แผนที่ชีวิต (6) - พระพรหมคุณาภรณ์
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)
มีปัญญาในการบริโภค
เมื่อเกิดปัญหาจากตัณหา ก็ทำให้มนุษย์ต้องคิดหาทางออกที่จะแก้ปัญหาให้ถูกต้อง แล้วก็ได้มองเห็นว่าในการบริโภคนั้นมนุษย์จะต้องรู้ว่าสิ่งนั้นๆ มีคุณค่าต่อชีวิตจริงหรือไม่
อาหารอะไรมีคุณค่าต่อชีวิต และกินแค่ไหนจึงจะพอดีกับความต้องการของชีวิต ไม่ใช่กินตามตัณหาที่อยากเสพสุขเวทนาของรสอร่อยเท่านั้น เมื่อรู้คุณค่าของอาหารและความต้องการของชีวิตแล้วเราจึงจะรู้จักเลือกกินได้ถูกต้อง ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตอย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้น ในการศึกษาเราจึงต้องฝึกคนให้พัฒนาปัญญา เริ่มแต่ให้รู้ความมุ่งหมายของการบริโภคว่าเรากินเพื่ออะไร เช่น ถามปัญหากับตนเองว่า "กินเพื่ออะไร" เรากินเพื่อสนองความต้องการที่จะได้เสพรสเอร็ดอร่อยหรือ เราควรจะใช้ความเอร็ดอร่อยมาเป็นตัวตัดสินการบริโภคอย่างนั้นหรือ หรือแม้กระทั่งที่พัฒนายิ่งไปกว่านั้นอีกในทางลบคือ เอาการบริโภคมาเป็นเครื่องแข่งขันวัดฐานะกัน เป็นการกินเพื่ออวดโก้
ในการศึกษาก็จะฝึกให้รู้จักพิจารณาว่า การกินเพื่ออวดฐานะกันนี้ เป็นวิธีบริโภคที่ถูกต้องหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่เช่นนั้นแล้วเรากินเพื่ออะไรก็จะได้คำตอบว่า เรากินเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกายให้เป็นอยู่ได้ เพื่อจะดำรงชีวิตให้เป็นอยู่ด้วยดี ให้มีสุขภาพดี และเพื่อให้เรามีชีวิตที่ผาสุกตลอดจนที่ทางพระพูดว่า เพื่อเป็นเครื่องเกื้อหนุนชีวิตที่ดีงาม หรือเพื่อเกื้อหนุนการบำเพ็ญกิจอันประเสริฐ คือการทำหน้าที่และทำประโยชน์ต่างๆ เมื่อมองเห็นวัตถุประสงค์ดังที่กล่าวมานี้เราก็เริ่มมีตัวตัดสินแล้ว ถึงตอนนี้ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว พฤติกรรมในการบริโภคก็จะเปลี่ยนแปลงไป เราจะมองไปในแง่ที่ว่ากินอะไร แค่ไหน อย่างไร ร่างกายจึงจะอยู่ได้สบาย สุขภาพจึงจะดี แข็งแรง ไม่มีโรค กินแค่ไหนจึงจะพอดีกับความต้องการของชีวิตร่างกายของเรา เราจะต้องดูว่าอาหารอะไรมีคุณค่าแก่ชีวิต และมีปริมาณมากเท่าไรจะพอดี
นี่คือการใช้ปัญญาในแง่ทำหน้าที่รู้คุณค่าของอาหาร และรู้ความประสงค์ในการกินในการบริโภค
ปัญญานี้จะมาเป็นตัวนำพฤติกรรมตัวใหม่ ปัญญาจะมากำหนดพฤติกรรมแทนตัณหา เมื่อปัญญามานำ เราก็ไม่ต้องทำตามตัณหาเพราะเรามองเห็นคุณค่าที่แท้จริงที่ต้องการแล้ว เราก็ไม่เอาแค่สุขเวทนา แต่เราจะเอาคุณค่าที่แท้จริงนั้น
