สวัสดีค่ะ ภาระหน้าที่ทำให้ต้องเดินทางไกลมาถึงบัวโนสไอเรส แต่ยังคิดถึงเพื่อนบล็อกทุกคนนะค่ะ
รู้จักกับ “แก๊สน้ำตา”



“แก๊สน้ำตา” หรือในภาษาอังกฤษ เรียกว่า “tear gas” เป็นคำรวม ๆ
ที่หมายถึง สารเคมีที่ออกฤทธิ์ให้เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุตา จนกระทั่งมีน้ำตาไหลออกมา แต่ความจริงแล้ว สามารถระคายเคืองต่อเยื่อบุต่าง ๆ ทั้งที่ตา ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร รวมทั้งผิวหนังด้วย โดยส่วนใหญ่ การใช้แก๊สน้ำตา มีจุดประสงค์เพื่อสลายการชุมนุมของฝูงชนจำนวนมาก อย่างที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศของเราขณะนี้ เรามาทำความรู้จักกันหน่อยนะ

ชนิดของแก๊สน้ำตา

มีสารเคมีหลายอย่าง ที่ถูกใช้เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวข้างต้น ก็เรียกว่า
เป็น แก๊สน้ำตา ทั้งนั้น ซึ่งสารเคมีที่มีการใช้กันบ่อย ได้แก่

chloroacetophenone (CN)
chlorobenzalmalononitrile (CS)
dibenzoxazepine (CR)
oleoresin capsicum (OC or ‘pepper spray’)
pelargonic acid vallinylamide (PAV)

ฤทธิ์ของแก๊สน้ำตา

แก๊สน้ำตามีผลระคายเคืองต่ออวัยวะต่าง ๆ คือ ตา เยื่อบุจมูกและ
ทางเดินหายใจ เยื่อบุช่องปาก และผิวหนัง โดยทำให้เกิดอาการดังนี้

ตา : ทำให้มีน้ำตาไหล แสบตา หนังตาบวม เยื่อบุตาบวม ลืมตาไม่ขึ้น ต้องกระพริบตาตลอด รวมทั้งอาจทำให้ตามองไม่เห็น (ตาบอดชั่วคราว) และอาจทำให้เกิดแผลที่กระจกตาได้ หากถูกกระแทกโดยตรง หรืออาจมีเลือดออกในลูกตา หรือติดเชื้อที่ตาในภายหลังได้

จมูก : ทำให้แสบจมูก และมีน้ำมูกไหล

ปาก และทางเดินอาหาร : ทำให้แสบปาก น้ำลายไหล และอาจมี
คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสียได้

ทางเดินหายใจ : ทำให้มีอาการไอ เจ็บคอ จาม มีเสมหะ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก อาจมีหลอดลมตีบจนหายใจไม่ออก โดยเฉพาะในคนไข้
ที่เป็นโรคหอบหืด หรือถุงลมโป่งพองอยู่ก่อน (จึงต้องระวังให้มากใน
คนกลุ่มนี้) และอาจมีปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) ได้ใน 12-24 ชั่วโมง หากได้รับในปริมาณที่มาก

ผิวหนัง : หากถูกผิวหนังจะทำให้เกิดอาการแสบ และบวมแดง หากสัมผัสนาน อาจเหมือนถูกไฟไหม้ นอกจากนี้อาจมีผิวหนังอักเสบจากการแพ้ (contact dermatitis) ได้ ซึ่งทำให้เกิดผื่นคัน โดยเกิดหลังจากสัมผัสไปแล้ว 72 ชั่วโมง

อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ : อาการปวดศีรษะ ง่วงซึม, เจ็บหน้าอก
ความดันเลือดตก เป็นต้น

การออกฤทธิ์ของแก๊สน้ำตานี้ ออกฤทธิ์ในทันทีทันใดที่สัมผัส (0-30 วินาที) และจะคงอยู่นานประมาณ 10-30 นาทีหลังจากพ้นการสัมผัสนั้น
แต่อาจมีอาการอยู่นานได้ถึง 24 ชั่วโมงขึ้นไป (บางทีนานถึง 3 วัน)
และอาการจะรุนแรง และเป็นอันตรายมากขึ้น หากได้รับในปริมาณที่
เข้มข้นมากหรืออยู่ในบริเวณที่มิดชิด ไม่มีการถ่ายเทของอากาศ

การรักษา

การปฏิบัติที่สำคัญอันดับแรก คือต้องหยุดสัมผัสสารเคมีให้ได้ก่อน
อาการต่าง ๆ ก็จะดีขึ้นเองโดยที่ไม่ต้องให้การรักษาพิเศษอะไร ซึ่ง
ในขั้นต้นได้แก่

การหลีกเลี่ยงและออกจากสถานที่ที่มีแก๊สน้ำตานั้น ไปสู่บริเวณที่มีอากาศถ่ายเทที่สะดวก และมีลมพัดให้สารเคมีนั้นกระจายออกไป

