ่มก่อการร้ายในปัจจุบัน คือ พวกเขาไม่เลือกบุคคลที่ถูกจับไปเป็นตัวประกัน พวกเขาไม่สนใจด้วยว่า คนที่พวกเขาจับตัวไปนั้น บางคนก็นับถือศาสนาเดียวกับเขา ถึงแม้ว่าผู้ที่นับถือศาสนาเดียวกับเขาจะต้องทำบางอย่างที่ไม่อยากทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องครอบครัวของเขา ก็ไม่ถูกละเว้น ซึ่งปัจจุบันยังเกิดกรณีนี้ไม่มากนัก แต่หากหากเกิดมากขึ้น กลุ่มคนส่วนใหญ่ในศาสนาของเขาอาจจะเริ่มไม่เห็นด้วยกับวิธีการของกลุ่มผู้ก่อการร้าย จนอาจเป็นการทำลายกลุ่มก่อการร้ายโดยอ้อมเองก็ได้ ผมนึกขึ้นได้เลยบอกเขาว่า หลงประเด็นครับ หักมุมจริงๆ ก็เราเริ่มคุยเรื่องผลกระทบต่อการลงทุนของนานาประเทศไม่ใช่หรือ เขาเลยหัวเราะ และยอมรับว่า จริงครับ ถ้าเช่นนั้นกลับเข้าเรื่องต่อดีกว่า
การที่ผู้ก่อการร้ายออกมาข่มขู่ในหลายๆครั้งที่ผ่านมา ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะงักได้เป็นช่วงๆก็จริง แต่ไม่รุนแรงเท่ากับการที่อเมริกาออกมาปรับระดับการเตือนภัยเป็นสีส้ม นั่นได้ผลชัดเจนมากกว่า ทั้งราคาน้ำมัน ทั้งความวิตกกังวลในตลาดเงินทุน ต่างก็ต้องเผชิญกับความเลวร้ายอย่างที่เราได้เห็นกัน คำถามของผมคงมุ่งหมายคำตอบในการลงทุนในตลาดหุ้นใช่ไหม ผมพยักหน้า ยิ้ม เขาก็เลยพูดต่อ แต่มนุษย์มีสัญชาติญาณพิเศษอย่างหนึ่ง นั่นคือ การปรับตัว เมื่อใดที่เหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องซ้ำๆ เมื่อถึงจุดหนึ่ง ผลกระทบรุนแรงที่เคยเกิดขึ้น ก็จะค่อยๆลดลงไปเอง ดังนั้น ผู้ที่อยู่รอดในวิกฤติได้ จำต้องพยายามทำความเข้าใจวิกฤติและติดตามความรู้สึกมวลชนอย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงเวลาผู้ที่ตามติดความรู้สึกมวลชนมากที่สุด ย่อมจะได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนมากที่สุดด้วย (สงสัยรู้ว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นบ้านเราเป็นอย่างไร 5555)
ข้อสรุปจากคำถามที่หนึ่ง ก็คือ จะต้องใช้เวลาพิสูจน์คำพูดของทั้งผู้ก่อการร้าย และ อเมริกา ไปอีกสักระยะ แต่จะต้องใช้เวลาเท่าใด ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งในอเมริกาเป็นสำคัญ และเมื่อได้พิสูจน์คำพูดจากทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็จะรู้ว่า อนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไปครับ แต่เป็นเพราะอะไร คงต้องติดตามต่อในคำถามที่สองครับ
ต่อเลยนะครับ เดี๋ยวง่วง 5555
- ทิศทางการเมืองของประเทศใหญ่ๆในโลกนี้ จะเป็นอย่างไรในอนาคต และมีผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจโลก
เขาถามผมว่า ประเทศใหญ่ที่คุณพูดถึง มีอะไรบ้างละ ผมก็ตอบเขาไปว่า อเมริกา จีน รัสเซีย อินเดีย อังกฤษ ฯลฯ เขาบอกว่า ถ้าจะคุยกันทั้งหมดโดยละเอียดตามที่ผมบอก คงต้องใช้เวลาทั้งคืน แต่ถ้าคุยโดยสรุป ก็อาจสั้นเกินไป ผมเลยตกลงว่า ขอเป็นแค่ อเมริกา กับ จีนครับ เขาก็เริ่มออกความเห็นดังนี้ครับ
ทุกสายตาจะจับจ้องไปยังเวทีการเมืองของ อเมริกา อย่างไม่กระพริบตา ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งตอนนี้ แม้แต่คนในอเมริกาเองก็ไม่แน่ใจว่า บุช หรือ เคอรี่ (หรือจะออกเสียงเป็นอย่างอื่นก็แล้วแต่นะครับ) ผู้ใดจะได้เป็นผู้นำในตอนต่อไป แต่ที่แน่ๆคือ โดยสถิติแล้ว เมื่อใดที่อเมริกาเข้าสู่สมรภูมิการรบ เมื่อนั้นประชาชนของเขาจะเทใจให้กับรัฐบาลในขณะนั้นอย่างท่วมท้น ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ในอเมริกาเองก็รู้ดี ไม่เว้นแม้แต่นายบุชหรือนายเคอรี่ จะสังเกตุได้ว่า การหาเสียงของบุช จะยังคงเน้นเรื่องการคงและอาจเพิ่มทหารในอิรักต่อไป(ถึงแม้ว่าเจ้าของประเทศเขาจะรังเกียจเพียงใดก็ตาม) ส่วนทางเคอรี่ จะเน้นเรื่องการถอนทหารออกจากอิรัก หากได้เป็นผู้นำ จากนี้ไปคงจะได้เห็นการนำประเด็นนี้ไปใช้เป็นเครื่องมือสำหรับเรียกคะแนนเสียงกันพอสมควร(ไม่รู้รวมถึงการปรับระดับสีส้มเมื่อสองสามวันนี้ด้วยหรือเปล่า ผมก็ไม่มั่นใจว่าในอดีตมีการปรับหรือไม่ แต่มีการย้ำเรื่องการปรับระดับสัญญาณเตือนภัยหลายครั้งในการสนทนา พอสมควร ทั้งๆที่ ผมเห็นสัญญาณการปรับระดับสัญญานจริงๆ หลังจากที่ได้คุยกับเขา) แต่ถ้าถามเขาว่า อยากให้ใครเป็นผู้นำคนต่อไป เขาจะเลือกนายเคอรี่อย่างไม่ลังเล เพราะอาจเป็นการปลดชนวนความแค้นลงได้ระดับหนึ่ง เนื่องจากนโยบายของเคอรี่อาจสวนทางกับบุช และที่สำคัญเท่าที่ทราบ เคอรี่ ไม่ได้มีธุรกิจน้ำมันเช่นเดียวกับนายบุช ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์น้ำมันเปลี่ยนแปลงไปก็ได้
ส่วนประเทศจีน เขามั่นใจว่า ไม่มีใครสามารถทำนายการเมืองในประเทศจีนได้อย่างถูกต้อง 100% เพราะจีนมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก จีนมีบทเรียนล้ำค่าจากอดีตมากมาย สิ่งสำคัญที่น่าจับตามองคือการเมืองของไต้หวัน ซึ่งมีผลกระทบต่อการตัดสินใจของจีนมากกว่า การที่จีนกำหนดให้ไต้หวันพิจารณาเรื่องการรวมประเทศภายในปี 2552 จะเป็นชนวนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากกว่าที่เราได้ยินได้ฟังกันในปัจจุบันนี้มากนัก แต่อย่างไรก็ตาม ความน่าเชื่อถือของผู้นำจีน มีมากกว่าผู้นำในโลกตะวันตกมากมายยิ่งนัก (ผมแอบนึกในใจว่า ก็แน่ละซิ ก็คุณเป็นคนที่มีสายเลือดจีนอยู่เต็มตัวนี่) เขาขอให้ผมจับตาจีนในเรื่องพลังงานให้ดี อีก 2-3 ปีนี้ จีนจะมีเซอร์ไพรส์ให้โลกตะลึงกันอีกครั้ง ซึ่งจะมีผลต่อการใช้พลังงานภายในประเทศจีนมากพอสมควร และที่หลายๆคนคิดไว้ อาจไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้ และประเด็นนี้อาจมีผลต่อการรวมประเทศด้วย แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดอะไรได้ เพราะถือเป็นความลับระดับหนึ่งที่ยังไม่สามารถบอกให้ใครรู้ได้ (บอกแค่นี้ แล้วจะรู้ไหมนี่ สงสัยต้องคอยตื้อถามเป็นระยะ 5555)
เขาสรุปว่า ไม่ว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของ อเมริกา หรือ จีน จะมีทิศทางไปในลักษณะใดก็ตาม เขาเชื่อว่า ประเด็นนี้ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่มีผลต่อเศรษฐกิจโลกมากนัก เพราะประเทศทั้งสองมีระบบการตัดสินใจโดยผู้นำที่ค่อนข้างซับซ้อน และมีการกลั่นกรองและสรุปทางเลือกในทิศทางต่างๆไม่มากนัก เพราะมีคณะผู้บริหารที่มีหลักการมั่นคง ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในเรื่องเศรษฐกิจมากนัก แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนน่าจะเป็นเรื่องนโยบายต่างประเทศเป็นสำคัญ จะมีผลมากก็เพียงประเด็นเรื่อง ถ้าอเมริกาสามารถฟื้นความสัมพันธ์กับตะวันออกกลางให้ดีขึ้นได้บ้าง ก็น่าจะต้องเปลี่ยนผู้นำคนปัจจุบัน และเมื่อนั้น หลายสิ่งหลายอย่างก็น่าจะดีขึ้นพอสมควร
ผมได้ข้อสรุปจากคำถามที่สองคือ บุช ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงนโยบายของตนต่ออิรัก ซึ่งไม่มีทางทำให้อะไรให้ดีขึ้นกว่าในปัจจุบัน แต่เคอรี่อาจทำได้ ถ้าหากต้องเลือกว่าจะอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนไว้กับระบบการรักษาความปลอดภัยของอเมริกา กับ พยายามปรับความเข้าใจกับผู้ร่วมชะตากรรมบนโลกต่างศาสนา เพื่อให้เลิกราลดความแค้นที่มีต่อกันลง ผมว่าอเมริกันชนน่าจะเลือกอย่างหลังมากกว่า ผมเคยคุยกับชาวต่างชาติในยุโรปบางคน พบว่า สิ่งที่เขาเป็นกังวลอย่างมาก คือเรื่อง กระเป๋า 9 ใบที่หายไปจากรัสเซียตอนรัสเซียแตก หากไปปรากฏในประเทศเขาจะเกิดความหายนะอย่างใหญ่หลวง หากรัฐบาลเขาจะทำอะไรเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าโจมตีโดยกระเป๋า 9 ใบนั้นได้ เขาก็จะเลือกเข้าข้างรัฐบาลนั้น โดยไม่สนใจเรื่องเศรษฐกิจ เพราะเขาคิดว่า ชีวิต สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดครับ
- ทิศทางของดอกเบี้ยของแต่ละประเทศที่อ้างอิงกับประเทศใหญ่ๆ น่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต และจะมีผลอย่างไรต่อระบบเศรษฐกิจโลก
เขาถามว่า คุณหมายถึงประเทศไทยหรือเปล่า ถ้าหลายประเทศก็ต้องใช้เวลามากนะ ผมก็เลยพยักหน้า เขาก็บอกมุมมองของเขาให้ฟังมากมาย ซึ่งยาวมาก ผมจะพยายามสรุปให้สั้นที่สุดดังนี้นะครับ
ประเทศไทย เป็นประเทศที่แปลก มีความอ่อนไหวในหลายๆด้าน ทั้งความรู้สึกของผู้คน การดำเนินธุรกิจ และการเมือง เขาเคยมาไทยเพียง 4-5 ครั้ง ไม่ได้มาอยู่นานๆเหมือนท่านผู้อาวุโส แต่ก็รู้สึกชอบที่จะทำธุรกิจด้วย และยังได้รับคำบอกเล่าจากท่านผู้อาวุโสว่า หากคนไทยรวมใจกันเป็นหนึ่งได้เมื่อใด สิงค์โปร์ มาเลเซีย เวียดนาม หรือ อินโดนีเซีย จะไม่สามารถเทียบเคียงกับศักยภาพที่ประเทศไทยมีได้เลย แต่เนื่องจากการแย่งอำนาจกันในยุคต่างๆที่ผ่านมา ประกอบกับการที่ผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ มักคำนึงถึงตนเองมากกว่าคำนึงถึงประเทศชาติอย่างแท้จริง หรือไม่ก็มีบ้างในบางยุคที่ทำเพื่อประเทศชาติ อย่างแท้จริง แต่ไม่มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ดีพอ ทำให้การก้าวเดินของไทยไม่รวดเร็วอย่างที่ควรจะเป็น (ผู้รู้สึกว่าท่านผู้อาวุโสนี้แอบด่าคนไทยเหมือนกัน เวลาสนทนากันไม่เห็นมีเปรยๆเรื่องอย่างนี้ ไม่รู้นายนักธุรกิจนี้เหมาสรุปรึเปล่า แต่ก็ต้องเปิดใจรับฟังอย่างตั้งใจครับ เพราะคิดอยู่ว่า นานๆที่จะได้โอกาสส่องมองประเทศไทยจากกระจกคุณภาพดีสักครั้ง 5555)
เขาบอกว่าเคยคุยกับคนไทยบางคน ซึ่งระแวงว่า ประเทศเวียดนามจะแซงหน้า แทนที่จะคิดว่าจะก้าวให้ทันสิงค์โปร์ได้อย่างไร ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ผิด เมื่อคุณเอาแต่ระวังว่าจะมีใครดีเท่า อาจใช้วิธีไม่ดีบางอย่างเพื่อให้เขาพลาด และไม่หาทางพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น แต่ถ้าคุณมองคนที่เก่งกว่าและพยายามเก่งให้เท่ากับเขา คุณจะได้รับแรงกระตุ้นซึ่งทำให้เกิดการเรียนรู้ให้มากขึ้น และเมื่อคุณเรียนรู้มากขึ้นคุณก็จะเก่งขึ้น จนอาจทำให้เกิดช่องว่างระหว่างประเทศของคุณกับประเทศเวัยดนามได้มากขึ้น และถ้าคุณต้องการรักษาระยะห่างเอาไว้ คุณก็ต้องพยายามทำตัวให้เก่งมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ดีกว่าหรือ ผมบอกเขาว่าผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง เขาก็หัวเราะ และบอกผมว่า นั่นแหละคือเหตุผลที่ทำให้เขามานั่งคุยกับผม เพราะท่านผู้อาวุโสได้บอกไว้ว่า หากทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดได้นับว่าเก่งแล้ว และที่สำคัญเขาจะได้เรียนรู้นิสัยคนไทยแท้ๆคนหนึ่งที่มีความเชื่อในเรื่องคุณงามความดีมากกว่าเรื่องทรัพย์สินเงินทอง (ผมยิ้มให้อย่างมีไมตรีเป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกเคารพท่านผู้อาวุโสมากขึ้นที่ให้เกียรติผมเป็นอย่างมาก)
ผมให้ข้อมูลเขาเพิ่มว่า ตอนนี้คนไทยกำลังกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจของไทยชลอตัวลง และอาจจะเกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอีกครั้ง เขาหัวเราะดังๆ แล้วถามผมว่า แล้วคุณละ กังวลแบบนั้นด้วยหรือเปล่า ผมส่ายหัว เขาจึงพูดต่อ ปีที่แล้วเศรษฐกิจไทยโตเท่าไหร่ ผมจำไม่ค่อยได้ตอบไปว่า ประมาณ 6-7% เขาถามว่า แล้วได้ตามนั้นไหม ผมก็ตอบไปว่า ดีกว่าที่ประเมินกันไว้เล็กน้อย เขาก็พูดต่อว่า นั่นแหละปัญหา เขาเคยได้รับคำสอนจากท่านผู้เฒ่าเรื่อง กระต่ายตื่นตูม ซึ่งเป็นคำสอนโบราณของคนไทยไม่ให้กังวลจนรีบร้อนทำเรื่องใดๆโดยไม่คิด อีกคำหนึ่งคือ งูๆปลาๆ หมายถึงไม่ศึกษาเรื่องใดให้ถ่องแท้แล้วเหมาว่าใช่ว่าเป็น และสุดท้ายคือ ฟังไม่ได้ศัพท์เข้าใจเป็นอีกอย่าง (น่าจะหมายถึง ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด) คือนอกจากเหมาว่าใช่ว่าเป็นแล้วยังพยายามทำให้คนอื่นเชื่ออีกด้วย จะได้แสดงตนว่าเป็นคนเก่ง ก่อนที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตขึ้นไปได้ขนาดนั้น ก็เห็นมีการไม่ยอมรับกันว่าจะโตได้ขนาดนั้น ถึงกับเถึยงกันว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยฟื้นแล้วจริงๆหรือ แล้วผลเป็นอย่างไร ตอนนี้คงไม่ต้องตั้งคำถามกันว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นแล้วจริงหรือ แต่ตอนนี้กลับได้ยินคำถามใหม่ว่า เศรษฐกิจจะฟุบอีกจริงหรือ เขาถามผมว่า ดูไม่ออกหรือว่า ความกังวลทางเศรษฐกิจของไทยเกิดจากปัจจัยใดเป็นสำคัญ ผมบอกว่า ก็ราคาน้ำมัน การก่อการร้าย และดอกเบี้ย เขาก็พูดต่อ ก็คือที่มาของคำถามบางคำถามที่คุยกันในวันนี้ใช่ไหม แล้วก็หัวเราะ ผมเลยให้ข้อมูลเพิ่มว่า ไม่ใช่เฉพาะคนไทยที่รู้สึกเช่นนั้น ผมว่าคนฮ่องกง หรือคนจีนก็น่าจะคิดเช่นนั้นเช่นกัน หรือแม้กระทั้งการเติบโตอย่างมากเรื่องอสังหาริมทรัพย์ก็ทำให้เกิดความกังวลกันมากจนรัฐบาลจีนต้องสั่งชลอไม่ใช่หรือ
เขาพูดต่อว่า หลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ ที่บรรดานักวิเคราะห์ในหลายๆประเทศรวมทั้งในประเทศไทยด้วย คิดไปต่างๆนานาว่า จีนจะต้องทำอย่างนั้น จีนจะต้องทำอย่างนี้ แล้วเป็นอย่างไรบ้าง มีที่ทำนายถูกกี่เปอร์เซนต์ การที่คำทำนายส่วนใหญ่มักไม่ถูกต้องนัก เป็นเพราะความแตกต่างทางด้านการเมืองการปกครอง คนในโลกตะวันตกที่ขอบใช้วิธีทางสถิติมาบ่งบอกว่าประเทศนั้นจะเป็นเช่นนั้นหรือเช่นนี้ โดยเฉพาะในอเมริกา ผมถามง่ายๆว่า เขาสามาถเอาสถิติสองร้อยกว่าปีมาเป็นตัวกำหนดทางเดินของประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับหลายพันปีได้จริงๆหรือ ผมถึงกับอึ้งต่อคำกล่าวนี้ และนึกถึงความจริงที่เขาพูด แล้วนึกถามตัวเองเหมือนกันว่า ไทยกับอเมริกามีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่ากันมาก แต่ไฉนอิทธิพลทางสถิติของอเมริกาต่อประเทศไทยจึงมีมากมายนัก แปลกจริงๆ หรือว่าเป็นเพราะเราไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง เพราะบรรดานักเรียนนอกบางคนได้พยายามเป่าหูเราว่า อเมริกา ดีอย่างโน้นอย่างนี้ น่าจะเป็นแม่แบบให้เรา จนกระทั้งเราลืมแม่แบบอันดีงามที่เกิดจากภูมิปัญญาคนไทยด้วยกันเองไปจนแทบหมดสิ้นแล้ว
นอกเรื่องกันไปนาน วกกลับเข้าเรื่องดอกเบี้ยดีกว่าครับ เขาบอกว่า ดอกเบี้ยที่สูงที่สุดในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณกี่เปอร์เซนต์ ผมบอกเขาว่าประมาณ 16% หากจำไม่ผิด เขาถามต่อว่า แล้วระยะเวลาที่ดอกเบี้ยลดลงเรื่อยๆจาก 16% จนถึงปัจจุบันใช้เวลานานเท่าใด และคิดว่าดอกเบี้ยปัจจุบันจะมีโอกาสกลับขึ้นไปที่ 16% ได้อีกหรือไม่เมื่อใด และปัจจัยอะไรบ้างที่จะทำให้มันขึ้นไปได้ถึงระดับนั้น ขอให้คิดให้รอบคอบนะครับ เพราะคำตอบของผมเองจะเป็นคำตอบของคำถามที่ผมถามเขา ซึ่งเขาจะอธิบายอีกที ผมก็นั่งนึกอยู่นาน จึงค่อยๆตอบไป
ถึงตอนนี้คงต้องขอตัวไปนอนก่อนครับ ผมยังมีงานต้องสะสางต่อในวันพรุ่งนี้ และต้องมีประชุมอีกพอสมควร ไม่อยากนั่งสัปหงกในห้องประชุมครับ แล้วจะคุยต่อว่าผมตอบไปอย่างไร
ข้อสรุปจากคำถามในข้อนี้คงต้องยกไปพรุ่งนี้ด้วยครับ แต่อยากฝากคำถามที่เกี่ยวกับบางอย่างที่สรุปได้จากการสนทนาส่วนที่เหลือ โดยขอนำมาเชื่อมโยงกับเรื่องอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาสูงมากในอเมริกา และมีบางท่านกังวลว่า หากราคาอสังหาในอเมริกาเริ่มย้อนกลับจะเกิดผลเสียอย่างไรบ้าง ผมขอฝากคำถามต่อประเด็นนี้ไว้สักเล็กน้อยครับว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้วราคาที่ดินที่บ้านของท่านมีราคาเท่าใด และปัจจุบันมีราคาเท่าใด และมีโอกาสเพียงใดที่จะทำให้ราคาที่ดินและบ้านของท่านจะมีราคาย้อนกลับไปที่ราคาเดิมหรือลดลงจากปัจจุบันไปสัก 30 % และมีปัจจัยใดบ้างที่จะทำให้เป็นเข่นนั้น คำตอบนี้เกี่ยวกับการสนทนาอย่างไรพรุ่งนี้จะมาต่อครับ สวัสดีก่อนนะครับ 5555
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 5 ส.ค. 47 01:05:27 A:210.86.188.1 X: ]
แวะเข้ามาดูก่อนประชุมสักเล็กน้อย ขอขอบคุณทุกๆท่านด้วยครับ เดี๋ยวคืนนี้จะมาต่อครับ
ผมส่งเมล์รูปของเศรษฐกิจแบบ โก่งคันธนู ไปให้คุณ Weekest รูปหนึ่ง รบกวนคุณ Weekest ช่วยนำลงด้วยะนะครับ ผมยังทำไม่เป็นครับ 5555
แล้วตอนท้ายๆของกระทู้นี้ ผมจะสรุปว่า ทำไมถึงเรียกว่า เศรษฐกิจแบบ โก่งคันธนู ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา เราได้พบกับเศรษฐกิจแบบนี้กันมาหลายครั้ง แต่ไม่มีใครนิยาม ผมเลยขอเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนสักครา 5555
แถมสักนิดนะครับ เมื่อก่อนนี้เราเคยฝังใจกับวีรกรรมหนึ่งซึ่งติดปากกันในนาม กามิกาเซ่ เป็นที่น่าแปลกไหมครับว่า กามิกาเซ่ ตายหนึ่งคนเพื่อทำลายศัตรูให้เสียหายมากกว่า กลับเป็นที่ยกย่องมากกว่า ระเบิดพลีชีพ มากมายยิ่งนัก ทั้งๆที่ผลทางปฏิบัติออกมาเหมือนๆกัน แต่ส่งผลทางจิตใจแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง 5555
สิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้หลายสิ่ง ได้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นในอดีตเรามีความคิดกันว่า การหายตัวได้เป็นเรื่องเพ้อฝันเหลือเชื่อ แต่ปัจจุบัน ศาสตราจารย์ ซึซึมุ ทาจิ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว ก็ได้แสดงให้เห็นว่า ในอนาคตอันใกล้เราอาจได้ใช้เทคโนโลยีนี้กัน แล้วอีกหลายสิ่งที่เราเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ จะเป็นอย่างไรในอนาคตครับ 5555
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 5 ส.ค. 47 10:26:07 A:210.1.6.101 X: ]
ได้ครับพี่ พอดีเพิ่งเช็ค mail ครับ

จากคุณ : weekest - [ 5 ส.ค. 47 14:30:39 ]
เห็นรูปของคุณ weekest แล้วเพิ่งเข้าใจครับ ว่า ศก.โก่งคันธนู เป็นแบบนี้เอง
แต่ตอนนี้ผมคิดว่าไม่ใช่นะครับ ถ้าเป็นแบบนี้หมายถึงว่า เพียงแค่ความกลัว ความกังวลใจ หมดหายไป ทุกๆ อย่างก็จะกลับมาดีวิ่งฉิวเอง ที่ผ่านมาเพียงแค่กระต่ายตื่นตูมเท่านั้น
แต่สถานการณ์ตอนนี้ดูไม่จืดเลย รัฐบาลพยายามสร้างภาพขาขึ้น โดยที่ความจริงเป็น ศก.ขาลงเห็นชัดๆ หลายปีที่ผ่านมาเราปรับตัวเลขการเติบโตศก. ให้สูงขึ้นกว่าที่คาดตลอด แต่ตั้งแต่ต้นปีนี้มา เราปรับตัวเลขลงมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นพอถึงปลายปีจริงๆ เราอาจโตไม่ถึง 5%
จีนมีปัญหา อเมริกามีปัญหา น้ำมันเป็นปัญหา ดบ.เป็นปัญหา ภาระหนี้สินเป็นปัญหา ทุกอย่างรอวันระเบิดอยู่แล้ว
ถ้าข่าวร้ายและความกังวลกำลังจะไปในทางที่ดีขึ้น เราควรจะซื้อหุ้น แต่สำหรับผมแล้วตอนนี้ผมคิดว่ามันกำลังจะแย่ลง เพราะฟองสบู่ต่างๆ ทั้งอสังหาฯ ทั่วโลก และตลาดหุ้น NASDAQ กำลังจะแตกอีกครั้ง ดอลลาร์อาจดิ่งลงอย่างแรง ผมคิดว่าเรากำลังเดินเข้าใกล้วิกฤติครั้งใหญ่ของทุนนิยมทีเดียว
ปกติแล้วผมไม่มองแง่ร้ายเท่าไหร่ เพื่อนๆ คงเห็นว่าแม้ในช่วงที่อเมริกาเปิดสงครามกับอิรักนั้น ผมก็คิดว่าเป็นจังหวะที่ดีในการสะสมหุ้นเพราะ SET อยู่ระดับต่ำมากเพียง 300 กว่าจุด แต่ ณ จุดนี้ผมคิดว่าโลกกำลังเสียสมดุลอย่างหนัก ฟองสบู่ก่อตัวใหญ่มากจริงๆ ภาระหนี้สินภาคครัวเรือนหนักหนาขึ้นมากจริงๆ น้ำมันก็แพงจริงๆ
เรื่องการเมืองระหว่างประเทศผมไม่ชำนาญเลย ผ่าน... อัตราดอกเบี้ย ของอเมริกาน่าจะสูงกว่านี้ได้อีกมาก ตอนนี้เกิดภาวะอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ ซึ่งถือว่าผิดปกติ FED ควรจะทำอะไรที่เหมาะสมกว่านี้....
