Once Man United, Always Man United
Group Blog
 
<<
กันยายน 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
7 กันยายน 2550
 
All Blogs
 
---ของเก่า 8 พฤษภาคม 2550--- แมนซิตี้ กับ แมนยู ครับ

สวัสดีครับ กลับมาพบกันหลังหยุดยาวสามวัน ที่ซึ่งกลายเป็นวันหยุดแห่งการเฉลิมฉลองของสาวกปีศาจแดงทั้งปวงในที่สุด


ผมเข้ามาเช็คหน้าเว็บปรากฏว่า มีแต่กระทู้เฉลิมฉลอง งั้นผมขออนุญาตเอาบทวิพากษ์ มาลงให้ได้อ่านกันนะครับ ติดตามได้เลยครับ





จากการเช็คข่าวการจัดตัวของทั้งฝั่งซิตี้เจ้าบ้าน กับ ฝั่งยูไนเต็ดผู้มาเยือน ก็พบว่าฝั่งเจ้าบ้านค่อนข้างมีปัญหา เมื่อได้แบนบาร์ตันยาวจนจบฤดูกาลไปแล้ว และยังขาดดาโบ ที่โดนบาร์ตันซ้อมซะต้องรักษาตัวอีกสักพักนั่นเอง จากเรื่องดังกล่าวนั้น ทำให้ซิตี้ต้องขาดตัวตัดเกมดีกรีซาดิสม์ไป และน่าจะส่งผลดีต่อรูปเกมของทีมเยือนพอสมควร

ส่วนฝั่งทีมเยือน ยูไนเต็ดพักเอวร่าไว้ และส่งสองคู่เซนเตอร์ ริโอ กับวิดิช ลงสนามเป็นตัวจริง โดยยังให้บราวน์ยืนเป็นแบ็กขวา ในขณะที่แบ็กซ้ายใช้ไฮน์เซ่ ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ยังอยู่กันครบครัน


เริ่มเกมขึ้นมา ปรากฏว่าเจ้าบ้าน ให้บอลล์เดินเกมหนักทดแทนบาร์ตันได้อย่างดีตั้งแต่แรก โดยถอยมาย่ำเข้าใส่ที่หน้าอกของโรนัลโด้ แถมไม่ถูกเป่าฟาล์วอีกต่างหาก ซึ่งบอลล์นั้น น่าจะถูกกำชับมาให้ฆ่าตัดตอนโรนัลโด้ตั้งแต่ต้นเกม เพื่อข่มขวัญไม่ให้มีความมั่นใจในการกระชากลากเลื้อย ซึ่งหากบอลล์ทำได้สำเร็จ ผลดีจะตกอยู่กับซิตี้อย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ปรากฏว่า ไม่ว่าบอลล์ หรือผู้เล่นซิตี้คนใด ก็ไม่สามารถหยุดความห้าวและความกล้าเกินพิกัดของโรนัลโด้ลงได้ กลับถูกโรนัลโด้เลี้ยงจี้เข้าหา เพื่อหลอกล่อและกระชากหลบอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด บอลล์ก็มาพลาดง่ายๆเมื่อไปสกัดเข้าที่ข้อเท้าของโรนัลโด้ ในจังหวะที่กำลังจะหลุดเข้าไปยิงในกรอบเขตโทษทางด้านขวา ซึ่งดูจากภาพช้าแล้วก็ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นการฟาล์วอย่างแน่นอน และโรนัลโด้ก็ลุกขึ้นมาสังหารไม่พลาด ส่งให้ทีมเยือนขึ้นนำได้สำเร็จ

จากนั้น รูปเกมกลายเป็นการพยายามครองบอลของฝั่งทีมเยือน เพื่อคอนโทรลจังหวะของเกมให้อยู่ในวิถีเกมของตนเองให้ได้ โดยคาร์ริค กับ สโคลส์ คอยบัญชาการเกมอยู่ในแดนกลางสนามอย่างมั่นคง และไม่เติมขึ้นสูงมากนัก เพื่อป้องกันจังหวะสวนของฝั่งเจ้าบ้าน แต่ก็ยังคงมีลูกหวาดเสียวอยู่ประปราย จากการยิงแถวสอง และลูกตั้งเตะของฝั่งเจ้าบ้าน ที่ทำให้กองเชียร์เร้ด อาร์มี่ หายใจหายคอไม่สะดวกอยู่เนืองๆ