ถอดเสื้อผ้าที่ปนเปื้อนสารเคมีออก และใส่ไว้ในถุงที่ปิดมิดชิด (2 ชั้นยิ่งดี) โดยพยายามอย่าให้เสื้อผ้าเปียก เพราะสารเคมีจะละลายติดตามร่างกายได้
คำแนะนำสำหรับบุคลากรทางการแพทย์

ต้องสวมถุงมือ และใส่เสื้อคลุมป้องกัน รวมทั้งแว่นตา ระหว่างให้การช่วยเหลือผู้ป่วย

อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก และมีลมพัด

อาการทางตา : ส่วนใหญ่ น้ำตาที่ไหลอยู่นั้นจะช่วยขับเอาสารเคมี
ออกจากตาไปได้ ถ้าไม่หาย มีคำแนะนำ 2 แบบคือ อย่างแรก ให้ใช้
ลมเป่าที่ตา เพื่อพัดเอาสารเคมีออกไป (ใช้พัดลมก็ได้) แต่ถ้ายัง
ไม่หายอีก ให้ล้างตาด้วยน้ำเกลือ (normal saline) (การใช้น้ำเปล่า
ล้างตา ในกรณีที่หาน้ำเกลือไม่ได้ แม้ว่าอาจจะใช้ได้ในที่เกิดเหตุ
ก็อาจทำให้เยื่อบุตาบวมได้) และอาจหยอดยาชาช่วยบรรเทาอาการ
ร่วมกับปิดตาไว้ก่อน, ถ้ามีแผลที่กระจกตา (corneal abrasion) ก็
ให้รักษาด้วย ยาปฏิชีวนะหยอดตา และยาแก้ปวด, อาการทางตา
ที่เป็นมาก อาจต้องปรึกษาจักษุแพทย์ให้ช่วยดูแลด้วย

ผู้ที่ใช้ contact lens ควรรีบถอดออก แล้วล้างทำความสะอาด
(ในกรณีของ soft lens ไม่ควรนำกลับมาใช้อีก)

ผิวหนัง : ถ้ามีอาการแสบ อาจล้างด้วยน้ำ และสบู่มาก ๆ โดยเฉพาะ
ตรงข้อพับต้องดูแลเป็นพิเศษ, ถ้าผิวหนังไหม้ ก็ให้การดูแลเหมือน
แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกโดยทั่วไป ถ้ามีการแพ้ ก็ให้ยา topical
steroid ได้, ถ้ามีสารเคมีติดที่ผม การสระผม อาจทำให้แสบหนัง
ศีรษะได้

อาการของทางเดินหายใจ : ถ้ามีอาการมาก ควรให้นอนพักรักษาตัว
ในโรงพยาบาล และให้การรักษาด้วยการให้ออกซิเจน หรือให้ยาขยายหลอดลม หากมีอาการของหลอดลมตีบ ถ้าเป็นมากจนมีการหายใจ
ล้มเหลว อาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

สำหรับเสื้อผ้า สามารถซักด้วยเครื่องซักผ้า ด้วยผงซักฟอกธรรมดาได้
โดยใช้น้ำเย็นซัก ห้ามใช้น้ำร้อน เนื่องจากอาจทำให้สารเคมีระเหย
และเป็นอันตรายต่อผู้สัมผัสได้

สรุป แม้ว่าแก๊สน้ำตา จะไม่มีอันตรายมาก แต่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้
ที่เป็นโรคหอบหืด หรือถุงลมโป่งพองอยู่เดิมได้มาก นอกจากนี้ยัง
มีรายงานการเสียชีวิตจากการใช้แก๊สน้ำตาเนื่องจากการมีปอดบวมน้ำ
เลือดออกในปอด ปอดอักเสบ หรือการขาดอากาศหายใจ (โดยเฉพาะหากอยู่ในบริเวณที่ปิดมิดชิด ไม่มีอากาศถ่ายเท) หรืออาจเสียชีวิต
จากการที่เป็นโรคหัวใจอยู่เดิม, การศึกษาในหลอดทดลองก็พบว่า
แก๊สน้ำตา อาจเป็นพิษต่อยีน (genotoxic) และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของยีน (mutagenic) แม้ว่ายังไม่ทราบผลที่ชัดเจนของมันก็ตาม อย่างไรก็ตามในปี 2512 มีการลงมติจาก 80 ประเทศให้ถือว่า แก๊สน้ำตา เป็นอาวุธเคมีชนิดหนึ่ง ที่ถูกห้ามใช้ในสงคราม ตามสนธิสัญญาเจนีวา (Geneva Protocol) แต่ก็ยังมีการใช้ในการสลายการชุมนุมของฝูงชนในหลาย ๆ ประเทศ จึงควรให้ความสำคัญ และมีการพิจารณาการใช้อย่างรอบคอบ เพื่อจะได้ไม่ทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้คนจนเกินไป



Create Date : 06 กันยายน 2551
Last Update : 6 กันยายน 2551 19:59:11 น. 0 comments
Counter : 803 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

kobnon
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 92 คน [?]




.
สาระน่ารู้ประจำวัน
1.โรคข้อสันหลังอักเสบติดยึด
2. บุหรี่ ทำนมยาน หูตึง
3. Upside down pineapple cake


music
Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
6 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kobnon's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.