ฟองสบู่ของจีนน่าจะแตกราวปลายปีนี้ครับ... การชะลอตัวลงด้วยการควบคุมสินเชื่อ ทำให้เงินหมุนลำบาก กำลังซื้อหดหาย การลงทุนอย่างมากมายในอดีตเพื่อรองรับกำลังซื้อมหาศาล จึงเป็นเรื่องของฟองสบู่... และกำลังจะแตก
ประเทศไทยยังคงเป็นน่าลงทุนในระยะยาว.. เพราะถือว่าต้นทุนต่ำ และยังมีแรงงานถูกๆ อีกมากจากอินโดจีนที่พร้อมจะเข้ามาอยู่แล้ว ต้นทุนอสังหาฯ ก็ไม่นับว่าแพง สาธารณูปโภคก็ใช้ได้ แต่ระยะสั้นๆ แล้ว... ในเมื่อทั่วโลกมีปัญหา และไทยเองก็ก่อปัญหาภายในไว้ไม่น้อย หนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ราคาบ้านโดยเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ถึงเท่าตัว จาก 1.6 ล้านต่อหน่วย เป็น 3.3 ล้านบาทต่อหน่วย เพราะแรงส่งจากดบ.ที่ต่ำเกินไป น้ำมันก็แพงเหลือเกิน... ดังนั้นช่วง 1-2 ปีนี้คงเป็นช่วงเวลาแห่งการชดใช้หนี้กรรมเก่าละมั้งครับ
จากคุณ : เฟยหง - [ 5 ส.ค. 47 21:23:36 ]
Create Date : 05 สิงหาคม 2548 | | |
Last Update : 5 สิงหาคม 2548 16:14:22 น. |
Counter : 1953 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
กลลวงที่ 1 แสร้งทำเป็นรับ เมื่อคิดจะถอย
ลองพิจารณาดู กลลวงในการดำเนินการธุรกิจดูนะครับ แล้วลองนึกเปรียบเทียบกับกรณีการลงทุนในตลาดหุ้นดูครับ
"เราทุกคนก็เห็นกันอยู่แล้วนะครับ สินค้า Lot นี้ขายไม่ค่อยออกเลย จะทำอย่างไรดีนะ" เสียงประธานการประชุมดังขึ้นในที่ประชุม
"ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ จากข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัท เมื่อเดือนก่อนหน้านี้ มีแต่คนถามหาสินค้าชิ้นนี้ ทำไมมาวันนี้ ผู้คนพากันเลิกสนใจ ราวกับว่าไม่เคยมีการแย่งกันซื้ออย่างที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้" ผจก.ตลาด พูดด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจอย่างจริงจัง
"อาทิตย์ที่แล้ว ผมก็ส่งคนไปสำรวจตลาดก่อนที่จะออกเสียงสนับสนุนให้นำเข้ามาเพิ่มนะครับ ยังพบว่า กระแสความนิยมในสินค้าตัวนี้ มีการตอบรับเป็นที่น่าพอใจทีเดียว" ผจก.ฝ่ายจัดหาสินค้า ให้การสนับสนุน
"นี่แหละครับ แผนระบายสินค้าของผู้ผลิต ผมเคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่งครับ หวังว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ คงไม่เป็นอย่างที่ผมเคยประสพมานะครับ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เราต้องใช้แผนตามน้ำก่อนที่บริษัทเราจะได้รับความเสียหายมากกว่านี้" ผจก.ฝ่ายวางแผน พูดด้วยเสียงอันราบเรียบ เหมือนไม่ได้ตระหนกใดๆ เหมือนที่หลายๆคนในห้องประชุมกำลังเป็น
"แผนระบายสินค้า และ แผนตามน้ำ อืม... คุณช่วยอธิบายให้กระจ่างหน่อยครับ คุณ...." ประธานการประชุม ขยับตัวด้วยท่าทีกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความสนใจ
ผจก.ฝ่ายวางแผน เลยสาธยายยืดยาวดังนี้ครับ
ครั้งหนึ่ง เคยมีสินค้าตัวหนึ่ง บูมมาก จนกระทั่งทุกคนถามหา เหมือนสินค้าตัวนี้ แต่ช่วงเวลาการบูม กินระยะเวลาอันสั้นมาก จนสายการผลิตในต่างประเทศของผู้ผลิตบางรายที่ก้าวเข้ามาทีหลังกำลังเข้าตาจน (ไม่คุ้มทุนในการจัดสายการผลิตสินค้า) จึงต้องออกแผนระบายสินค้ามา โดยกระพือข่าวการเตรียมการผลิตสินค้ารุ่นใหม่ที่มีนวัตกรรมล้ำสมัยกว่าเดิมเกือบเท่าตัว แต่มีปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งคือต้องนำไปใช้ควบคู่กับสินค้าเดิม และพยายามเน้นหัวข้อในเรื่อง เนื่องจากการผลิตสินค้าเดิมยังมีปัญหาไม่สามารถผลิตได้ทันตามความต้องการของกำลังซื้อของผู้อุปโภค จึงต้องขอเลื่อนการวางตลาดสินค้าใหม่ไปประมาณ 2-3 เดือน และขอรับรองว่า ถึงแม้อีก 2-3 เดือนจะผลิตสินค้าเดิมไม่ทัน ก็จะหยุดการผลิตสินค้าเดิมชั่วคราวเมื่อถึงกำหนดเวลาต้องผลิตสินค้าใหม่ตามสัญญา เพื่อให้ผู้มีอุปการะเดิมได้ใช้สินค้าใหม่ที่นำมาใช้กับสินค้าเดิมได้โดยเร็ว หลังจากนั้น ก็จะเริ่มกลับมาทำการผลิตทั้งสินค้าเดิมและสินค้าใหม่ควบคู่กันต่อไป การประชาสัมพันธ์ครั้งนั้น ใช้งบประชาสัมพันธ์มากพอสมควร แต่ผลที่ได้คุ้มค่ามาก เนื่องจาก เมื่อผู้คนได้ยินข่าว ก็ถามหาจากผู้นำเข้า ทำให้ผู้นำเข้าหลายรายที่คิดว่าหมดรอบการขายสินค้านั้นแล้ว ได้รับกระแสเทียม ซึ่งบางส่วนเกิดจากการซื้อเทียม (บอกว่าจะซื้อถ้ามีสินค้าจำนวนมากตามที่ต้องการ ซึ่งเป็นการสร้างกระแสความนิยมและปั่นราคาสินค้า) ซึ่งเป็นผลทำให้ ราคาสินค้าเดิมก็เริ่มขยับตัวสูงขึ้น จนทำให้ผู้นำเข้าทำการรีบเร่งสั่งสินค้าเดิมเข้ามา เพราะเกรงว่าจะขาดตลาดในช่วงที่จะมีการผลิตสินค้าใหม่ และหวังว่าจะได้กำไรงาม คล้ายๆกับสถานการณ์ที่เราเผชิญก่อนหน้านี้สักประมาณสองอาทิตย์
เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 2 เดือน ทางบริษัทผู้ผลิตก็ออกมาให้ข่าวใหม่ว่า เนื่องจากวัตถุดิบในการผลิตสินค้าทั้งตัวเดิมและตัวใหม่ เกิดปัญหาขาดแคลน ซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น เป็นผลให้ราคาสินค้าใหม่ที่กำลังจะออกมา มีราคาแพงกว่าเดิมเกือบสองเท่าตัว แต่เนื่องจากมีการสั่งจองสินค้านั้นเข้ามามากพอสมควร(จริงๆก็คือการระบายสินค้าค้างสต๊อกในราคาดี) และไม่อยากให้เกิดปัญหา ขอให้ทางผู้สั่งจองทำการยืนยันราคากลับเข้ามา ซึ่งทางบริษัทผู้ผลิตจะทำการแบ่งเบาภาระให้โดยขายให้ในราคาทุน หรือขอให้รอจนกระทั่งวัตถุดิบ(ที่สมมุติขึ้นมา) เข้าสู่สภาวะปกติ ผลก็คือ ไม่มีการซื้อสินค้าเดิมอีกต่อไป เพราะแต่ละคนก็จะรอข่าววัตถุดิบกลับสู่สภาพปกติ (โดยไม่เคยมีการให้ข่าวอีกต่อไป จนเรื่องเงียบหายไปเอง) คงไม่ต้องบอกถึงผลเสียหายที่บริษัทนำเข้าได้รับนะครับ
กลับเข้ามาในเรื่องการลงทุนดีกว่าครับ นอกเรื่องไปพอควร เช่นกันครับ เมื่อต้องการระบายหุ้นที่ตนเองเก็บไว้ออกไป (ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม) ก็ต้องพยายามสร้างข่าวดีออกมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าวจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ปัญหาคือ จะรู้ได้อย่างไรว่าข่าวใดเป็นข่าวจริงหรือข่าวลือ หากจะต้องติดตามและวิเคราะห์ข่าว ไม่มีทางทันผู้ปล่อยข่าวอย่างแน่นอน ดังนั้น สิ่งที่จะช่วยได้บ้างเล็กน้อยก็คือต้องสังเกตพฤติกรรมการซื้อขาย แต่ข้อจำกัดของรายย่อยอย่างหนึ่งก็คือ ณ.เวลาขณะใดขณะหนึ่ง รายย่อยจะไม่รู้ข้อมูลทั้งหมดอย่างที่รายใหญ่รู้ อันนี้เป็นกรรมอันเกิดจากที่ผู้ให้ข้อมูลที่ไม่มีใจเป็นธรรมพอ กรรมใดก่อไว้ ไม่ชาตินี้ ก็ชาติหน้า ได้สนองตอบกลับคืนอย่างแน่นอนครับ ผมเชื่อเช่นนั้น 5555
เอาละครับ ในเมื่อมีข้อมูลเพียงเล็กน้อย ก็ขอให้จุดสังเกตเล็กๆน้อยต่อพฤติกรรมการซื้อขายที่เข้าข่ายในลักษณะ "แสร้งทำเป็นรับ เมื่อคิดจะถอย" ดังนี้ครับ
ให้สังเกตในช่อง Bid และ Offer ของราคา 3 ระดับที่รายย่อยได้รับรู้ดูนะครับ หากหุ้นใดมีข่าวดีๆออกมา ทั้งๆที่ราคาเต็มหรือเกินมูลค่าหุ้นมากเกินไปแล้ว หากจับสัญญานให้ดีในช่อง Bid ระดับ 2 และ 3 (บางทีก็โจ่งแจ้งแบบรวมระดับ 1 ด้วยนะครับ) จะเกิดปริมาณ Bid จำนวนมหาศาล ด้วยจำนวนรายเพียงไม่กี่ราย ในขณะที่ Vol มีค่อนข้างน้อย อันนี้ต้องอาศัยตาไวๆ หรือเครื่องมือพิเศษหน่อยนะครับถึงเห็นปริมาณการ Bid/จำนวนรายที่ค่อนข้างชัดเจน (ความถูกต้องประมาณ 90%) ตัวอย่างดังนี้นะครับ
ณ.เวลาเริ่มต้นสังเกต ระดับ Vol Bid / Vol Offer 1 10000/1000 2 10000/1000 3 10000/1000
เมื่อเวลาผ่านไป 1 นาที ระดับ Vol Bid / Vol Offer 1 20000/1000 2 1000000/1000 มีจำนวนรายที่ทำการ Bid เพียง 2-3 ราย 3 1000000/1000 มีจำนวนรายที่ทำการ Bid เพียง 2-3 ราย
เมื่อเวลาผ่านไปอีก 1 นาที ระดับ Vol Bid / Vol Offer 1 20000/1000 2 5000000/1000 มีจำนวนรายที่ทำการ Bid เพียง 2-3 ราย 3 5000000/1000 มีจำนวนรายที่ทำการ Bid เพียง 2-3 ราย
ลักษณะเช่นนี้ เป็นการตั้งรับระดับ 2 และ 3 เพื่อให้ดูว่ามีกำลังซื้อต้องการรอซื้ออยู่สูงมาก ซึ่งผลทางจิตวิทยาทำให้คนที่อยากขาย ก็อาจเปลี่ยนใจไม่อยากขาย และผู้ที่คิดจะซื้อที่ราคาระดับ 2 และ 3 คิดว่าไปต่อแถวก็อาจไม่ได้ จึง Bid เพิ่มในระดับที่ 1 ซึ่งในขณะเดียวกัน ผู้ที่ตั้งใจทยอยปล่อยก็จะปล่อยที่ระดับ 1 ไปเรื่อยๆทีละเล็กทีละน้อย หากสังเกตเพิ่มในข้อมูลการซื้อขายจริงณ.ช่วงเวลาต่างๆ ก็จะเห็นว่า เกิดการซื้อขายที่ระดับหนึ่งระดับเดียวมากครั้ง ครั้งละเล็กๆน้อยๆ ซึ่งเป็นการทยอยขายนั่นเอง หากเกิดการพลิกล็อคมีคนเทขายที่ระดับ 2 (ซึ่งต้องเป็นรายใหญ่ฟากตรงข้าม ที่ไม่เคลียร์ทางกันก่อน) ก็มีโอกาสเจ็บตัวเหมือนกัน แต่ถ้าจังหวะตลาดดีๆ อาจลากขึ้นไปอีกเล็กๆน้อยเพื่อให้รายย่อยตาม แล้วทำแบบเดิมต่อไป ทั้งนี้ รายใหญ่หลายๆราย เขามีเครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมมากกว่าที่รายย่อยเราๆท่านๆใช้กันอยู่มากพอควรนะครับ โดยเฉพาะพวกโบรคทั้งหลาย แค่เห็นระดับการ Bid มากกว่า 3 ระดับก็ได้เปรียบเรามากแล้วครับ
ปล.ที่ผมนำมาเสนอให้เป็นจุดสังเกต ก็เพื่อย้ำเตือนให้พี่น้องผองเพื่อนนักลงทุนทั้งหลายลองสังเกตดูนะครับ ซึ่งอาจทำให้พอทราบคร่าวๆว่า ควรจะซื้อเมื่อใด และกรณีเช่นนี้ก็ไม่ได้ตายตัวเสมอไป จุดตัดสินใจและความชัดเจนของพฤติกรรมจะอยู่ที่การซื้อขายในระดับที่ 1 และปริมาณซื้อขาย ณ.ช่วงเวลานั้น นะครับ และอีกประการคือ ผมนำเสนอเนื่องเพราะหวังไว้ลึกๆว่า จำนวนท่านที่ชอบ Day Trade บางส่วน อาจเปลี่ยนใจกลายเป็นนักลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐานธุรกิจของบริษัทที่ท่านสนใจลงทุนกันบ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ
ปล.(ต่อ) โชคดีปีใหม่จีนด้วยครับ ขอให้รับทรัพย์กันถ้วนหน้านะครับ วันพรุ่งหรือวันศุกร์นี้ผมจะซื้อหุ้นหลายตัวเก็บเข้าพอร์ทครับ 55555
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 22 ม.ค. 47 00:18:07 A:210.86.137.86 X: ]
ขอบคุณค่ะ ^______^
มีข้อสงสัยดังนี้ จะดูได้ยังไงคะว่าbid ที่ตั้งไว้มีกี่ออร์เดอร์?
จากคุณ : อ-ริน - [ 22 ม.ค. 47 06:33:39 ]
ขอบคุณทุกๆท่านเช่นกันครับ
ตอบคุณ อ-รินครับ "จะดูได้ยังไงคะว่าbid ที่ตั้งไว้มีกี่ออร์เดอร์?"
หากเป็นรายใหญ่ เขามีข้อมูลตรงนี้อยู่แล้วครับ แต่หากเป็นรายย่อยต้องสังเกต อัตราการเปลี่ยนแปลงของ Volume ต่อช่วงเวลาที่เปลี่ยนไปครับ (คล้ายๆกับอนุกรมเลขคณิตครับ) ถึงแม้ว่าหลายๆคนกำลัง Bid แต่การ Update ของ Volume ที่เปลี่ยนแปลงจะมีการปรับเปลี่ยนตามช่วงเวลา ตัวอย่างเช่น หากสมมติให้ Volume ของ Bid มีการปรับเพิ่มจาก 100 เป็น 50000 ด้วยรูปแบบสองอย่างในช่วงเวลา 5 นาทีดังนี้ครับ (สมมุติให้ Bid เริ่มต้นเป็นศูนย์นะครับ)
รูปแบบที่ 1 มีการ ปรับจำนวน Volume ของ Bid เพิ่มขึ้นเรื่อยๆดังนี้
จำนวนเพิ่ม--------------------จำนวนรวม 1000--------------------------------1000 2000--------------------------------3000 4000--------------------------------7000 5000--------------------------------11000 6000--------------------------------17000 2500--------------------------------19500 2800--------------------------------22300 9000--------------------------------31300 4000--------------------------------34300 5700--------------------------------38000 5000--------------------------------43000 7000--------------------------------50000
รูปแบบที่ 2 มีการ ปรับจำนวน Volume ของ Bid เพิ่มขึ้นเรื่อยๆดังนี้ จำนวนเพิ่ม--------------------จำนวนรวม 10000-------------------------------10000 20000-------------------------------30000 20000-------------------------------50000
ทั้งนี้ต้องดูผลสรุปการจับคู่ซื้อขายด้วยนะครับ หากมีการหลุดการจับคู่ในระดับ 2 ในบางครั้ง จะเห็นลักษณะการจับคู่เป็นแบบ หนึ่งการขาย/หลายการซื้อ (One to Many) ที่ราคาระดับสองมากพอสมควร ซึ่งจะเห็นได้ชัดขึ้นครับ
ปล. หากมีคำถามเพิ่ม ผมขอตอบกลับในช่วงอาทิตย์หน้านะครับ ต้องเตรียมตัวเดินทางแล้วครับ
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 22 ม.ค. 47 09:38:45 A:210.86.137.66 X: ]
Create Date : 02 สิงหาคม 2548 | | |
Last Update : 2 สิงหาคม 2548 13:24:16 น. |
Counter : 577 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
กลลวง ของ รายใหญ่, นักปั่น และ นักทุบ
หลังจากได้ลงกลยุทธ์การรุกรับ สำหรับการลงทุนไปแล้ว เห็นว่า หลายๆท่าน ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่นำเสนอไปบ้างไม่มากก็น้อย จึงขอต่อด้วย กลลวง ต่างๆ ของบรรดานักปั่น นักทุบ หรือพวกรายใหญ่ที่คิดวางกับดักหลุมพรางให้ตนเองได้ชัยชนะ เพื่อเป็นจุดสังเกตให้รายย่อย ได้ระวังไว้บ้าง เพื่อไม่ให้หลงกลเข้าสู่ "กับดักละลายทรัพย์" หรือ "ค่ายกลส่งคนงขึ้นดอย" ทั้งนี้ การนำเสนอในส่วนต่อไปนี้ ผมขอรบกวนท่านๆทั้งหลาย ช่วยวิเคราะห์วิจารณ์กันด้วยนะครับ ซี้ผิด ซี้ถูก กันได้โดยไม่ต้องเกรงใจกันนะครับ
กลลวงต่างๆ ที่พอจะนึกได้ ก็มีดังต่อไปนี้ครับ
- แสร้งทำเป็นรับ เมื่อคิดจะถอย - แสร้งทำเป็นถอย เมื่อตั้งใจสะสม - ปั่นขึ้น - ทุบลง - ดักตีหัวเข้าบ้านตอนเช้า - ดักตีท้ายครัวตอนเย็น - ยกพวกถล่มฐาน - สร้างบ้านไร้คาน - ยิงแสกหน้าแบบเผาขน
ส่วนรายละเอียด จะค่อยๆทยอยลง เช่นเดียวกันกับกลยุทธ์นะครับ หากนึกได้อีก จะค่อยๆเพิ่มให้ทีหลัง
ช่วงนี้ภาระกิจมากจริงๆ ไม่ค่อยได้เข้ามาร่วมแจม แถมยังติดค้างหุ้น 72 ตัวอยู่ด้วย คงต้องขออภัยท่านที่รอคอยมา ณ.ที่นี้ด้วยนะครับ
ปล. ผมอยากถ้า พวกนักปั่น นักทุบ ด้วยการลงทุนในหุ้นบางตัว แบบ Post ขึ้นในสินธรสถานแห่งนี้ โดยลงทุนตามกลยุทธ์ให้เห็นๆกัน (แต่เป็นตัวเลขสมมุติ) อยากถามความเห็นท่านทั้งหลายว่า น่าสนใจไหมครับ จะได้รู้กันไปเลยว่า จะชนะหรือแพ้นักปั่น กันแน่ 5555 หากมีผู้เห็นด้วยสักยี่สิบคน ก็จะลงมือ (หวังว่าคงไม่ใช่เป็นการชี้นำนะครับ หรือว่าใช่?)
