แผนที่ชีวิต (21) - พระพรหมคุณาภรณ์
คอลัมน์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)
อิสรภาพที่แท้จริง
เราอาจแบ่งประเภทของคนออกได้เป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มที่หนึ่ง คือบุคคลประเภทที่พูดว่า เขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่โดยปราศจากโน่น ปราศจากนี่
กลุ่มที่สอง ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่ากลุ่มแรก ที่พูดว่า การมีโน่นมีนี่ก็ดี แต่ถ้าไม่มีก็ได้
กลุ่มที่สาม เป็นผู้มีอิสรภาพ แม้ว่าไม่มีหรือไม่ได้ ไม่พบสิ่งกระตุ้นเร้าจากภายนอกก็กลับยิ่งดี เพราะเขารู้สึกโล่งสบาย ไม่รู้สึกทุกข์ กลุ่มนี้จะรู้สึกว่าทำไมความสุขของเราต้องไปขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอก ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็จะไม่มีเป็นอิสระ ถึงแม้เราไม่มีหรือไม่ได้สิ่งเหล่านั้น เราก็สามารถมีความสุขได้ บางทีการมีอะไรมากเกินไปทำให้เราทุกข์ และมีความสุขน้อยลงด้วยซ้ำไป ดังนั้น การไม่ต้องอาศัยวัตถุธรรมมาเป็นเครื่องล่อเครื่องเร้าให้เกิดความสุขที่สูงกว่า เพราะประกอบด้วยอิสรภาพอันบุคคลควรพัฒนาให้เกิดมีความสุขชนิดนี้ขึ้นในตน
นิรามิสสุข หรือสุขที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งภายนอก ที่ละเอียดขึ้นไปอีกอย่างหนึ่งคือ ความเป็นอิสระจากความอยากหรือตัณหา เราอาจเป็นอิสระจากวัตถุธรรม แต่ในใจของเรายังคงมีตัณหา เราอยากได้แม้แต่บางสิ่งข้างในภายในใจของเรา เช่น อยากเป็นโน่นเป็นนี่ อยากประสบความสำเร็จในสังคม
ถ้าเราสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นอิสระอย่างแท้จริง จนกระทั่งเข้าถึงปัญญาบริสุทธิ์ที่ทำให้มองเห็นสรรพสิ่งตามความเป็นจริงแล้ว เราจะมีความเป็นอิสระจากโลกซึ่งคนทั่วไปไม่สามารถเป็นได้ เพราะว่าเขาไม่รู้จักสิ่งเหล่านั้นอย่างแท้จริง เมื่อเขารู้สรรพสิ่งตามความเป็นจริงจิตใจเขาก็เป็นอิสระ รู้สึกเบาสบาย ไม่มีความเครียด และเขาก็จะเข้าถึงความสุขจากความเข้าใจนั้น เป็นอิสระจากตัณหา
รสแห่งความหลุดพ้น
พระพุทธศาสนามีวิมุตติหรือความมีอิสรภาพเป็นจุดหมายสำคัญและไม่ใช่เป็นเพียงจุดหมายเท่านั้น แต่มีอิสรภาพเป็นหลักการสำคัญทั่วไปทีเดียว
ในทางธรรมท่านใช้คำว่า "วิมุตติรส" กับ "วิมุตติสาระ"
สำหรับวิมุตติรสนั้น พระพุทธเจ้าตรัสเป็นคำอุปมาว่า มหาสมุทรแม้จะกว้างใหญ่เพียงใดก็ตาม แต่น้ำในมหาสมุทรที่มากมายทั้งหมดนั้นมีรสเดียวคือรสเค็มฉันใด ธรรมวินัยของพระองค์ที่สอนไว้มากมายทั้งหมดก็มีรสเดียวคือวิมุตติรส ได้แก่ความหลุดพ้นจากทุกข์และปวงก็กิเลสฉันนั้น
