|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
เงินเดือน เงินเก็บ และ ความสุข ของคนทำงาน
คนที่รวยที่สุดในโลก คนกลุ่มนี้มองว่า เขาต้องลงทุนเพิ่ม เพราะ ถ้าไม่ลงทุนเพิ่ม รายได้ของเขาก็จะเพิ่มมากขึ้น ค่าใช้จ่ายน้อยลง ภาษีของเขาก็จะมากขึ้นตาม มันเป็นสภาพที่เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถึงแม้นไม่อยากลงทุน แต่หุ้นส่วนก็บังคับให้ลงทุนอยู่ดี...
คนรวยที่สุดในประเทศ คนกลุ่มนี้แม้นมองว่า ตนเองได้เงินมากที่สุดในประเทศแล้ว แต่เมื่อเทียบกับต่างประเทศ ตนเองยังได้เงินไม่เทียบเท่าหรือไม่มากพอ ก็ต้องแสวงหา กันต่อไป เพราะ ความรู้สึกว่า ตนเองนั้น เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว ยังห่างไกล แต่แท้ที่จริงแล้ว มีคนอีก 60 กว่าล้านคน ที่มองว่า เขาเป็นผู้โชคดี ชีวิตนี้ไม่ทำอะไรก็มีกิน มีใช้แล้ว และ เขาจะทำไปทำไม
คนรวย คนรวยบางคน มองว่า ตนเองยังไม่มีเงินเหมือนคนอื่นๆ ยังต้องขวนขวาย ดิ้นรน ยิ่งเทียบกับคนรวย ทั้ง 10 อันดับในประเทศแล้ว ยิ่งเทียบกันไม่ได้ ก็ต้องหา กันเพิ่มต่อไป เขาอาจจะมองว่า ตนเองยังต่ำต้อย ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จเหมือนคนรวยทั้ง 10 อันดับของประเทศ แต่แท้ที่จริงแล้ว คนที่ต่ำต้อยกว่าเขานั้น มีเป็นล้านๆ คน ที่อยากเป็นอย่างเขา หรือ ขอแค่มีเงิน ขอแค่มีรายได้ขนานเขา ก็จะพอใจแล้ว...
เจ้าของกิจการ เจ้าของกิจการ ก็จะพยายามหารายได้เข้ากิจการให้มากขึ้น และ ยิ่งสังคมกว้างขึ้นเท่าไหร่ เจ้าของกิจการก็จะพบว่า ตนเองนั้น ยังได้รายได้ไม่เท่ากับเพื่อนท่านอื่นๆ ก็เลยพยายามที่จะ ส่งเสริมธุรกิจของตนเอง เปิดสาขา เปิดกิจการใหม่ๆ ทั้งนี้ ก็ขึ้นกับความสามารถของแต่ละบุคคล
ผู้อำนวยการ ผู้บริหารระดับสูงต่างๆ ก็อยากที่จะเป็นเจ้าของกิจการ เพราะเห็นว่า เจ้าของกิจการนั้น ได้รับผลประโยชน์ ได้รับเงินมากกว่าตนเอง ซึ่งไม่ว่าจะทำไปมากน้อยเพียงใด ตนก็ได้รับเงินเดือนเพียงเศษเสี้ยวของกิจการเท่านั้น ถึงแม้นจะมีหุ้นอยู่ ก็ไม่ได้บอกว่า เป็นรายได้ที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยสักเท่าไหร่ ก็จะเริ่มคิดหาหนทางเปิดกิจการแข่งก็มี หรือ เปิดกิจการอื่นก็มี หรือบางครั้งก็พยายามทำให้ตนเอง ได้เป็นเจ้าของกิจการนั้น ก็มี