Create Date : 02 สิงหาคม 2548 | | |
Last Update : 2 สิงหาคม 2548 13:21:18 น. |
Counter : 618 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
คน 7 คน
ก่อนอื่นต้องท้าวความไปยังกระทู้เก่าก่อนครับว่า เมื่อผมได้พูดคุยกับคนจีนอาวุโสท่านหนึ่งที่มีความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์มากพอที่จะถ่ายทอดให้ผู้อื่นฟังได้ โดยใช้วิธีบอกให้คิดตาม และเขาได้ให้ผมคิดถึงคน 7 คน ซึ่งต่างกรรมต่างวะระ คน 7 คนนี้เคยเป็นเพื่อนกันในยุคๆหนึ่ง แล้วก็ทะเลาะกันในอีกยุคหนึ่ง แต่ก็หนีกันไม่พ้นต้องอาศัยอยู่ร่วมกันจนตายจากกันไป โดยแต่ละคนมีชื่อดังต่อไปนี้คือ อมาเก,ญุ่นปี่,ใจหยิ่น,อิดกัง,เอียดิน,ตะวันออกกลาง,เอลซารอิด จากนั้นเขาก็บอกนิสัยของคน 7 คนนี้ให้ฟัง หลังจากนั้นให้ผมตอบคำถามเขาเป็นข้อๆ และสุดท้ายเขาก็สรุปคำตอบของผมให้ฟัง แล้วก็นำเรื่องมาโยงเข้ากับสภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน โดยมีคนทั้ง 7 เป็นเพื่อนร่วมโลกเดียวกันนี้
ในท้ายที่สุดเขาก็บอกว่า ทฤษฏีเศรษฐศาสตร์หลายๆทฤษฏีมักนิยมสร้างโมเดลอย่างง่ายๆ แล้วค่อยนำมาอธิบาย ตัวอย่างเช่น ทฤษฏีเกม และ ทฤษฎีจุดดุลยภาพของแนช (John Nash ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในเรื่อง Beautiful Mind) ซึ่งได้คิดค้นทฤษฏีและแทนด้วยคณิตศาสตร์ที่กว่าคนจะเข้าใจจนสามารถนำมาใช้งานในชีวิตประจำวันได้ก็กินเวลาล่วงเลยนานถึง 50 กว่าปี เขาบอกว่าตัวแปรทางเศรษฐศาสตร์ มักขึ้นอยู่กับตัวแปรย่อยๆมากมาย แต่หากทราบตัวแปรใหญ่ๆที่ควบคุมตัวแปรย่อยต่างๆได้ ก็คิดถึงตัวแปรใหญ่ๆและลดน้ำหนักตัวแปรย่อยลง จะได้ตั้งสมมติฐานและกำหนด Case Study ได้ง่ายขึ้น
ต้องออกตัวขออภัยผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐศาตร์ด้วยนะครับ สิ่งที่ผมรับทราบมาเป็นจากคำสนทนาและจดจำมาถ่ายทอดอาจขาดตกบกพร่องบ้าง เนื่องจากต้องย่นย่อลงให้สั้นพอที่คนอ่านจะไม่รู้สึกเบื่อ จึงอาจอธิบายได้ไม่ชัดเจน ก็ขนาดผมฟังโดยตรงยังต้องถามหลายเรื่องจนรู้สึกว่าเข้าใจ การถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถอธิบายให้เข้าใจได้อย่างชัดเจนแค่ไหน แต่ในที่สุด หลังจากฟังจบ ผมก็ได้ตั้งใจว่ากลับมาเมื่อใด ผมจะเลือกซื้อหุ้นเก็บไว้ยาวๆ จนกว่าจะมีลางหายนะใดๆปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนจึงค่อยขายทิ้งครับ (ลางหายนะมีอยู่ 4 ประการใหญ่ๆ เรื่องยาวเหมือนกันคงต้องไว้เล่าต่างหากนะครับ) ลองมาดูกันนะครับว่า คน 7 คนนี้นิสัยอย่างไรบ้าง
ใจหยิ่น มีนิสัยโอบอ้อมอารี มีครอบครัวใหญ่โต แต่คนในครอบครัวชอบมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันพอสมควร ตั้งแต่ อดีตกาล ก็มีการแย่งชิงกันเป็นใหญ่ นิสัยลึกๆเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น มีคติประจำตัว "มีคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ" เคยโดนคนอื่นรังแกหลายๆครั้ง ซึ่งก็พยายามต่อสู้ แต่ก็สู้ไม่ได้ หลายๆครั้งก็โดนเอารัดเอาเปรียบในทุกๆด้าน อยากแก้แค้น แต่ก็ยังใจเย็นรอเวลา อยากเป็นพี่ใหญ่ในหมู่คนผิวเหลืองด้วยกัน แต่ก็ยังไม่แสดงออกอย่างเต็มที่ มีเอกภาพทางความคิด(ไม่ต้องในภาวะจำยอมเหมือนหลายๆคน) และยังเป็นที่เกรงใจของหลายๆคน
อิดกัง มีนิสัยชอบวางโต อวดเบ่ง ตั้งแต่อดีตกาล ก็ถือตัวว่าเก่ง เป็นใหญ่ที่สุด อยากให้ทุกคนฟังความเห็นของตนเองแต่เพียงผู้เดียว แต่ตอนหลังมีคนในครอบครัวแยกตัวไปตั้งครอบครัวใหม่ จนเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันคือ อมาเก ความเข้มข้นทางพันธุกรรมยังตัดไม่ขาด จนคนอื่นๆรู้กันโดยทั่วไปว่า อิดกัง กับ อมาเก ซี้ปึกกันแบบคอหอยกับลูกระเดือก จริงๆ นิสัยเสียอีกอย่างของอิดกังคือ ชอบรุกรานเขาไปทั่ว แล้วก็เอาคนในครอบครัวตนไปปกครองคนโน้นคนนี้มาตั้งแต่อดีตกาล
อมาเก มีนิสัยฉลาดแกมโกง ถือดีว่าตัวเองเป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครสู้ได้ ชอบใช้กำลัง เคยยกพวกในบ้านตนไปรวมกับอิดกังแล้วบุกรุกบ้านคนอื่นอย่างหน้าตาเฉยมาหลายครั้ง ตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าบ้านของใจหยิ่น บ้านของตะวันออกกลาง ฯลฯ เวลาไปบุกรุกบ้านใครก็มักมีข้ออ้างเพื่อคนอื่นๆ แต่ในใจมักนึกถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก คนอื่นๆทุกคนก็รู้นิสัยอมาเกดี แต่ก็ไม่มีใครกล้าหือ อมาเกยังมีนิสัยฟุ่มเฟือย ชอบใช้ของใหม่ๆมีคุณภาพ แต่เบื่อเร็ว ใช้แล้วทิ้ง หาของใหม่ๆใช้อยู่เรื่อยๆ แต่ก็เป็นคนที่ฉลาด ชอบคิดอะไรใหม่แล้วเอาไปให้คนอื่นๆใช้เสมอ แต่ไม่ได้ให้ฟรีๆ มักต้องมีผลประโยชน์มากเกินกว่าที่ตนเองลงทุนลงแรงไปหลายๆเท่า
เอลซารอิด มีนิสัยเย่อหยิ่ง ฉลาดที่สุดในกลุ่มคน 7 คน ชอบหลอกใช้อมาเกให้ทำโน่นทำนี่ให้ เป็นนักประดิษฐ์ตัวยง แต่ส่วนใหญ่ของที่ประดิษฐ์ขึ้นมักเป็นพวกอาวุธสำหรับเข่นฆ่าสังหารผู้อื่น ในอดีตกาลเป็นคนที่น่าสงสาร เกิดเหตุวิปโยคในครอบครัวจนตายเกือบหมดบ้าน ไม่ชอบรอล้างแค้น แต่ชอบใช้กำลังแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ฮวงจุ้ยของบ้านไม่สู้จะดีนัก เป็นบ้านเล็กๆที่มีรั้วติดกับบ้านของตะวันออกกลาง ซึ่งมีบ้านขนาดใหญ่มาก และข้อสำคัญ เอลซารอิด กับตะวันออกกลางถือเป็นเพื่อนแค้นกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีเพื่อนคนอื่นๆ พยายามช่วยไกล่เกลี่ยให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่เผอิญว่าคนใกล่เกลี่ยค่อนข้างเอียง และไม่มีความจริงใจมากพอ ปัญหาก็เลยยังคาราคาซังกันมาจนถึงปัจจุบัน
ญุ่นปี่ เป็นคนช่างคิด แต่ชอบเรียนลัด ในอดีตชอบลอกแบบชาวบ้านเขามากกว่าที่จะคิดเอง แต่ก็มีความสามารถดัดแปลงจนสามารถสร้างของใหม่ๆโดยพัฒนาจากของที่เลียนแบบเขามา จนมีความสามารถมากกว่าเดิม มีนิสัยเป็นพ่อค้าตัวยง เคยทะเลาะกับใจหยิ่นมาหลายครั้ง แถมยัง เคยฮีกเหิมขนาดอยากยึดบ้านของทุกคนมาเป็นของตนเอง แต่ในที่สุดก็ทำไม่สำเร็จเพราะเจอยักษ์ใหญ่อมาเกสั่งสอนจนต้องจดจำไปชั่วชีวิต เนื่องจากมีนิสัยเป็นพ่อค้า จึงคบค้ากับทุกๆคน โดยพยายามทำตัวจริงใจ แต่ก็คำนึงถึงประโยชน์ของตนเป็นหลักพอๆกับอมาเก เคยขับเคี่ยว กับอมาเกทั้งเรื่องการต่อสู้และเศรษฐกิจ แต่ล่าสุดก็เสียรู้อมาเกจนคนในบ้านตัวเองฆ่าตัวตายไปหลายคน แถมยังเคยทะเลาะกับใจหยิ่นจนแทบไม่อยากเผาผีให้กันเลย
เอียดิน เป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง ในบ้านตัวเองก็มีการแบ่งชนชั้นกันจนเกิดช่องว่างระหว่างคนกันมากมายและเป็นปัญหาภายในที่พยายามจะจัดการกันมานานมาก แต่ก็ไม่สำเร็จซักที แต่มีครอบครัวใหญ่โตมากพอสมควร และเนื่องจากคนภายในมีช่องว่างทางฐานะมาก แถมยังมีศัตรูคู่กัด ซึ่งมีบ้านอยู่ติดๆกันคอยฮึ่มๆใส่อยู่ตลอด เลยไม่ค่อยได้สุงสิงกับใคร แต่หลายๆคนก็นึกแต่ว่า จะทำอย่างไรให้คนในบ้านของเอียดินสามารถซื้อสินค้าของตนได้มากที่สุด แต่เอียดินนี่สมองดี สามารถสร้างโปรแกรมได้เก่ง พอไปรวมกับของที่อมาเกสร้างขึ้น ก็เลยกลายเป็น Pack คู่ ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ ตั้งแต่อดีตกาลที่ผ่านมา เคยถูกอิดกังส่งคนในครอบครัวไปยึดบ้านและปกครองอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งเป็นระยะที่ยาวนานมากพอสมควร
ตะวันออกกลาง เป็นคนที่น่าสงสาร แต่ก็น่าอิจฉาด้วยในขณะเดียวกัน มีของที่คนทุกคนอยากได้และต้องการใช้ แต่ก็เป็นเป้าหมายและข้ออ้างให้อิดกังกับอมาเกชอบรังแกอยู่เป็นประจำ คนในบ้านแบ่งเป็นหลายๆกลุ่ม บางกลุ่มก็ยังได้รับความช่วยเหลือจากอมาเกมากอยู่ แต่บางกลุ่ม ก็เป็นแหล่งเงินแหล่งทุนที่อมาเกหมายตาอยากได้ไว้ในครอบครอง ชอบทะเลาะรุนแรงกับอมาเกเป็นประจำ ทั้งๆที่รู้ว่าสู้ยังไงก็แพ้ แต่ก็ไม่คิดจะยอมตกเป็นเบี้ยล่างของอมาเก มีคนกล้าหาญอยู่มาก จนมีหลายๆคนมักกล่าวว่า น่ากลัวยิ่งกว่ากามิกาเซ่ของญุ่นปี่ก็คือการพลีชีพของตะวันออกกลาง
เหนื่อยครับ จริงๆแล้วอุปนิสัยของแต่ละคนมีมากกว่านี้ แต่พิมพ์ไม่ไหวครับ แล้วก็กลัวคนอ่านเบื่อเสียก่อนด้วย และที่สำคัญ หลายๆท่านก็น่าจะรู้นิสัยของคนทั้ง 7 มากพอสมควรอยู่แล้วด้วย พอรับทราบนิสัยของแต่ละคน ผมก็เจอคำถามทันที ส่วนหนึ่งที่ผมโดนถามมีดังนี้ครับ
- ใครดีที่สุดในสายตาคุณ และทำไมถึงคิดเช่นนั้น - ใครมีความจริงใจมากที่สุด ในสายตาคุณ - ใครอยากกำจัดใครบ้าง - ถ้าทุกคนมีเงินของอมาเกอยู่ มากบ้างน้อยบ้าง แล้วอยู่ๆวันหนึ่ง ก็มีคนมาบอกว่านับแต่นี้เงินของอมาเกจะไม่มีค่าแล้ว ทุกคนจะ OK หรือไม่ และจะทำอย่างไร - ทุกคนกำลังประหยัด รัดเข็มขัดอย่างเต็มที่ หรือทุกคนกำลังฟุ่มเฟือยอย่างเต็มที่ - ถ้าให้คุณเข้าไปตีสนิทกับแต่ละคน คุณจะเลือกตีสนิทกับใครบ้าง - ถ้ามีใครสักคนกำลังจะอดตาย(รวมทั้งคนในบ้านคนนั้นด้วย) คนๆนั้นจะเป็นใคร และจะมีผลกระทบกับคนอื่นแค่ไหน - ถ้าไม่มีคนไหนอยู่บ้าง จะทำให้สังคมสงบสุขขึ้นอย่างมาก - การแก้แค้นอย่างรุนแรงที่สุด น่าจะเกิดจากฝีมือใคร และแก้แค้นใคร
แล้วพรุ่งนี้ผมจะมาพิมพ์ต่อครับ ไม่ไหวแล้ว ปวดหลังจริงๆ ฝากประโยคหนึ่งไว้ให้คิดกันครับว่าผิดหรือถูก
"ไม่ว่าการเมืองเล็กใหญ่ระดับประเทศหรือระดับโลก มักคบหากันแบบ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร แต่มีความแค้นและบุญคุณที่ชัดเจน ที่ต้องชำระกัน"
ปล. ผมเพิ่งเริ่มซื้อได้วันเดียว ดูวันนี้แล้วเหมือนว่าจะอดซื้อต่อ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่ออีกสักสองวัน อดซื้อแน่ๆ แต่ก็ไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น ข่าวเรื่อง Upgrade เครดิตประเทศ มาเร็วเกินไปหน่อย จนทำให้ต้องระวังตัวพอสมควร ควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนไล่ราคานะครับ โดยส่วนตัวยังคิดว่า น่า จะมีช่วงถอยให้ซื้อเพิ่มได้อีกครับ แต่ไม่น่าจะมากนัก
เอาละมาดูทีละคำถามกันนะครับ
- ใครดีที่สุดในสายตาคุณ และทำไมถึงคิดเช่นนั้น
ผมตอบแบบเอาใจเขาไปว่า น่าจะเป็นใจหยิ่น (ในใจก็เอียงๆมาทางใจหยิ่นอยู่แล้ว) เพราะคนโอบอ้อมอารี น่าจะมีเมตตาในใจอยู่มาก และไม่น่าจะรังแกใคร แล้วจากอดีตที่ผ่านมาก็ไม่เคยเห็นไปข่มเหงใครด้วย แถมยังน่าสงสารอีก โดนคนโน้นรังแกที คนนี้รังแกที จนสร้างตัวเองได้อย่างมั่นคง และคนอื่นๆไม่กล้าคิดรังแกในที่สุด
เขาตอบผมว่า ปัญหาข้อนี้ ถ้าไปถามคนในบ้านของแต่ละคน ก็จะได้คำตอบ 7 คำตอบ แต่ถ้าไปถามผู้อื่น เช่น เฝสละฝั่ง แทนไร กีเหลา ฯลฯ ก็จะได้คำตอบต่างๆกันไป ซึ่งแม้แต่คนในบ้านของ เฝสละฝั่ง แทนไร ฯลฯ ก็ยังอาจจะแบ่งความคิดเป็นก็กเป็นเหล่า ไม่มีเอกภาพแน่นอน คำตอบว่าใครดีที่สุด จึงขึ้นอยู่กับว่า ใครช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความจริงใจมากน้อยเพียงใด และใครได้รับความช่วยเหลือโดยตรงจากใครมากน้อยแค่ไหน คนเลวสุดๆในสายตาคนๆหนึ่ง อาจจะเป็นคนดีในสายตาคนอีกคนก็เป็นได้ (บิน ลาเดน กับ บุช ใครดีเลวกว่ากัน ลองไปถามคนในบ้านเขาดูสิครับ) ในขณะเดียวกัน ก็ขึ้นอยู่กับใครถูกใส่ร้าย ป้ายสีมากน้อยเพียงใด แต่เชื่อได้อย่างหนึ่งว่า คน 7 คนและคนในบ้านของเขา จะตอบคำถามในรูปแบบเดิมไปจนตาย และเป็นหนึ่งพื้นฐานความคิดที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ถึงแม้ว่าอาจมีไส้ศึก คนขายบ้าน หวังเป็นใหญ่ในแต่ละบ้านปะปนอยู่ แต่หากให้ตอบคำถามนี้ก็จะตอบเหมือนคนอื่นๆ
แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามนี้เป็น ใครพยายามสร้างภาพว่าเป็นคนดีในสายตาผู้อื่นได้มากที่สุด คำตอบมีแค่คำตอบเดียวเท่านั้นครับ
ข้อนี้ เขาบอกให้ผม หา Fact ให้เจอ ในโลกการเงิน หรือโลกการเมือง มักจะมี Fact ซ่อนอยู่เสมอ Fact บางอย่างเมื่อพิจารณาโดดๆ จะไม่สามารถมองเห็นประโยชน์ของมันได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อใดถูกวางเป็นองค์หลักเพื่อร่วมพิจารณากับประเด็นอื่น อาจจะเห็นอิทธิพลของ Fact นี้อย่างเด่นชัดขึ้นมา คนที่พบ Fact และมีจิตใจมั่นคงเพียงพอ จะไม่หวั่นไหวต่อกระแสข่าว ที่ไม่ใช่ลางหายนะทั้ง 4 ตลอดไป และจะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยนช์จากธุรกรรมที่เข้าไปดำเนินได้อย่างสูงสุด
ปล. เฉกเช่นการลงทุนในหุ้นก็เช่นกัน สังเกตดูไหมครับ หลายครั้ง เราได้รับข้อมูลที่ชัดเจนจนทำให้ตัดสินใจซื้อ และตอนซื้อเราก็มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก ปัญหามันอยู่ที่ว่า สิ่งที่เราเชื่อมันเป็น Fact ไหมครับ หากใช่ เมื่อเราเปลี่ยนหรือตัดสินใจขายทิ้ง Fact นั้นยังคงอยู่หรือไม่ ถ้า Fact ของสิ่งนั้นหายไป จะเรียกว่า Fact หรือครับ แล้วตั้งแต่ท่านทั้งหลายเริ่มลงทุนมา เคยซื้อหุ้นตัวใดด้วย Fact หรือไม่ครับ 5555
ทีนี้ลองพิจารณาดูนะครับ ประโยคเหล่านี้ ข้อใดเป็น Fact บ้าง (เป็นตัวอย่าง เผื่อว่า ยังไม่เคยคิดเลย 5555)
- ราคาของหุ้นตัวนี้ อยู่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น (เจอบ่อยๆ) - หุ้นตัวนี้มีคนกำลังปั่น - ราคาของหุ้นตัวนี้ สูงเกินจริงแล้ว - หุ้นของบริษัทนี้ ให้ผลตอบแทนดีกว่าฝากแบงค์ - การดำเนินงานของบริษัทมีความโปร่งใสชัดเจน - ในระยะยาว บริษัทจะมีผลดำเนินงานที่ได้รับกำไรอย่างต่อเนื่อง เพราะความเสี่ยงในการดำเนินงานเป็นศูนย์ - บริษัทนี้ไม่มีวันเจ๊ง - วันนี้ฝรั่งขาย รายย่อยซื้อ กองโจรหนุน ฯลฯ - NVDR ได้แสดงการซื้อของต่างชาติอย่างชัดเจน - สัญญานทางเทคนิค กำลังบ่งบอกว่า ตลาดกระทิงกำลังมา (or Vice Versa) - ขึ้นให้ขาย ลงให้ซื้อ - ตลาดหมีกำลังก่อตัว - กระทิงตัวนี้ใหญ่โตมโหฬารจริงๆ - ฯลฯ
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 9 ต.ค. 46 09:00:45 A:210.1.6.101 X: ]
ขอบคุณ มากค่ะ คุณ ชอบอ่าน
ยังปวดหลังอยู่เหรอคะ วัยทองแล้วค่ะ ต้องทานแคลเซี่ยมทุกวันนะคะ
อย่าลืมนะ แคลเซี่ยมช่วยได้ดีมาก และต้องนอนที่นอนแข็งๆ ทานน้ำมากๆ( คุณ บอกดิฉัน)
ชอบ ใจหยิ่น ตรงที่ ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว คนนี้ น่ากลัว เป็นเสือที่มีเขี้ยวเล็บพร้อมสู้ เมื่อใครแหย่
อิดกัง หยิ่งในชนชาติ รักษาความเป็นผู้นำทางวัฒนธรรม แห่งอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาตลอด ยอมโอนอ่อนกับ อมาเก(เพื่อนจำเป็น)เพราะอยากรักษาน้ำใจ ไปไหนไปด้วย ร่วมด้วย แขนขาเราอยู่
สงสาร อมาเก อยากใหญ่ ต้องแบก เงินทองร่อยหรอ จึงต้องผลิตชิ้นส่วนออกมาให้คนอื่นสู้ เงินก็ได้ และแต่งตั้งตนเป็นโรโบค๊อป คอยปราบปราบ ความวุ่นวาย เมื่อมีการปะทะ กัน เพื่อภาพพจน์ที่ดีในสายตาชาวโลก (ชาวโลกเขารู้หรอกหนาว่าอะไรเป็นอะไร)