ภาษาสมัยใหม่เรียกความหลุดพ้นว่าอิสรภาพ เดี๋ยวนี้เราไม่ใช่คำว่า วิมุตติ เราติดคำว่าอิสรภาพ แต่ที่จริงเราใช้คำว่าอิสรภาพในความหมายของวิมุตตินั่นเอง
พระพุทธศาสนาจึงสอนให้เรามีอิสรภาพ โดยฝึกตนให้รู้จักที่จะไม่ยึดติดถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย จนกระทั่งเมื่อรู้ความจริง รู้เท่าทันชัดแจ้งทั่วตลอดแล้วก็จะมีจิตหลุดพ้นเป็นอิสระ
"สัจจะ" คือรสที่เลิศที่สุด
พระพุทธศาสนานั้นท่านสอนให้เผชิญหน้ากับความจริง ให้ยอมรับความจริง ในที่สุดแล้วคนเราต้องอยู่กับความจริง หนีความจริงไม่พ้น ถ้าเราทำจิตใจของเราให้อยู่กับความจริงได้ตลอดเวลาแล้ว ความจริงที่เกิดขึ้นนั้นก็จะไม่กระทบกระเทือนจิตใจของเรา แต่ถ้าเราไม่ยอมรับมัน ความจริงก็ต้องเกิดอยู่ดี และเพราะเราไม่ยอมรับมัน มันก็เลยกระทบกระเทือนตัวเรามาก ความทุกข์ก็เกิดขึ้นมามาก เรียกว่าเป็นความทุกข์สองชั้น คือ ทุกข์เพราะความดับที่ต้องเจอะต้องเจอ เป็นความจริงตามธรรมดาเมื่อถึงเวลานั้น แล้วยังทุกข์ด้วยหวาดผวาไหวหวั่นตลอดเวลา ก่อนที่ความจริงนั้นจะมาถึงอีกด้วย
เพราะฉะนั้นทางพระท่านจึงชี้นำให้รู้เข้าใจความจริง เมื่อรู้เข้าใจความจริงแล้ว ในที่สุดความรู้ความจริงนั้นแหละจะทำให้เรามีจิตใจที่สบาย มีจิตใจที่เบิกบานผ่องใส แม้กระทั่งตลอดเวลาเลยทีเดียว เพราะความจริงก็คือ "สัจจะ"
ท่านบอกว่า ในที่สุดแล้วไม่มีรสอะไรเลิศกว่ารสสัจจะ ดังบาลีว่า สจฺจํ หเว สาธุตรํ รสนํ (สัจจะแล เลิศรสกว่าประดารส) หรือว่าความจริงนี้แหละเป็นรสเลิศกว่ารสทั้งหลาย
ขอเปรียบเทียบเหมือนอย่างน้ำที่มีรสต่างๆ น้ำหวาน น้ำเปรี้ยว น้ำรสต่างๆ มากมาย ในที่สุดรสดีที่สุดคือรสอะไร คือรสน้ำบริสุทธิ์ รสน้ำที่จืดสนิท ไปๆ มาๆ ไม่ว่ารสอะไรก็สู้รสน้ำบริสุทธิ์ที่จืดสนิทนี้ไม่ได้ บางครั้งเราอาจจะต้องการรสหวาน บางครั้งก็ต้องการรสเปรี้ยว บางครั้งก็ต้องการรสเปรี้ยวปนหวาน บางทีก็อยากได้รสเค็มบ้าง ต้องการไปต่างๆ นานา แต่ในที่สุดแล้วรสที่ดีที่สุดก็คือรสที่จืดสนิทของน้ำที่บริสุทธิ์นั่นเอง
หน้า 31 ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์ กราบนมัสการขอบพระคุณ พระพรหมคุณาภรณ์ สิริสวัสดิ์จันทรวารค่ะ
Create Date : 20 มกราคม 2557 |
Last Update : 20 มกราคม 2557 11:30:43 น. |
|
0 comments
|
Counter : 673 Pageviews. |
|
|