แผนที่ชีวิต (16) - พระพรหมคุณาภรณ์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)
การที่จะหมดกรรมก็คือ ไม่ทำกรรมชั่ว ทำกรรมดี และทำกรรมที่ดียิ่งขึ้น คือแม้แต่กรรมดีก็เปลี่ยนให้ดีขึ้นจากระดับหนึ่งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
พูดเป็นภาษาพระว่า เปลี่ยนจากทำอกุศลกรรมเป็นทำกุศลกรรม และทำกุศลระดับสูงขึ้นไปจนถึงขั้นเป็น โลกุตตรกุศล
ถ้าใช้ภาษาสมัยใหม่ก็พูดว่า พัฒนากรรมให้ดียิ่งขึ้น เราก็จะมีศีล มีจิตใจ มีปัญญาดีขึ้นๆ ในที่สุดก็จะพ้นกรรม
พูดสั้นๆ ว่า กรรมไม่หมดไปด้วยการชดใช้กรรม แต่หมดกรรมด้วยการพัฒนากรรม คือปรับปรุงตัวให้ทำกรรมที่ดียิ่งขึ้นๆ จนพ้นขั้นของกรรมไปถึงขั้นทำ แต่ไม่เป็นกรรม คือทำด้วยปัญญาที่บริสุทธิ์ไม่ถูกครอบงำหรือชักจูงด้วยโลภะ โทสะ โมหะ จึง จะเรียกว่าพ้นกรรม
วางแผนปฏิบัติกรรม
เราจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องต่อกรรมที่แยกเป็น 3 ส่วน คือ กรรมเก่า-กรรมใหม่-กรรมข้างหน้า
ขอสรุปวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องต่อกรรมทั้ง 3 ส่วนว่า
กรรมเก่า (ในอดีต) เป็นอันผ่านไปแล้ว เราทำไม่ได้ แต่เราควรรู้เพื่อเอาความรู้จักมันนั้นมาใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปรับปรุงกรรมใหม่ให้ดียิ่งขึ้น
กรรมใหม่ (ในปัจจุบัน) คือกรรมที่เราทำได้ และจะต้องตั้งใจทำให้ดีที่สุด ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ
กรรมข้างหน้า (ในอนาคต) เรายังทำไม่ได้ แต่เราสามารถเตรียมหรือวางแผนเพื่อจะไปทำกรรมที่ดีที่สุด ด้วยการทำกรรมปัจจุบันที่จะพัฒนาเราให้ดีงามและงอกงามยิ่งขึ้น จนกระทั่งเมื่อถึงเวลานั้นเราก็จะสามารถทำกรรมที่ดีสูงขึ้นไปตามลำดับ จนถึงขั้นเป็นกุศลอย่างเยี่ยมยอด
นี่แหละคือคำอธิบายที่จะทำให้มองเห็นได้ว่า ทำไมจึงว่าคนที่วางใจว่าจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่กรรม (เก่า) นั้นแล กำลังทำกรรมใหม่ (ปัจจุบัน) ที่ผิด เป็นบาป คือความประมาท ได้แก่การปล่อยปละละเลยอันเกิดจากโมหะ และมองเห็นเหตุผลด้วยว่าทำไมพระพุทธศาสนาจึงสอนให้หวังผลจากการกระทำ
ขอย้ำอีกครั้งว่า กรรมใหม่สำหรับทำ กรรมเก่าสำหรับรู้ อย่ามัวรอกรรมเก่าที่เราทำอะไรมันไม่ได้แล้ว แต่หาความรู้จากกรรมเก่านั้น เพื่อเอามาปรับปรุงการทำกรรมปัจจุบัน จะได้พัฒนาตัวเราให้สามารถทำกรรมอย่างเลิศประเสริฐได้ในอนาคต
วาสนาเปลี่ยนแปลงได้
พฤติกรรมที่ลงตัวโดยเคยชินอย่างละเอียดอ่อนเรียกว่า วาสนา (แปลว่า การสั่งสมอบรมมา ซึ่งก็คือการสั่งสมพฤติกรรมจนเคยชินนั่นเอง) ได้แก่ แบบแผนพฤติกรรมที่บุคคลนั้นได้สะสมมากับตนเองจนกลายเป็นลักษณะประจำตัวของเขา เช่น จังหวะท่วงที ในการเดิน การพูด คำติดปาก ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนจะแสดงออก แตกต่างกันถือเป็นวาสนาของแต่ละคน
วาสนาเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็แก้ไขยาก เพราะเป็นสิ่งที่ลงร่องลึก ผู้ที่ละวาสนาได้หมดมีเพียงบุคคลเดียวคือพระพุทธเจ้า หมายความว่า พฤติกรรมเคยชินหมดไป เพราะพฤติกรรมอยู่ภายใต้การนำของสติปัญญาอย่างเดียว คือทำไปด้วยสติปัญญา ไม่ได้ทำไปโดยความเคยชิน ส่วนพระอริยบุคคลอื่น แม้แต่พระอรหันต์ก็แก้ไขละได้แต่เฉพาะวาสนาร้ายแรงที่เป็นโทษต่อชีวิตและสังคม ส่วนวาสนาที่ ไม่ร้ายแรงก็ยังคงอยู่ เช่น บางท่านพูดจาไม่เพราะหู บางท่านเดินไม่ค่อยชวนดู รวมความว่า เรื่องของวาสนามีทั้งดีและไม่ดี และวาสนานั้นก็เป็น "ผลกรรม" ส่วนหนึ่ง
ในเรื่องกรรมนั้น พอเกิดปัญญาขึ้นมาแล้ว เจตนาที่เป็นตัวกรรมก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากการอยู่ใต้บงการของตัณหามาอยู่ใต้การชี้นำของปัญญา จนในที่สุดเจตนาเองก็จะหมดหน้าที่ไปด้วย ซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายที่ชีวิตจะเป็นอยู่ด้วยปัญญา นี่คือภาวะที่เรียกว่าสิ้นกรรม เพราะพฤติกรรมไม่ต้องอยู่ในวงการของเจตนาที่มุ่งที่เลือกว่าตัวเราจะเอาอย่างไร แต่เปลี่ยนมาเป็นอยู่และทำการต่างๆ ด้วยปัญญา ด้วยความรู้ หรือปฏิบัติการด้วยความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่ปฏิบัติการด้วยความจำนงจงใจว่าตัวเราต้องการเอาอย่างนั้นอย่างนี้
กรรมสร้างได้ทั้งสวรรค์และนรก
สาระของนรก-สวรรค์คืออะไร
มันก็เป็นเรื่องของการรับอารมณ์ที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนาเท่านั้นเอง
เราไปสวรรค์ ว่าตามที่พูดไว้ในวรรณคดีก็ได้สิ่งที่รับรู้คืออารมณ์ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้เห็นสิ่งที่สวยงาม ได้ยินเสียงดนตรีทิพย์ไพเราะเสนาะ ทางจมูกได้กลิ่นหอมหวน และลิ้นได้รับรสที่ดี อร่อย กายสัมผัสสิ่งนุ่มนวล ใจปลาบปลื้มเพลิดเพลิน ก็เป็นเรื่องของอายตนะทั้งนั้น
หน้า 31 ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์ กราบนมัสการขอบพระคุณ พระพรหมคุณาภรณ์ สิริสวัสดิ์ภุมวารค่ะ
Create Date : 14 มกราคม 2557 |
Last Update : 14 มกราคม 2557 10:36:42 น. |
|
0 comments
|
Counter : 524 Pageviews. |
|
|