เอลซาราอิด ถ้าอยู่เฉยๆก็ดีหรอก แต่นี่ตีเขา แล้วเข้าบ้านเขา แถมยังไล่เจ้าของบ้านไปอยู่เขา ใครเล่าจักยอม ก็ต้องการบ้านเขาแบบคนพลัดถิ่น อยากอยู่อย่างถาวรเสียที ก็ต้องแย่งกันหน่อย ไม่แย่งแล้วก็ต้องอยู่เขา คนก็มากก็ต้องใช้วิธีนี้ จึงคิดค้นสิ่งแปลกใหม่ออกมา เพราะความที่เก็บเงินเก่ง หัวดี เพื่อนซี้เช่นอมาเก จึงเกรงใจ เพราะเพื่อนไอเดียเป็นเลิศ จึงทั้งหนุนทั้งยัน ยอมเป็นกำแพงให้ และเป็นกันชนที่แข็งเสียด้วย
ญู่นปี่ ชอบเขานะ ชอบคนแบบนี้น้ำนิ่งไหลลึก ปรับตัวเก่งและจะยอมตัดแขนที่ไม่ดี เพราะจิตสำนึกคือการต่อสู้ คุมไม่อยู่ คำตัดสินคือต้องออก เลือกคนใหม่ เขาเป็นคนลุ่มลึกมีบทเรียน จึงใช้แนวเศษฐกิจ ทุกรูปแบบ คู่แข่งคือ ใจหยิ่น เพราะมองตากันก็รู้ว่าเพื่อนคิดอะไร เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้
เอียดิน คนมากคุมยาก ประเพณี เชื้อชาติ แตกแขนง ไม่ยอมลงกัน จึงเป็นเช่นทุกวันนี้ โบราณกับปัจจุบันก็ไม่แตกต่างกัน เพราะยอมไม่ได้ที่จะลดตนมาคุยกับชนที่ต่ำกว่า เลยไม่ไปไหนเสียที
ตะวันออกกลาง มีทรัพยกรมากมายที่ใครๆก็อยากได้ อยากไปหมด ขอแนวร่วมอย่างอิดกัง ก็ไม่ขัด เพื่อภาพพจน์ที่ดี ไปไหนไปด้วนร่วมด้วยดูดีกว่า ได้คนเดียว เหตุผลคืบปราบและกวาดให้บ้านเขาสะอาด
ผลคือ โลกใบนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงหนอ เมื่อก่อนเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้น ไม่ว่าจะทำอาวุธที่ดีๆออกมา ทำแล้วต้องทดลอง คนด้อยกว่าจะต้องเป็นเป้าทดลอง มีสาเหตุและเหตุผลทางการทดลองเสียด้วย
ไม่ผิดกับหุ้นเลย ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลากเล็กๆ ต้องตื่นตลอดเวลา ไม่งั้นถูกกิน จะกินเหยื่อได้ก็ต่อเมื่อปลาใหญ่เผลอ
ทุกอย่างถูกจัดฉาก ถ้าคนไม่เคยอยู่ในวังวน จะไม่เจ็บปวด คนที่เจ็บจะระวังมากขึ้น
คนที่ไม่เคยก็อยากได้เหยื่อ จึงถูกและได้เหยื่อสมใจในฉากแรก และได้เรื่อยๆ ยามลืมป้องกัน
ปลาใหญ่ก็จะได้ทั้งเหยื่อและอาหารที่ปล่อยไปกลับคืนมามากกว่าหลายเท่า
เหนื่อยแล้ววค่ะ วันนี้ดีใจที่ได้เจอ คุณชอบอ่าน เลยคุยเสียยาว
ดิฉันคิดถึงค่ะ หวังว่าคงไม่หัวเราะที่ดิฉันปล่อยความโง่ออกไปให้อ่านนะคะ
เพราะอยากคุยกับคุณค่ะ
จากคุณ : สุเกียง - [ 9 ต.ค. 46 10:23:28 ]
กลับเข้าเรื่องดีกว่า ผมตอบคำถามต่อไป และได้รับคำแนะนำอย่างไรมา ขอนั่งหวนระลึกสักนิดนะครับ เอาละ
- ใครมีความจริงใจมากที่สุด ในสายตาคุณ ข้อนี้ผมตอบอย่างรวดเร็วโดยใช้คำแนะนำของเขามาผสมผสานว่า ไม่มีใครจริงใจต่อกันเท่าคนในบ้านเดียวกันหรอกครับ เขาทำหน้างงๆ ผมก็เลยงงๆกับคำตอบตัวเอง ว่าพูดอะไรผิด (สงสัยภาษาปะกิต ไม่แข็งแรงรึเปล่าก็ไม่รู้) เลยอธิบายเพิ่มเติมคล้ายๆกับที่เขาแนะนำในคำถามข้อแรก ดังนี้ครับ ความจริงใจของคนเราเป็นสิ่งที่ต้องสะสมและใช้เวลาพอสมควร ไม่มีใครจริงใจกับใครได้อย่างเต็มที่หากไม่รู้จักอุปนิสัยกันและกันมาก่อน ดังนั้น คนทั้ง 7 คนคงไม่จริงใจต่อกัน เท่าคนในบ้านของคนทั้ง 7 คนเอง เพราะเขาย่อมรู้ดีว่า หัวหน้าครอบครัวของเขากำลังคิดอะไรอยู่ และหัวหน้าครอบครัวจะทำอะไร ก็คงต้องเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเหล่านั้นอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ซึ่งหัวหน้าบางคนก็น่าจะบอกพวกเขาก่อนที่จะทำการสิ่งใดลงไปด้วย
พอเขาแนะนำกลับมาผมก็หงายเก๋งเลยครับ แต่ในใจก็ยังค้านๆอยู่พอสมควรเมื่อได้รับฟัง ลองมาดูกันนะครับ
เขาบอกว่า ผมถูกตรงที่ ความจริงใจเป็นสิ่งที่ต้องสะสมและใช้เวลา แต่ไม่ถูกที่ว่า ความจริงใจ ไม่ใช่สิ่งที่สะสมโดยดูจากคนภายนอก แต่ต้องฝึกฝนและสะสมจากภายใน เขาถามว่า คุณเคยคิดไม่จริงใจกับบิดามารดาของคุณไหม ในขณะที่คุณถูกลงโทษเพราะคุณทำผิด หากเป็นวิสัยปุถุชนที่ไม่ได้มีอะไรผิดปกติในใจ น่าจะได้คำตอบเดียวกัน อย่าลืมว่าสิ่งที่เรากำลังคุยกันคือภาพรวมที่สามารถควบคุมตัวแปรย่อยๆต่างๆ ถ้ารู้จักทฤษฏี Pareto จะเข้าใจในกรณีนี้ได้ง่ายๆ (พอดีผมเคยศึกษาทฤษฏีนี้ ก็เลยถึงบางอ้อ) คนเรามักมองสิ่งที่ไม่ดีของผู้อื่น และจดจำสิ่งไม่ดีของผู้อื่นไว้ มากกว่าที่จะจดจำสิ่งดีๆ บางคนทำสิ่งดีๆไว้มากมาย พอพลาดไปทำสิ่งไม่ดีให้คนได้รู้ได้เห็นสักครั้ง ก็อาจกลายเป็นผู้ร้ายไปตลอดในสายตาของคนทั่วไปได้ทันที
ที่ว่าความจริงใจต้องสะสมจากภายใน เขาอธิบายต่อว่า หากคนเราทุกคนคิดแต่เรื่องของผู้อื่น และคอยบอกว่าผู้อื่นเป็นสาเหตุแห่งการผิดพลาดของตนอยู่ร่ำไป คนผู้นั้นไม่อาจเริ่มสะสมความจริงใจจากภายในได้เลย ที่สำคัญคนเหล่านี้ยังมิอาจมีความจริงใจต่อตนเองด้วยซ้ำ คนเหล่านี้อาจชอบพูดว่า ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ทั้งๆที่มีเวลาทำสิ่งไร้สะระอื่นๆ ฯลฯ สิ่งที่ผมตอบเขาอีกส่วนหนึ่ง คือ คนในบ้าน น่าจะจริงใจต่อผู้นำของเขามากที่สุด เขาก็ถามผมว่า เคยเห็นการเลือกตั้งผู้นำในประเทศไหนที่ได้เสียงสนับสนุนถึง 100% บ้างไหม ถ้าบ้านนั้นไม่ได้มีการปกครองแบบเผด็จการ ไม่มีหรอกครับ เพราะความเห็นที่ไม่ตรงกัน (ถือเป็น Fact อย่างหนึ่ง) ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ปัญหาอยู่ที่ว่า ณ.เวลาใด เสียงของฝ่ายไหนจะมีมากกว่ากันเท่านั้น
การสะสมความจริงใจจากภายใน เริ่มต้นที่คนๆหนึ่ง หลังจากนั้นจะขยายวงสู่ผู้คนรอบข้าง คนที่ไม่มีความจริงใจต่อผู้อื่น เมื่อได้รับความจริงใจจากผู้หนึ่งผู้ใดก่อนอย่างต่อเนื่อง ก็อาจเปลี่ยนทัศนคติจนกลายเป็นคนที่มีความจริงใจต่อผู้อื่นได้ในบางขณะ และในที่สุดก็อาจจะมีทัศนคติที่สามารถแสดงความจริงใจต่อผู้อื่นในทุกๆเรื่องได้ ลองคิดดูง่ายๆนะครับ ถ้าน้าคนสักคนที่ไม่มีความจริงใจ ไปอยู่ร่วมกับคนที่มีความจริงใจสักกลุ่มหนึ่ง ในช่วงระยะเวลาช่วงหนึ่ง คนๆนั้นจะมีนิสัยเปลี่ยนไปอย่างไร ตัวอย่างเหล่านี้ เราๆท่านๆก็ได้เห็นกันอยู่พอสมควร เช่นในเรื่องของ มูลนิธีเพื่อเด็ก สตรี และคนชรา ฯลฯ
เขาบอกผมว่า ทุกคนที่กล่าวมามีความจริงใจเท่าๆกัน เพียงแต่อาจลืมใช้มันไปนานจนลืมและประหม่าที่จะใช้ ปัญหาเป็นเพราะมันมีปัจจัยตัวอื่นเช่น ความต้องการอยู่รอด ความโลภ ความยากจน ฯลฯ เข้ามาขวางกั้นไม่ให้ใช้ความจริงใจต่อกัน ลองคิดดูว่า ได้ดำเนินชีวิตมาถึงปูนนี้แล้ว ไม่เคยมีสักครั้งหรือที่ต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ หรือต้องทำในสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นคำตอบที่ว่าใครจริงใจที่สุด ก็คือ ทุกคนนั่นแหละครับ
ย้อนกลับมาในเรื่องการลงทุน ท่านทั้งหลายคงได้ยินได้เห็นกระทู้ต่างๆมากมายในสินธรสถานแห่งนี้ บางกระทู้สร้างสรรค์จากความจริงใจจากภายในของบางท่าน บางกระทู้อาจมีเป้าหมายที่ต่างไป เหตุที่กระทู้ต่างๆได้สร้างสรรค์ขึ้น ต่างต้องการผลจากกระทู้นั้นๆในทางใดทางหนึ่งทั้งสิ้น หลายครั้งที่ผมอ่านพบวิวาทะในบางกระทู้ บางครั้งผมเองยังรู้สึกอยากโต้ตอบกลับไปเพื่อชี้แจงบ้าง แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่คุยกับเขาแล้ว กลับกลายเป็นว่า ผมได้ประโยชน์จากวิวาทะกระทู้ต่างๆอยู่พอสมควร แก่นของคำถามคำตอบในข้อนี้ พอจะสรุปได้ว่า อย่าปล่อยให้ผู้อื่นครอบงำความคิดโดยปราศจากการไตร่ตรองอย่างรอบคอบด้วยตนเอง และรับทุกสิ่งที่รู้มาประเมินดูด้วยตัวเอง ว่าต้องการอะไรแน่ และเมื่ออยากถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้รับรู้ จงถ่ายทอดด้วยความจริงใจ และไม่ต้องคาดหวังกับสิ่งที่ถ่ายทอดไปว่ามันจะถูกหรือผิด และให้คิดว่าเราได้สร้างประโยชน์ต่อผู้อื่นเท่าที่เราจะสามารถทำได้อย่างเต็มที่แล้ว
เมื่อนำแก่นของคำตอบในข้อนี้ไปรวมกับ Fact ในข้อแรก ถ้าเข้าใจอย่างชัดเจน เราจะไม่มีข้อขุ่นข้องหมองใจกับการตัดสินใจของเรา และไม่โยนความผิดให้กับผู้ตั้งกระทู้อื่นๆ และในที่สุด เราก็จะได้เริ่มสะสมความจริงใจจากภายในตัวเรา เพื่อส่งผ่านออกสู่ผู้คนรอบข้างได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ
ปล. หุ้นวันนี้ขึ้นไปแรงอีกวัน ในทัศนคติของผม คงต้องดูให้ชัดเจนในวันพรุ่งนี้อีกวัน หากต่างชาติยังคงซื้อต่อโดยมีตัวนำตลาดเป็นหุ้น Blue Chip ผมคงอดซื้อไปอีกระยะ รอดอกผลงอกเงยจากการซื้อเมื่อวันก่อน และคงต้องเปลี่ยนจุด Keep Profit ไปเรื่อยๆละครับ
ปล.2 ตอนกลางวันก็พิมพ์ไปอีกที แต่ดันลืมกดส่งข้อความ เลยต้องพิมพ์ใหม่ ถ้าคืนนี้ยังไหวจะมาต่อข้อ 3 ครับ
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 9 ต.ค. 46 18:34:32 A:210.1.6.101 X: ]
ขอบคุณ สำหรับแง่คิดดีๆ (รออ่านต่อนะคะ)
บางครั้ง ภาพลักษณ์ ที่สร้างขึ้น และทำไปนานๆ ก็หลอกได้แม้กระทั่งตัวเองเหมือนกันนะคะ (รวมทั้งคนในครอบครัวด้วย)
สมมุติฐาน ทางสังคมของ คน 7 คน นี้ คือ ทุกคน มีความปกติทางอารมณ์ ใช่ไหมคะ??? คงไม่ได้ครอบคลุม ถึง คนบ้า หรือ คนที่มีเป้าหมายซ่อนเร้น ???
แต่ ....... เอ.. บางภาวะ คนดีๆ ก็บ้าได้ เหมือนกันนะคะ 5555
ขอไป ทบทวนตัวเองก่อนค่ะ ชักงง อิๆๆๆๆ
จากคุณ : Gather - [ 9 ต.ค. 46 22:12:42 ]
ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านครับ เมื่อคืนผมก็นั่งพิมพ์ แต่พอพิมพ์เสร็จ IE error เลยนั่งหัวร่ออยู่คนเดียว แล้วก็ต่อสู้กับใจตัวเองดู จะพิมพ์ใหม่เลยรึปล่าว คิดบวกคิดลบผสมบรรยากาศยามราตรีที่มีหิ่งห้อยลอยลมให้ชมความงาม เลยเพลินแล้วก็ขี้เกียจ สุดท้ายก็คิดว่า ไว้พิมพ์ต่อวันนี้ดีกว่า
คำถามที่คุณ Gather ถามมา ผมเองก็ถามเขาไปเหมือนกัน คุณ Gather คิดถูกครับ คน 7 คน ที่กล่าวถึง อยู่ในสภาวะที่มีจิดใจปกติ และมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดีครับ ผมยังถามเขาด้วยว่า แล้วทำไมนิสัยที่ได้แตกต่างกันมากละครับ เขาบอกว่า อุปนิสัยของคนเรา ก็เป็นสิ่งที่ถูกสะสมมาเหมือนกัน ตอนคนเราเกิดมา เกิอบทั้งหมดมีนิสัยเดียวกันคือ ขี้กลัว ต่อเมื่อได้รับการดูแลเอาใจใส่จากคนที่รักทะนุถนอม หรือคนที่ไม่เอาใจใส่เป็นอย่างดี หรือแม้กระทั่งคนที่ไม่แยแสดูดำดูดี อุปนิสัยส่วนตัวก็จะรับแม่แบบที่ได้รับ มาประยุกต์กับสิ่งต่างๆเช่น การศึกษา สภาพความเป็นอยู่ ฯลฯ แล้วจึงสร้างเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวของแต่ละบุคคลไป คนทั้ง 7 ก็เหมือนกัน หากดูในบ้านของเขา จะพบว่าคนส่วนใหญ่จะมีนิสัยคล้ายคลึงกัน เนื่องเพราะถูกหล่อหลอมมาด้วยวัฒนธรรมเดียวกัน หากลองเอาลูกหลานในบ้านใครสักคนไปเลี้ยงดูที่บ้านอื่นเป็นเวลานานๆ แล้วส่งตัวกลับ เชื่อได้เลยว่า แรกๆคนๆนั้นจะรู้สึกเป็นคนแปลกหน้าในถิ่นกำเนิดของตนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่ออยู่ไปนานวัน ก็จะมีการพัฒนานิสัยของตนให้เข้ากับท้องถิ่นในที่สุด ไม่เช่นนั้นจะถูกครหากลายเป็น แกะดำ อย่างที่ได้ยินได้ฟังกัน
นอกเรื่องมาพอควร เข้าเรื่องต่อดีกว่าครับ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณผู้ดูแลและผู้โหวตให้นำกระทู้มาใส่ไว้ให้สะดวกต่อการเรียกมาพิมพ์อย่างต่อเนื่อง ช่วยได้มากจริงๆครับ ตั้งใจพิมพ์ใหม่ต่อเลยดีกว่า
- ใครอยากกำจัดใครบ้าง ผมนั่งนิ่ง คิดอยู่นาน สักพักถึงได้ตอบไปดังนี้ครับ ตามปกติ หากคนเราจะกำจัดใครสักคน คงต้องมีแรงผลักดันสองประการใหญ่ๆคือ แรงผลักดันในด้านดี และแรงผลักดันในด้านร้าย ในด้านดี มีตัวอย่างเช่น หากรู้ว่าใครมีพฤติกรรมที่ไม่ดี เป็นอันตรายต่อคนทั้งหมด ทุกคนก็คงร่วมมือกันกำจัดคนอันตรายเพื่อให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นกันต่อไป ส่วนตัวอย่างในด้านร้าย ก็คงหนีไม่พ้นแรงผลักดันจากความละโมบ โลภ หลง ซึ่งถ้ามองประเด็นในด้านดีคงไม่มีใครจะกำจัดใคร แต่หากมองในด้านร้าย น่าจะเป็นอมาเกกับตะวันออกกลางที่คิดกำจัดซึ่งกันและกัน อีกคู่ก็อาจจะเป็นใจหยิ่นกับญุ่นปี่ แต่ในระยะยาวอาจจะเป็นใจหยิ่นกัยอมาเก ยิ่งบอกความเป็นไปได้ของคู่โน้นกับคู่นี้ไปเรื่อยๆ ยิ่งพบว่ามีการฟัดกันนัวเนียไปหมด ที่สุดแล้วต่างคนต่างอยากกำจัดคนอื่นๆทั้งหมดนั่นแหละครับ
เขาบอกผมว่า จัดลำดับความคิดได้ดีพอควร แต่เป็นการคิดตื้นๆเกินไป ผมอึ้งไปพักใหญ่ๆ เขาก็คงสังเกตเห็นและนิ่งฟังเผื่อผมจะตอบโต้อะไรกลับไปบ้าง แต่เมื่อเห็นผมยังคงสงบนิ่งรอฟังต่อ เขาก็เฉลยต่อ ผมคิดถูกเรื่องการกำจัดใครสักคนย่อมต้องอาศัยแรงผลักดันจากสองด้านใหญ่ๆ แต่ที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือ การกำจัด ไม่ได้หมายความว่าต้องรบราฆ่าฟันกันเสมอไป การกำจัดที่ถือเป็นสุดยอดแห่งการกำจัด คือการกำจัดศัตรูให้ได้มิตร หรือ การแปรเปลี่ยนมิตรให้เป็นศัตรูนั่นเอง ผู้ที่คิดแต่จะเอาชนะเหนือผู้อื่นอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยวิธีเผด็จการ อาจทำได้สำเร็จก็จริงอยู่ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป หลายๆคนในประวัติศาสตร์ที่ชอบใช้วิธีเหล่านั้น มักต้องพบกับหายนะในบั้นปลายชีวิตแทบทั้งสิ้น ลองดูฮิตเลอร์ มุสโสลินี เลนิน ฯลฯ เป็นตัวอย่างสิครับ แม้กระทั้งเล่าปัง ที่หลายๆคนรู้จักกันดี คนเหล่านี้นับได้ว่าประสพความสำเร็จสูงสูดในชีวิตทั้งสิ้น แต่สุดท้ายเป็นอย่างไร มีคนสาปแช่งมากมายเพียงใด คนในคณะบริหารระดับสูง จะรู้เสมอว่า ขั้นตอนแรกของการกำจัดศัตรู คือต้องทำให้ศัตรูกลายเป็นมิตรให้ได้ เพิ่มมิตรรอบกายดีกว่าฆ่าศัตรูตายหนึ่งคนแล้วเพิ่มความแค้นให้ลูกหลานเพื่อนพ้องของศัตรูมากขึ้นทบเท่าทวีคูณ
พื้นฐานคนทั้ง 7 ไม่ได้แตกต่างกันในข้อนี้ ด้านหนึ่งของชีวิตของพวกเขาจึงปรากฏในสายตาคนทั่วไปว่า พยายามที่จะไกล่เกลี่ยข้อพิพาทซึ่งกันและกัน ซึ่งเชื่อได้เลยว่าเขาอยากให้เหตุการณ์จบลงด้วยดีอย่างที่เขาพูด (ทุกคนอยากเป็นเทพบุตร มากกว่าซาตาน เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) หากแต่ความโลภและปัจจัยต่างๆเช่น ศักดิ์ศรี เกียรติยศ ฯลฯ ที่มาปิดกั้น ทำให้พลังอำนาจในด้านมืด สามารถครอบงำความคิดพวกเขาบางคน และผลักดันให้เขาใช้วิธีการที่เลวร้ายในบางขณะ และเมื่อทำผิดพลาดไป ถึงแม้จะรู้ตนเอง และสำนึกในใจมากน้อยเพียงใดก็ตาม แต่เพราะเกียรติยศและซื่อเสียง ต้องทำให้คนที่ทำผิด ต้องโต้ตอบยืนยันข้างๆคูๆว่าตนเองถูกอยู่ร่ำไป ตัวอย่างอันนี้ เห็นได้ชัดในกรณีของ อมาเกกับตะวันออกกลาง
เขาบอกผมตอบแบบสรุปในตอนท้ายได้ถูกอีกประการหนึ่ง คือ สุดท้ายทุกคนอยากกำจัดผู้อื่นให้หมดไป เนื่องเพราะธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ย่อมอยากให้ตนเองโดดเด่นเหนือผู้อื่นเสมอ ไม่เว้นแม้แต่พืชผัก ลองสังเกตดูจะเห็นบ่อยๆว่า ต้นไม้ที่ปลูกภายหลัง มักจะพยายามยืดตนให้สูงทัดเทียมหรือเหนือต้นไม้ต้นข้างๆ จนลืมไปว่าเมื่อยึดขึ้นไปด้วยฐานรากอันไม่มั่นคงและรวดเร็วเกินไป มักจะทำให้ตนเองมีลำต้นลีบเล็กสูงยาวจนผิดปกติ และเมื่อใดที่เกิดพายุถาโถมเข้าใส่ ต้นไม้ที่ยืดตัวก็ต้องทอดลำต้นติดดินและแห้งตายไปในที่สุด
