"ยินดีต้อนรับสู่ บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ" มีหลายหัวข้อเรื่องให้คุณอ่าน .. ขอบคุณที่มาเยี่ยมบล็อกค่ะ .. ขอจงมีแต่ความสุขกายสบายใจตลอดไปนะคะ
Group Blog
 
 
เมษายน 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
30 เมษายน 2555
 
All Blogs
 
นิธิ เอียวศรีวงศ์ : อุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา อะไร และอย่างไร (1)

 

(ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 30 เมษายน 2555)



ร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, พรรครัฐบาล และ ปชป.กำลังจะเข้าสภา ร่าง พ.ร.บ.ทั้งสามฉบับล้วนมีโทษทางอาญาประกอบอยู่ด้วย และล้วนเป็นโทษที่ค่อนข้างหนักทั้งสิ้น

ข้อกำหนดเหล่านี้ละเมิดรัฐธรรมนูญและละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างรุนแรง กำลังเป็นที่ถกเถียงอภิปรายกันอยู่ทั่วไปอยู่เวลานี้ ผมจะไม่ขอนำมาพูดอีกในที่นี้ แต่ใคร่จะตั้งคำถามว่าพระพุทธศาสนาที่นักการเมืองและข้าราชการในสำนักงาน กำลังอยากจะอุปถัมภ์และคุ้มครองนั้น คืออะไร? และวิธีอุปถัมภ์คุ้มครองแบบนั้น จะส่งผลอย่างไรต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทย

ที่เรียกว่า "พระพุทธศาสนา" - ไม่ว่าคนอื่นเรียกหรือศาสนิกเรียกเองก็ตาม - ทั้งในเมืองไทยและในโลกนี้มีความหลากหลายมาก ผมไม่ได้หมายความเพียงเถรวาทและมหายานซึ่งมีหลายนิกายเท่านั้น ว่า

เฉพาะในเมืองไทย พระพุทธศาสนาก็มีหลายกระแสความเชื่อและการปฏิบัติมาแต่โบราณ พระพุทธศาสนาที่เราเรียนในโรงเรียนนั้น เป็นเพียงกระแสเดียว แม้เป็นกระแสเดียวที่มีอำนาจรัฐหนุนหลัง แต่ก็เป็นกระแสเดียวเท่านั้น และขอเรียกว่าพระพุทธศาสนาที่เป็นทางการ

พระพุทธศาสนาที่เป็นทางการนี้มาจากไหน หรือถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร

คำตอบอย่างตรงไปตรงมาก็คือ เพิ่งเกิดขึ้นในสมัย ร.5 นี้เอง ด้วยเป้าประสงค์ที่จะใช้พระพุทธศาสนา - โดยเฉพาะพระสงฆ์ - ในการขยายอำนาจของราชบัลลังก์ และป้องกันมิให้พระภิกษุนำการแข็งข้อ หรือใช้อุดมการณ์ของพระศาสนาในการแข็งข้อต่อส่วนกลาง

วิธีการและผลพวงแห่งวิธีการเหล่านั้นคืออะไร

1/ บังคับให้ภิกษุทั่วประเทศมาอยู่ภายใต้องค์กรคณะสงฆ์ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ด้วยการออก พ.ร.บ.ปกครองคณะสงฆ์ขึ้นใน พ.ศ.2445 โดยอาศัย พ.ร.บ.ฉบับนี้ รัฐได้สร้างองค์กรคณะสงฆ์ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขึ้นทั่วราชอาณาจักรเป็นครั้งแรก โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพระมหากษัตริย์

บางท่านอาจคิดว่า องค์กรปกครองเช่นนี้มีมาแต่โบราณแล้ว ที่จริงในสมัยโบราณมีแต่ทำเนียบสมณศักดิ์ คือพระมหากษัตริย์อาจทรงยกย่องพระภิกษุบางรูปให้มียศ และได้ราชูปถัมภ์บางประการเป็นพิเศษเท่านั้น ส่วนอำนาจปกครองก็มีจำกัดเฉพาะบางวัด