ผู้จัดการ ผู้บริหารระดับกลางก็จะมองว่า ตนเองได้เงินเดือน น้อยกว่า ผู้อำนวยการ มากมาย เขาอาจจะพบว่า ผู้อำนวยการ ได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย ทั้งรถ ทั้งที่อยู่อาศัย ค่าน้ำมันก็เบิกได้ แถมเอาบิลค่าน้ำมันของภรรยามาเบิกรวมเสียอีก ยิ่งมีตำแหน่งใหญ่ขึ้นก็ยิ่งได้ผลประโยชน์ ผู้จัดการจึงพบว่า ตนเองยังต่ำต้อยนักเมื่อเทียบกับ ผู้อำนวยการ ก็จะพยายามถีบตนเองให้ผ่านไปถึงขั้นนั้นให้ได้ ทั้งๆที่เงินเดือนและสวัสดิการ ก็พอสำหรับการใช้ไปในแต่ละเดือนอยู่แล้วก็ตาม อาจจะมีเหลือเก็บด้วยซ้ำไป
หัวหน้างาน ผู้บริหารระดับต่ำ ก็เห็นว่าตัวเองนั้น มีรายได้แค่พอใช้ไปวันๆ ไม่สามารถซื้อสิ่งนั้น สิ่งนี้ได้ อยากได้รถ อยากได้บ้าน อยากได้เงินเดือนสูงๆ อย่างผู้จัดการ อยากได้ไปหมด ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับ คนที่อยู่สูงขึ้นไป มีสิ่งต่างๆ เพรียบพร้อม ทำอย่างไรเขาจึงจะได้อย่างนั้น ทำอย่างไร เขาจึงได้เงินเดือนมากขึ้น และ เพื่อรักษาหน้า ก็ต้องหามาทั้งๆที่ ต้องกู้ยืมเขาก็ตาม ความสดวกสบายก็อยากได้ ถึงแม้นทำงานหนัก ก็อยากจะพักผ่อน ซื้อของสิ่งนั้น สิ่งนี้มาเพื่อคิดว่า สิ่งเหล่านั้นจะช่วยในการพักผ่อนของเขา ผลสรุปคือ เงินก็ติดขัด เงินเก็บก็ไม่มี ยิ่งทำให้อยากได้เงินเดือนสูงๆขึ้นไป... และ จะสบถ อยู่เสมอว่า ทำไมเราทำงานหนักกว่าพวกเดินไปเดินมา แล้ว ทำไมเราถึงได้เพียงแค่เงินเดือนเพียงเล็กน้อย ทั้งๆที่เราทำงานหนัก บริษัทฯไม่ยุติธรรม องค์กรไม่ยุติธรรม ระบบไม่ยุติธรรม และ ก็จะโทษสิ่งนั้น สิ่งนี้ว่า ทำให้เขาไม่ได้ก้าวไปถึงไหน บางคนก็โทษว่า เพราะเราไม่ได้ปริญญาโทฯ ก็ไปเสียเงินเรียน เพียงเพื่อหวังว่า เรียนจบจะได้ตำแหน่งสูงขึ้น และ คิดว่า สิ่งนี้เป็นการลงทุน สำหรับอนาคตของตนเอง ก็มีมากมาย
พนักงาน พนักงานทั่วไปที่ทำงาน ได้รับเงินเดือน เขาสั่งทำงานก็ทำงานกันไป เราได้เงินแค่ไหนก็ทำงานแค่นั้น เป็นแนวคิดของคนทำงานส่วนใหญ่ อยากให้ทำงานมากขึ้น ก็เพิ่มเงินเดือนให้ซิ อะไรทำนองนี้ พวกหัวหน้างานทำงานสบายๆ สั่งๆๆๆๆ อย่างเดียว ยังได้เงินตั้งมากมายก่ายกอง เราได้แค่เงินมาซื้อข้าวกิน มีเงินมาทำงาน ก็นับว่าดีแล้ว อีกหลายคนต่างก็เป็นหนี้เป็นสิน บางคนเป็นหนี้ถึงขนาดไม่มีคนยอมปล่อยให้กู้เงินเสียด้วยซ้ำ ก็ต้องไปกู้เงินกับดอกเบี้ย แพงๆ ร้อยละ 2 ร้อยละ 3 ต่อเดือน พวกตั้งแต่หัวหน้างานขึ้นไป หน้าเลือด ไม่เห็นมาช่วยเหลืออะไรกับพนักงานธรรมดาๆ อย่างเราๆ เลย แถมบางคนก็เป็น คนปล่อยกู้เสียเอง โดยเฉพาะเจ้าของกิจการ ปล่อยกู้ให้กับพนักงาน คิดดอกแพง จะออกจากงานก็ไม่ได้ เอาจุดนี้มาเป็นตัวควบคุม เงินก็ได้น้อย แถมยังถูกกดขี่ข่มเหงต่างๆนานาๆ ชีวิตอยู่อย่างไร้ค่า จะมองหาบ้านสักหลังก็เป็นไปได้ยาก ต้องเช่าเขาอยู่ ไม่จ่ายค่าเช่าก็จะโดนทวง โดนไล่ไม่ให้อยู่ ชีวิตช่างลำเค็ญ แสนเข็น พวกมีเงิน มีรายได้พอเพียง เคยเห็นใจพวกพนักงานอย่างเราๆ บ้างไม๊ คิดแต่จะเอา คิดแต่จะได้ เพียงฝ่ายเดียว แต่ก็มากดขี่ข่มเหงพนักงานตาดำๆ อย่างไร ช่างไร้มนุษยธรรมเสียจริงๆ...
คนตกงานไม่มีงานทำ และ คนตกงาน หรือ คนไม่มีงานทำ ก็มองว่า คนที่ทำงานอยู่ช่างโชคดีเสียกระไร เราอยากได้โอกาสทำงานกับเขาบ้าง อยู่อย่างไร้ค่า ขอเงินพ่อแม่ใช้ไปวันๆ บางคนก็เป็นหนี้ หาเงินมาประทังชีวิตก็มี ทั้งนี้ เขามองว่า ขอแค่ได้ทำงาน เถอะ มีเงินมาจ่ายค่าเช่าห้อง มีเงินมาจ่ายค่ากินอยู่ก็พอใจแล้ว ข้าวมื้อละจานก็ดีถมเถไปแล้ว... ฯลฯ
สิ่งที่ผมกล่าวมานั้น มันก็เป็นเพียง ลักษณะ แนวความคิด ของคนบางคนในกลุ่มต่างๆ ซึ่งถ้าคุณสังเกตุดีๆ จะพบว่า สิ่งหนึ่งของทุกกลุ่มคือ การเปรียบเทียบกับคนที่ดีกว่า... ซึ่งเป็นพฤติกรรมปกติของมนุษย์ และ สิ่งนี้เอง ที่ทำให้เกิดกระทู้นี้ขึ้น อันเนื่องจากว่า แต่ละคน ต้องการในสิ่งที่ดีกว่าที่ตนเองได้รับในปัจจุบัน โดยเฉพาะ เงิน เพราะ เป็นตัวที่จะสามารถซื้อสิ่งของที่ต้องการได้ เพราะสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานได้ ดังนั้น เมื่อคนเรา เริ่มจากความต้องการขั้นพื้นฐาน เงิน จึงเป็นปัจจัยตัวแรกของชีวิต ที่ทำให้คนเรานั้น แสวงหา เพิ่ม เพื่อที่จะได้สิ่งของพื้นฐานตามความต้องการ และเมื่อเริ่มจากเงิน มุมมองของคน เลยมุ่งไปที่ตัวเงิน สิ่งของภายนอก เสียส่วนใหญ่ และ ใช้สิ่งเหล่านี้ เป็นตัววัดว่า เราจะมีความสุข มีสิ่งที่ต้องการ ก็เพราะ ตัวเงิน ตัวรายได้ โดยไม่ได้มองสิ่งอื่นๆ รอบข้างอีก