ข้อคิดที่ผมได้จากกรณีนี้สำหรับนำมาใช้ในการลงทุนก็คือ เมื่อเริ่มต้นลงทุนในหุ้นใด ต้องศึกษาธุรกรรมของบริษัทนั้นๆอย่างเต็มที่ นำ SWAT มาใช้และดูว่าบริษัทเหล่านั้นมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร เมื่อใดเป็นช่วงเวลาที่ธูรกรรมนั้นจะได้ประโยชน์สูงสุดจากภาวะแวดล้อม และที่สำคัญมีศัตรูหรือพันธมิตรใดบ้าง นโยบายของบริษัทเป็นแบบแข็งกร้าวหรืออ่อนโยน ใช้หลัก Synergize หรือ Distribute แล้ว Kill บริษัทเล็กๆในสายธุรกรรมเดียวกันให้ตายไป ความได้เปรียบเสียเปรียบในการดำเนินงานเป็นอย่างไรบ้าง
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเมื่อท่านยังไม่ลงทุนในหุ้นใด หุ้นนั้นเปรียบเสมือนคนที่ท่านอยากคบหาเป็นมิตรอยากรู้จัก ต่อเมื่อท่านได้หุ้นนั้นมาแล้ว หุ้นนั้นจะเป็นศัตรูหรือมิตรของท่านก็ขึ้นอยู่กับการเอาใจใส่ของท่านทั้งหลายเอง หากปล่อยทิ้งปล่อยขว้างไม่ดูแลเอาใจใส่อยู่เป็นระยะ มิตรที่ท่านคบหาอาจกลายเป็นศัตรูที่ทำให้ท่านย่อยยับได้เช่นกัน
แถมอีกนิดครับ: ร้ายขายทอง ร้านขายเพชร ทำไมต้องไปรวมกันอยู่เป็นกลุ่มทั้งๆที่เป็นคู่แข่งทางการค้าต่อกัน จริงๆแล้วนับเป็นการ Synergize โดยทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว กระทู้ต่างๆที่โพลต์กันมา ถ้านำมาจับเรียบและคัดแยก บางทีเราจะได้เห็นอะไรๆที่หลายคนอาจไม่เห็นก็ได้ กลลวงของศัตรูอาจเป็นประโยชน์ต่อเรา กระทู้ที่หลายๆคนมองข้าม อาจมีประโยชน์ที่คาดไม่ถึงแฝงเร้นอยู่ 5555
ปล. ตั้งใจว่าจะพิมพ์ให้กระทัดรัดได้ใจความ แต่ไปมากลายเป็นเรื่องยาวอีกแล้ว ต้องขออภัยท่านที่ต้องทนอ่านด้วยครับ ข้อต่อไปเป็นข้อสำคัญที่มีหลายๆท่านถกเถียงกันพอสมควร ในเรื่องการอ่อนค่าแข็งค่าของเงินตรา กับทุนสำรองต่างประเทศของประเทศต่างๆที่ใช้ Dollar เป็นหลัก หากอนาคตค่านิยมเปลี่ยนไป จะมีผลอย่างไร ไว้คืนนี้จะมาเล่าต่อครับ
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 10 ต.ค. 46 11:47:28 A:210.1.6.101 X: ]
ก่อนอื่น ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงที่ไม่ได้พิพม์ต่อในคืนวันศุกร์ พอดีพยายามพิมพ์ไปสักพักก็เกิด IE Error อีก เลยตัดสินใจให้หลานจัดการลง OS ใหม่ เวลาจึงล่วงเลยมาถึงวันนี้ และต้องขอขอบคุณท่านทั้งหลายที่ได้อ่านและติดตามมาถึงตอนนี้ด้วยครับ เข้าเรื่องต่อเลยนะครับ
- ถ้าทุกคนมีเงินของอมาเกอยู่ มากบ้างน้อยบ้าง แล้วอยู่ๆวันหนึ่ง ก็มีคนมาบอกว่านับแต่นี้เงินของอมาเกจะไม่มีค่าแล้ว ทุกคนจะ OK หรือไม่ และจะทำอย่างไร
คำถามนี้ เป็นคำถามที่ผมอยากตอบมากตั้งแต่ตอนแรก แต่ก็โดนเบรคไว้ เขาบอกว่าการจะเข้าใจพฤติกรรมของใครสักคนเป็นเรื่องยาก และเมื่อคิดว่าเข้าใจแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจถูกต้องเสมอไป เขาบอกผมว่า ทำนายถูก 100 ครั้ง ไม่ได้หมายความว่าครั้งที่ 101 จะต้องถูก (คล้ายๆกับของไทยเราอย่างหนึ่งคือ เหตุอุบัติใดๆในโลกล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน) ทายถูกจาก 1 ถึง 100 ชื่อเสียงก็จะค่อยๆโด่งดัง แต่ถ้าครั้งที่ 101 ทายผิด นอกจากชื่อเสียงอาจจะสูญสิ้น อาจนำพาผู้ที่เดินตามมากมายสู่ความหายนะได้ในฉับพลัน (ดังนั้น ขอให้คนที่ชอบเชื่อข้อมูลอินไชต์ อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ จนกว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจนสนับสนุน นะครับ นอกเรื่องอีกแล้ว ขอนำท่านกลับสู่หัวข้อเรื่องดีกว่า)
นอกจากนี้ คำถามนี้เป็นคำถามที่ผมซักถามและเสนอความเห็นส่วนตัวแลกเปลี่ยนกับเขามากที่สุด เนื่องจากเป็นคำถามที่ดูง่ายๆ แต่มีคำตอบที่ค่อนข้างซับซ้อน บางครั้งดูเหมือนวนไปวนมา สนทนากันนานที่สุด วกวนมากที่สุด แต่สุดท้ายก็เข้าใจมากที่สุด ปัญหาอยู่ที่ว่า คำถามนี้ยากแก่การเรียบเรียงเป็นอักขระให้อ่านได้อย่างเข้าใจโดยง่าย แต่ผมจะพยายามนะครับ หากไม่เข้าใจจุดใด ขอให้ถามนะครับ ผมจะพยายามตอบอย่างเต็มที่ และอาจจะยาวจนกระทั่งขอแบ่งเป็นสองตอนนะครับ
สมมติให้คน 7 คน มีเงินคนละ 100 บาทในตอนเริ่มต้น ต่างคนต่างผลิตและขายสินค้าคนละชิ้นตามความถนัด และเพื่อให้เข้าใจง่าย กำหนดใช้ชื่อสินค้าและราคามีมูลค่าตามตัวเลข 1 ถึง 7 คือ สินค้าชื่อ 1 ถูกที่สุด และสินค้าชื่อ 7 แพงที่สุด โดยสินค้าเบอร์ 1 ถึง 4 เป็นสินค้าที่ตอบสนองปัจจัยสี่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวตของมนุษย์ ส่วนสินค้าเบอร์ 5 ถึง 7 เป็นสินค้าตามยุคสมัย ในอดีต ด้วยศักยภาพของแต่ละคนที่ไม่ได้ติดต่อทำมาค้าขายกัน ทุกคนและคนในบ้านของตนเองต่างหาเลี้ยงปากท้องตนและพวกพ้องของตน ไม่ต้องพึงพาบุคคลภายนอกใดๆทั้งสิ้น และไม่มีความจำเป็นต้องใช้สินค้า 5 ถึง 7 แต่ต่อมาเมื่อคนทั้ง 7 มารู้จักกัน เอาของในบ้านของตนมาแสดงให้กันและกันได้ดู ก็พบเห็นสิ่งแปลกๆใหม่ๆ จนทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้ากัน และเกิดความจำเป็นต้องใช้สินค้า 5 - 7 มากขึ้น อันได้แก่ สินค้าเพื่อการขนส่ง สินค้าเพื่อการติดต่อสื่อสารและการคำณวน สินค้าส่งเสริ่มสุขภาพ สินค้าเพื่อความบันเทิง และสินค้าเพื่อการรบราฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ ฯลฯ
ปัญหาอยู่ที่ว่าเมื่อทุกคนเริ่มคิดแลกเปลี่ยนค้าขาย ก็เริ่มคิดเอาเปรียบกัน การเอาเปรียบนี้คือการที่อยากเอาของถูกๆ ไปแลกของแพงๆ (เหมือนกันทุกยุคทุกสมัย) ถ้าคิดอย่างเท่าเทียมกัน ค่าของเวลาในชีวิตของแต่ละคนควรจะมีค่าเท่ากัน แต่กลับมีบางคนบอกว่า ชีวิตของเขามีค่ามากกว่าผู้อื่น เลยกำหนดว่าของที่ตนเองทำมีค่าสูงกว่าผู้อื่นถึงแม้จะใช้เวลาทำเท่ากันซึ่งบางอย่างอาจออกแรงน้อยกว่ามากมายด้วยซ้ำ ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ที่มีความสลับซับซ้อนอันเกิดเนื่องมาจากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องจักรกลต่างๆ และพฤติกรรมมวลชนอันอยากได้ของๆผู้อื่นหรืออยากเป็นใหญ่เพื่อปกครองผู้อื่น คงไม่ขอลงลึกในรายละเอียดนะครับ
กลับมาในโลกปัจจุบันนะครับ ทุกคนมีภาระหน้าที่อย่างหนึ่งคือจะทำอย่างไรให้เงิน 100 บาทของตนเองงอกเงยมากขึ้น หากใครสักคนขายสินค้าเบอร์ 1 ให้กับคนอื่นๆแล้วไปซื้อสินค้าเบอร์ 7 มาใช้ เป็นการแน่นอนว่า เขาจะต้องขายสินค้าเบอร์ 1 ออกไป 7 ครั้งเพื่อซื้อสินค้าเบอร์ 7 ได้เพียงครั้งเดียว เงินของเขาจึงคงที่อยู่ที่ 100 บาทได้ แต่เนื่องจากสินค้าเบอร์ 7 เป็นสินค้าราคาแพงและไม่มีความจำเป็นต้องใช้ในชีวิตของคนส่วนใหญ่ จึงต้องใช้เล่ห์เพทุบายให้ขายได้ เช่น ก่อสงครามเพื่อขายอาวุธ กำหนดมาตราฐานแปลกๆเพื่อให้สินค้าเบอร์ 1-4 ขายได้ในบ้านเขาแต่ต้องซื้อเครื่องมือตรวจสอบราคาแพงเหมือนสินค้าเบอร์ 7 กำหนดลิขสิทธิ์ข้ามโลก (ข้าคิดได้ก่อน ถึงแม้เองจะคิดได้เองแต่คิดที่หลังข้า ต้องเสียเงินให้ข้า 5555) ฯลฯ
กลไกสำคัญที่สร้างปัญหาอีกประการหนึ่ง คือ แรงผลักดันจากการบริโภค เป็นผลให้ค่าเงินของแต่ละคนมีอัตราแตกต่างกันไป บ้านที่มีการบริโภคภายในน้อย อยู่อย่างประหยัด กลับถูกมองในสายตาทุกคนว่าเศรษฐกิจไม่ดี (ไม่มีความอู้ฟู่) ไม่มีเงินไปซื้อของๆคนอื่น และขายของให้คนอื่นเขาได้เงินน้อย จะมีค่าเงินต่ำกว่าคนที่เขาขายของได้ราคาดี และมีเงินไปซื้อของคนอื่นได้มากๆ ทำให้แต่ละคนเร่งสะสมเงินของคนขายสินค้าเบอร์ 7 (ซึ่งปัจจุบันก็คือเงินของอมาเก)ไว้เป็นจำนวนมาก ปํญหาอีกอย่างเรื่องความแตกต่างในราคาสินค้า ทำให้ทุกคนอยากผลิตสินค้าแบบเดียวกันออกมาขาย ทำให้เกิดการแข่งขันการผลิตอย่างมากมาย ผลก็คือ คนในบ้านอมาเก รู้สึกว่า สามารถซื้อสินค้าราคาถูกๆมาใช้ได้ จึงเร่งซื้อเร่งหากันมาประดับบ้าน ด้วยความฟุ่มเฟือย อมาเกก็ไม่ว่าอะไร แถมชอบที่จะให้คนของตนทำเช่นนั้นอยู่บ้างไม่มากก็น้อย (เพราะในใจคิดบางอย่างอยู่)
ปัญหาอีกประการหนึ่ง ในขณะที่การการหมุนเวียนแลกเปลี่ยนสินค้ากันอยู่นั้น คนที่เคยผลิตสินค้าเบอร์ 7 ก็หาทางพยายามทำให้สินค้าเบอร์ 1-4 ด้อยค่าลงเรื่อยๆ ผลก็คือ คนขายสินค้าเบอร์ 1-4 ก็พยายามดิ้นรนและเรียนรู้ (เสียค่าโง่) ให้กับผู้ขายสินค้าเบอร์ 5-7 เพื่อหวังว่าตนจะสามารถผลิตสินค้าเบอร์ 5-7 ไปขายได้บ้าง (ถ้าทั้งโลกผลิตสินค้าที่เป็นปัจจัยสีได้น้อยลง ราคาควรจะแพงขึ้น แต่กลับถูกกดราคาให้ต่ำลง ก็จะเกิดปัญหาใหญ่ตามมาอีก) และเนื่องจาก อมาเกผู้ผลิตอาวุธ มักหาโอกาสแสดงศักยภาพสินค้าของตน(ในบ้านคนอื่น) ให้ทุกคนหวาดผวา อยู่มาวันหนึ่ง ก็บอกทุกคนว่า เนื่องจากตนและคนในบ้านของตนมีสิทธิพิเศษเนื่องจากชอบช่วยเหลือผู้อื่น จึงสามารถเพิ่มเงินของตัวเองได้เรื่อยๆ ผลก็คือ คนในบ้านของตนยิ่งเลือกชื้อสินค้าที้ง 1-6 มาใช้กันอย่างไม่ยั้งคิด (เพราะของคนอื่นถูกกว่า) ทำให้สมดุลย์ทางการเงินเปลี่ยนไป กลายเป็นว่า ทุกคนมีเงินของอมาเก โดยเฉพาะใจหยิ่น กับ ญุ่นปี ในปัจจุบันมีเงินส่วนเกินของอมาเกอยู่มากมาย สุดท้ายทุกคนมีเงินมากกว่า 100 บาทอยู่ทั้งสิ้น
ปัญหาในอนาคตที่ทุกคนกำลังหวาดผวา และเริ่มเห็นเค้าลางปรากฏขึ้นบ้างแล้วคือ ทุกคนเห็นว่า อมาเกกำลังใช้จ่ายเกินตัว หนี้สินมากมาย ในขณะที่ใจหยิ่นกำลังขายสินค้าของตนได้อย่างมากมาย เพราะราคาถูก อมาเกก็กำลังหาทุกวิถีทางที่จะทำให้ใจหยิ่นเปลี่ยนค่าเงินของตนให้แข็งขึ้นเพื่อให้สินค้าของตนขายได้บ้าง (คงลืมไปว่าไม่ใช่เฉพาะใจหยิ่นที่ขายสินค้าให้คนอื่นๆได้ถูกกว่าอมาเก ยกเว้นเรื่องอาวุธ เพราะไม่มีปัญญาไปทดสอบประสิทธิภาพในบ้านคนอื่นให้ทุกคนได้เห็นเหมือนอย่างที่อมาเกทำ) แต่เงินส่วนเกินที่อยู่ในมือของตนก็เป็นปัญหาที่ต้องทำให้ขบคิดว่า หากปล่อยสภาวะการณ์ให้เป็นอย่างนี้ต่อไป เมื่อเงินของอมาเกด้อยค่าลงเรื่อยๆ เงินส่วนเกินของอมาเกที่อยู่ในมือของตนก็จะด้อยค่าตามไปด้วย และจะทำให้ฐานะทางการเงินของตนอ่อนแรงตามไปด้วย ปัญหางูกินหางเช่นนี้ จึงทำให้เกิดการเจรจาตกลงกันว่าจะหาทางออกที่ดีที่สุดได้อย่างไร
ลางหายนะ 4 ประการที่ผมได้กล่าวถึงในตอนต้น มีข้อหนึ่งที่เกี่ยวพันกับค่าเงินของ อมาเก คิดเล่นๆนะครับ หากทุกคนมีเงินอยู่ 120 บาท แต่ใน 120 บาทเป็นเงินส่วนเกินของอมาเกสัก 40 บาท ถ้าค่าเงินของอมาเกกลายเป็นศูนย์ (ตัวเลขสมมติเพื่อให้คิดง่ายๆ) ทุกคนจะเหลือเงิน 80 บาท เงิน 20 บาทที่เกิดจากการพิมพ์แบงค์เองจากทุกคนหายไปไหน คำตอบของปัญหานี้ ให้คิดถึงคนที่รวยที่สุดในโลก 5 อันดับแรกครับ (เงินของเขาไม่ได้อยู่ในบ้านของอมาเกแห่งเดียวนะครับ) ปํญหานี้ผมคุยกับเขาเป็นชั่วโมง จนมึน ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีด้วยครับ แต่จะพยายาม ไม่รู้จะหนักเกินไปหรือเปล่าถ้าจะเอามาพิมพ์ในที่นี้ ต้องคิดตามอย่างมากจริงๆ
คงเท่านี้ก่อนครับในตอนนี้ ผมจะลองหาแนวทางที่จะอธิบายในตอนต่อไปให้ง่ายที่สุด ตอนนี้ขอเรียบเรียงความคิดก่อนครับ ขอบคุณครับ
*** ปล. เขาบอกผมว่าทางออกของปัญหาความไม่เท่าเทียมกันทางด้านผลตอบแทน ยากที่จะมีใครแก้ไขได้แต่เพียงลำพัง ***"แต่ยิ่งยากมากกว่าที่จะให้คนที่ได้เปรียบยอมเท่าเทียมกับผู้อื่น" *** หากมีการจ่ายผลตอบแทนเป็นอัตราที่ได้จาก (ผลการใช้กำลังกายเป็นแคลลอรี่ x เวลาที่ใช้ไป) + ค่าชดเชยการเสื่อมสังขารเนื่องจากการทำงานนั้น โดยไม่คำนึงถึงยศตำแหน่ง ก็สามารถจ่ายค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกันได้ ส่วนเรื่องนวัตกรรมทางความคิด มีการจ่ายค่าตอบแทนเป็นอัตราส่วนของประโยชน์ที่ได้รับจากนวัตกรรมนั้นในขอบเขตจำกัด จะทำให้เกิดความยุติธรรมอย่างสัมบูรณ์ ไม่ใช่คิดได้ครั้งหนึ่ง ต้นทุน 100 บาท แล้วจะเอากำไรให้ได้จากความคิดนั้น 10000 เท่า 100000 เท่าตามลักษณะกฏหมายลิขสิทธิ์ของสินค้าบางอย่างในปัจจุบัน (เรื่องใน ปล. จะทำได้ในยุคหุ่นยนต์นะครับ เรื่องความเสี่ยงจึงไม่ต้องคำนึงถึง)
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 13 ต.ค. 46 11:32:26 A:210.1.6.101 X: ]
Create Date : 02 สิงหาคม 2548 | | |
Last Update : 2 สิงหาคม 2548 12:58:31 น. |
Counter : 489 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
9 กลยุทธ์ คุณชอบอ่าน
กลยุทธ์ที่ 1 สร้างเกราะป้องกันการตัดสินใจผิด กลยุทธ์นี้ ใช้สำหรับการเปลี่ยนหุ้นจากตัวหนึ่งไปยังตัวอื่น ขอใช้ชื่อกลยุทธ์ว่า "สร้างเกราะป้องกันการตัดสินใจผิด"
ในสถานการณ์แบบนี้ อ่านดูกระทู้หลายๆท่าน บางท่านก็ยินดีปรีดา บางท่านก็เพิ่งเริ่มยินดี บางท่านก็ยังบ่นว่าเห็นคนอื่นมีความสุข แต่ตนเองกำลังทุกข์ เพราะในพอร์ทก็ยังแดงอยู่ เมื่ออ่านดูก็อยากจะปลอบใจท่านที่ถือหุ้นบางตัวที่ยังไม่ขึ้น แต่จะปลอบแบบปกติก็ดูกระไรอยู่ เลยขอแนะนำวิธีที่ผมใช้ให้ท่านพิจารณาดูครับ โดยลองตอบคำถามเหล่านี้ดูเพื่อเป็นการประกอบการพิจารณาว่าจะเปลี่ยนตัวไปเล่นตัวอื่นหรือไม่ - หุ้นที่ไม่ขึ้น เป็นหุ้นพื้นฐานดีและมีปันผลหรือเปล่า - แนวโน้มธุรกิจของหุ้นที่ถืออยู่เป็นอย่างไร - มีข่าวไม่ดี (ที่ยืนยันได้) ในหุ้นตัวที่ท่านถืออยู่หรือเปล่า - หุ้นอื่นๆในกลุ่มเดียวกันขึ้นไปหมดแล้ว แล้วหุ้นเหล่านั้นย้อนกลับลงมาหรือยัง - มีโวลลุ่มในหุ้นตัวนั้นหรือไม่ มากน้อยเพียงใด - ราคาณ.ปัจจุบัน เป็นราคาต่ำกว่าราคาสูงสุดกี่ % - หุ้นเป้าหมายที่จะเปลี่ยนไปเล่น ขึ้นไปแล้วหรือยัง และทบทวนหุ้นเป้าหมายกับคำถามก่อนหน้า มีคำตอบเป็นอย่างไรบ้าง
ขอให้พิจารณาคำตอบโดยตัดความอยากออกไป (พิจารณาขณะนอกเวลาทำการของตลาด) เมื่อได้คำตอบขอให้นำผลที่ได้มาพิจารณาเป็นผลบวกและลบ ซึ่งจะได้ข้อสรุปของหุ้นเก่า/หุ้นใหม่เพียง 4 ประการคือ บวก/บวก บวก/ลบ ลบ/บวก และ ลบ/ลบ
หากได้คำตอบ = บวก/บวก หรือ บวก/ลบ ขอแนะนำว่า ถือหุ้นเดิมต่อเถิดครับ
หากได้คำตอบ = ลบ/บวก เปลี่ยนป็นหุ้นใหม่ที่เลือกได้เลยครับ
หากได้คำตอบ = ลบ/ลบ ขอแนะนำให้เปรียบเทียบกับหุ้นใหม่ตัวอื่นครับ
ผมไม่ได้เก่งนะครับ หากแต่ว่า ตั้งแต่ผมเปลี่ยนมาใช้วิธีนี้ ไม่เคยขาดทุนเลยครับ แต่ข้อสำคัญ ต้องมีวินัยในการลงทุนนะครับ
ปล. ยังอยากเห็นหุ้นไทยแซงหน้าหุ้นอินโดฯอยู่ รู้สึกจะใกล้ความจริงเข้าไปเรื่อยๆแล้วนะครับ 55555 และขอให้ทุกท่านประสพผลสำเร็จในการลงทุนนะครับ
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 27 ต.ค. 46 13:46:24 A:210.1.6.101 X: ]
กลยุทธ์ที่ 2 รู้จักเก็บเกี่ยวตามฤดูกาล มนุษย์หุ้น(ขอยืมคำ คุณ คลาย เครียด มาใช้หน่อยนะครับ)หลายๆท่าน มีความแตกต่างที่สำคัญกันอย่างมากประการหนึ่งคือ ประสบการณ์ที่ได้รับโดยตรงจากหุ้นแต่ละตัว บางท่านอย่าง คุณ คลาย เครียด รู้จักหุ้นแทบทุกตัวในตลาด (นับถือจริงๆ) แต่บางท่านอาจรู้จักหุ้นเพียงไม่กี่ตัว ถ้าถามกันตรงๆว่าใครได้เปรียบกว่ากัน คงตอบไม่ยากนะครับ
หลายท่านอาจคิดว่า ประสบการณ์ที่กล่าวถึง ต้องเกิดจากระยะเวลาในการอยู่ในตลาดเป็นสำคัญ หากอยู่มายาวนานก็จะมีประสบการณ์มาก เป็นธรรมดาครับที่จะคิดเช่นนั้น แต่อันที่จริงแล้ว ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่เพิ่งจะเข้าตลาดมาไม่ถึง 2 ปี เชื่อไหมครับว่า เขาก็รู้จักหุ้นในตลาดแทบทุกตัวเช่นกัน เขาใช้เวลาในการศึกษาลักษณะธุรกิจของหุ้นแต่ละตัวเรียงตามหมวดหมู่ ซึ่งผมเองก็ได้รับความรู้จากเขาพอสมควรทั้งๆที่เขาก็เพิ่งเข้ามาในตลาดไม่นานนัก
