ข้อคิดในงานการศึกษา (11)
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปุตฺโต ป.ธ.๙)
ทีนี้ถ้าเราไปอีกระบบตรงข้าม ที่ไม่มีทุกข์ภัยบีบคั้น ไม่เป็นแบบตัวใครตัวมัน ระบบตรงข้ามก็คือเมตตากรุณาที่ช่วยเหลือกันเต็มที่ คนก็อ่อนแอพึ่งพาอีก
ระบบแข่งขันก็บีบให้เก่ง แต่เหี้ยมเกรียม ระบบเมตตาก็อ่อนแอไป ทำอย่างไรการศึกษาจึงจะพอดี เราก็ต้องพยายามสร้างทางสายกลางขึ้นมาให้ได้ ต้องพัฒนาโลกมนุษย์ ไม่ใช่เฉพาะที่โรงเรียนเท่านั้น แต่พัฒนาทั้งโลก ไม่อย่างนั้นมันก็จะอยู่ในระบบที่ว่า ต้องถูกทุกข์บีบคั้นภัยคุกคามจึงลุกขึ้นดิ้นรนขวนขวาย พอสบายก็นอนเสวยสุข ก็อยู่กันไปอย่างนี้ พอเจริญแล้ว ก็เสื่อม
ทำอย่างไรเราจะอยู่กันด้วยสติปัญญา โดยมีความไม่ประมาท มีความตระหนักรู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ ทั้งๆ ที่สุขสบาย เมื่อรู้ว่าอะไรควรทำ ก็ขวนขวายทำไป ไม่ผัดเพี้ยนหรือเฉื่อยชา ทั้งที่สุขสบายก็ไม่ประมาท อันนี้เป็นจุดเปลี่ยน ถ้าพัฒนามาถึงตรงนี้ได้ก็แก้ปัญหาได้
มนุษย์นั้นพอสุขสบาย ก็โน้มเอียงที่จะผัดเพี้ยนปล่อยละเลย เรื่อยเปื่อย เฉี่อยชา นอน ทีนี้ถ้าเราสุขสบายก็ยังไม่ประมาท เราถือเป็นโอกาสที่ว่าพอเราสุขสบายก็เกิดสภาพเอื้อหรือสภาพคล่อง (สุข แปลว่าคล่อง สบาย แปลว่าเอื้อ) แล้วทำอะไรให้ดียิ่งขึ้น ยิ่งสร้างสรรค์ใหญ่ มันก็จะดีไปเลย
ตรงนี้ในทางพุทธศาสนาท่านเอาความไม่ประมาทที่แท้มาตัดสินการพัฒนามนุษย์ ว่าคนที่จะไม่ประมาทได้จริง ไม่มีทางที่จะประมาท คือจะไม่ประมาทอยู่ตลอดเวลา ก็คือพระอรหันต์ นอกนั้นแล้วยังมีโอกาสที่จะประมาท แม้แต่พระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี ก็ยังมีโอกาสที่จะประมาท
แม้แต่เราพัฒนาในคุณธรรม ถ้าเราพัฒนาไปได้เราจะรู้สึกภูมิใจ แล้วก็พอใจ พอรู้สึกอย่างนี้แล้วเราก็ชักจะชะลอเฉื่อยลง จึงต้องคอยกระตุ้นกันไว้ ถ้าไม่ใช้ระบบแข่งขันมากระตุ้น คนก็ต้องมีสติกระตุ้นตัวเองได้ตลอด เพื่อ ให้ปัญญาทำงานคู่กันไปกับความขยันหมั่นเพียร
ในระบบแข่งขันนั้นการพยายามขยันหมั่นเพียร ทำอะไรต่ออะไรนั้นไม่ได้ทำด้วยสติปัญญากระตุ้นขึ้นมาจากภายใน แต่ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกมาบีบ คือต้องวิ่งเพราะว่าถูกไฟลน ระบบแข่งขันก็คือระบบไฟลน พอเอาไฟลนไว้ตลอดมันจึงวิ่งไม่หยุด แต่พอสบายปั๊บก็หยุดทันที ก็เหมือนสังคมอเมริกันปัจจุบัน ที่เราเห็นอยู่ว่าเขากำลังโอดครวญ ปัญหามาจากยุคที่การบีบเบาลง
ยุคก่อนนี้ฝรั่งมีตัวบีบมากมาย เริ่มตั้งแต่ธรรมชาติแวดล้อมที่ลำบาก เช่นความหนาว และความขาดแคลน แล้วก็เอาคำสอนทางศาสนามาช่วยบอกให้อดเปรี้ยวไว้กินหวาน เราต้องช่วยกันขยันหมั่นเพียร แล้วต่อไปเราจะมีความพรั่งพร้อม ตอนนี้อย่าไปคิดอะไรเลย อย่าไปหาความสุขอะไรเลย ขยันทำงานกันไป ผลิตสร้างเรื่อยไป แล้วถ้ามีรายได้ก็ไม่เอามาใช้บำรุงบำเรอตัวเอง แต่ให้เอาไประดมทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เนื้อแท้ก็คือการบีบ ซึ่งเร่งรัดให้ขยันหมั่นเพียรมาเรื่อย
ทีนี้สังคมอเมริกันตอนหลังก็มาภาคภูมิใจในตัวเองว่า เป็นสังคมที่พรั่งพร้อม แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นสังคมบริโภค (consumer society) เป็นการเปลี่ยนจากสังคมแห่งความขยันทำจะมาเป็นสังคมเสวยสุข แต่นิสัยขยันทำเก่าก็ยังต่อเนื่องมาอยู่ ก็ยังก้ำกึ่งกันอยู่ ถ้าเมื่อไรเป็นสังคมบริโภค เป็นนักเสวยสุขจริงๆ ก็จบแน่นอน
หน้า 31
ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์ กราบนมัสการขอบพระคุณ พระพรหมคุณาภรณ์ สวัสดิ์สิริชีววารค่ะ
Create Date : 21 มิถุนายน 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 21 มิถุนายน 2555 10:48:22 น. |
Counter : 877 Pageviews. |
|
|
|