"แมงเม่าของเมื่อวันวาน คือ เซียนหุ้นของพรุ่งนี้"
Group Blog
 
All Blogs
 

ลองเป็นviดู โดย think_pos

ผมชอบเรียกตนเองว่านักเล่นหุ้นมากกว่านักลงทุนเพราะผมมองว่าการขึ้นลงของราคาหุ้นแต่ละตัวเป็นเกมที่ต้องจับทางให้ถูก...ที่ผ่านมาจึงเป็นนักเล่น(เกม)หุ้นมากกว่านักลงทุน

แต่การเป็นนักเล่นเกมนี้คุยกับเพื่อนๆลำบากเพราะอธิบายเหตุผลในการซื้อขายลำบาก,ยิ่งโพสต์ในที่สาธารณะก็คล้ายๆกับการบอกท่าไม้ตายให้คนอื่นๆรู้...วันนี้ขอลองมองหุ้นแบบนักลงทุนบ้างจะได้คุยยาวๆหน่อยครับ

คำถาม...ยังลงทุนในหุ้นได้หรือไม่

คำตอบ..ผมดูเศรษฐกิจมหภาค2ตัวเป็นหลัก(ตัวอื่นเป็นตัวประกอบ)คือดุลบัญชีเดินสะพัดและอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก...ถ้าดุลบัญชีเดินสะพัดยังบวกต่อเนื่องและดอกเบี้ยเงินฝากยังไม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น,ตลาดหุ้นยังน่าสนใจ(ค่อยเลือกหาหุ้นอีกที)

คำถาม...จะเลือกหุ้นอย่างไร

คำตอบ...ผมเลือกกลุ่มธุรกิจก่อน,ต้องเลือกกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะเวลาที่เราต้องการลงทุนเช่นอสังหาจะดีในระยะ3-6เดือนข้างหน้าแต่หลังจากนั้นอาจชะลอตัว,อาหารอาจเติบโตได้ต่อเนื่องหลายปี...หลังจากเลือกกลุ่มธุรกิจแล้วก็เลือกตัวหุ้น,ผมเลือกแบรนด์ก่อนแล้วเลือกผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่แล้วก็ดูราคาหุ้นเทียบกับงบการเงิน

คำถาม...กลุ่มไหนน่าสนใจในปีหน้า

คำตอบ..ปีนี้หลังจากเลือกกลุ่มผมเลือกหุ้นลูกหนี้เป็นส่วนใหญ่,หลายตัวส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบเพราะคิดว่าดอกเบี้ยที่ลดลงและการปรับโครงสร้างหนี้จะทำให้ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนไปอย่างมาก...ปีหน้าหลังจากผมเลือกกลุ่ม,ผมจะเลือกบริษัทที่เป็นผู้นำตลาหรือบริษัทที่มีการบริหารจัดการที่ดีเพราะผู้แข็งแรงเท่านั้นที่จะเติบโตได้....ปีนี้เป็นปีของลูกหนี้,ปีหน้าเป็นปีของbig corporations...กลุ่มที่จะมีการเติบโตมากน่าจะเป็นธนาคาร(เพราะไม่ต้องรตั้งสำรองมากเหมือนที่ผ่านมา)..กลุ่มที่เติบโตปานกลางน่าจะเป็นอาหาร,ยานยนต์,พลังงาน...ที่เหลือก็เติบโตตามGDP

คำถาม...ดูอะไรดีในงบการเงิน

คำตอบ...ส่วนใหญ่ดูBVกับPERแต่มีสองกลุ่มที่ผมประเมินยากมากคือกลุ่มอิเลคโทรนิค(เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วจึงไม่รู้ว่าเครื่องจักรที่มีอยู่จะด้อยค่าเร็วหรือไม่)และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์(เพราะไม่รู้ว่าบริษัทตีราคาที่ดินที่ถือครองอยู่ในราคาเท่าใดสูงหรือต่ำกว่าราคาตลาด,ถ้าตีราคาสูงเกินจริงBVก็จะสูงเกินจริงมากๆได้เนื่องจากทรัพย์สินในบริษัทอสังหาริมทรัพย์อยู่ในรูปที่ดินมากกว่าบริษัทกลุ่มอื่น)

หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนนักลงทุนบ้าง....ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ

จากคุณ : think_pos - [ 14 ก.ย. 46 13:07:21 ]




 

Create Date : 02 สิงหาคม 2548    
Last Update : 2 สิงหาคม 2548 12:04:34 น.
Counter : 530 Pageviews.  