ซึ่ง "ขึ้น" อยู่กับวัดหลวงที่พระราชาคณะเป็นเจ้าอาวาส ลักษณะเดียวกับการปกครองโดยผ่านสำนักอาจารย์ที่เคยมีในคณะสงฆ์มาแต่โบราณแล้ว ที่สำคัญกว่านั้น อำนาจปกครองกำกับดูแลพระสงฆ์ของรัฐนั้น ถึงจะมีก็จำกัดอยู่เฉพาะเขตใกล้พระนครและหัวเมืองเท่านั้น

สมณศักดิ์ในสมัยโบราณถูกเปรียบกับ "ยศช้าง" มีความหมายแก่เชือกที่ได้รับยศ แต่ไม่มีความหมายอย่างไรแก่ช้างเชือกอื่น

พ.ร.บ.ปกครองคณะสงฆ์ 2445 จึงสร้างองค์กรคณะสงฆ์สยามที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (อย่างน้อยตามทฤษฎี) ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศนี้

อํานาจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของรัฐที่มากับ พ.ร.บ.นี้ก็คือ รัฐเท่านั้นที่จะเป็นผู้แต่งตั้งพระภิกษุขึ้นเป็นพระอุปัชฌายาจารย์ได้ ในสมัยก่อนพระที่มีคุณสมบัติต้องตามพระวินัยคือเป็นพระเถระ (บวชมาไม่ต่ำกว่า 10 ปี) ก็อาจเป็นพระอุปัชฌาย์ได้ทุกรูป

แต่ในทางปฏิบัติ พระที่มีชื่อเสียงเป็นที่นับถือทั้งของพระภิกษุเองและชาวบ้านเท่านั้น ที่จะทำหน้าที่อุปัชฌาย์ โดยมีวัดบริวารขึ้นอยู่กับวัดของท่านจำนวนหนึ่ง ซึ่งส่งคนมาบวชกับพระอาจารย์ที่ "หัววัด" ทุกปี การกำกับดูแลภิกษุในวัดบริวาร จึงอยู่ภายใต้พระอาจารย์

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเครือข่ายของสำนักอาจารย์หนึ่งๆ นั่นแหละ เป็นโครงสร้างหลักของการปกครองคณะสงฆ์ เพราะภิกษุทุกรูปในเครือข่ายล้วนเป็น "ศิษย์" ของท่านทั้งสิ้น รัฐไม่เกี่ยว หรือแทบจะไม่เกี่ยวอะไรเลย

การกำกับดูแล และให้การศึกษาแก่พระสงฆ์สามเณรโดยผ่านสำนักอาจารย์และเครือข่ายเช่นนี้ มีประสิทธิภาพกว่าการกำกับดูแลและให้การศึกษาโดยอาศัยอำนาจของส่วนกลางเพียงอย่างเดียว

วัตรปฏิบัติของพระสงฆ์สามเณรที่ถูกติฉินนินทากันทั่วไปในปัจจุบัน ก็เป็นผลมาจากการรวมศูนย์ที่เริ่มเกิดขึ้นในครั้งนั้นนั่นเอง ยิ่งกว่านั้นการกำกับดูแลภายใต้ระบบสำนักอาจารย์และเครือข่าย ยังทำให้เกิดความยืดหยุ่นไปตามสภาพท้องถิ่น อันเป็นผลให้วัดไม่แปลกแยกจากชาวบ้าน (เช่น พระในอีสาน มักช่วยชาวบ้านเกี่ยวข้าว ... แล้วไปปลงอาบัติเองภายหลัง)

ด้วยเหตุที่ระบบปกครองพระสงฆ์สมัยโบราณอาศัยเครือข่ายของสำนักอาจารย์เช่นนี้เอง พระพุทธศาสนาในดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน จึงมีความหลากหลายอย่างยิ่ง ทั้งในแง่พิธีกรรม, แบบปฏิบัติ (เช่นทำนองการสวด), หรือแม้แต่หลักคำสอน (อย่างน้อยก็เน้นหลักธรรมต่างกัน)

นี่คือเหตุผลที่พระพุทธศาสนาของไทยมีพลังในการผสมกลมกลืนกับศาสนาท้องถิ่นที่มีอยู่ก่อนได้สูง ทำให้พระพุทธศาสนาแทรกเข้าไปในวิถีชีวิตของผู้คนได้มาก โดยไม่มีใครจำเป็นต้องประกาศตนเป็นชาวพุทธ