และ ความต้องการเหล่านี้ มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถตอบสนองให้เต็มได้ เพราะ เมื่อสภาพแวดล้อมของตนเองเปลี่ยนไป ก็จะมีความต้องการเปลี่ยนไปตลอดเวลา ผมยกตัวอย่างจริง เรื่องหนึ่งคือ สมมุติว่าชื่อ นายก คนไม่จบป.ตรีท่านหนึ่ง เข้าไปทำเป็นโปรแกรมเมอร์ ในบริษัทฯเล็กๆแห่งหนึ่ง ได้เงินเดือน 7000 บาท เขาคิดว่า เขาเป็นผู้โชคดีที่มีโอกาส ได้เงินพออยู่พอกิน มีงานทำที่ดีทั้งๆที่ยังไม่จบป.ตรีเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อเขาทำงานไป บริษัทฯรับพนักงานใหม๋ จบป.ตรี มาให้เขาสอนงาน ซึ่งเราบังเอิญรับรู้ว่าเพื่อนร่วมงานคนใหม่นั้น ได้เงินเดือนถึง 12000 บาท แต่ก็ต้องให้เขามาสอนงาน ต้องใช้เครื่องมือที่เขาสร้างขึ้น ต้องเรียนรู้งานจากเขา ต้องให้เขาวิเคราะห์งานต่างๆให้ ต้องมาปรึกษาเขา ทั้งๆที่คนนั้นจบ ป.ตรี แค่นั้นเอง ความสามารถอะไรก็ไม่มี ซึ่งแน่นอนว่า นายก ก็ต้องคิดมากเปรียบเทียบ และไม่พอใจบริษัทฯ ที่กดขี่คนที่ไม่มีปริญญา ถึงแม้นไปพูดกับผู้จัดการ เขาก็ไม่สามารถเพิ่มเงินให้เขาได้ และ อ้างว่าเขาไม่มีวุฒิ ทำให้เขาก้มหน้าทำงานต่อไป หางานใหม่ และ องค์กรก็ขาดโปรแกรมเมอร์ฝีมือดีไป ขาดคนประสานงานไป แต่ได้พนักงานจบ ป.ตรี ที่ขาดคุณสมบัติมาทำงานแทน (หลังจากนั้น 2 ปี บริษัทฯ ก็ปิดตัวลง เพราะไม่สามารถปิดงานใดๆได้เลย)
จากตัวอย่างข้างต้น นายก เปลี่ยนจากคนตกงาน และ เป็นคนที่แทบจะไม่มีโอกาสดีๆอันสังคมที่เอาเปรียบ ได้เลย เปลี่ยนจากคนเคยภูมิใจในงานที่ทำ กลายเป็นคนมีปัญหา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่เกิดจากการเปรียบเทียบทั้งนั้น องค์กรและหัวหน้างาน ก็เอาการเปรียบเทียบ จากปริญญา ที่ไม่สามารถรับรองได้เลยว่า จบออกมาจะเป็นคนที่ทำงานได้หรือไม่ มาเป็นตัวเปรียบเทียบ มาเป็นตัวกำหนดว่า ใครที่ควรจะได้รับรายได้มากน้อยกว่ากัน ทั้งๆที่การทำงานในความเป็นจริง คนที่มีความสามารถน่าจะได้ผลตอบแทนมากกว่าคนที่ไม่มีความสามารถ จึงทำให้เกิดสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ที่เกิดจากการเปรียบเทียบอย่างไร้เหตุผล ซึ่งองค์กรในไทยส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้ อย่าว่าแต่องค์กรเลย คนโดยทั่วไปก็ยังเป็นเช่นนี้กันอยู่ เอาสิ่งที่พอจะรับรองได้มาเปรียบเทียบกัน แต่ไม่ได้ใช้ความเป็นจริงมาเปรียบเทียบ เพราะ คนไทยเรานั้นไม่ชอบความยุ่งยาก ไม่ชอบที่จะสังเกตุ ก็เลยเป็นปัญหาของสังคมมาจนทุกวันนี้...