กลยุทธ์ที่ 2 ที่เป็นหัวเรื่องนี้ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ผมเรียนรู้ได้จากประสบการณ์นานหลายปี แต่เพื่อนผมคนนี้กลับเรียนรู้ได้ในช่วงเวลาไม่ถึง 2 ปี หลายๆเรื่องผมกับเพื่อนก็มีความเห็นแย้งกัน แต่สำหรับกลยุทธ์ที่สองนี้ เรามีความเห็นตรงกันดังนี้ครับ
เราปลูกไม้แบบใดย่อมได้ผลจากไม้นั้นเท่านั้น เป็น FACT อย่างหนึ่งในการลงทุน (ที่เพิ่งคิดได้) แต่หากเราปลูกไม้หลายอย่างผสมผสานกัน เราก็จะได้ผลหลายอย่างด้วยเข่นกัน แล้วถ้าเราจัดการปลูกไม้ที่ให้ผลตามฤดูกาลที่แตกต่างกันสลับกันไปเรื่อยๆ เราก็จะได้ผลต่อเนื่องไปเรื่อยๆใช่ไหมครับ หุ้นก็เช่นกัน ในธุรกิจบางประเภท จะมีช่วงเวลาที่ธุรกิจนั้นอยู่ในระยะที่ควรสะสม(เหมือนไม้สะสมอาหาร) บางช่วงก็จะเข้าไปอยู่ในระยะให้ผล(เหมือนไม้ออกดอกออกผล) แต่ในบางช่วงก็จะอยู่ในระยะนิ่งสงบ (เหมือนช่วงจำศีลของต้นไม้บางประเภท) และในบางช่วงก็จะเข้าไปอยู่ในระยะถดถอย(เหมือนไม้ผลัดใบ)
ถ้าพิจารณาแบ่งแยกธุรกิจออกเป็นหมวดๆคล้ายกับต้นไม้ตามฤดูกาล เราก็จะพบว่า ในตลาดหุ้นบ้านเรานั้น ธุรกิจต่างๆจะมีช่วงพฤติกรรมแบ่งออกเป็นฤดูกาลได้เช่นเดียวกัน และถ้าเราเรียนรู้ได้ว่าช่วงไหน หุ้นตัวไหนอยู่ในระยะใดได้ ก็จะทำให้เราจัดการกับเงินทุนของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องมืออย่างหนึ่งที่สามารถจะบอกเราได้ถึงระยะเวลาแต่ละช่วงของธุรกิจแต่ละอย่าง ก็คือเครื่องมือทางเทคนิค ซึ่งต้องนำไปเทียบกับการดำเนินงานของธุรกิจนั้นๆด้วยครับ และต้องตัดตัวแปรแวดล้อมในสภาวะพิเศษออกไปด้วย เช่น สงคราม ฟองสบุ่แตก ฯลฯ
ผมใช้กลยุทธ์นี้กับหุ้นบางตัวอย่างได้ผล แต่กับหุ้นบางตัวใช้ไม่ได้จริงๆ ซึ่งทำให้รู้ว่า สำหรับหุ้นบางตัวที่ใช้กลยุทธ์นี้ไม่ได้ เป็นหุ้นไม่ธรรมดา ต้องนำกลยุทธ์อื่นมาใช้แทนครับ ถือเป็นการจัดหมวดหมู่หุ้นปกติ กับหุ้นไม่ธรรมดา ด้วยกลยุทธ์ง่ายๆด้วยครับ
ระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงของหุ้นในแต่ละช่วง มีสั้นบ้างยาวบ้าง เช่นเดียวกับพันธ์พืชแต่ละชนิด บ้างก็ให้ผลในเวลาอันสั้น บ้างก็ให้ผลในระยะปานกลาง และก็มีที่ให้ผลในระยะยาว คนปลูกพืชย่อมต้องรู้นิสัยพืชที่ตนปลูกเป็นอย่างดีฉันใด คนลงทุนสมควรต้องรู้นิสัยของหุ้นที่ตนเองลงทุนก็ฉันนั้น ผลที่ได้จะคุ้มค่าหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการใส่ใจต่อพืชหรือหุ้นนั้นอย่างแน่นอน 5555
ปล. ตอนนี้ คนกลุ่มหนึ่งกำลังคิดว่า ช่วงของการปรับฐานกำลังใกล้เข้ามา คนบางกลุ่มก็คิดว่าปรับฐานแล้วอาจลงต่อด้วยซ้ำ(คิดตรงข้ามกับผมจริงๆ) คนบางกลุ่มก็คิดว่าอีกนานจึงปรับฐาน และคนอีกกลุ่มกำลังคิดว่า ช่วงปรับฐานอาจเป็นช่วงสั้นมากๆเนื่องจากข่าวที่กำลังจะออกมาในเร็ววัน เช่น ข่าวการปรับเครดิตของมูดี้ส์ ข่าวของกองทุนวายุภักดิ์ ข่าวการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนของกองทุนต่างประเทศต่างๆ ข่าวผลประกอบการดีๆของแต่ละธุรกิจ ฯลฯ เราได้เห็นพลังของข่าวปรับอันดับเครดิตประเทศของ S&P ในช่วงก่อน APEC ซึ่งเป็นช่วงที่อึมครึมมากพอควรไปแล้ว เราคงจะได้เห็นพลังของข่าวปรับอันดับเครดิตของมูดีส์อีกครั้งในระยะเวลาอันใกล้นี้ ขอให้สังเกตพฤติกรรมการกลับมาซื้อของต่างชาติให้ดีนะครับ ขอให้โชคดีทุกท่านครับ 55555
ปล.2 สำหรับผมคิดว่า คงมีการปรับฐานในหุ้นบางกลุ่มที่ขึ้นมามากแล้วอย่างเช่นกลุ่มพลังงาน ฯลฯ แล้วขึ้นต่อ แต่ในบางกลุ่มกำลังจะลุกขึ้นในขณะที่พลังงานปรับฐาน เช่น กลุ่มสื่อสาร แบงค์ และไฟแนนซ์ ฯลฯ และมีบางตัวในกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่อาจไปต่อ ในขณะที่บางตัวในกลุ่มวัสดุก่อสร้างเช่นกันอาจต้องปรับฐาน และพฤติโดยรวมของ Set อาจเห็นช่วงลบระยะสั้นๆ กราฟทางเทคนิคจะเป็นตัวบอกแนวโน้มครับ
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 28 ต.ค. 46 09:15:25 A:210.1.6.101 X: ]
กลยุทธ์ที่ 3 ไม่ต้องรีบยามทะยาน ไม่ควรสะท้านยามตระหนก การลงทุนสมัยนี้ จะตัดสินใจทำอะไร สามารถทำได้รวดเร็วกว่าสมัยก่อนมาก ยิ่งคนที่มีเครื่องมืออย่างพวก Notebook ด้วย ยิ่งทำตามใจได้อย่างเร็วมากขึ้น ปัญหาที่ตามมาก็คือ บางที่กดผิดกดถูก ซื้อกลายเป็นขาย (อ้นนี้ผมก็เคยเป็นและเสียหายมากด้วยครับ) หรือขายกลายเป็นซื้อ (อันนี้ยังพอแก้ตัวได้ เพราะปกติจะตั้งขายสูงไว้ก่อน แต่บางทีก็แย่เหมือนกันถ้าตั้งขายที่ราคารับซื้อเลย) ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ มักเกิดจากการรีบเร่งตัดสินใจ ซึ่งรีบทั้งตอนขายและตอนซื้อ
ไม่ต้องรีบยามทะยาน จึงเป็นกลยุทธ์เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการขายได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่จุดประสงค์หลักของกลยุทธ์นะครับ ในความหมายที่แท้จริงคือ เมื่อหุ้นตัวใดอยู่ในวงจรขาขึ้น สมควรต้องทำการบ้านเพิ่มให้มากขึ้น คือดูว่าที่ขึ้น ขึ้นเพราะอะไร เช่น หากขึ้นเพราะผลประกอบการออกมาดีกว่าที่คาดมากๆ ในวันแรกที่ประกาศหรือก่อนนั้นสักวันสองวัน(สำหรับผู้ที่มีข่าววงใน) หุ้นจะขึ้นไปด้วยอัตราเร่งที่รวดเร็ว หากเฝ้าดูอยู่ ท่านอาจรีบขาย ณ.จุดที่คิดว่าสูงที่สุด หรือเมื่อหุ้นตัวนั้นย่อลงมาสัก 2-3 เสตป เพราะคิดว่าจะรับกลับตอนหลังอีกครั้ง แต่ก็มีหลายๆครั้ง ที่ท่านไม่อาจรับกลับได้ นอกจากนี้สมควรต้องพิจารณาเพิ่มเติมด้วยว่า ธุรกิจนั้นกำลังเป็นธุรกิจดาวรุ่งหรือไม่ ค่า P/E ของธุรกิจเป็นอย่างไร (ยิ่งถ้า P/E ยังต่ำ โอกาสที่จะขึ้นต่อเรี่อยๆสักระยะ ก็จะมีสูงมากขึ้นด้วยครับ)
ไม่ควรสะท้านยามตระหนก ก็สามารถป้องกันความผิดพลาดกรณีต้องการขายได้เช่นกัน และไม่ใช่จุดประสงค์หลักของกลยุทธ์เข่นกัน ในกรณีที่ตลาดเกิด Panic เช่น รับข่าวที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น หุ้นทั้งกระดานแทบจะร่วงรับข่าวกันหมด ท่านยิ่งสมควรต้องทำการบ้านหนักขึ้นเป็นสองเท่า ต้องดูให้รู้ว่า ธุรกิจที่ท่านลงทุน ได้รับผลกระทบจากข่าวนั้นเพียงใด ในบางครั้ง การเกิด Panic กลับกลายเป็นผลดีต่อหุ้นบางตัว เพราะขณะที่คนกลุ่มใหญ่กำลังตระหนกตกใจ อาจมีหลายๆคนขายหุ้นในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากข่าวนั้น แต่ด้วยอารามตกใจ ก็ขายทิ้งโดยไม่คิด (หรืออาจจะคิดว่าเดี่ยวรับกลับใหม่ในราคาที่ต่ำกว่าที่ถืออยู่) แต่ถ้าท่านรู้ว่าจะเกิดประโยชน์ ก็อาจจะเป็นจังหวะที่ดีในการรับหุ้นเข้าพอร์ทเพิ่มอีก แต่สำหรับหุ้นที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ การ Cut Loss ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สำหรับหุ้นที่อยู่กลางๆมีพื้นฐานดี การหาจังหวะรับที่คน Panic กันมากที่สุด เพื่อเฉลี่ยต้นทุนให้ต่ำลง และรอขายในจังหวะที่หาย Panic (Rebound) บางครั้งก็สามารถ Save Loss คืนมาได้มากเหมือนกันครับ
สิ่งที่จะสนับสนุนให้ผู้นำกลยุทธ์นี้ ไปปฏิบัติให้ได้ผลสำเร็จ ต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจในธุรกิจที่ท่านลงทุนอยู่ด้วยนะครับ ปกติผมจะไม่ Cut Loss ก่อนเฉลี่ย แต่จะ Keep Profit ก่อนที่จะ Loss นะครับ (ถ้าราคาที่สะสมไว้เอื้ออำนวยนะครับ) และที่สำคัญอย่างมากที่สุดก็คือ สติ ครับ จะทำให้เราได้กำไรมากขึ้นยามหุ้นทะยาน (อาจไม่ใช่กำไรสูงสุดนะครับ) และขาดทุนน้อยลงยามหุ้นเกิดแรงขายเนื่องจากการตื่นตระหนก
ปล. ดูท่าวันนี้ผมอาจสะสมหุ้นได้อีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หรืออาจสะสมเพิ่มไม่ได้เลย 5555
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 29 ต.ค. 46 09:40:49 A:210.1.6.101 X: ]
กลยุทธ์ที่ 4 ทุกสถานที่มีดาวเด่น พอดีพิมพ์ไปแล้วครั้งหนึ่งตอนเช้า พอจะ Send กลับ Error เลยว่าจะพิมพ์ใหม่คืนนี้ แต่อยากรู้ว่าใครจะเดาความหมายของกลยุทธ์นี้ได้บ้าง ช่วยๆกันหน่อยนะครับ คืนนี้จะมาเฉลย (กลยุทธ์นี้ Set ขึ้นก็ได้ตังค์ Set ลงก็ได้ตังค์ Set อยู่เฉยๆก็ได้ตังค์ครับ)
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 30 ต.ค. 46 13:50:49 A:210.1.6.101 X: ]
ก่อนอื่นต้องขออภัยครับ ไม่รู้เป็นไง ครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะเป็นไข้ เลยกินยาลดไข้แล้วกะจะพักสักงีบ ปรากกฏว่าตื่นอีกที่ตีสี่กว่าๆ เลยนอนต่อเลย 5555
คุณชาเขียวตอบได้ถูกมากที่สุดครับ คุณ scharn คงน่าจะหมายความในทำนองเดียวกัน ขอบคุณมากครับ และขอบคุณทุกท่านที่ลองตอบมาด้วยครับ นี่ถ้าเป็นเวทีต้องชี้ไปที่คุณชาเขียวแล้วก็พูดว่า ถูก...ถูก....ถูก....ถูกต้องครับ 5555
การประกอบธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมต้องมีคู่แข่งขัน และตัวที่บอกว่าใครมีศักยภาพเพียงใด ก็เป็นตัวที่เราสามารถรู้ได้ว่า ในธุรกิจนั้นใครเป็นอันดับหนึ่ง สอง สาม.... เช่น ใครมี Market Share สูงสุดในธุรกิจนั้น ใครมีความสามารถกำไรมากที่สุด (บางที Market Share สูงแต่ได้กำไรต่ำกว่าก็มีนะครับ) ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้ผมคิดว่า ทำไมต้องลงทุนในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเท่านั้น
ตอนนี้ถ้าแบ่งหมวดหมู่ตามกลุ่มธุรกิจ จะแบ่งได้ประมาณ 33 กลุ่ม เริ่มต้นก็พิจารณาว่า กลุ่มธุรกิจใดไม่สมควรลงทุน ตัดทิ้งไปเลยครับ สมมติว่าเหลือ 25 กลุ่มธุรกิจ ผมจะดูว่า ในกลุ่มธุรกิจนั้นใครเป็นดาวเด่น ติดอันดับ Top 3 เมื่อได้ครบ ก็จะเอามาสร้างตาราง โดยยึดกลยุทธ์ที่ 2 "รู้จักเก็บเกี่ยวตามฤดูกาล" ดังนั้นในหุ้นประมาณ 75 ตัวคือหุ้นที่ผมจะเลือกเล่นหมุนวนกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อมูลอื่นๆประกอบกันไปด้วยเช่น ค่า P/E, P/BV, EPS, ROA, ROE และ Net Profit Margin ฯลฯ
แต่โดยปกติแล้วผมจะมีหุ้นในพอร์ทประมาณ 30-40 ตัว (พอๆกับที่กองทุนใหญ่ๆซื้อเลยนะครับเนี่ย) หลายๆท่านคงสงสัยว่าผมจะเอาข้อมูลมาจากไหน และจะทำการบ้านไหวหรือ มีเคล็ดลับดังนี้ครับ
ผมค่อนข้างมั่นใจว่า กลุ่มคนที่ทำงานทางด้านการเงิน จะมีความสามารถวิเคราะห์ธุรกิจได้ดีกว่าผม ดังนั้นข้อมูลที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ข้อมูลที่วิเคราะห์จากศูนย์วิจัยต่างๆ เช่น ศูนย์วิจัยกสิกร ฯลฯ ข้อมูลพวกนี้จะออกประมาณปลายปีถึงต้นปี จะบอกว่าธุรกิจใดเป็นดาวรุ่ง และธุรกิจใดเป็นดาวร่วง เอามาเป็น Road Map สำหรับการลงทุน ส่วนข้อมูลประจำเดือน , อาทิตย์ หรือ วัน ขอจากหน่วยงานดำเนินการลงทุนด้านหลักทรัพย์ เช่นของกองทุน RMF ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้ ผมเสียเงินขั้นต่ำปีละ 5000 ก็ได้แล้ว (จริงๆแล้วไม่ได้เสียนะครับ ถือเป็นการออมอีกรูปแบบหนึ่ง ที่มีประโยชน์มากด้วย) โดยปกติข้อมูลเหล่านั้น จะบอกเราด้วยว่า เงินที่เราเอาไปให้เขาลงทุนนั้น เขาเอาไปลงทุนในหลักทรัพย์ใดบ้าง สัดส่วนเท่าใด เราก็เอาของเขาที่ผ่านการกรองจากคนระดับที่คัดสรรแล้วจากองค์กรของเขามาเป็น Road Map ในการลงทุนเพิ่มในช่วง Period ต่างๆ (พวกนี้เขาก็ลงทุนกันประมาณ 30-40 หลักทรัพย์เท่านั้น และเชื่อได้เลยว่าเขาได้ข่าวก่อนเราเป็นเวลานานๆด้วย) ตัวอย่างเช่น ถ้าเรารู้ว่ามีกองทุนใดเข้าไปซื้อลงทุนหุ้น เต้าฮวยร้อน และถ้ากองทุนนั้นมีส่วนในการให้ เต้าฮวยร้อน กู้เงินลงทุนด้วย เราจะคิดอย่างไรละครับ 5555
ข้อมูลจากสินธรสถาน จากกระทิงเขียว ฯลฯ เป็นอีกข้อมูลหนึ่ง ถ้าลองนำมาสร้างสถิติดู เช่น มีคนพูดถึงหุ้นตัวนั้นในทางบวกกี่คน ในทางลบกี่คน จับตัวเลขเหล่านี้มาบวกลบกันแล้วสังเกตพฤติกรรมตอบสนองของหุ้นเหล่านั้นดูสิครับ จะรู้อะไรดีๆบางอย่าง แต่ถ้าเทียบข้อมูลเหล่านี้กับข้อมูลข้างต้นที่กล่าวมา ถือเป็นองค์ประกอบส่วนย่อยเท่านั้นนะครับ
โดยปกติผมจะแบ่งการลงทุนเป็น 2 พอร์ท พอร์ทถือยาวๆๆๆ กับพอร์ทเก็บเกี่ยวตามฤดูกาล ดังนั้น ในทุกๆครั้งที่ผมเข้ามาดูสวนดอกไม้แห่งนี้ จึงได้พบดอกไม้สีเขียว สีแดง สีเหลือง สลับกันชูซ่ออวดโฉมให้ผมได้ยล หากวันใดดอกไม้สีแดงทำถ้าจะหลุดจุด Keep Profit ที่ตั้งไว้ ผมก็ตัดมันออกมาเพื่อนำผลกำไรที่ได้ตามจุด Keep Profit ไปเก็บไว้เป็นเงินทุนเพิ่มเติมครับ ด้วยเหตุนี้แหละ ผมจึงบอกไว้ว่า Set จะขึ้น Set จะลง หรือ Set จะคงที่ ผมก็ยังคงมีกำไรอยู่เสมอๆครับ
ปล. เพื่อนๆผมถามว่า ทำไมต้องเปิดเผยกลยุทธ์ให้คนอื่นๆรับรู้ ไม่กลัวว่าจะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมากหรือ การลงทุนก็จะยากขึ้นไปอีกนะ ผมตอบเขาว่า คู่แข่งผมมีกลุ่มเดียวครับ คือ กลุ่มต่างชาติที่กระหายผลประโยชน์จากพวกเราคนไทย ดังนั้นผมจะค่อยๆถ่ายทอดกลยุทธ์ของผมเรื่อยๆไปถ้ามีโอกาส และถ้ายังมีคนรับฟังอยู่ ส่วนเมื่อรับฟังไปแล้ว ผมไม่อยากให้เชื่อตามนะครับ แต่อยากให้นำไปพินิจพิเคราะห์และปรับใช้กับตนเองให้ตรงตามบุคลิคนิสัยด้วยครับ
ปล.2 หากไม่มีเหตุร้ายอย่างสงครามหรือโรคติดต่อร้ายแรงมาเยือนชาวโลก และดูท่าเศรษฐกิจอมาเกอาจฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ ปัจจัยทางบวกมีมากพอที่จะทำให้ผมคิดว่า อนาคตเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นอีกมาก ดังนั้น ถ้าทิศทางการเดินไปของเศรษฐกิจไทยยังเป็นแนวนี้ต่อไป ผมก็มั่นใจว่า เรามีโอกาสได้เห็นดัชนียืนเหนือ 800 ในปีหน้าแน่ครับ
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 31 ต.ค. 46 09:02:30 A:210.1.6.101 X: ] ความคิดเห็นที่ 16
ผมเห็นด้วยมากๆ นะครับสำหรับกลยุทธนี้ แต่ว่าในธุรกิจที่ห่างไกลตัว อย่างเช่น เคมีภัณฑ์ เราจะหาข้อมูลส่วนแบ่งการตลาดจากไหนได้บ้างครับ มีสำนักไหนที่มีการสำรวจ brand ต่างๆ ในแต่ละปีบ้างครับ
จากคุณ : ชาเขียว - [ 1 พ.ย. 46 01:46:39 ]
ความคิดเห็นที่ 24
ขอบคุณทุกๆท่านที่เสนอความเห็นเพิ่มเติมครับ
ถูกครับคุณชาเขียว แต่กลยุทธ์นี้ ใช้โดดๆไม่ได้นะครับ สมควรอย่างยิ่งที่ต้องใช้คู่กับกลยุทธ์ที่ 1 ครับ
ขออภัยจริงๆครับคุณ Robert (thaichaps) เกรงว่าให้รายชื่อไปแล้ว กลัวผู้ที่เข้าทีหลังจะเจ็บตัวครับ เพราะบางตัวที่ผมซื้อมาแต่ละตัวตอนนี้มีราคาต่างกับตอนซื้อพอควรครับ หากผู้ใดเข้าใจผิดว่าผมซื้อหุ้นเหล่านี้ในช่วงนี้ จะกลายเป็นทำบาปไปครับ
อีกประการครับ ผมชอบสร้างทางให้ครับ แต่ไม่นิยมจูงไปส่งถึงที่ครับ นานมากๆผมจะให้ความเห็นเกี่ยวกับหุ้นบางตัวซักที ส่วนใหญ่เพราะเกรงว่ารายย่อยจะถูกชี้นำผิดๆ (แต่ก็ไม่แน่ผมอาจจะเตือนผิดไปก็ได้นะครับ 555)
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 4 พ.ย. 46 01:12:15 A:202.133.161.105 X: ]
ความคิดเห็นที่ 26
คุณชาเขียวครับ มีวิธีหาข้อมูลการตลาดได้ 3 วิธีครับ
1. ซื้อ จากแหล่งที่ขายข้อมูลเหล่านี้โดยตรงครับ เช่น
//www.marketinfo.siam-biz.com/ (ถ้าสามารถแยกๆกันซื้อ รวมๆกันอ่านได้ก็จะดีมากครับ)