อำนาจของ พ.ร.บ.ปกครองคณะสงฆ์ 2445 อีกอย่างหนึ่งก็คือ กลไกราชการแบบใหม่ซึ่งเพิ่งสร้างขึ้นก่อนหน้านั้น ทำให้ข้าราชการปกครองสามารถกลั่นแกล้งรังแกภิกษุที่ไม่ยอมอยู่ในปกครองของรัฐส่วนกลางได้ง่าย โดยเฉพาะพระที่เรียกกันว่า "พระป่า" (ซึ่งไม่ได้มีแต่สายธรรมยุติของพระอาจารย์มั่นเท่านั้น)

2/นิยามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกันก็เซื่องลง และอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐอย่างรัดกุม

หลักคำสอนใหม่นี้ขจัดความเชื่อที่ถือว่าเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติออกไปทั้งหมด แม้แต่ที่ปรากฏในคัมภีร์มาแต่เดิมก็ถือว่าเป็นเพียง "บุคลาธิษฐาน" หรือความเปรียบเท่านั้น ชาดกซึ่งเป็นแก่นสารสำคัญในการเทศน์แต่เดิมมา จึงถูกลดความสำคัญลงเป็นเพียงเหมือนนิทานอีสป

ในด้านหลักธรรมสำคัญของพระพุทธศาสนา ก็เน้นแต่ธรรมะของผู้ครองเรือนและพระวินัย มีความระแวงกับทุกมิติของด้านปฏิบัติ นับตั้งแต่การเจริญสมาธิภาวนา ไปจนถึงการจัดองค์กรของภิกษุและฆราวาสของผู้ปฏิบัติธรรม หรือแม้แต่คำสอนระดับโลกุตรธรรม ก็เห็นกันว่าเกินจำเป็น

หนึ่งในรูปของการ "ปฏิรูป" หลักธรรมคำสอนก็คือ การเน้นคุณค่าของรัฐราชาธิปไตย การอุปถัมภ์ของกษัตริย์กับการดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนากลายเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ ดังนั้น ภิกษุในบังคับขององค์กรสงฆ์แห่งชาติ จึงต้องรับใช้อุดมการณ์และนโยบายของรัฐ

แม้เมื่อรัฐไทยได้เปลี่ยนไปจากรัฐราชาธิปไตยแล้วก็ตาม พระพุทธศาสนาที่เป็นทางการของไทยจึงกลายเป็นเครื่องมือของรัฐเต็มตัว สามารถรับใช้รัฐได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นรัฐทรราช, ราชาธิปไตย, เผด็จการทหาร, หรือระบอบเลือกตั้ง จะหาคณะสงฆ์ของศาสนาใดที่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองยิ่งไปกว่าคณะสงฆ์ไทยได้ยาก

ความเคร่งครัดในแบบพิธีมีความสำคัญมากกว่าความเคร่งครัดในหลักธรรมคำสอน องค์กรคณะสงฆ์ภายใต้บังคับของรัฐในพระพุทธศาสนาที่เป็นทางการ ระแวดระวังกับความเคร่งครัดตามการตีความพระวินัยของตน แต่ไม่สู้จะใส่ใจกับการตีความพระธรรมเท่าไรนัก (orthopraxie v.s. orthodoxy)

เหตุผลนั้นเห็นได้ชัด จะควบคุมมิให้พระภิกษุกระด้างกระเดื่องต่อรัฐ แบบปฏิบัติของพระภิกษุ (เช่นการบวช, การตั้งสำนักสงฆ์, การฉันภัตตาหาร ฯลฯ) จึงมีความสำคัญกว่าการตีความหลักธรรมคำสอน ในแง่หนึ่งก็เท่ากับเปิดให้ความหลากหลายของพระพุทธศาสนายังมีต่อไปในด้านหลักธรรมคำสอน

แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้องค์กรคณะสงฆ์แห่งชาติ ไม่ต้องเผชิญกับการท้าทายด้านหลักธรรมคำสอน ซึ่งเป็นแก่นสารสำคัญที่สุดของศาสนา (ก่อนจะมาถึงหลักปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลักธรรมคำสอน) ในอีกแง่หนึ่ง ตัวหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาเอง ก็อาจทำให้บุคคลเป็นอิสระจากอำนาจทางการเมืองด้วย