นายรู้แล้ว! โดย ม้าเฉียว แห่ง TVI

นายรู้แล้ว เป็นนักลงทุนหน้าใหม่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งสยามประเทศ เขาศึกษาเรื่องการลงทุนมาไม่น้อย และคิดว่าเขาพร้อมแล้วที่จะท่องยุทธภพ แม้หลายคนจะเตือนเสมอว่า สมรภูมิแห่งนี้มีเพียง 10%เท่านั้นที่เป็นผู้ชนะ ทั้งๆที่เขามีโอกาสที่ชนะเพียง 10% หรือน้อยกว่านั้น แต่เขาก็ไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย เขากลับยิ้ม และเฝ้าฝันว่าเขากำลังจะรวยแล้ว เพราะเขาแข็งแรงมากพอที่จะชนะตลาดได้ เขาศึกษามาดีแล้ว ไม่เช่นนั้นจะได้ชื่อว่า นายรู้แล้ว ได้อย่างไรกัน

นายรู้แล้ว เริ่มลงทุนอย่างสนุสนาน แต่เขาแพ้ เขาขาดทุนกว่าครึ่งพอร์ต แต่เขายังยิ้มอยู่ และบอกกับตัวเองว่า “โอ่ย! มันเป็นต้นทุนของการเรียนรู้” เขาอาจจะศึกษามามาก แต่เพราะเขายังขาดประสบการณ์ไง ถึงได้ขาดทุน อย่าคิดมากMoney comes and money goes ต่อไปนี้เขาต้องชนะบ้างแล้วหละ เขาต้องหาอาวุธมาเพิ่มอีก เท่าที่มีอยู่ตอนนี้มันไม่พอ เขาฮึดสู้ใหม่ พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็น นายเจ็บพอแล้ว เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย

นายเจ็บพอแล้ว เริ่มลงทุนอีกครั้งด้วยแนวทางต่างๆเท่าที่มีการคิดค้นกันขึ้นมาได้ในโลก ลองใช้เทคนิคสารพัดของบรรดาเซียนต่างๆ เทคนิคหรือวิธีไหนไม่ได้ผลก็เปลี่ยน เปลี่ยนไปเรื่อยๆ พยายามพูดคุยกับเพื่อนนักลงทุนด้วยกัน ว่าวิธีหรือเทคนิคไหนที่ใช้แล้วสำเร็จบ้าง ก็ลองใช้ตามเค้าดู ไม่ว่าจะเป็นสายเพลงทวน หอก กระบองที่เก่งอาวุธยาว สายเพลงกระบี่ ดาบ มีดบิน ที่ชำนาญอาวุธสั้น รวมทั้งสายการต่อสู่ด้วยอาวุธลับต่างๆ เป็นเช่นนั้นอยู่นานหลายปี แต่สุดท้ายเขาก็ยังขาดทุนเหมือนเดิม ร่างกายบอบช้ำไปทั่ว เลือดลมแตกซ่าน เขาเริ่มโกรธ และหงุดหงิด “ฉันทำบ้าอะไรอยู่นี่” “มันผิดพลาดตรงไหน” What the hell am I doing? นายเจ็บพอแล้ว สบถกับตัวเอง