ผมกำลังชี้ประเด็นให้เห็นว่า พื้นฐานของคนเรานั้น สิ่งที่ทำให้คนเราไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ คือการที่ คนเรานั้น เปรียบเทียบสภาพแวดล้อมของเรา กับบุคคลอื่น ซึ่งการเปรียบเทียบ มันก็จะมีทั้งข้อดี และ ข้อเสียคือ
ข้อดี: 1. การเปรียบเทียบ ทำให้สามารถตั้งเป้าหมาย เพื่อที่จะไปให้ถึงได้ 2. การเปรียบเทียบ ทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เราต้องทำต่อไปคืออะไร เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายนั้นๆ 3. การเปรียบเทียบ ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ (ระยะสั้นๆ) 4. การเปรียบเทียบ ทำให้เป็นแรงผลักให้ทำให้ตนเองก้าวหน้า
ข้อเสีย: 1. การเปรียบเทียบ ทำให้เกิดความไม่พอใจตนเอง ทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ หดหู่ 2. การเปรียบเทียบ ทำให้ลดความตั้งใจในการทำงานไป เหมือน นายก ที่มองเห็นว่า ตนเองทำงานมากไป ได้เงินน้อยกว่า ก็เลยทำงานน้อยลงเป็นต้น 3. การเปรียบเทียบ ทำให้เกิดการเอาอย่าง โดยไม่ได้ไตร่ตรอง เช่น การที่เห็นว่าเขามีรถ มีบ้านก็อยากมีบ้าง ก็พยายามไปซื้อ ไปหา กู้หนี้ ยืมสิน จนอาจจะไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ ก็จะสร้างปัญหาให้กับตนเองมากขึ้น
การใช้จ่าย เงินเก็บ และ ความสุข ทั้ง 3 เรื่องนี้ จะว่าเป็นเรื่องเดียวกันก็ไม่ใช่ จะเป็นคนละเรื่องก็ไม่เชิง ดังนั้น เลยนำมาคุยกันเลยทีเดียวดีกว่า...
ทั้ง 3 เรื่อง เป็น 3 เส้า ที่มีผลต่อเนื่องกัน - ถ้ามีการจ่ายเงินมากขึ้น อาจจะได้ความสุขมากขึ้น แต่เงินเก็บก็น้อยลงหรือไม่มีเลย - ถ้าใช้จ่ายน้อยลง ความสุขก็อาจจะน้อยลง หรือ เท่าเดิม แต่เงินเก็บก็จะมากขึ้น - ถ้าใช้จ่ายคงที่ ความสุขก็อาจจะผันแปรด้วยสิ่งแวดล้อมอื่นๆ และ เงินเก็บก็อาจจะมากขึ้นเล็กน้อย หรือ อาจจะไม่มีเลย
ทั้งนี้เรื่องทั้งหมด มันเกิดขึ้นแตกต่างกัน ตามสภาพแวดล้อม นิสัย ของผุ้ที่มองใน 3 เรื่องนี้
จากการดูความเปลี่ยนแปลงข้างต้น คนที่มีความสุขนั้น ไม่ได้มาจากเงินตราเพียงอย่างเดียว ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ แต่ เงิน หรือ รายได้นั้น ก็มีส่วนที่จะทำให้มีความสุขเช่นเดียวกัน อันนี้ เป็นเรื่องที่ยอมรับกันทั่วโลก
เงิน ซื้อ อาหาร เสื้อผ้า ยารักษาโรค ทีอยู่อาสัยได้ แต่ปั้จจัย 4 เหล่านี้ของคนหนึ่ง อาจจะไม่เหมือนกับอีกคนหนึ่ง มันขึ้นกับว่า คนๆนั้น มีความพอใจ มีความพอเพียงกับการดำเนินชีวิตอย่างไร และ ก็ขึ้นกับความต้องการของแต่ละบุคคลอย่างไร ลองดูคนที่มีทั้งรายได้น้อย และ รายได้มากว่า พวกเขาจะมีความสุข หรือมีความทุกข์ มันเป็นอย่างไร...