เราจึงเปลี่ยนมาปฏิบัติตนตามที่ปัญญาบอก โดยให้ปัญญาเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม พัฒนาตนด้วย "ฉันทะ"
เมื่อคนเริ่มศึกษา การพัฒนาก็เริ่มทันที ความต้องการอย่างใหม่ก็มี ความสุขอย่างใหม่ก็มา
ตอนนี้พึงทราบว่ามีแรงจูงใจ 2 แบบ
แรงจูงใจแบบที่ 1 คือ แรงจูงใจในการเสพ เรียกว่า "ตัณหา" ซึ่งมากับเรื่องของความรู้สึก
แรงจูงใจแบบที่ 2 คือ แรงจูงใจในการศึกษา (และสร้างสรรค์) เรียกว่า "ฉันทะ" ซึ่งมากับเรื่องของความรู้
ตัณหาเป็นความต้องการประเภทความรู้สึก คือมีปฏิกิริยาสนองตอบต่อสิ่งที่ชอบใจ ไม่ชอบใจ ถ้าชอบใจสิ่งใดก็จะเกิดกามตัณหา ปรารถนาจะได้เสพสิ่งนั้นอีกและมากยิ่งขึ้นไป เกิดภวตัณหา อยากคงอยู่เป็นอยู่ในภาวะหรือสถานะที่จะได้สิ่งที่ปรารถนานั้นตลอดไป ถ้าไม่ชอบใจก็จะเกิดวิภวตัณหา อยากจะหนี อยากจะหลบหาย อยากจะทำลาย
คนที่เป็นนักเสพจึงวนเวียนอยู่กับแรงจูงใจที่เรียกว่าตัณหา
แต่พอใช้อินทรีย์เพื่อศึกษาก็เกิดการเรียนรู้ พอได้ความรู้มาก็จะเกิดความอยากรู้ยิ่งขึ้นไปว่าอะไรเป็นอะไร พอได้สนองความอยากรู้ก็เกิดความสุขจากการสนองความต้องการในการรู้ ความสุขจะพัฒนาขึ้น ตอนนี้จะมีความสุขจากการสนองความใฝ่รู้
ยิ่งกว่านั้นพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาจะเริ่มแยกได้ว่า เออ...สิ่งนี้มันอยู่ในภาวะที่ควรจะเป็นไหม ปัญญาที่รู้ที่แยกได้จะทำให้เกิดความอยากหรือความต้องการคืบเคลื่อนก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง คืออยากให้สิ่งนั้นๆ อยู่ในภาวะที่มันควรจะเป็น ซึ่งเป็นธรรมดาของการศึกษาที่จะเป็นอย่างนั้นเอง เพราะความรู้ทำให้เราแยกหรือจำแนกได้ เราเห็นโต๊ะตัวนี้สมบูรณ์เรียบร้อย เราก็พอใจ พอเห็นตัวนั้นไม่สมบูรณ์บกพร่องเราก็อยากให้มันสมบูรณ์
เมื่อความรู้แยกแยะให้แล้วก็จะเกิดความต้องการหรือเกิดความอยากชนิดใหม่ คืออยากให้มันอยู่ในภาวะที่ควรจะเป็น ซึ่งเรียกสั้นๆ ว่าอยากให้มันดี ถ้ามันยังไม่ดีก็อยากให้มันดี แล้วก็ก้าวไปสู่การอยากทำให้มันดี และก้าวไปสู่พฤติกรรมในการกระทำเพื่อให้มันดี
ตอนนี้แหละพฤติกรรมในการกระทำ (เพื่อให้มันดี) ก็เกิดขึ้น
หน้า 31 ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์ กราบนมัสการขอบพระคุณ พระพรหมคุณาภรณ์ สิริสวัสดิ์จันทรวารค่ะ
Create Date : 23 ธันวาคม 2556 |
|
0 comments |
Last Update : 23 ธันวาคม 2556 12:39:28 น. |
Counter : 511 Pageviews. |
|
|
|