ทั้งนี้ การที่ยูไนเต็ดมาเดินเกมในลักษณะดังกล่าว น่าจะเป็นเพราะอาการล้า และเหนื่อยอ่อนจากการลงเล่นติดต่อกันมาตลอดสี่ห้าสัปดาห์หลัง โดยไม่ได้พักผ่อนเลย ทำให้เราสังเกตเห็นว่า นักเตะยูไนเต็ดหลายราย ออกอาการวิ่งไม่ออกในช่วงท้ายเกม ในหลายๆเกมช่วงหลังๆที่ผ่านมา โดยเฉพาะเกมกับมิลานนั้น วิ่งกันแข้งขาอ่อนซะหลายคน ทำให้ท่านเซอร์คงมาเน้นเกมแน่นอนไว้ก่อน ไม่วิ่ง ไม่บุกโดยไม่จำเป็น เพื่อถนอมร่างกายเผื่อกรณีที่ต้องบดบี้กับเชลซีในกลางสัปดาห์หน้าอีก

และการที่ท่านเซอร์ส่งสองปารการหลังตัวหลักกลับมายืนประจำตำแหน่งในคืนนั้น น่าจะเป็นเพราะต้องการให้ทั้งคู่กลับมาสานความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น เหมือนกับก่อนที่จะพบอาการบาดเจ็บ และต้องไปจับคู่กับคนอื่นซะบ่อยๆ เพื่อให้การลงสนามในนัดหลังๆต่อไป ทำได้เหนียวแน่น มั่นคง รู้ใจกัน เช่นเดิม ซึ่งก็ถือว่าในนัดนี้นั้น ทั้งคู่ทำผลงานได้ดีในระดับที่น่าพึงพอใจ แม้ว่าอาจจะมีจังหวะหลุดไปบ้าง แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่า เป็นเพราะการร้างราสนามมาหลายสัปดาห์ อาจจะทำให้จับจังหวะเกมผิดพลาดไปเล็กๆน้อยๆบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้ทีมต้องเสียประตู


กลับมายังเกมกันต่อ แมนยูไนเต็ด สามารถครอบครองบอล รักษาจังหวะของเกมได้ตลอด จนล่วงเข้าสู่ช่วงท้ายๆเกม ที่ซิตี้เจ้าบ้าน เริ่มโหมบุกกระหน่ำ หมายยิงตีเสมอ เพื่อชลอความหวังไม่ให้ยูไนเต็ดคู่แค้นได้มีโอกาสเฉลิมฉลองชัยชนะกันที่ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ และสุดท้ายก็มาได้จุดโทษ จากการที่ผู้เล่นซิตี้ ลากบอลเข้ามาในกรอบโทษ และถูกเวส บราวน์ ซึ่งพยายามเบี่ยงตัวหลบแล้วแต่ไม่พ้น ทำให้เสียหลักล้มลงไป ซึ่งเมื่อเรามองภาพช้าแล้วก็ถือว่าค่อนข้างโชคร้ายที่เสียลูกโทษลักษณะนี้ เพราะบราวน์เองก็พยายามหันข้างหนีแล้ว แต่ผู้เล่นซิตี้ก็ยังหลบไม่พ้น แต่หากมองว่าเป็นการกีดขวางการเล่น ก็ไม่ผิดครับ ที่ผู้ตัดสินจะเป่าฟาล์ว

ก่อนที่ซิตี้จะยิงจุดโทษดังกล่าวนั้น ฟาน เดอร์ ซาร์ ได้ออกมาไซโควาสเซลล์ เพื่อดึงเวลาและทำให้วาสเซลล์เสียสมาธิ จนเขาเองโดนใบเหลืองไป แต่สุดท้ายก็ทำคุ้มค่า เมื่อวาสเซลล์ยิงได้ไม่ค่อยดี เข้ามากลางประตู และฟาน เดอร์ ซาร์ ใช้ขาเซฟได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้จบเกม แมนยูไนเต็ด สามารถบุกมาคว้าสามแต้มอันล้ำค่าได้ถึงถิ่นซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ และจ่อซิวแชมป์พรีเมียร์ลีกอยู่แค่เอื้อมแล้ว

