ความสุข ทุกแง่ทุกมุม (10)
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)
คนเดินทางกันดารมาแสนเหน็ดเหนื่อย เมื่อเห็นน้ำหรือได้ยินว่ามีน้ำ ที่จะได้กินได้ดื่ม ก็เกิดปีติ พอเข้าไปสู่ร่มเงาหมู่ไม้และได้ลงดื่มกินอาบน้ำนั้นก็มีความสุข
เพื่อให้เข้าใจชัดยิ่งขึ้น ท่านแสดงตัวอย่างให้เห็นเป็นขั้นเป็นตอนไว้ เหมือนดังว่า คนผู้หนึ่งเดินทางกันดารมาแสนไกล แดดก็ร้อนจนเหงื่อโซมตัว ทั้งหิวทั้งกระหายเหลือเกิน ถึงจุดหนึ่งเห็นคนเดินทางสวนมา ก็ถามว่า ในทางที่ผ่านมามีน้ำดื่มที่ไหนบ้างไหม
นายคนนั้นตอบว่า โน่น ดูสิ ข้างหน้าโน้นท่านผ่านดงนั้นไปจะมีทั้งสระน้ำใหญ่และไพรสณฑ์ พอได้ฟังคำบอกแค่นั้น เขาก็ดีใจเหลือเกิน ร่าเริงขึ้นมาเลย เมื่อเดินต่อจากที่นั้นไปได้เห็นกลีบ ก้าน ใบ และดอกบัวเป็นต้น ที่ตกเกลื่อนบนพื้นดิน ก็ยิ่งดีใจร่าเริงมากขึ้นๆ
เมื่อเดินต่อไปอีกก็ได้เห็นคนมีผ้าเปียกผมเปียก ได้ยินเสียงไก่ป่าและนกยูงเป็นต้น แล้วใกล้เข้าไปๆ ก็เห็นไพรสณฑ์เขียวในบริเวณเขตสระน้ำเห็นดอกบัวที่เกิดในสระ เห็นน้ำใสสะอาด เขาก็ยิ่งดีใจร่าเริงปลาบปลื้มยิ่งขึ้นไปๆ ทุกทีๆ
แล้วในที่สุด มาถึงสระ ก็กระโจนหรือก้าวลงไป พอถึงน้ำได้สัมผัสก็ฉ่ำ ชื่นใจที่ฟูขึ้นพองออกไป ก็สงบเข้าที่ เขาอาบดื่มตามชอบใจ ระงับความกระวนกระวายหมดไป เคี้ยวกินเหง้ารากใบบัวเป็นต้น จนอิ่มหนำแล้วขึ้นจากสระ มาลงนอนใต้ร่มไม้เย็นสบายมีลมอ่อนๆ โชยมา
พูดกับตัวเองว่า สุขหนอๆ ตามตัวอย่างที่ท่านยกมาเปรียบเทียบนี้ จะเห็นว่าความดีใจปลาบปลื้มร่าเริง นับตั้งแต่ชายผู้นั้นได้ยินว่ามีสระน้ำและหมู่ไม้จนกระทั่งได้เห็นน้ำ นั้นคือปีติ ซึ่งเป็นอาการร่าเริงยินดีในอารมณ์ที่เป็นขั้นก่อนหน้า
ส่วนการที่เขาได้ลงไปอาบน้ำ กิน ดื่ม แล้วนอนรำพึงว่า สุขหนอๆ ที่ใต้ร่มไม้เย็นสบาย มีสายลมอ่อนๆ โชยมา นี้คือสุข ซึ่งอยู่ในตอนที่ได้เสวยรสอารมณ์ปีตินั้นมีลักษณะฟู พอง พลุ่งขึ้น ซู่ซ่า ซาบซ่าน ปลาบปลื้มซึ่งก็แสนจะดีอย่างยิ่ง
แต่ถึงจะดีอย่างไร ปีติจะค้างอยู่ไม่ได้ เพราะยังไม่สม ยังไม่ลุจุดหมาย สุดท้ายก็ต้องมาจบลงที่ความสุข ต้องดีสุดตรงที่สุข ซึ่งก็คือสงบเข้าที่นั่นเอง ถ้ายังไม่สงบ ก็ยังไม่สม ยังจบยังสมบูรณ์ไม่ได้ จึงมาดีที่สุดตรงที่สมและสงบลงได้ เรียกว่าเป็นสุขที่จริง
ถ้าดูให้ละเอียด แยกให้ครบ ยังมีภาวะจิตอีกช่วงหนึ่ง อยู่ระหว่างปีติกับสุข อันนี้ก็สำคัญ เมื่อกี้เรามองแต่ด้านที่จะได้สนองระงับดับความต้องการได้สมอยากสมปรารถนา คือด้านได้แต่เมื่อดูให้ละเอียด ก็ดูด้านของตัวความต้องการเองด้วย
ความต้องการนั้นก็มีอาการของมันเองคือ ความรุมเร้าความเร่าร้อน ความกดดัน ยิ่งถ้ารุนแรงก็กลายเป็นความกระวนกระวาย ความเครียด ความกระสับกระส่าย จนถึงขั้นทุรนทุราย
ทีนี้ ในกระบวนการสนองความต้องการนั้น เมื่อเข้ามาในขั้นตอนของการสนองที่จะได้สมปรารถนา ขณะที่ปีติฟู่ฟ่าแรงขึ้นนั้นเอง อีกด้านหนึ่งมันก็ทำให้ความกระวนกระวาย เครียด เขม็งกระสับกระส่ายที่เป็นอาการของความต้องการ ซึ่งมีผลทั้งต่อจิตและกาย
ได้ผ่อนคลาย ระงับไป หายเร่าร้อน เย็นลง ราบลง กลายเป็นความเรียบรื่น ภาวะนี้เรียกว่า 'ปัสสัทธิ' ปัสสัทธินี่แหละ เป็นตัวนำโดยตรงเข้าสู่ความสุข
เพราะฉะนั้น เมื่อซอยละเอียดให้ชัด ท่านจึงพูดตามลำดับดังนี้ว่า 'ปีติปัสสัทธิ และสุข'
(ความต้องการฝ่ายตัณหา จะมีอาการเร่าร้อน กระวนกระวาย เครียด เป็นต้นนี้ได้เต็มที่ เพราะอยู่บนฐานของโมหะ และอิงกับความยึดถือตัวตน แต่ความต้องการฝ่ายฉันทะมากับปัญญาเป็นปกติอยู่แล้ว ปัญญาจึงทำหน้าที่จัดปรับแก้และกันปัญหาเหล่านี้ไปพร้อมในตัว)
พอพูดถึงอาการของความต้องการ ก็เลยมีแง่ซับซ้อนเล็กน้อยที่ควรจะพูดไว้ประกอบความรู้ด้วยคือ นอกจากการระงับความต้องการด้วยการสนองที่พูดมานั้น ก็มีการระงับความต้องการด้วยการไม่สนอง ซึ่งเป็นการกระทำในทางตรงข้าม
หน้า 30
ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์ กราบนมัสการขอบพระคุณ พระพรหมคุณาภรณ์
ชีววารสวัสดิ์วัฒนาค่ะ
Create Date : 28 มิถุนายน 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 28 มิถุนายน 2555 12:50:53 น. |
Counter : 1096 Pageviews. |
|
|
|