2. สรุปเองจาก Form-56 ครับ (ใช้เวลาพอสมควรครับ)
ใครรู้จักช่องทางอื่นๆก็ช่วยๆกันบอกบ้างนะครับ จะได้หามาอ่านเพิ่มเติม 5555
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 4 พ.ย. 46 22:55:13 A:202.133.161.42 X: ] แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 47 21:41:39
กลยุทธ์ที่ 5 ลมนิ่งต้องดึง ลมตึงต้องผ่อน ก่อนพายุมาต้องหลบ คุณ คลาย เครียด บอกไว้ในกลยุทธ์ที่ 4 ให้ผมช่วยรวมกระทู้ กลยุทธ์ คงต้องขอแรงท่านใดก็ได้สักคน ทำ Link รวมกลยุทธ์ เพื่อคุณคลาย เครียด ด้วยนะครับ 5555
เหมือนเช่นกระทู้ 4 ดีกว่าครับ ลองช่วยคิดดูหน่อยครับ ว่ากลยุทธ์นี้ ท่านทั้งหลายเข้าใจความหมายว่าอย่างไร พอมีแรงและหายปวดหลังแล้วจะมาเฉลยนะครับ 5555
ปล. วันนี้ SET(629.45) ไทยแซงทางโค้งผ่าน JSE (625.54)โดยไม่เสียหลัก ได้รับการปรบมือจากผู้ชมรอบสนามไปแล้ว หากเข้าทางตรงทรงตัวได้มั่นคง สงสัยจะทิ้งห่าง เป้าหมายในปีหน้าคือ KLS ของมาเลย์(817.12)
ผมข้ามเกาหลีใต้ไป เพราะพื้นฐานประเทศยังคงห่างกัน แต่ถ้าเกิดปัญหาสงครามหรือโรคระบาดขึ้นอีกก็ลืมๆกระทู้นี้ไปเลยนะครับ 5555
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 31 ต.ค. 46 17:29:00 A:210.1.6.101 X: ]
ความคิดเห็นที่ 6
ยังไม่หายปวดหลังเลยครับ เป็นไปตามสัจธรรม สังขารไม่เที่ยง ครับคุณ think_pos ผมคงไม่ถนัดไปกับคุณ aeaw หรอกครับ 5555
ขอบคุณครับ ทุกๆท่าน คุณชาเขียวนี่เหมือนคนรู้ใจเลย เป็นครั้งที่ 2 แล้วนะครับที่ตอบได้ถูกมากที่สุดตามจุดมุ่งหมายของกลยุทธ์นี้ แต่การเปรียบเทียบอาจสลับกับข้อความบ้างก็ลองพิจารณาดูนะครับ
คุณประกอบ นำไปลงได้เลยครับ สิ่งใดที่ทำแล้วเพิ่มความแข็งแกร่งให้คนลงทุนได้บ้างไม่มากก็น้อย ผมเต็มใจให้เต็มที่เลยครับ
ขอวกกลับมาที่กลยุทธ์ที่ 5 นะครับ ตอนผมนั่งนึกว่าจะเปรียบเทียบกลยุทธ์นี้กับอะไร ผมก็นึกถึง ว่าว จริงๆครับ ตอนเด็กๆ ผมชอบทำว่าวแข่งตีกับเพื่อนๆ ทำหมดทั้งว่าวปักเป้า ว่าวจุฬา(เพี้ยนๆ) ว่าวอินเดีย ว่าวนาๆชาติฯลฯ เอาไปแข่งทีไรแพ้เพื่อนทุกที ตอนหลังเลยคิดทำเป็นว่าวแขกหัวแหลมเปี๊ยบ ปรากฏว่าชนะเพื่อนได้ แต่ก็ทำให้เลิกแข่งกันไปเลยครับ คือเขาไม่แข่งกับผมอีกเลย เขากลัวผมจะทำว่าวประหลาดๆออกมาอีก (มาพิจารณาดูตอนหลัง ว่าวแขกหัวแหลมที่ผมทำมันอันตรายมาก เพราะถ้ามันเกิดดิ่งใส่หัวคน สงสัยทะลุกระโหลกได้เลย) ชักไปไกลแล้วกลับเข้าเรื่องดีกว่า
ยามลมนิ่งให้ดึง เมื่อลมไม่มี ก็เหมือนกับแรงซื้อหายไปจากตลาดนั่นแหละครับ หุ้นส่วนใหญ่มักจะตกแบบค่อยๆซืมลงเหมือนเวลาว่าวตกนั่นแหละครับ ถ้าเป็นว่าว จังหวะนี้เราต้องดึงสายป่านเข้ามาเพื่อให้ว่าวยังคงลอยตัวอยู่ได้ สำหรับหุ้นจะเป็นช่วงที่ต้องเก็บเงินที่กระจัดกระจายไปในหุ้นจำนวนมากๆหลายๆตัวขึ้นมาบ้าง อาจนำไปใส่ในหุ้นตัวที่เรามั่นใจมากที่สุดลดหลั่นกันไปตามลำดับ เงินที่เก็บเข้ามาบางส่วนก็เพื่อรอจังหวะดีๆครับ กล่าวคือ ในช่วงหนึ่งผมอาจจะลงทุนในหุ้นถึง 30 ตัว ช่วงที่ไร้ข่าวใดๆหรือไม่มีใครอยากลงทุนในตลาด หุ้นบางตัวอาจหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น แต่บางตัวอาจค่อยๆซึมลงเนื่องจากร้อนแรงเกินไปในช่วงที่ผ่านมา แต่บางตัวอาจโดนทุบหลังหมดข่าวเพื่อให้รายใหญ่ได้เก็บเพิ่ม ช่วงนี้ ควรลดจำนวนหุ้นลงให้เหลืออยู่ไม่กี่ตัว ถ้าหุ้นตัวบางตัวโดนทุบแรงๆทั้งๆที่มีพื้นฐานดี ก็ควรขายหุ้นพวกนี้ออกไปก่อน (ตามจุด Keep Profit ที่ตั้งไว้) ซึ่งก็คือการเก็บสายป่านไว้ครับ เมื่อหุ้นที่โดนทุบลงไปต่ำมากๆ ก็อาจซื้อเพิ่ม หรือนำหุ้นที่ค่อยๆซืมลงไปแลกกับหุ้นที่ถูกทุบ เพราะส่วนต่างการลดค่าจะไม่เท่ากัน ด้วยวิธีนี้จะทำให้สามารถลดจำนวนหุ้นที่ถือครองในขณะที่เก็บเงินไว้ใช้ยามต้องการได้ด้วยครับ และหลายๆครั้งจากประสบการณ์ก็พบว่า เมื่อเกิดการทุบเพื่อเก็บของ ก็จะเกิดการหมุนวนการทุบคล้ายๆกับตอนหมุนวนการปั่น ซึ่งการแลกหุ้นตัวที่ค่อยๆซืมลงกับตัวที่ถูกทุบมากๆจะเป็นแนวทางที่ดีกว่าการใช้เงินเข้าไปซื้อเพิ่มครับ
ยามตึงให้ผ่อน ในขณะที่ลมแรงๆ เป็นจังหวะที่เราสามารถผ่อนสายป่านออกไป พร้อมๆกันนั้นว่าวก็ยังคงลอยในระดับความสูงอยู่ได้ สำหรับการลงทุน เมื่อเริ่มมีข่าวดีปรากฏ (ขอย้ำนะครับว่าเริ่มมี) คนจะเริ่มมั่นใจในตลาดมากขึ้น ก็จะพากันกลับเข้ามาในตลาดมากขึ้น สายป่านที่เคยเก็บไว้ ก็สามารถลงทุนเพิ่มในหุ้นที่มีพื้นฐานดีๆที่ถูกทุบไปก่อนหน้านี้หรือหุ้นดีๆที่ยังไม่มีใครนึกถึง(หายากหน่อยนะ 5555) หากเราเพิ่มการลงทุนในหุ้นที่เรามีอยู่แล้ว หลายๆท่านอาจบอกว่า ทุนของเราก็จะเพิ่มขึ้นมิใช่หรือ ก็ถูกนะครับ แต่ขอแนะนำว่าควรเพิ่ม แต่ไม่ควรไล่ราคานะครับ ไม่ใช่ซื้อเพิ่มในจังหวะที่คนกำลังไล่ แต่ควรซื้อในจังหวะที่คนทำกำไรซึ่งราคาจะอ่อนตัวลงมาระดับหนึ่ง ถึงไม่ถูกเท่ากับตอน Low แต่ก็ไม่สูงเท่ากับตอน High นะครับ ยิ่งถ้าสามารถซื้อเพิ่มที่ระดับราคาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมากๆได้ก็จะดีครับ พร้อมๆกันนั้นก็ตั้งจุด Keep Profit ไปเรื่อยๆ ดังนั้นหากเราซื้อเพิ่มจนเข้าใกล้จุด Keep Profit ก็ควรหยุดนะครับ
ก่อนพายุมาต้องหลบ เมื่อพายุมา ว่าว ก็ไม่สามารถเล่นได้ แต่ก่อนพายุมามักมีสิ่งบอกเหตุหลายๆประการ ปกติจะมี 2 รูปแบบคือ ลมนิ่งจนน่ากลัวแล้วเกิดพายุ กับลมแรงขึ้นเรื่อยๆจนเกิดพายุใหญ่ แบบหลังนี้น่ากลัวกว่ามาก (ทำให้คนติดดอยมามากแล้ว) ตอนลมนิ่งๆ หรือตลาดไร้ปัจจัยบวก จะมีเวลาค่อยๆคิดถอนการลงทุนหรือโยกย้ายหุ้นได้อย่างรอบคอบ หากเกิดพายุหลังจากปรับพอร์ทเรียบร้อยก็ถือว่า ท่านได้เข้าสู่สภาวะเตรียมพร้อมรับมือพายุได้อย่างดี และอาจได้รับประโยชน์จากการเกิดของพายุด้วยซ้ำ แต่หากตลาดอยู่ในช่วงกำลังบูม มักไม่ค่อยนึกถึงการปรับพอร์ทกัน อาจมีการขายทำกำไรกันบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่ก็มักจะนำกำไรที่ได้ใส่กลับคืนเข้าไปในตลาดอย่างเร่งรีบ ซึ่งหากเกิดพายุทันที ก็จะเกิดความไม่พร้อม และคงได้แต่นั้งภาวนาเฝ้ารอให้พายุสงบโดยเร็ว และเสียโอกาสในการทำกำไรหลังพายุอย่างแน่นอน
ปล. ในขณะนี้ ตลาดยังเป็นไปตามคาดการณ์ตั้งแต่ผมกลับจากต่างประเทศ และพิมพ์เรื่อง คน 7 คน แต่รู้สึกว่าจะเกินความคาดหมายอย่างรวดเร็วมากเกินไป ซึ่งนับว่าลมกำลังแรงขึ้นเรื่อยๆแล้วนะครับ ขอเตือนหลายๆท่านที่กำลังผ่อนสายป่านรับลมออกไปด้วยครับ ยิ่งผ่อนสายป่านไปยาวมากเท่าใด ท่านก็ต้องใช้เวลากับการดึงสายป่านกลับมากขึ้นเท่านั้น และโอกาสของท่านจะลดลงหากเกิดพายุขึ้นทันที่ในสภาวะการณ์เช่นนี้ หวังว่าทุกๆท่านคงลงทุนกันอย่างรอบคอบนะครับ 55555
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 3 พ.ย. 46 11:17:47 A:210.1.6.101 X: ]
กลยุทธ์ที่ 6 สร้างพอร์ทที่มีแต่กำไร เพื่อฝึกให้สามารถถือยาวๆๆๆ
กลยุทธ์ที่กล่าวถึงนี้ไม่จำเป็นต้องรอขายหุ้นที่มีกำไรทั้งหมดเพื่อนำไปใส่ในพอร์ทหลังครับ และในทางปฏิบัติก็ทำได้ยากพอควรครับ และจะทำให้เกิดการปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปในบางครั้งครับ (อ่านถึงตอนท้ายๆจะทราบครับว่าเสียโอกาสอย่างไร) ข้อสำคัญในการลงทุนไม่ให้เกิดความเครียด สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งก็คือกำลังใจครับ ระหว่างคนที่ลงทุนแล้วต้องนั่งจดจ่อรอคอย พร้อมกับลุ้นว่าจะกำไรหรือขาดทุน กับคนที่ไม่ต้องสนใจตลาดมากนัก ปล่อยให้เงินลงทุนทำงานของมันไปเรื่อยๆ คนหลังน่าจะมีความสุขมากกว่าจริงไหมครับ
เมื่อได้พิจารณาซื้อหุ้นตัวใดแล้วมีกำไร สามารถนำกำไรที่ได้ไปซื้อหุ้นอีกพอร์ทหนึ่งได้เลยครับ และไม่จำเป็นต้องซื้อตัวที่สร้างกำไรอยู่ในขณะนั้นด้วยครับ อีกประการหนึ่ง การที่จะเอากำไรทั้งหมดไปซื้อหุ้นตัวอื่นในอีกพอร์ทหนึ่งนั้น เวลาหุ้นตก จะมีความรู้สึกเสียดายพอสมควร วิธีที่นิยมใช้คือ แบ่งกำไรที่ได้เป็น 2 ส่วนในอัตราที่เหมาะสมกับจริตของแต่ละท่านครับ (ผมชอบ 70/30 ครับ) ผมเอาส่วนแรก 70% ไปเลือกซื้อหุ้นดีๆที่อยู่นอกฤดูกาลออกดอกออกผลเก็บไว้ในพอร์ทที่มีแต่กำไร ส่วนอีก 30% ที่เหลือเก็บไว้ในพอร์ทปกติเพื่อเพิ่มจำนวนเงินลงทุนหรือไม่ก็ถอนออกมาซื้อหาข้าวของและทำบุญทำทานบ้างครับ ด้วยวิธีนี้จะทำให้มีความรู้สึกว่าได้เห็นกำไรงอกเงยขึ้นในพอร์ทปกติ หลังจากนั้นก็เหมือนกับที่คุณ จูกัด เหลียงกล่าวไว้ครับ คือปล่อยพอร์ทที่มีแต่กำไรไปนานๆจนลืมเลยครับ (บางทีกลับมาดูแทบหัวใจวายเหมือนกัน 5555)
การที่นำเงินกำไรที่ได้จากการลงทุนในพอร์ทปกติ ไปซื้อหุ้นในอีกพอร์ท เป็นการแบ่งแยกที่ชัดเจนครับ ตอนแรกๆผมก็ปนๆกันไปทั้งหุ้นที่กำไรและขาดทุน และขายๆซื้อๆในพอร์ทเดียวอยู่เป็นนาน ปวดหัวกับการจัดการมากครับ และเมื่อนั่งสังเกตความรู้สึกของตนดู ยิ่งจำนวนหุ้นมากขึ้น ยิ่งสับสนครับ เลยแยกเป็น 2 พอร์ท ผลที่ได้คือ ในพอร์ทที่ใช้กำไรซื้อ ไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือจะลงผมไม่สนใจเลยครับ ถึงแม้หุ้นบางตัวจะติดลบหลังจากซื้อ ก็เป็นเพียงการขาดทุนกำไรครับ จึงไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจอันใดเลย ทำอย่างนี้จึงทำให้ผมสามารถถือหุ้นบางตัวได้ยาวๆๆๆๆข้ามปีเลยครับ
นอกจากนี้ หุ้นในพอร์ทที่ใช้กำไรลงทุน จะเป็น Indicator ที่สำคัญที่ช่วยในการตัดสินใจในการลงทุนพอร์ทปกติด้วย ผมเคยพบว่า หุ้นบางต้วในพอร์ทที่มีกำไร เคยติดลบกว่า 50% เมื่อพิจารณาพื้นฐานของหุ้นนั้น ผมก็ตัดสินใจลงทุนในพอร์ทปกติอีกครั้ง พอ Rebound ก็จะได้กำไรในพอร์ทปกติเป็นกอบเป็นกำพอสมควรด้วยครับ แล้วก็เอากำไรไปรอซื้อหุ้นตัวอื่นๆ ที่ Indicator ในพอร์ทที่มีแต่กำไรชี้ว่า หุ้นตัวนั้นมีราคาต่ำเกินไปแล้ว (สงสัยโดนทุบครับ) ตรงนี้แหละครับที่ผมเกริ่นไว้ในตอนต้นว่าทำให้ไม่เสียโอกาส เพราะในช่วงเวลาหนึ่ง หุ้นบางตัวอาจถูกทุบลงมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง หากเรารอจนหุ้นได้กำไรแล้วขายทิ้ง ช่วงจังหวะเวลาอาจไม่สอดประสานกันก็ได้ครับ ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งครับ "จังหวะเราเป็นผู้กำหนด โอกาสเราเป็นผู้สร้าง หนทางขึ้นอยู่กับความเป็นไปของโลกครับ"
ข้อสำคัญอีกประการหนึ่ง หากตลาดเป็นขาขึ้นทั้งหมด 70% ที่ได้จากกำไร ไม่จำเป็นต้องนำไปซื้อหุ้นใดๆในทันทีนะครับ เก็บไว้ในบัญชีของพอร์ทที่มีกำไรก่อนก็ได้ครับ กำหนดจังหวะ สร้างโอกาสดีๆให้กับพอร์ทของตนดีกว่าครับ จะได้ไม่ขาดทุนกำไรมากนัก 55555 จริงๆแล้ว กลยุทธ์นี้ก็คล้ายๆกับ คลาย เครียด เรโช เหมือนกันนะครับ ต่างนิดตรงที่ว่า ต้นทุนผมติดลบจริงๆครับ ก็ติดลบจาก 30% ของสัดส่วนที่ผมกล่าวถึงในตอนต้นๆนั่นแหละครับ
กลยุทธ์ที่ 7 ลูกปิงปองที่ตกลงพื้น จะเด้งขึ้นสูงได้น้อยกว่าเดิม ยกเว้นมีแรงส่ง
ผมนั่งนึกย้อนเวลาไปในอดีต ค้นหาภาพเหตุการณ์ผิดพลาดต่างๆที่เป็นบทเรียนสอนใจให้จดจำมาจวบจนปัจจุบัน สำหรับนักลงทุนหลายๆท่าน ก็คงเคยได้รับบทเรียนอันเจ็บปวดจากพฤติกรรมการลงทุนของตนเองบ้างไม่มากก็น้อย ผมเป็นคนหนึ่งที่มีนิสัยไม่ดีตรงไม่ชอบ Cut Loss (แต่ก็เคยทำนะครับ) ความเจ็บปวดหนึ่งผุดขึ้นมา ผมเลยเอามาตั้งเป็นกลยุทธ์นี้ ซึ่งความผิดพลาดที่เคยพบและเกี่ยวข้องกับกลยุทธ์นี้ มี 2 ลักษณะดังนี้ครับ
1. มีหลายๆครั้งที่ผมซื้อหุ้นที่ราคาสูงสุดในบางรอบ พอมันลงผมก็จะซื้อเฉลี่ยไปเรื่อยๆ ยิ่งลงยิ่งซื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตรงที่เจ็บปวดก็คือ พอมันหยุดแล้ว Rebound กลับขึ้นมา ผมก็จะรอไปเรื่อยๆ เนื่องจากคิดว่ามันจะกลับมาที่ราคาเท่ากับตอนที่ผมซื้อครั้งแรก ซึ่งจะทำให้ผมมีกำไรมากมาย ผมพบว่า บางครั้งก็ได้ผล แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผล เพราะราคาที่ขึ้นจากการ Rebound มักไม่สูงเท่ากับครั้งแรกที่ซื้อ พอผมรอไปถึงระยะหนึ่ง ราคามันก็ร่วงกลับลงไปอีก ทำให้เสียเวลาไปพอสมควร และความเจ็บปวดอันนี้เองที่เป็นบทเรียนให้ผมเคร่งครัดต่อวินัยในการลงทุนอย่างมาก และเป็นที่มาของการตั้งจุด Keep Profit ครับ
2. เช่นเดียวกับข้อแรก เมื่อผมซื้อเฉลี่ยไปเรื่อยๆจนถึงจุด Rebound ผมกลับใจร้อนรีบขายทั้งหมด เมื่อมันมีกำไรให้เห็นเพียงเล็กน้อย แต่แล้ว ผมก็ได้ยินเสียง อู๊ดๆไล่หลังมาในเวลาไม่นานนัก เนื่องจากในช่วงจังหวะที่ขาย ผมมัวแต่ดีใจว่าได้ลงจากดอยแล้ว โดยไม่สนใจพื้นฐานการดำเนินงานของบริษัท หรือเหตุที่ทำให้ราคามันขึ้นมา ซึ่งบางครั้งหลังจากขายและเห็นราคามันขึ้นสูงกว่าจุดที่เคยซื้อครั้งแรก ผมจึงหาข้อมูลดู และพบว่า ที่ราคาขึ้นสูงเกินกว่าเดิมได้นั้น เพราะแรงส่งจากข่าวและผลการดำเนินงานของธุรกิจนั้น ความเจ็บปวดจากกรณีนี้ จึงทำให้ผมคอยติดตามข่าวและผลการดำเนินการของธุรกิจที่ผมลงทุนก่อนตัดสินใจขายในปัจจุบัน
บทสรุปจากทั้งสองกรณี คือต้องให้ความสำคัญต่อศึกษาหาข้อมูลในหุ้นที่เรากำลังจะตัดสินใจขายมากพอๆกับการตัดสินใจซื้อครับ
ในปัจจุบัน ผมจะวางเป้าหมายไว้ล่วงหน้าว่า หุ้นใดผมต้องการลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่าใดก่อนเสมอ หากราคาของหุ้นลดลงผมยังคงซื้อเฉลี่ยอยู่ แต่ไม่รีบร้อนซื้อ จะต้องค้นดูสาเหตุของการลงเสียก่อน แล้วจึงตั้งเป้าหมายการซื้อเฉลี่ยแต่ละครั้ง ซึ่งหากจำนวนเงินที่ลงทุนซื้อเฉลี่ยไปเกิดมีจำนวนมากกว่าที่วางเป้าหมายไว้ เมื่อมีการ Rebound กลับ ผมจะดึงเงินส่วนเกินกลับขึ้นมาจากเป้าหมายการลงทุน ถึงแม้จะมีกำไรไม่มากนัก หลังจากนั้นก็จะถือหุ้นที่ราคาเฉลี่ยไปเรื่อยๆด้วยจำนวนเงินที่ตั้งเป้าหมายไว้แต่แรก (แต่มีต้นทุนต่ำลง)
ปล. การใช้กลยุทธ์นี้ ต้องปฏิบัติตามวินัยในการลงทุนอย่างเคร่งครัด และมีสายป่านยาวมากพอสมควรจึงจะได้ผลครับ ผมไม่มั่นใจว่าทุกคนจะสามารถทำได้ โดยเฉพาะมือใหม่มักหลงอยู่ในความคิดของตนวนเวียนจนตัดสินใจพลาดได้โดยง่ายนะครับ (ผมเคยเป็นมาแล้ว 5555)
ความเห็นเพิ่มเติมของคุณ think_pos ขอแจมด้วยครับ ลูกปิงปองอยู่สูงจากโลกมากขึ้นได้2กรณีใหญ่ๆคือ 1.สภาพความยืดหยุ่นของพื้นเปลี่ยนไป(สภาพคล่องในตลาดเงิน) 2.การย้ายระดับพื้น(ฐาน)ขึ้นบน(ยอดขายเติบโตและกำไรมากขึ้น) ไม่ทราบว่ามองเห็นตรงกันอีกหรือไม่ครับ
กลยุทธ์ที่ 8 "จงเป็นพ่อค้าที่มีเงินทุนสำรองอยู่อย่างสม่ำเสมอ" ต้องขออภัยท่านผู้ติดตามอ่านด้วยครับ เมื่อคืน และเมื่อวานซืน ผมพยายามจะโพสต์กระทู้นี้ แต่แปลก เมื่อเข้าสินธรสถานได้ ผมเห็นแต่หัวข้อกระทู้ เข้าไปอ่านกระทู้ไม่ได้ เข้าเวปอื่นๆก็เข้าได้ปกติ ใครเคยเจอแบบผมบ้างครับ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ช่วยแนะนำหน่อยครับ ผมให้หลายช่วยเก็บฮาร์ดดิสค์ตัวใหม่ไว้ แล้วเอาตัวเก่าที่มีโปรแกรมเก่าๆมาใช้งานก่อน ไม่เช่นนั้นอาจไม่ทันกำหนดเดินทาง