เราจะเห็นว่า บรรดา นักเตะทั้งตัวจริง ตัวสำรอง ท่านเซอร์ สตาฟฟ์โค้ช และแฟนๆยูไนเต็ด ต่างกระโดด ดีใจ กอดกันหลังนกหวีดยาวจากผู้ตัดสินเงียบเสียงลง ประหนึ่งว่าทีมได้แชมป์แล้ว ทั้งนี้ น่าจะเป็นเพราะได้โยนความกดดันเข้าใส่เชลซีอีกครั้ง ด้วยแปดแต้มห่าง ที่ทำให้เชลซี ไม่มีทางเลือก นอกจากกลับออกมาจากเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมด้วยชัยชนะเท่านั้น และหากทำได้ แมนยูไนเต็ด ก็ขอเพียงบุกไปยันเสมอเชลซีที่เดอะ บริดจ์ เท่านัน ก็เพียงพอต่อการเป็นแชมป์ และถึงแม้จะแพ้ออกมา ก็ทำเพียงแค่การยันเสมอเวสต์แฮมในบ้านก็ยังได้ นี่เองครับ ถึงเป็นเหตุผลที่ทำให้บรรดาเร้ดอาร์มี่ ค่อนข้างมั่นอกมั่นใจในแชมป์ปีนี้ขึ้นมาเต็มที่แล้ว

รูปเกมที่เกิดขึ้นในนัดนี้ เป็นแมนยูไนเต็ด ที่เน้นการครองบอล เน้นการคอนโทรลจังหวะ เพื่อพยายามดึงเกมให้ช้าลง เป็นการผ่อนแรงของผู้เล่นยูไนเต็ดที่ล้ามามาก และอาจเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหากเปิดเกมเร็วเข้าสู้กับซิตี้ ซึ่งใช้เกมหนักเข้าบดผู้เล่นยูไนเต็ดตลอดเวลา ซึ่งบรรดาผู้เล่นยูไนเต็ดนั้น สามารถเดินเกมได้ตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัดมั่นคง และสามารถทำให้ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการในที่สุด (ถึงจะหวาดเสียวอีกแล้ว ก็ตาม)



เมื่อเวลาผ่านไปอีกคืนหนึ่ง ทำให้เราต้องมานั่งเฝ้าเกมที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ระหว่างเชลซี ผู้ไล่ล่าตามแมนยูไนเต็ด อย่างไม่ยอมลดละ กับอาร์เซน่อลเจ้าบ้าน ที่หวังจะแซงลิเวอร์พูลขึ้นป้ายเป็นอันดับสามให้ได้ ซึ่งเชลซี ขาดผู้เล่นตัวหลักไปหลายคน ทำให้ต้องจับบูลารูซมายืนเป็นเซ็นเตอร์ และนั่นเอง เป็นจุดที่ทำให้เกมพลิกผันอย่างแท้จริง ซึ่งหากเชลซีใช้เอสเซียงยืนเป็นเซ็นเตอร์แทน แล้วใช้มิเกล โจ โคล แลมพาร์ด กับซินแคลร์ ยืนเป็นมิดฟิลด์แต่แรก เกมอาจจะแตกต่างไปจากนี้ก็ได้

รูปเกมก็อย่างที่ทราบกัน อาร์เซนอลทำเกมได้หวือหวา ไหลลื่น แต่มาสะดุดในจังหวะสุดท้ายที่ไม่ได้จบด้วยการยิงแบบมีลุ้นเท่าไหร่ และเชลซีเอง ก็ประคองเกม พยายามเน้นการคอนโทรลบอล เพื่อค่อยๆกดดันเจ้าบ้าน ตามสไตล์ที่ตัวเองถนัด

จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในปลายครึ่งแรก เมื่อ เลห์มันน์ สาดโด่งมาถึงหน้ากรอบโทษเชลซี บาปติสต้าซึ่งเบียดมากับกองหลังเชลซีคนหนึ่ง ในขณะที่บูลารูซ ซึ่งวิ่งมาคนเดียวในแนวเดียวกับลูก น่าจะสกัดออกไปไปให้พ้นอันตรายได้ แต่กลับปล่อยให้ลูกตกลงพื้นอีกครั้ง และเป็นจังหวะเดียวกับที่ กองหลังเชลซีที่ประกบบาปติสต้าอยู่นั้น ปล่อยให้บาปติสต้าสลัดหลุด น่าจะเพราะคิดว่าบูลารูซจะเตะบอลให้พ้นไปได้ ตัวเองเลยหยุดวิ่ง

ทำให้บาปติสต้า โฉบเข้ามาทางข้างหลังบูลารูซ และเบียดขึ้นหน้าได้สำเร็จ จนกำลังจะง้างเท้ายิงอยู่แล้ว บูลารูซ ก็ไม่มีทางเลือก นอกจากทั้งดึงและเสียบไปในตัว ทำให้สุดท้าย เชลซีต้องเสียจุดโทษในที่สุด แถมบูลารูซเองยังโดนไล่ออกจากสนามอีกด้วย จากตรงนั้น อาร์เซนอลก็ออกนำเชลซีทีมเยือน จากจุดโดทษ โดยการยิงของจิลแบร์โต้

เข้ามาถึงครึ่งหลัง เชลซีโหมบุกกระหน่ำเพื่อยิงประตูคืนให้ได้ และโยกเอสเซียงไปยืนเซนเตอร์ แทนบูลารูซ ซึ่งเขาทำได้ดีมาก หยุดเกมรุกของอาร์เซนอลได้ตลอด และเชลซีมาได้ประตูตีเสมอจากการโยนของไรท์ ฟิลลิปส์ เข้ามาให้เอสเซียงเทคตัวพุ่งโหม่งเข้าประตูไป

จากนั้น เชลซียิ่งได้ใจ โหมบุกหนักขึ้น จนทำให้เกมเปิด ทั้งสองทีมต่างเปิดหน้าแลก จังหวะต่อจังหวะ ผลัดกันได้ลุ้น แต่สุดท้าย ก็ทำอะไรเพิ่มกันไม่ได้ ทำให้เชลซีได้เพียงแค่ผลเสมอ และส่งให้แมนยูไนเต็ด ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีกในที่สุด


รูปเกมโดยรวมในนัดนี้ เชลซีที่ต้องการชัยชนะเพื่อต่อลมหายใจในการลุ้นแชมป์ แต่ไม่สามารถส่งผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามได้ เนื่องจากอาการบาดเจ็บ ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือก ที่ต้องส่งชุดผสมลงสนาม แต่ก็ไม่ผิดกับอาร์เซนอลนัก ที่ส่งชุดดาวรุ่งลงหาประสบการณ์ โดยเชลซีเน้นการครอบครองบอล และคอนโทรลจังหวะเพื่อค่อยๆกดดันคู่ต่อสู้ ใช้การถ่ายบอลไปมา เพื่อถ่างแนวรับ ตามสไตล์มูรินโญ่ ค่อยๆเปิดช่อง และหาจุดอ่อนในแนวรับของอาร์เซน่อลเพื่อเข้าโจมตี ในขณะที่อาร์เซน่อล อาศัยความเร็วในการต่อบอล ลำเลียงบอลเข้าโจมตีเชลซีอย่างรวดเร็ว

แต่เมื่อเกิดความผิดพลาดจากผู้เล่นแนวรับเชลซีทำให้ทีมถูกขึ้นนำไป และส่งผลให้รูปเกมในครึ่งเวลาหลัง เชลซีต้องโหมหนักเพื่อควานหาชัยชนะต่อลมหายใจ แต่สุดท้าย ก็ทำไม่ได้ดีไปกว่าการตีเสมอ ซึ่งผมมองว่า หากยังมีเวลาเหลืออีกสิบหรือสิบห้านาที เชลซีคงสามารถคว้าชัยชนะออกมาได้ เพราะแนวรับอาร์เซนอลก็เริ่มที่จะสับสนแล้ว หลังจากโดนกระหน่ำโจมตีไม่ให้ได้หายใจหายคอ



