|
แผลที่มุมปากหรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ โรคปากนกกระจอก (Angular stomatitis or angular cheilitis) เป็นโรคแผลมุมปากที่พบได้บ่อย เริ่มต้นจากอาการแสบๆ คันๆ และเจ็บเล็กน้อยเวลาอ้าปาก ที่มุมปากไม่ว่าจะข้างเดียวหรือทั้งสองข้างจะมีผื่นแดง ต่อมามุมปากจะมีรอยแยกแตกชัดเจนขึ้น และถ้ารุนแรงจะมีเลือดออกด้วย ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าโรคนี้เกิดจากการขาดวิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน) เพียงอย่างเดียว ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดโรคปากนกกระจอก และพบได้บ่อยมากกว่า ดังนี้
ปัญหาของโรคผิวหนัง เช่น โรคผิวหนังอักเสบ จากภูมิแพ้ในเด็ก (Atopic dermatitis ) โรครังแคที่หน้า (Seborrheic dermatitis) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคปากนกกระจอกที่พบได้บ่อยที่สุด แต่มักเกิดร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น มีผื่นภูมิแพ้ตามตัว หรือผื่นรังแคที่ใบหน้าร่วมด้วย
การติดเชื้อบางชนิด เช่น เชื้อรา (Candida albicans) หรือเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงเชื้อไวรัส อย่างเริม (Herpes Simplex) มักพบมีตุ่มน้ำใสเกิดที่บริเวณริมฝีปากหรือใบหน้าส่วนอื่นได้ ในบางรายที่รุนแรงอาจมีไข้ร่วมด้วย ไม่หายขาด มักเป็นๆ หายๆ อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงที่ร่างกายอ่อนแอหรือภูมิชีวิตตกต่ำ อาจจะเป็นนานถึงอาทิตย์ หรือ 10 วันเป็นอย่างน้อย
ผู้สูงอายุที่ไม่มีฟัน ทำให้รูปปากผิดปกติ เกิดการกดทับที่มุมปาก กลายเป็นจุดอับชื้น เมื่อน้ำลายหรือเหงื่อมาอบบริเวณนั้นมากขึ้น ก็จะเกิดเป็นแผลระคายเคืองที่มุมปาก ต่อมาอาจเกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนจากเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียตามมาได้อีก ซึ่งเป็นอีกสาเหตุที่พบได้บ่อย
ภาวะน้ำลายมากกว่าปกติ (Hypersalivation) เช่น คนที่พูดแล้วมักมีน้ำลายเอ่อที่มุมปาก คนที่นอนหลับแล้วน้ำลายไหลเป็นประจำ หรือเด็กบางคนที่มักมีน้ำลายมากและน้ำลายไหลตลอด ทำให้เกิดการระคายเคืองของผิวหนังที่มุมปาก เกิดเป็นแผลขึ้นได้ง่าย
เกิดจากการที่ริมฝีปากแห้ง เพราะชอบเลียปากเป็นนิสัย หรือจากอากาศหนาวเย็น ซึ่งพบได้บ่อยในฤดูหนาว
อาการแพ้หรือระคายเคือง เช่น แพ้ลิปสติค อาหาร หรือยาสีฟัน แต่มักเป็นทั้งริมฝีปาก
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยากินประเภทกรดวิตามินเอ (Isotretinoin) ที่ใช้รักษาสิว ซึ่งส่งผลให้ผิวของคุณแห้งลงและเกิดแผลที่มุมปากได้โดยง่าย
ภาวะขาดวิตามิน เกิดจากการขาดวิตามินบี 2 หรือธาตุสังกะสี มักพบเป็นทั้ง 2 ข้าง
บำบัดโรคด้วยความสะอาด
1. ทำความสะอาดปากและฟัน ด้วยการแปรงฟันและบ้วนปากให้สะอาดหลังอาหารอยู่เสมอ 2. เช็ดมุมปากให้แห้งตลอดเวลา ควรพกผ้าเช็ดหน้าสะอาดๆไว้คอยซับน้ำลาย ไม่ให้เกิดการอับชื้น 3. รักษาความสะอาดของเครื่องนอน เช่น ปลอกหมอน ผ้าห่ม ตลอดจนผ้าเช็ดหน้าที่ใช้เป็นประจำ
ปรับพฤติกรรรมต้านโรค
1. ดื่มน้ำมากๆ และงดดื่มสุราและชา เพราะจะรบกวนการดูดซึมวิตามิน 2. หมั่นทาปากด้วยลิปบาล์มหรือขี้ผึ้งที่มีส่วนผสมของวิตามินอี เพราะ วิตามินอีจะช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและยืดหยุ่นตัวดีขึ้นด้วย 3. เลิกนิสัยชอบเลียมุมปาก ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ จะช่วยลดโอกาสเกิดแผลมุมปากได้ 4. งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เช่น ลิปสติก ยาสีฟัน หากสงสัยควรหยุดใช้ทันที 5. สำหรับผู้ที่มีภาวะขาดวิตามิน ควรทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี 2 ซึ่งพบมากในข้าวซ้อมมือ ปลา และผักใบเขียว สำหรับธาตุเหล็ก พบมากในธัญพืช และถั่วชนิดต่างๆ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ชีวจิต
| |