ความสุข ทุกแง่ทุกมุม (8)
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)
ถึงตอนนี้ ก็เท่ากับสรุปได้ คือบอกว่า ความอยาก หรือความต้องการนั้น มี 2 อย่าง คือ
1. ตัณหาคือ ความอยากความต้องการที่เป็นอกุศล ได้แก่อยากได้ อยากเอา อยากมี อยากเป็น อยากทำลาย
2. ฉันทะคือ ความอยากความต้องการที่เป็นกุศล ได้แก่อยากทำ (ให้มันดี) ใฝ่ฝึก ใฝ่ศึกษา ใฝ่ปฏิบัติ ใฝ่จัดทำ ใฝ่สร้างสรรค์ในคัมภีร์ภาษาบาลีชั้นอรรถกถา เมื่อท่านจะแยก 2 อย่างนี้ท่านก็หาคำกลางมาตั้งก่อน
ได้พบว่าท่านใช้คำว่า ปตฺถนา คือความปรารถนามาวางเป็นคำกลาง แล้วท่านก็แยกให้ดู บอกว่าปตฺถนา (คือความปรารถนา) มี 2 อย่าง (ก็คือที่แยกให้ดูแล้วข้างบนนั่นเอง) ได้แก่
1. ตณฺหาปตฺถนา คือ ความปรารถนาที่เป็นตัณหา (ปรารถนาเอา, ต้องการเสพ)
2. ฉนฺทปตฺถนา คือ ความปรารถนาที่เป็นฉันทะ (ปรารถนาดี, ต้องการทำให้ดี)
มีข้อสังเกตว่า คนไทยทั่วไป โดยเฉพาะก็คือคนพุทธไทยนี้พอพูดถึงความอยากละก็ไม่ได้ มักจะบอกว่าไม่ดี ไม่ถูก ใช้ไม่ได้แล้วก็ชอบบอกกัน สอนกัน ไม่ให้อยาก อันนี้คืออันตราย ดีไม่ดีก็กลายเป็นการทำร้ายไปเลย ทั้งตัดรอนการพัฒนาคน และขัดขวางการพัฒนาสังคมประเทศชาติ
ทีนี้อีกพวกหนึ่งก็ตรงข้ามไปเลย บอกว่าให้อยากได้อยากเอา อยากมั่งอยากมี บางทีถึงกับสอนให้โลภ ให้อยากเด่นอยากดังอยากเป็นใหญ่เป็นโต บอกว่าต้องอย่างนี้ประเทศชาติสังคมจึงจะพัฒนา แต่ไม่ได้พัฒนาจริงหรอก
มีแต่พัฒนาไปสู่ความพินาศอย่างน้อย ก็ทำให้เกิดการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ พาคนพา โลกออกไปจากสันติภาพ ทั้งสองพวกนี้ ก็คือสุดโต่ง สุดขั้วไปคนละด้าน แต่เหมือนกันร่วมกันตรงที่มีความไม่รู้
คือไม่รู้จักความอยาก ไม่รู้ไม่เข้าใจธรรมชาติของความต้องการ แล้วก็จัดการกับความอยากนั้นไม่ถูกต้องความอยากนั้น ต้องรู้จัก และก็แยกให้ได้ อย่างที่นำมาให้ดูกันนั้น เมื่อแยกได้แล้ว อะไรต่ออะไรก็จะชัดขึ้นตอนที่แยกนั้น
ก็ได้แสดงให้เห็นความหมายที่แตกต่างกันระหว่างความอยาก 2 แบบนั้นไปแล้ว แต่ตอนนี้ยังอยากจะให้จับสาระ หรือลักษณะสำคัญของความแตกต่างนั้นให้จะแจ้งด้วย จึงขออธิบายในแง่นี้อีกหน่อยลองจับสาระที่ว่านั้นมาวางไว้ให้ดูขั้นหนึ่งก่อน
1. ตัณหา เป็นความอยากเพื่อตัวตนของเรา หรือเพื่อตัวเราเอง เช่น อยากเอาเข้ามาให้แก่ตัว เอามาบำเรอตัว ให้ตัวเสพ ให้ตัวได้ ให้ตัวเป็นหรือไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
2. ฉันทะ เป็นความอยากเพื่อสภาวะของสิ่งนั้นๆ เอง เพื่อความดี เพื่อความงาม เพื่อความสมบูรณ์ของสิ่งนั้นๆ
เคยยกตัวอย่างเช่นว่า คนมาในวัดแล้ว เข้าไปในบริเวณที่มีต้นไม้มากๆ เห็นกระรอกกระแตวิ่งโลดเต้นกระโดดกระโจนไปมา คนหนึ่งก็ชื่นชม มองว่าเจ้ากระรอกนี้น่าดู คล่องแคล่ว มันกระโดดไปกระโดดมา ดีนะ เป็นภาพที่งามตา
ขอให้กระรอกเหล่านี้มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ทำหมู่ไม้ที่ร่มรื่นให้งดงามน่าเพลินใจ ช่วยให้วัดเป็นรมณียสถานนานเท่านานต่อไปเถิด อย่างนี้คืออยากเพื่อสภาวะที่เต็มสมบูรณ์ของสิ่งนั้นเอง เรียกว่ามีความอยากหรือความต้องการที่เป็นกุศล เป็นฉันทะ
ส่วนอีกคนหนึ่งก็เห็นกระรอกตัวเดียวกันนั้นแหละ แต่เขามองไปก็คิดไปว่า ไอ้เจ้ากระรอกตัวนี้มันอ้วนดีนะ เนื้อมาก ถ้าเราจับได้ เอาไปลงหม้อแกงเย็นนี้ คงอร่อยทีเดียวละ
นี้คืออยากเพื่อตัวตนของตนเอง เรียกว่ามีความอยากที่เป็นอกุศล เป็นตัณหาอีกตัวอย่างหนึ่ง นักเรียนจบมัธยมแล้ว คิดเลือกจะเรียนแพทย์คนหนึ่งอยากเป็นแพทย์ เพราะอยากมีรายได้มาก อยากหาเงินง่าย จะมั่งคั่งร่ำรวย และมีหน้ามีตา มีเกียรติสูง
นี้คืออยากเพื่อตัวตนของตนเอง เรียกว่ามีความอยากหรือความต้องการที่เป็นอกุศล ก็เป็นพวกตัณหา
ส่วนอีกคนหนึ่งอยากเป็นแพทย์ เพราะอยากทำให้คนหายจากโรค อยากเห็นประชาชนแข็งแรงมีสุขภาพดี อยากให้ชาวบ้านพ้นความเดือดร้อน อยากให้บ้านเมืองมีพลเมืองที่มีคุณภาพอยู่กันร่มเย็นเป็นสุข
อย่างนี้คืออยากเพื่อสภาวะที่เต็มสมบูรณ์ของสิ่งนั้นๆ ที่เป็นวัตถุประสงค์อย่างตรงไปตรงมาของอาชีพแพทย์นั้นเอง
เรียกว่ามีความอยากหรือความต้อง การที่เป็นกุศล เป็นฉันทะ
หน้า 31
ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์ กราบนมัสการขอบพระคุณ พระพรหมคุณาภรณ์
สิริสวัสดิ์วุธวารค่ะ
Create Date : 27 มิถุนายน 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 27 มิถุนายน 2555 12:56:27 น. |
Counter : 975 Pageviews. |
|
|
|