- คนมีรายได้น้อย อยู่อย่างพอเพียง ไม่มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความสุขจากสิ่งรอบข้าง - คนมีรายได้น้อย อยู่อย่างพอเพียง ไม่มีหนี้ มีเงินเก็บ พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความสุขจากสิ่งรอบข้างและเงินที่พอใช้จ่าย
- คนมีรายได้น้อย อยู่อย่างพอเพียง ไม่มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ ไม่พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความทุกข์ - คนมีรายได้น้อย อยู่อย่างพอเพียง มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความทุกข์เพราะหามาได้ก็จ่ายหนี้เสียหมด - คนมีรายได้น้อย อยู่อย่างไม่พอเพียง ไม่มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ ไม่พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความทุกข์เพราะมีความอยากอยู่ตลอดเวลา ทุกข์ใจเสียส่วนใหญ๋ - คนมีรายได้น้อย อยู่อย่างไม่พอเพียง มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ ไม่พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความทุกข์มาก ปัญหาเยอะ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ คนที่มีรายได้แต่ละคนก็มีแตกต่างกัน จะยึดเอาสภาพแวดล้อมของใครคนใดคนหนึ่งมาตัดสินคนส่วนใหญ่ไม่ได้ และ ปัญหาคือ คนเหล่านี้ มักไม่ยอมรับว่า ตนเองนั้น อยู่อย่างไม่พอเพียง ตนเองนั้นใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ตนเองนั้นแหละ ที่สร้างปัญหาทั้งหมด แล้วก็จะโทษคนอื่นๆ เสมอๆ ทั้งนี้ การพิจารณาของคนโดยทั่วไป จึงมักเข้าข้างตนเองว่า ปัญหาจริงๆ เกิดจากมีรายได้น้อยเป็นหลัก เพราะเป็นเรื่องที่เห็นชัด จับต้องได้ และ ไม่ได้เป็นการโทษตนเองว่าผิดด้วย...
-------------------------------
- คนมีรายได้มาก อยู่อย่างพอเพียง ไม่มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความสุข ได้ใช้จ่ายเงินที่หาได้ตามที่เขาต้องการ - คนมีรายได้มาก อยู่อย่างพอเพียง ไม่มีหนี้ มีเงินเก็บ พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความสุขเพราะมีสิ่งที่รับประกันในอนาคตว่าจะปลอดภัยจากสภาพแวดล้อม
- คนมีรายได้มาก อยู่อย่างพอเพียง ไม่มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ ไม่พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความทุกข์ - คนมีรายได้มาก อยู่อย่างพอเพียง มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความทุกข์เพราะหามาได้ก็จ่ายหนี้เสียหมด - คนมีรายได้มาก อยู่อย่างไม่พอเพียง ไม่มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ ไม่พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความทุกข์เพราะมีความอยากอยู่ตลอดเวลา ทุกข์ใจเสียส่วนใหญ๋ - คนมีรายได้มาก อยู่อย่างไม่พอเพียง มีหนี้ ไม่มีเงินเก็บ ไม่พอใจกับความเป็นอยู่ ก็มีความทุกข์มาก ปัญหาเยอะ
ทั้งนี้ คนมีรายได้มาก ก็มีปัญหาเช่นเดียวกับคนที่มีรายได้น้อย ลักษณะความต้องการพื้นฐานเหมือนกัน แทบจะไม่มีอะไรที่แตกต่าง
ดังนั้น จะพบสิ่งที่น่าสังเกตุอย่างหนึ่งคือ การที่คนเราจะมีความสุข จริงๆได้นั้น มันไม่ใช่มาจากการได้รับ รายได้มากน้อย หรือ การที่มีเงินเก็บมาก หรือ เงินเก็บน้อย เพราะ ไม่ว่าจะได้รับรายได้มาก หรือ น้อย ต่างก็มีปัญหาทางด้านอื่นๆมากระทบทำให้เกิดความสุข และ ความทุกข์ได้เช่นกัน
แต่ทั้งนี้ จะเห็นว่า การอยู่อย่างพอเพียงในสภาพแวดล้อมของตน การไม่มีหนี้สิน และ ความพึงพอใจกับสภาพความเป็นอยู่ของตนนั้น ต่างหาก ที่เป็นผลชี้วัดว่า ใครจะมีความสุข หรือ ทุกข์มากกว่ากัน ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ ก็คือความคิด วิธีการดำเนินชีวิต ของแต่ละคนทั้งสิ้น