นายเจ็บพอแล้ว ตัดสินใจขอเวลานอกจากผู้คุมกฎ (Mr. Market) เพื่อนั่งพินิจพิเคราะห์เรื่องราวต่างๆอยู่นานปี แล้วต่อมใต้สมองและไขสันหลังของเค้าก็กระซิบบอกว่า “เทคนิควิธีการในการลงทุนต่างๆที่เจ้าลองใช้มาทั้งหมดนั้น มันไม่ได้ฆ่าเจ้าหรอก เจ้าต่างหากที่ฆ่าตัวเอง เจ้านะเหมือนนักรบที่เรียนรู้วิชาการต่อสู้มานับไม่ถ้วน แต่ละเลยที่จะเรียนรู้ตัวเอง ออกศึกด้วยอาวุธเป็นพันๆชิ้น แถมยังรู้ดีว่าควรใช้อาวุธชนิดไหนในสถานการณ์ใด เจ้าคิดว่าเจ้าไม่ใช่นายหมูที่จะให้ใครๆมาเชือดง่าย ไม่ใช่นายแมงเม่าที่จะให้ใครล่อลวงได้ แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือ เจ้าไม่เคยเรียนรู้ตัวเอง มันทำให้เจ้าขาดเพลงดาบของตัวเอง เมื่อไม่มีเพลงดาบของตัวเอง เจ้าจะมีความเคารพนับถือในตัวเองได้อย่างไร เรียกร้องเท่าไหร่ ชัยชนะคงจะไม่มาหาหรอก” ทันใดนั้น หลอดไฟก็ปรากฎอยู่เหนือหัวของเขา “ตอนนี้ฉันคือ นายรู้แจ้ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า”




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2548 18:56:08 น.
Counter : 1177 Pageviews.  

One Way Ticket (วอเร็น บัฟเฟตต์)

โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

วอเร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนเอกของโลกบอกว่าเขาอยากซื้อหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมที่สุดในราคาที่ยุติธรรม แล้วเก็บเอาไว้ไม่ขายเลยตลอดชีวิต และกลยุทธ์นี้เองที่ทำให้เขาสามารถทำกำไรได้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงมากเฉลี่ยกว่า 20% ต่อปีทบต้นมาเรื่อย ๆ เป็นเวลาเกือบ 50 ปี และกลายเป็นบุคคลที่รวยเป็นอันดับสองของโลกด้วยความมั่งคั่งหลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ความคิดของการซื้อหุ้นแล้วไม่ขายเลยนั้นบัฟเฟตต์ได้มาจากฟิลิป ฟิชเชอร์ในหนังสือคลาสสิค Common Stocks and Uncommon Profit ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1958 ต่อไปนี้เป็นคำเรียบเรียงของบางส่วนในหนังสือซึ่งวอเร็น บัฟเฟตต์เคยอ้างถึง และผมคิดว่า Value Investor ควรได้เรียนรู้เอาไว้ และถ้าเป็นไปได้นำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนของตนเอง

มีการอ้างเหตุผลอีกข้อหนึ่งในการขายหุ้นของนักลงทุนซึ่งทำให้เขาพลาดจากกำไรที่เขาควรจะได้ เหตุผลข้อนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ไร้สาระที่สุด นั่นก็คือหุ้นที่เขาถืออยู่มีราคาวิ่งขึ้นไปมากมหาศาล เพราะฉะนั้นมันคงรองรับผลการดำเนินงานในอนาคตไปหมดแล้ว ดังนั้นเขาควรจะขายมันและซื้อหุ้นตัวอื่นที่ราคายังไม่ได้ขึ้น

บริษัทที่ดีเยี่ยมซึ่งเป็นหุ้นประเภทเดียวที่ผมคิดว่านักลงทุนควรซื้อไม่ได้ทำงานแบบนี้ การทำงานของมันอาจจะเข้าใจได้ง่ายที่สุดโดยการอุปมาอุปไมกับเรื่องดังต่อไปนี้