การเน้นให้พระภิกษุเป็นหลักในการเผยแผ่คำสอน ทำให้บุคคลอีกมากซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่นี้ร่วมด้วยมาแต่อดีตหมดความสำคัญลง เช่น ชีปะขาว, หนานหรือทิด, ฤๅษี, และกลุ่มฆราวาสซึ่งปฏิบัติธรรม ฯลฯ คนเหล่านี้ล้วนอยู่นอกการบังคับบัญชาขององค์กรคณะสงฆ์ส่วนกลาง

ผลก็คือทำให้พระพุทธศาสนาถูกขังอยู่ในวัด (อันเป็นอาณาบริเวณที่อยู่ใต้อำนาจรัฐอย่างเด็ดขาด) นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พระพุทธศาสนาห่างไกลจากวิถีชีวิตของผู้คน 

ยิ่งเมื่อสังคมเปลี่ยนจนทำให้ "เวลา" ของวัดกับ "เวลา" ของชาวบ้านไม่ตรงกัน (เช่นเมื่อกลองเพลดังขึ้น จำนวนมากของชาวบ้านติดอยู่ที่ที่ทำงาน ไม่อาจนำภัตตาหารไปถวายและปรนนิบัติพระได้) หลักธรรมคำสอนของพระศาสนายิ่งอยู่ห่างไกลจากชีวิตของชาวบ้านมากขึ้น

นี่คือเนื้อหาหลักของพระพุทธศาสนาที่เป็นทางการ ซึ่งเกิดและดำรงอยู่ในช่วงหนึ่งของการเมือง, เศรษฐกิจ, และสังคมของไทย เมื่อสิ่งเหล่านั้นเปลี่ยนไป พระพุทธศาสนาที่เป็นทางการก็ไร้ความหมายลงทุกที

เพราะไม่ได้ตอบสนองต่ออะไรสักอย่างเดียว แม้แต่ปัญหาของรัฐตามสายตาของชนชั้นนำเอง ยังไม่พูดถึงปัญหาที่เกิดกับชีวิตคนส่วนใหญ่ภายใต้การแย่งชิงทรัพยากรของกระแสโลกาภิวัตน์

ดังนั้น ก่อนจะออกกฎหมายอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ขอให้นักการเมืองมีความเข้าใจที่ชัดเจนก่อนว่า "พระพุทธศาสนา" ที่ต้องการจะอุปถัมภ์และคุ้มครองนั้น คือพระพุทธศาสนาอะไร สมควรหรือไม่ที่จะสังเวยทั้งทรัพยากรของชาติ และสิทธิเสรีภาพของประชาชน เพื่ออุปถัมภ์และคุ้มครอง

เมื่ออุปถัมภ์และคุ้มครองด้วยมาตรการรุนแรงดังปรากฏในร่าง พ.ร.บ.แล้ว พระพุทธศาสนาเช่นนั้น จะมิยิ่งกลายเป็นฟอสซิลหนักขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้ละหรือ เราควรทำอะไรที่ฉลาดและสุขุมได้อีกบ้างในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา

เรื่องนี้คงต้องคุยกันยาว และจะขอคุยถึงอีกในครั้งหน้า

 

ขอบคุณ
ผู้จ้ดการออนไลน์
คุณนิธิ เอียวศรีวงศ์


สิริสวัสดิ์จันทรวารค่ะ




Create Date : 30 เมษายน 2555
Last Update : 30 เมษายน 2555 20:28:11 น. 0 comments
Counter : 1245 Pageviews.

sirivinit
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 224 คน [?]





/



2558

2556

2555

น้ำใจจากคุณ krittut 2554

2553


สิริสวัสดิ์วรวาร
เปรมปรีดิ์มานรื่นรมณีย์นะคะ ยินดีต้อนรับ
สู่บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ

เชิญอ่านตามสบายนะคะ
มีดีๆให้คุณได้ทราบหลากหลายค่ะ

๑ - ๑/๑ ฉันรักในหลวง
๒.๓.๑๐.๑๕.๓๐.๒๔.๕๙.๖๓.๙๐.ธรรมะ
๔ - ๔/๑ รวมพลคนดัง
๕. ศาสนาพุทธสุดประเสริฐ
๖. ความรู้ทั่วไปในศาสนาพุทธ
๗. ๑๖. ประวัติศาสตร์
๘ - ๙/๑ ไม้ดอก ไม้ใบ
๑๑ - ๑๑/๑ เกม
๑๒.๓๗.๔๐-๔๓.๕๓.๗๕.๘๖.ศิลปะเทศ
๑๔ - ๑๔/๑. ๒๐๘. ข่าวคนดังเทศ
๑๘. ๑๙. ๒๒. ราชวงศ์ไทย
๒๐.๑๑๖-๑๑๖/๒ ๑๙๐-๑๙๐/๘ ละคร ทีวี
๒๑. ๓๑. ๒๐๘. ราชวงศ์เทศ
๒๔. นักเขียนไทย
๒๔/๑. กลอนชั้นบรมครู
๒๙/๑-๒๙/๔โปสการ์ดจากเพื่อนบล็อก
๓๓. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
๓๙.๑๘๑-๑๘๑/๗ สุธาโภชน์รสเลิศล้ำ
๔๑.๔๒.๕๐.๕๘.๖๐.๖๑.๘๖.มหาวิหาร
๕๗. ปราสาท พระราชวัง คฤหาสน์เทศ
๖๒. วัด
๖๕ - ๖๕/๑ การ์ตูน
๖๕/๒. นิทานเซน
๖๗. ความตายมาพรากให้จากไป
๖๙ - ๖๙/๒ สารพัดสัตว์
๗๔. สุนัข
๗๖. อุทยานสวรรค์
๗๗. ซูเปอร์แมน - แบทแมน
๗๘ - ๘๓. แสตมป์สะสม
๘๕-๘๕/๑ หนังสือสะสม
๘๗ - ๘๗/๒ ๒๑๕ ข่าวกีฬา
๘๙. ๘๙/๑ จีนแผ่นดินใหญ่
๙๐/๑ .ทิเบต
๙๑. จันทร์สูริย์ดารา
๙๒. สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า
๙๓ - ๙๓/๒ ภาพยนตร์
๙๔ - ๙๔/๓ ยานยนต์
๙๕ - ๙๕/๑ ดูดวง
๙๖ - ๙๖/๑ . ๒๑๑ วิทยาศาสตร์
๙๗ - ๙๗/๑.๒๐๙ แวดวงวรรณกรรม
๙๘. ภาพพุทธประวัติ
๙๙. ๑๒๗ - ๑๒๗/๑ ดนตรี
๑๐๑. ป้าย R สะสม
๑๐๒. บัตรภาพตราไปรฯสะสม
๑๐๓. DIY
๑๐๗/๑ เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น
๑๐๘ - ๑๐๘/๑ หนังสือ
๑๑๓ - ๑๑๓/๑ บ้านสวย
๑๑๕. พระเครื่อง
๑๒๐. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๒๓. เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ
๑๒๕. เหรียญที่ระลึก
๑๒๕/๑ เหรียญสะสมต่างประเทศ
๑๒๕/๒ เหรียญที่ระลึกจังหวัด
๑๒๕/๓ ธนบัตรที่ระลึก
๑๒๕/๔ บัตรโทรศัพท์
๑๒๕/๕ กล่องไม้ขีด และอื่นๆ
๑๓๑.เรื่องสั้นชั้นครู"เจียวต้าย"
๑๖๔.บล็อกพิเศษ วันเดียวอั๊พ 100
เอนทรี่ ให้คุณป้า"ร่มไม้เย็น"ชม
๑๙๐/๓ เรื่องย่อละคร
๑๙๓. คดีเขาพระวิหาร
๒๑๒. ศิลปะ
๒๑๗. วิถีแห่งอำนาจ บูเช็กเทียน
๒๑๗/๑.วิถีแห่งอำนาจ เจงกิสข่าน
๒๑๗/๒.วิถีแห่งอำนาจ จูหยวนจาง
๒๑๗/๓.วิถีแห่งอำนาจ ซูสีไทเฮา
๒๑๗/๔.วิถีแห่งอำนาจ หงซิ่วฉวน
๒๑๗/๕.วิถีแห่งอำนาจ แฮรี่ พอตเตอร์

ข่าวทั่วไปล่าสุด บล็อกล่างสุดค่ะ

เปิดบล็อก 1 มกราคม 2552



free counters
08.27 - 250811

207 flags collected 300316



Friends' blogs
[Add sirivinit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.