หลังจากเกมจบลง ผมยังคงนั่งมองดูการแสดงออกของมูรินโญ่และลูกทีม หลังจากที่รู้ว่า พลาดหวังแน่นอนแล้ว ผมตั้งใจจะดูความหยิ่งผยอง ความอวดดีของเขา ว่าจะยอมรับความพ่ายแพ้ได้หรือยัง แต่ผมกลับได้นั่งชมแบบน้ำตาจะไหล กลายเป็นผมเองที่อดซาบซึ้งแทนแฟนๆเชลซีไม่ได้ กับการที่เห็นแลมพาร์ดและเทอร์รี่ น้ำตาคลอเบ้าเข้าไปสวมกอดกับมูรินโญ่ เป็นภาพที่มีความหมายมากกว่าคำหนึ่งพันคำจริงๆครับ เป็นการแสดงออกให้เราเห็นว่า ความผูกพันระหว่างมูรินโญ่กับลูกทีมนั้น ไม่ธรรมดา ภาพที่สตาฟฟ์โค้ชเชลซี เดินเข้าไปพยุงนักเตะของตนให้ลุกขึ้นมาปรบมือให้แฟนๆ ภาพที่มูรินโญ่บอกให้แฟนๆปรบมือให้นักเตะเชลซีทุกๆคน และทำท่าบอกให้แฟนๆเชลซีไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องอับอาย ให้เชิดหน้าขึ้นสู้ นั้น ทำให้ผมถึงกับขนลุกในความเป็นตัวตนของมูรินโญ่ ในความเด็ดเดี่ยว และความกล้าหาญ ตรงไปตรงมาของเขา

ผมแน่ใจเหลือเกินว่า ภาพดังกล่าวนั้น หากคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเชียร์ฟุตบอลทีมไหน ได้พบได้ดูเข้า ต้องมาเชียร์เชลซีแน่นอนครับ

อีกอย่างหนึ่ง ในความเป็นสาวกแมนยูไนเต็ด ผมเองก็รู้สึกดีใจเป็นธรรมดา ที่ทีมรักได้แชมป์ที่พลาดมาแล้วถึงสามปี แต่ในความดีใจนั้น อดรู้สึกเศร้าเล็กๆไม่ได้ ที่อาจจะไม่ได้เห็นมูรินโญ่อยู่กับเชลซีอีกในฤดูกาลหน้า หากอบราโมวิชไล่เขาออกจริงๆ และการลุ้นแชมป์ปีต่อๆไป คงไม่เร้าใจเหมือนเดิม ต่อให้ได้โค้ชใหม่มาคุม แต่คงไม่มีใคร ที่จะเปิดสีสันให้วงการได้เท่ามูรินโญ่อีกแล้วครับ



สุดท้ายนี้ สำหรับแมนยูไนเต็ด ผมขอแสดงความขอบคุณในหัวจิตหัวใจนักสู้ของพวกท่าน ที่สามารถฟันฝ่าอุปสรรคทุกๆอย่างมาจนได้เป็นแชมเปี้ยนในที่สุด แม้บางกระแสจะบอกว่าเรามากับดวงที่ช่วยพลิกให้เสมอได้ พลิกมาแซงชนะได้ แต่ขอให้พวกเราเชื่อเถอะครับว่า เพราะหัวใจสู้ไม่ยอมถอยนั่นแหละครับ ที่ทำให้เราได้ผลการแข่งขันและดวงมาเป็นของเรา หากเราไม่สู้แล้ว จะเอาดวงเอาปาฏิหารย์ที่ไหนมาพลิกสถานการณ์ ก็คงไม่ได้หรอกครับ

และขอแสดงความดีใจกับแฟนๆแมนยูไนเต็ดทุกๆท่านด้วย ที่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่หวังไปแล้วหนึ่งสิ่ง แม้จะพลาดไปแล้วสอง แต่ยังคงเหลืออีกหนึ่งให้ได้หวังกันต่อนะครับ แล้วอย่าลืมส่งใจไปเชียร์กันนะครับ โชคดีครับ

สวัสดี




Create Date : 07 กันยายน 2550
Last Update : 7 กันยายน 2550 7:46:49 น. 0 comments
Counter : 421 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สงบใจ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add สงบใจ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.