ผมคาดว่า กลยุทธ์นี้ เป็นกลยุทธ์ที่ยากที่สุดที่นักเก็งกำไรจะสามารถทำได้ในบางสถานการณ์ แต่กลยุทธ์นี้เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ผมได้กำไรจากการลงทุนแบบยั่งยืนครับ และผมคิดเองว่าเป็นกลยุทธ์ที่อาจสามารถทำให้นักเก็งกำไรบางท่านแปรเปลี่ยนเป็นนักลงทุนอย่างแท้จริงได้ครับ โดยไม่ต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่าง VI กับ VS แต่หากท่านใดมีความเห็นแตกต่าง ผมก็ยินดีรับฟังคำวิจารณ์และความเห็นหักล้างครับ
ใน 7 กลยุทธ์ที่กล่าวมา เป็นเพียงองค์ประกอบให้การดำเนินการในกลยุทธ์ที่ 8 นี้ บรรลุสู่เป้าหมาย หากแต่ว่า กลยุทธ์ทั้ง 7 นั้น ผมเห็นว่าสามารถใช้ได้ทั้งนักเก็งกำไรและนักลงทุน แต่กลยุทธ์ที่ 8 และ กลยุทธ์ที่ 9 ใช้ได้ผลสำหรับนักลงทุนที่แท้จริงเท่านั้นครับ ซึ่งเมื่อผมมองย้อนกลับไปดูในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมก็รู้สึกว่ากลยุทธ์นี้เป็นกลยุทธ์ที่หลอมรวมความคิดแบบนักเก็งกำไรของผมเองเข้ากับความคิดแบบนักลงทุนแบบพ่อค้า ให้กลายเป็นความคิดแบบนักลงทุนในตลาดหุ้นครับ โม้ไปหรือเปล่าใช้วิจารณญานส่วนตัวพิจารนาดูกันนะครับว่า ผมเป็นมนุษย์หุ้นแบบใด)
คงต้องขออธิบายถึงเรื่องการลงทุนก่อนนะครับ ในภาคปฏิบัติ มนุษย์ทุกชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นมาย่อมต้องคลุกคลีกับเรื่องการลงทุนบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ หากย้อนคิดถึงภาพต่างๆในอดีต หลายๆครั้งผมก็ได้เห็นตนเองซื้อของมาขาย ซื้อหนังสือมาอ่าน และได้นำความรู้ไปพูดกล่าวให้มนุษย์อีกหลายๆคนได้รับรู้รับฟัง อันนำมาซึ่งสินจ้างบ้าง น้ำใจบ้าง เหล่านั้นก็เป็นรูปแบบของการลงทุนอีกอย่างหนึ่งนั่นเองครับ หลายๆท่านลองรำลึกถึงอดีตกันดูบ้างนะครับ อาจเห็นภาพของตนเองแบบผมบ้างก็ได้ 5555
โดยสรุป จุดประสงค์ของการลงทุนคือ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่คาดหวังว่าจะได้รับตอบแทนกลับคืน แม้การทำบุญก็อาจเป็นรูปแบบหนึ่งของการลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งความสงบสุขในใจโดยมีความคิดขัดแย้งว่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้หวังผลตอบแทนอันใด รูปแบบของการลงทุนก็มีอยู่อีกมากมาย ดังนั้น ผมจึงขอมุ่งประเด็นให้แคบลงมาเฉพาะในเรื่องสองเรื่องคือเรื่องการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และการทำมาค้าขายนะครับ ซึ่งผมจะเรียกว่า การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และ การลงทุนในตลาดซื้อขายสินค้า ไม่ว่าเราจะลงทุนในตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดซื้อขายสินค้า เป้าหมายที่สำคัญก็คือการได้มาซึ่งกำไรเหมือนกัน หากแต่ว่า เมื่อคนนึกถืงตลาดหลักทรัพย์ หลายๆคนกลับนำไปเชื่อมโยงกับการพนันกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจริงๆแล้วในการทำมาค้าขายปกติ ก็สามารถนำไปเชื่อมโยงกับเรื่องการพนันได้เช่นกันครับ ผมนึกถึงวิธีถ่ายทอดความคิดออกมาให้เป็นรูปแบบง่ายๆ และสรุปออกมาเป็น เรื่องราวของชีวิตของคนสองคนที่ผมเคยได้สัมผัสในหลากหลายรูปแบบดังต่อไปนี้นะครับ
มีคนสองคนเป็นเพื่อนกัน คนหนึ่งชอบเล่นการพนัน (ผีพนัน) อีกคนชอบทำมาหากิน (คนขยัน) สองคนคบกันมาตั้งแต่เด็กจนแก่ ต่างก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาโดยตลอด บางครั้งผีพนันก็ได้เงินมากมายจากการเล่นการพนัน แล้วก็พาคนขยันไปเลี้ยงดูปูเสื่อ คนขยันก็คอยเตือนผีพนันด้วยความจริงใจอยู่เสมอว่ามีเงินให้เอาไปทำมาหากินทางอื่นดีกว่า อย่าเล่นพนันต่อเลย หลายครั้ง ผีพนันก็มาขอข้าวคนขยันกิน ถึงกระนั้นคนขยันก็ไม่เคยดูหมิ่นดูแคลนผีพนันเพื่อนรักเลย เหตุเป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งมีผีพนันได้ยินว่ามีการเปิดตลาดหุ้น
วันหนึ่ง ผีพนัน มาบอก คนขยัน ว่า ตนจะเลิกเล่นการพนันแล้ว ขอยืมเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นหน่อย คนขยัน ก็แย้งว่า มันก็การพนันเหมือนกันนั่นแหละ ถ้าเอาไปเปิดร้านขายของจะให้ยืมเงินแต่ถ้าเอาไปลงทุนในตลาดหุ้นไม่มีให้ ผีพนันโกรธเลยหายไปเล่นพนันหนักขึ้น เป็นหนี้เป็นสิน โดนอันธพาลทำร้ายหลายครั้ง คนขยัน ได้ยินข่าวก็เสียใจ ลองเข้าไปศึกษาข้อมูลในตลาดหุ้นดู ก็พบความจริงว่า ในตลาดมีทั้งนักพนัน และนักลงทุน จากนั้นก็เที่ยวตามหา ผีพนัน จนเจอในสภาพสะบักสะบอมเต็มทน ผีพนัน ยังโกรธคนขยันไม่หายเพราะช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นได้เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ มีคนรวยจากตลาดมากมาย ถ้า คนขยัน ให้เงินทุน คงรวยและเลิกเล่นพนันไปแล้ว แต่คนขยันก็สามารถนำตัวผีพนันไปดูแลรักษาจนได้
คนขยัน ดูแลรักษาเพื่อนจนหายดี และบอกเพื่อนว่า จะให้เงินลงทุนในตลาดหุ้น แต่มีข้อแม้ว่า ผีพนันต้องทำตามที่ตกลง และให้ซื้อขายผ่านคนขยันเท่านั้น ได้เงินบวกลบเท่าใด หนึ่งปีมาคิดหักกลบลบหนี้กัน ผีพนันก็ตกลง และเริ่มต้นบอกให้คนขยันลงทุนตามที่ตนต้องการ แรกๆ ผีพนันก็ค่อยๆลงทุน เพราะกลัวเงินหมด เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ตลาดหุ้นเป็นตลาดขาขึ้น บางช่วงเวลา ผีพนัน เห็นว่าตนเองได้กำไรมากมาย จะมาขอเงินจากคนขยัน คนขยันก็บอกว่ายังไม่ครบหนึงปี ผีพนันก็ได้แต่หัวเราะแล้วบอกว่า เตรียมตัวแสดงความยินดีกับเขาไว้เถอะ ดูจากผลงานที่ผ่านมา คาดว่าเมื่อครบหนึ่งปี เขาจะมีเงินมากกว่า คนขยันหลายเท่านัก จากนั้นเหมือนยิ่งเล่นยิ่งมัน ผีพนัน บอกคนขยันให้ลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงหลายๆตัวโดยไม่สนใจพื้นฐานมากนัก ครบหนึ่งปี ผีพนัน หายหน้าหายตาไม่ยอมมาพบ คนขยัน จนคนขยันต้องออกตามหา เมื่อพบ ผีพนัน ขอโทษขอโพย คนขยันที่ทำให้ต้องเสียเงินเสียทองมากมาย คนขยัน บอกไม่เป็นไร เห็นไหมว่าตลาดหุ้นมันก็บ่อนการพนันดีๆนั่นแหละ แถมเสียเงินทองมากกว่าเล่นพนันตามบ่อนเสียอีก ผีพนัน ละอายใจที่ทำให้เพื่อนเดือดร้อนและสาบานว่าจะกลับตัวเลิกเล่นพนันโดยเด็ดขาด และขอเป็นคนรับใช้คนขยันไปจนตาย คนขยันบอกผีพนันว่า ไม่ต้องเป็นคนรับใช้หรอก แต่ขอให้ทำมาหากินให้ดีก็พอ จะให้เงินลงทุนใหม่ ผีพนัน ซาบซึ้ง แล้วขอคำแนะนำจากคนขยันว่า ตนสมควรจะลงทุนค้าขายอะไรดี ความรู้ก็ไม่ค่อยมี คนขยันก็ตอบว่า ก็ลงทุนค้าขายในตลาดหุ้นนั่นแหละ ด้วยเงื่อนไขเดิม แต่เพิ่มข้อแม้ใหม่ คือ ต้องลงทุนในช่วงที่ตนบอก และเลิกลงทุนทันทีเมื่อตนบอกเช่นกัน
ผีพนัน สงสัยอย่างมากว่า ทั้งๆที่ตนเองทำให้ คนขยันเสียเงินทองมากมาย ทำไมยังให้ตนใช้เงินลงทุนในตลาดอีก ตนไม่อยากให้เพื่อนรักเสียเงินมากขึ้นอีก และไม่อยากเล่นพนันอีกเพราะผิดคำสาบาน (ถ้าไม่สาบานก็ไม่แน่ใช่ไหมละ 5555) คนขยันเลยเฉลยว่า ที่ผ่านมาตอนช่วงที่ ผีพนันได้กำไรตนเองก็ไม่ได้ซื้อ ตอนช่วงที่ขาดทุนตนเองก็ไม่ได้ซื้อ แต่ตนเองเตรียมเงินไว้จ่าย ผีพนัน หากสุดท้ายสรุปว่า ผีพนัน ได้กำไร และในขณะที่รับข้อมูลจาก ผีพนัน และศึกษาตลาด ก็พบว่า ในความเป็นจริงแล้ว เราสามารถ ซื้อขายหุ้นในตลาดได้เหมือนทำมาค้าขายสินค้าทั่วไปเหมือนกัน แต่ต้องมีวินัยในการลงทุนอย่างเข้มงวด และคิดเช่นเดียวกับการซื้อของเข้าร้านไว้รอขาย ของบางอย่างยังต้องรอเป็นเวลานาน บางทีหลายวัน หลายเดือนหรือบางอย่างก็เป็นปีถึงจะได้ขาย แถมบางอย่างก็ต้องตัดใจยอมขายขาดทุนเหมือนกัน แต่ข้อสำคัญ ของใดที่มีวันหมดอายุ ต้องรีบๆขายเอากำไร ยิ่งใกล้หมดอายุยิ่งน่ากลัว จึงต้องไม่ซื้อของใกล้หมดอายุมาขายเด็ดขาด ของบางอย่างคนเห่อซื้อในบางช่วงทำให้ขายได้กำไรดี ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเห่อซื้อกันอย่างนั่นเสมอไป แต่ถ้าเป็นของไม่เน่าไม่เสีย ยังไงก็ยังขายได้ แต่จะขายได้เท่าใดก็เป็นอีกเรื่อง
สรุปแล้วหากรู้ว่า มีของที่ไม่เน่าไม่เสียให้ซื้อมาขายได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการเปิดร้านขายของหรอก ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า ตอนที่ซื้อของมา ต้องซื้อที่ราคาต่ำๆ เวลาขายจะได้กำไรดี แล้วต้องดูเงินทุนด้วย ไม่ใช่สักแต่จะซื้อจนทุนหมด พอมีของที่ถูกกว่ามาขายก็ซื้อไม่ได้ และด้วยเหตุผลในความส่วนนี้ จึงเป็นที่มาของชื่อของกลยุทธ์ที่ 8 หากท่านทั้งหลายยังไม่เข้าใจ ขอให้ติดตามอ่านต่อไปครับ
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 3 ธ.ค. 46 00:36:10 A:202.133.162.233 X: ]
ความคิดเห็นที่ 8
ความคิดเห็นที่ 1
ผีพนันฟังไปงงไป และที่สงสัยที่สุดคือคนขยันที่ไม่เคยข้องแวะกับเรื่องการพนันเลยมองเห็นอะไรจากตลาดหุ้นถึงได้คิดให้ตนลงทุนในตลาดหุ้นต่อไป แล้วก็ถามคนขยันว่า คนขยันจะลงทุนในตลาดด้วยหรือไม่ คนขยันพยักหน้าและตอบอย่างมั่นใจว่า ถ้าคนขยันลงทุนในตลาดเหมือนลงทุนในร้านขายของ ก็ไม่ต่างอะไรกันเลย แต่คนขยันคงไม่เอาเวลาค้าขายในตลาดจริงมาให้กับตลาดหุ้นมากนัก ดังนั้นผีพนันจะเป็นตัวแทนคนขยันในการค้าขายในตลาดหลักทรัพย์ ผีพนันยิ่งงงมากขึ้น เลยขอให้คนขยันช่วยอธิบายให้ละเอียดขึ้น คนขยันจึงรับปากว่าจะค่อยอธิบายไปที่ละเล็กที่ละน้อยให้ผีพนันเข้าใจง่ายๆ เรื่องราวที่คนขยันอธิบายให้ผีพนันฟังก็มีดังต่อไปนี้ครับ
คนขยัน หยิบของสิ่งหนึ่งในร้านขึ้นมาให้ ผีพนันดู มันเป็นของที่ทุกคนจำเป็นต้องใช้กันอยู่ทุกๆวัน แล้วถามผีพนันว่า รู้ไหม ไอ้นี่ราคาเท่าไหร่ คิดว่าข้าซื้อมาเท่าไหร่ และถ้าข้าขายไอ้นี่ได้จะได้กำไรเท่าไหร่ ผีพนันก็ตอบว่า ก็ป้ายมันติดอยู่ 12 บาท ไม่เห็นต้องถาม ส่วนเอ็งซื้อมาเท่าไหร่ เอ็งไม่บอกข้าจะรู้ได้ยังไง แต่ข้าว่าไม่มีคนมาซื้อไอ้นี่ของเอ็งแล้วละ เก่าเหลือเกิน ซองห่อก็ออกสีเหลืองๆแล้วด้วย ใครจะซื้อ อย่างนี้น่าจะทิ้งไปได้แล้ว
ของที่สองคนพูดถึงกันก็คือ สบู่ ครับ คนขยันบอกผีพนันว่า เขาซื้อมันตั้งแต่ราคาก้อนละ 5 บาท ตอนแรกๆก็มีคนนิยมใช้ ข้าขายแค่ 6 บาท ข้าได้กำไรตั้ง 20% ต่ออัน ข้าเคยจดบันทึกไว้ตอนแรกๆ มียอดขายถึง 1000 อัน มันทำให้ข้าได้กำไรถึง 1000 บาทจากการลงทุนเพียง 5000 บาท พอข้าวยากหมากแพงขึ้นก็มีการขึ้นราคาสินค้า ราคาขายของสบู่นี่มันก็ขึ้น จากขายได้กำไรก้อนละ 1 บาทข้าก็ขายได้กำไรก้อนละ 2 บาท เพราะอะไรรู้ไหม ผีพนันจึงรีบตอบ เอ็งก็เก็งกำไรนะสิ ไปซื้อตุนไว้ใช่ไหม คนขยันก็ตอบว่า ใช่ ข้าเห็นแนวโน้มว่าราคาสินค้าต้องปรับราคาขึ้นแน่ๆ ข้อเลยซื้อไอ้นี่มาเยอะ พอปรับราคาขายขึ้นแต่ราคาทุนยังไม่ขึ้นข้าก็ได้กำไรมากขึ้นจาก 20% เป็น 40% ราคาที่ขายข้าก็ไม่ได้ตั้งเองนะ ก็ร้านอื่นๆเข้าขายกันราคานี้ ข้าก็ขายตามเขานั่นแหละ ไม่ได้โก่งราคาสินค้านะ แถมบางที่ข้าลดให้ลูกค้าประจำข้าสัก 50 สตางค์ด้วยซ้ำ และเมื่อข้าคิดทำแบบเดียวกันกับสินค้าอื่นๆในร้าน ผลก็เป็นอย่างที่เอ็งเห็น กำไรที่ได้มาก็ทำให้ร้านข้าเติบโตมากขึ้น ขยายสาขามากขึ้น
ตอนที่คนขยันหยิบสบู่ให้ผีพนันดูราคาป้ายคือ 12 บาท แต่เมื่อดูสบู่ยี่ห้ออื่นๆในร้าน ก็เห็นแต่ราคาสูงกว่าทั้งนั้น อย่างต่ำๆก็ 20 บาท ทำให้ผีพนันสงสัยว่า ทำไมขายไม่ออกทั้งๆที่ราคาถูกกว่ามาก เมื่อซักถามคนขยัน ก็ได้รับคำตอบว่า ตอนที่ราคามันปรับสูงขึ้น มันเคยขึ้นไปสูงถึง 24 บาท ตอนนั้นข้าได้กำไรมากมาย ผีพนันสงสัยว่าทำไมถึงได้กำไรมากนัก เพราะราคาทุนมันก็น่าปรับตาม กำไรต่อก้อนก็ไม่น่าสูงมาก คนขยัน เลยเฉลย ก็ซื้อมาตุนมากขึ้นเรื่อยๆนะสิ พอข้าขยายร้านขยายสาขา ข้ายิ่งสั่งไอ้นี่เข้าร้านมากขึ้น ด้วยคาดหวังว่ากำไรจะมากขึ้น แต่ก็เกิดปัญหาจนได้ ต้นทุนสบู่นี่ ข้าซื้อสะสมมาเรื่อยๆตอนที่ราคามันค่อยๆปรับขึ้น จนต้นทุนเฉลี่ยของข้าอยู่ราวๆก้อนละ 16 บาท จริงๆก็อยากซื้อคราวละมากๆในตอนแรกๆ แต่ไม่มีเงินทุนมากพอ เพราะเอาไปซื้ออย่างอื่นเข้าร้านจนหมด ก็น่าเสียดาย (ตรงนี้เป็นเหตุผลที่หนึ่งในการสนับสนุนกลยุทธ์ที่ 8 ขีดเส้นใต้ไว้ด้วยนะครับ) ผีพนันรีบตอบโต้ว่า แต่คิดๆดูถึงแม้ซื้อเฉลี่ยตอนราคาทุนเพิ่มขึ้นแล้ว ก็ยังกำไรต่อก้อนถึง 8 บาทไม่ใช่หรือ 50% เลยนะ คนขยันจึงพูดต่อ มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่เกิดเหตุอันไม่คาดฝันขึ้น
อยู่มาวันหนึ่ง ก็เกิดอุบัติเหตุในโรงงานผลิตสบู่นี่ โรงงานเห็นขายผลิตภัณฑ์ได้มากก็ขยายโรงงานใช้เครื่องจักรใหญ่โตผลิตได้ทีละมากๆ ผลิตไปสักพักก็มีการล้างเครื่องจักร ปรากฏว่า คนงานในโรงงานคนหนึ่งดันเอามือล้วงเข้าไปทำความสะอาดเครื่องจักร แล้วโดนเครื่องจักรดึงเข้าไปทั้งแขน (ขาดไปเลย) ผีพนันก็ถามว่า มันก็อุบัติเหตุธรรมดา ไม่ใช่หรือ ไม่เห็นน่าจะมีปัญหาอะไรนี่ คนขยันก็พูดต่อ มันก็น่าจะจบแค่นั้น แต่มันไม่จบ ข่าวที่ออกมามันไม่ครบเพื่อให้คนเข้าใจผิด (หรือจะว่าโกหกก็ได้) จริงๆแล้ว ไม่ได้เกิดเหตุขณะล้างเครื่องจักร แต่เกิดตอนล้างบางส่วนของเครื่องจักรขณะกำลังผลิต ผลก็คือ เมื่อข่าวมันปรากฏในหนังสือพิมพ์ คนก็เลยกลัวว่า ได้สบู่ผสมเนื้อและเลือดคนมาใช้ ผีพนัน ก็เลยพยักหน้าเข้าใจ แล้วพูดว่า มิน่าราคาขนาดนี้ยังขายไม่ได้เหลืออยู่บานเบอะเลย คนขยันก็บอกต่อ ไม่ได้เหลืออยู่เท่าที่เห็นนี่นะ อีกหลายๆสาขาก็มีอีกเยอะ คราวนี้ต้นทุนเฉลี่ย 16 บาท เหลืออยู่ประมาณ 20000 ก้อน ก็ประมาณ 320,000.- บาท เชื่อไหมว่า ไอ้ที่กำไรๆมาตั้งแต่ต้น อยู่ในสบู่ทุกๆก้อนที่เห็นอยู่นั่นแหละ มีคนเขามาบอกให้ข้าเอาไปแปรรูปขาย ข้าก็บอกไปว่า ขนาดข้าเองก็ยังไม่กล้าใช้เลย จะเอาไปหลอกขายคนอื่นก็ดูกระไรอยู่ แต่ก็นึกว่าคงมีคนไม่สนใจเรื่องข่าวนั่นและกล้าใช้ ก็ค่อยๆลดราคาขายลงมาเรื่อยๆอย่างที่เห็นนั่นแหละ ก็ขายได้บ้างเล็กๆน้อยๆ ไม่รู้เมื่อไหร่จะหมด สุดท้ายแล้วจะได้ทุนคืนรึเปล่ายังไม่แน่ใจเลย ผีพนันก็พูดว่า คล้ายๆกับตอนที่ซื้อหุ้นบางตัวเลย มีข่าวดีๆราคาค่อยๆขึ้นไป ก็มีคนบอกให้ซื้อเฉลี่ยขาขึ้น พอเกิดข่าวลือและข่าวผิดหวังอะไรก็ไม่รู้ ราคาร่วง ถ้า Cutloss ไปก็จบเรื่อง แต่ก็คิดว่าน่าจะจบข่าวแล้วเด้งกลับได้ ก็รอ แต่จนแล้วจนรอดก็ร่วงเอาร่วงเอาจนต้องขายขาดทุนไปมากกว่าเดิมอีกมาก อย่างนี้ก็ไม่ต่างอะไรกันเลยนะ ชื้อของมาขาย กับซื้อหุ้นมาขายนี่
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 3 ธ.ค. 46 00:38:17 A:202.133.162.233 X: ]
Create Date : 25 กรกฎาคม 2548 | | |
Last Update : 29 กรกฎาคม 2548 11:52:42 น. |
Counter : 720 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]

|
สวัสดีครับทุกท่าน...ผมหมากเขียวแห่งสินธร...จาก Head of Prop Trade สู่ Private Trader อิสรภาพที่รอคอย
สงวนลิขสิทธิ์ © พ.ศ.2553 โดย หมากเขียว™ ห้ามลอกเลียน ทำซ้ำ หรือคัดลอกส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความที่เขียนโดยข้าพเจ้านอกจากจะได้รับอนุญาต
Copyright © 2010.All rights reserved. These articles and photos may not be copied, printed or reproduced in any way without prior written permission of Mhakkeaw™.
|
|
|
|
|
|
|
|