วันสำคัญของชาวพุทธไทย (21)
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)
การที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตวันเข้าพรรษาไว้ 2 วัน คือ วันเข้าปุริมพรรษา และ วันเข้าปัจฉิมพรรษานั้น ก็เพื่อให้พระสงฆ์ที่จำพรรษาในวันเข้าปุริมพรรษาไม่ทันด้วยเหตุจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง สามารถเลื่อนไปเริ่มจำพรรษาในวันเข้าปัจฉิมพรรษา
การจำพรรษา และวันเข้าพรรษา ถึงจะมีเป็นสองอย่างก็จริง แต่ที่ถือเป็นสำคัญ และปฏิบัติกันโดยทั่วไปนั้น ก็คือ วันเข้าปุริมพรรษา ซึ่งเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 และไปครบสามเดือนในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งเป็นวันออกพรรษา ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนท้ายฤดูฝน สำหรับเตรียมตัว เพื่อเดินทางไปในที่ต่างๆ ต่อไป
ฉะนั้น ในทางปฏิบัติ เมื่อพูดถึงวันเข้าพรรษา ก็หมายถึง วันเข้าปุริมพรรษานั่นเอง
มูลเหตุที่พระสงฆ์ต้องจำพรรษา กล่าวความตามบาลี วัสสูปนายิกขันธกะ คัมภีร์มหาวรรค พระวินัยปิฎก ว่า ในมัชฌิมประเทศสมัยโบราณ คืออินเดียตอนเหนือ เมื่อถึงฤดูฝนพื้นที่ย่อมเป็นโคลนเลนทั่วไป ไม่สะดวกแก่การเดินทาง
คราวหนึ่ง มีพระพวกที่เรียกว่า ฉัพพัคคีย์ คือเป็นกลุ่มมี 6 รูปด้วยกัน ไม่รู้จักกาล เที่ยวไปมาทุกฤดูกาล ไม่หยุดพักเลย แม้ในฤดูฝนก็ยังเดินทาง เที่ยวเหยียบย่ำข้าวกล้าหญ้าระบัดและสัตว์เล็กๆ ตาย
คนทั้งหลายพากันติเตียนว่า ในฤดูฝน แม้พวกเดียรถีย์และปริพาชกเขา ก็ยังหยุด ที่สุดจนนกก็ยังรู้จักทำรังบนยอดไม้เพื่อหลบฝน แต่พระสมณศากยบุตรทำไมจึงยังเที่ยวอยู่ทั้งสามฤดู เหยียบย่ำข้าวกล้าและต้นไม้ที่เป็นของเป็นอยู่ และทำสัตว์ให้ตายเป็นอันมาก
ความทราบถึงพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงอนุญาตให้พระสงฆ์อยู่ประจำที่ในฤดูฝน ในที่แห่งเดียว เป็นเวลา 3 เดือน เรียกว่า จำพรรษา ด้วยเหตุนี้ พระสงฆ์จึงต้องจำพรรษา และมีวันเข้าพรรษาสืบมาจนบัดนี้
สถานที่ที่พระสงฆ์จำพรรษานั้น พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้จำพรรษาในที่กลางแจ้ง ในโพรงไม้ และในตุ่มหรือในหลุมขุด ซึ่งไม่ใช่เสนาสนะ คือไม่ใช่ที่อยู่ที่อาศัย
ทรงอนุญาตให้จำพรรษาในกุฏิที่มุงที่บังมีหลังคาและฝารอบขอบชิด อยู่ให้ครบ 3 เดือน ถ้าอยู่ไม่ครบ 3 เดือน หลีกไปเสีย พรรษาขาด และต้องอาบัติคือมีโทษ แต่เป็นโทษขนาดเบา เรียกว่าอาบัติทุกกฎ
ถ้ามีภัยอันตรายเกิดขึ้น จะอยู่ในที่นั้นไม่ได้ เช่น น้ำท่วม หรือ ชาวบ้านถิ่นนั้นอพยพไปอยู่ที่อื่น เป็นต้น อนุญาตให้ไปในระหว่างพรรษาได้ ไม่เป็นอาบัติ แต่พรรษาขาด