สมมติว่ามันเป็นวันที่คุณเรียนจบจากมหาวิทยาลัยหรือเรียนจบมัธยมก็ได้ ทีนี้สมมติต่อว่าในวันนั้นเพื่อนร่วมชั้นของคุณทุกคนต้องการเงินสดอย่างเร่งด่วน แต่ละคนเสนอเงื่อนไขให้คุณแบบเดียวกันนั่นคือ ถ้าคุณให้เงินพวกเขาเท่ากับ 10 เท่าของรายได้ทั้งหมดที่เขาจะได้รับในช่วง 12 เดือนข้างหน้าหลังจากที่เขาเริ่มทำงาน พวกเขาก็จะตอบแทนคุณโดยการจ่ายเงินให้คุณเท่ากับหนึ่งในสี่ของรายได้ของเขาตลอดชีวิต สุดท้ายสมมติว่าคุณคิดว่านี่เป็นข้อเสนอที่ดีแต่คุณมีเงินสดในมือเพียงพอเฉพาะที่จะทำสัญญากับเพื่อนได้เพียง 3 คน

ถึงจุดนี้วิธีคิดของคุณคงคล้ายกับนักลงทุนซึ่งใช้หลักการลงทุนที่มีเหตุผลในการเลือกหุ้น คุณคงเริ่มวิเคราะห์เพื่อนร่วมชั้นแต่ละคน ไม่ใช่ดูว่าเขามีนิสัยใจคออย่างไร หรือแม้แต่มีความสามารถพิเศษด้านอื่นอย่างไร แต่คุณคงจะพยายามคาดการณ์ว่าเขาจะทำเงินได้มากน้อยแค่ไหนในอนาคต

ถ้าเพื่อนร่วมรุ่นมีมาก คุณก็คงตัดหลาย ๆ คนออกไปทันทีเพราะคุณไม่รู้จักเขาพอที่จะพิจารณาว่าเขาจะมีความสามารถหาเงินได้มากน้อยแค่ไหนในอนาคต นี่ก็เป็นอะไรที่คล้ายคลึงกับการลงทุนในหุ้นแบบชาญฉลาดเหมือนกัน

ในที่สุดคุณก็เลือกเพื่อนร่วมชั้น 3 คนซึ่งคุณรู้สึกว่าจะมีอนาคตในการหาเงินมากที่สุด คุณทำสัญญากับเขา สิบปีผ่านไป หนึ่งในสามคนทำได้ประทับใจมาก เขาเข้าทำงานในบริษัทขนาดใหญ่ ได้รับการปรับชั้นปรับตำแหน่ง ครั้งแล้วครั้งเล่า คนในบริษัทต่างก็พูดกันว่าผู้จัดการใหญ่ชื่นชมเขามาก และภายในอีก 10 ปีเขาอาจจะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งสูงสุดในบริษัทซึ่งเขาจะได้รับผลตอบแทนสูงมากจากทั้งเงินเดือน โบนัส หุ้นและผลตอบแทนอื่น ๆ

ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ แม้แต่นักวิเคราะห์หุ้นที่ชอบเชียร์ให้คุณ “Take Profit” ในหุ้นที่ดีเยี่ยมซึ่ง “ราคาวิ่งนำหน้าตลาด” ก็คงไม่คิดว่าคุณจะขายสัญญานี้ในราคาสูงเป็น 6 เท่าของเงินที่คุณจ่ายไปเมื่อสิบปีก่อน

ถ้ามีใครมาแนะนำให้คุณขายสัญญาทิ้งเพื่อเอาเงินไปทำสัญญากับเพื่อนเก่าอีกคนหนึ่งซึ่งเงินเดือนไม่ขึ้นเลยตลอด 10 ปีที่ผ่านมาหลังจากเรียนจบ คุณคงคิดว่าคนแนะนำนั้น “เพี้ยน” แน่ เหตุผลที่ว่าเพื่อนที่ประสบความสำเร็จก้าวหน้าไปมากมีเงินเดือนสูงแล้วและคงสูงขึ้นไปไม่ได้อีกมากในขณะที่เพื่อนที่ไม่ประสบความสำเร็จน่าจะก้าวหน้าได้เร็วขึ้นนั้นฟังดูน่าขันมาก แต่ถ้าคุณรู้จักหุ้นของคุณดีพอกัน เหตุผลในการขายหุ้นที่ดีก็น่าขันมากเท่า ๆ กัน