Create Date : 27 มกราคม 2551 |
Last Update : 27 มกราคม 2551 15:55:01 น. |
|
16 comments
|
Counter : 3076 Pageviews. |
|
|
|
โดย: น้องหนูสะดิ้งน้อย IP: 58.9.96.77 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:48:43 น. |
|
|
|
โดย: สุกัญญา IP: 61.19.121.179 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:20:22 น. |
|
|
|
โดย: natthanantik IP: 125.26.53.90 วันที่: 8 เมษายน 2551 เวลา:22:47:45 น. |
|
|
|
โดย: kmir IP: 58.64.56.244 วันที่: 12 เมษายน 2551 เวลา:0:46:35 น. |
|
|
|
โดย: อิสระ IP: 119.42.64.37 วันที่: 14 เมษายน 2551 เวลา:11:06:42 น. |
|
|
|
โดย: fonprum IP: 118.172.122.159 วันที่: 6 พฤษภาคม 2551 เวลา:11:17:12 น. |
|
|
|
โดย: siripot.hi5.com IP: 125.24.81.31 วันที่: 1 มิถุนายน 2551 เวลา:15:18:35 น. |
|
|
|
โดย: oil IP: 222.123.93.3 วันที่: 5 สิงหาคม 2551 เวลา:7:01:04 น. |
|
|
|
โดย: อู๊ดดี้บรบือ IP: 202.91.19.192 วันที่: 4 ตุลาคม 2551 เวลา:21:08:08 น. |
|
|
|
โดย: แสงจันทร์ IP: 202.149.25.225 วันที่: 24 ตุลาคม 2551 เวลา:16:52:48 น. |
|
|
|
โดย: คนฉลาดน้อย IP: 116.58.231.242 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:02:51 น. |
|
|
|
โดย: back IP: 203.121.176.4 วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:13:45:21 น. |
|
|
|
โดย: ปณาลี วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:16:19 น. |
|
|
|
โดย: sorn IP: 222.123.240.27 วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:2:30:33 น. |
|
|
|
โดย: พิมนภัส IP: 125.26.116.71 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:16:16 น. |
|
|
|
โดย: เสกสรรค์ IP: 124.121.172.31 วันที่: 17 ธันวาคม 2552 เวลา:20:03:31 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 210 คน [?]
|
ต้องการสอบถาม กรุณาติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com หรือ 062 641 5992, 062 826 1544
วิทยากรเชิงกิจกรรม วิทยากรกระบวนการ ที่ปรึกษาธุรกิจด้านการบริหารจัดการ การตลาดและการประชาสัมพันธ์ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ การวางแผนกลยุทธ์ วิจัยธุรกิจIT Dashboard
ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้... ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด
<< Main Menu >>
ดวงถาวร
ดวงตามวันเกิด
ดวงตามปีเกิด
;b[^]pN 06' ไรินนื ่นนืเ "รินนื ๋นนืเ c:j06'
|
|
ต้องการสอบถาม โทร 062-641-5992, 062-826-1544
ติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com
Line ID : wbjoong
ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการ
การตลาดและการประชาสัมพันธ์
การบริหารทรัพยากรมนุษย์
และ การวางแผนกลยุทธ์
วิทยากรเชิงกิจกรรม, วิทยากรกระบวนการ
นักวิจัยการดำเนินงานธุรกิจ
Executive & Management Coach
ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้...
ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย
และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด
<< Main Menu >>
|
|
|
|
| |
|
|
|
แอบเสียดายนะคะ ไม่ได้ลงในพันติ๊บ
ตอนนี้คนกำลัง(อยาก)ตกงาน เปลี่ยนงาน หางานกันเยอะเหลือเกิน
และหนูก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