ถ้ามีกิจจำเป็นที่จะต้องไปแรมคืนที่อื่น เช่น กิจนิมนต์ กิจเกี่ยวกับพระศาสนา ตลอดจนพระอุปัชฌาย์อาจารย์อาพาธ หรือโยมมารดาบิดาเจ็บป่วย อนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ คือกิจที่ไปทำแล้ว กลับมาให้ทันภายใน 7 วัน พรรษาไม่ขาด
พิธีอธิษฐานพรรษา คือ เมื่อถึงวันเข้าพรรษา พระสงฆ์ประชุมพร้อมกันโดยนิยมในโรงอุโบสถ ทำวัตรสวดมนต์ตามปกติ แล้ว ตั้งนโม 3 จบนำแล้ว เปล่งวาจาอธิษฐานพรรษาพร้อมกันว่า อิมสฺมึ อาวาเส, อิมํ เตมาสํ, วสฺสํ อุเปมิ. (นิยมว่า 3 หน) แปลว่า ข้าพเจ้า จำพรรษา ในอาวาสนี้ ตลอดสามเดือน ดังนี้
มีธรรมเนียมอธิษฐานพรรษาเฉพาะรูปๆ ซ้ำอีก ซึ่งบางแห่งยังปฏิบัติอยู่ว่า เมื่อออกจากโรงอุโบสถกลับไปถึงกุฎีที่อยู่ ทำความสะอาดปัดกวาดเรียบร้อย ตั้งน้ำใช้น้ำฉันแล้ว กล่าวคำอธิษฐานพรรษาในกุฎีอีกว่า อิมสฺมึ อาวาเส, อิมํ เตมาสํ, วสฺสํ อุเปมิ. (นิยมว่า 3 หน) แปลว่า ข้าพเจ้าจำพรรษา ในกุฎีนี้ ตลอดสามเดือน ดังนี้
เมื่อกล่าวคำอธิษฐานพรรษาเสร็จแล้ว ยังมีพิธีที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ พิธีขอขมา ซึ่งเป็นพิธีที่เนื่องกับวันเข้าพรรษา
วิธีปฏิบัติ คือ พระผู้น้อยนำดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปหาพระผู้ใหญ่ กล่าวคำขอขมาโทษ แปลเป็นใจความว่า "กระผมขอขมาโทษ ที่ได้ล่วงเกินทางกาย วาจา ใจ เพราะความประมาท"
แล้วพระผู้ใหญ่กล่าวตอบ แปลเป็นใจความว่า "ข้าพเจ้ายกโทษให้ แม้ท่านก็พึงยกโทษให้ข้าพเจ้า" พระผู้น้อยก็กล่าวว่า "กระผมขอยกโทษให้" เป็นอันต่างฝ่ายต่างให้อภัยกัน ในความล่วงเกินที่ได้ทำมาแล้ว นับเป็นวิธีสมานสามัคคีอย่างดียิ่ง
เมื่อถึงวันเข้าพรรษา พุทธศาสนิกชนย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ไม่น้อย เพราะถือเป็นโอกาสที่จะได้บำเพ็ญกุศลเป็นพิเศษ จากที่ได้บำเพ็ญเป็นประจำตามหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน
เริ่มต้นแต่เมื่อใกล้จะถึงวันเข้าพรรษา ต่างก็ช่วยกันซ่อมแซมตกแต่งเสนาสนะ เพื่อให้พระสงฆ์ได้อยู่เป็นสุข นำลูกหลานญาติมิตรไปประชุมกันตามวัด ถวายผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัยแก่ภิกษุสามเณร
หน้า 31
ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์ กราบนมัสการขอบพระคุณ พระพรหมคุณาภรณ์
สิริสวัสดิ์วุธวารค่ะ
Create Date : 04 ธันวาคม 2556 |
Last Update : 4 ธันวาคม 2556 13:12:08 น. |
|
0 comments
|
Counter : 526 Pageviews. |
|
|
|
|
|