คุณอาจจะคิดว่าทั้งหมดนี้ฟังดูดี แต่เพื่อนร่วมชั้นไม่ใช่หุ้น แน่นอน มีความแตกต่างที่สำคัญ แต่ความแตกต่างนั้นยิ่งช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับเหตุผลที่จะไม่ขายหุ้นที่ดีเยี่ยมเพียงเพราะว่าหุ้นตัวนั้นวิ่งขึ้นไปสูงมากและอาจจะมีราคาสูงเกินไปชั่วคราว ความแตกต่างนั้นก็คือเพื่อนร่วมชั้นนั้นมีข้อจำกัด เขาอาจจะตายในไม่ช้าและในที่สุดก็ต้องตาย แต่หุ้นนั้นไม่มีอายุขัย บริษัทอาจจะมีวิธีการคัดเลือกผู้บริหารที่มีความสามารถสูง มีวิธีการฝึกอบรมให้คนเหล่านั้นรู้ถึงนโยบาย วิธีการ และเทคนิคที่จะช่วยรักษาและส่งต่อ ความเข้มแข็งของกิจการไปสู่ชนรุ่นหลัง ดูอย่างดูปอนต์ที่อยู่มากว่าร้อยปี หรือบริษัทดาวเคมิคอลหลังจากที่ผู้ก่อตั้งที่เก่งกาจเสียชีวิต ในยุคที่ผู้คนมีความต้องการและตลาดของสินค้าเติบโตมหาศาล ไม่มีข้อจำกัดว่าบริษัทจะโตไม่ได้ อย่างที่เกิดกับปัจเจกชน

บางทีความคิดในบทนี้อาจจะสามารถเขียนขึ้นด้วยคำพูดประโยคเดียวนั่นคือ “ถ้าเราวิเคราะห์ดีแล้วเมื่อเราซื้อหุ้น เวลาที่จะขายหุ้นนั้นเกือบจะไม่ต้องเลย”

วอเร็น บัฟเฟตต์นั้นไม่เหมือนนักลงทุนคนอื่น เขาซื้อโดยมีสมมติฐานว่าจะไม่ขาย หุ้นที่เขาลงทุนส่วนใหญ่อยู่กับเขามานาน หลาย ๆ บริษัทเขาคือเจ้าของและผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด เขาไม่ดูราคาหุ้น สิ่งที่เขาดูก็คือผลกำไรของบริษัท ดูเงินสดที่บริษัทหามาได้ และบ่อยครั้งเขาเอาเงินสดนั้นมาใช้ลงทุนซื้อกิจการหรือหุ้นตัวอื่นต่อ ๆ ไป และนี่คือวิธีการทำเงินจากหุ้นโดยไม่ต้องขายหุ้นแต่ซื้อหุ้นไปเรื่อย ๆ จะเรียกว่าลงทุนแบบ One Way Ticket ก็น่าจะได้




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2548 18:50:59 น.
Counter : 888 Pageviews.  

1  2  

หมากเขียว
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]




สวัสดีครับทุกท่าน...ผมหมากเขียวแห่งสินธร...จาก Head of Prop Trade สู่ Private Trader อิสรภาพที่รอคอย



สงวนลิขสิทธิ์ © พ.ศ.2553 โดย หมากเขียว™ ห้ามลอกเลียน ทำซ้ำ หรือคัดลอกส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความที่เขียนโดยข้าพเจ้านอกจากจะได้รับอนุญาต

Copyright © 2010.All rights reserved. These articles and photos may not be copied, printed or reproduced in any way without prior written permission of Mhakkeaw™.
Friends' blogs
[Add หมากเขียว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.