สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
24 สิงหาคม 2553

เปิดลิ้นชักความทรงจำอีกครั้ง..








เราๆท่านๆอาจเคยเปรยๆเสมอ ยามเหนื่อยหน่ายอะไรในชีวิต ว่า“อยากตายๆไปให้พ้นๆเสียที ชีวิตเราช่างมีทุกข์มากเหลือเกินหนอ” ทว่า คิดบ้างไหม เมื่อความตายเดินทางเข้ามาโดยเราไม่รู้ตัว ความกลัวตายจะมีมากเท่ากลัวความทุกข์เหนื่อยยากอีกนะท่าน

ชีวิตชาวเน็ทเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีเพื่อน ทว่าเพื่อนชนิดไหนก็นะ ที่เราปรารถนา ฉันอดคิดไปถึงเพื่อนดีๆคนหนึ่งเสียไม่ได้ เพื่อนที่ไม่กล้าคิดว่าตัวเองจะโชคดีได้พบเลย ฉันเรียกเขาว่า

“เพื่อนเที่ยงคืน”

เพราะเวลาที่เราว่างพบกันได้ มักเป็นหลัง24 นาฬิกาไปแล้ว เขาตื่นขึ้นมาเพื่อท่องตำราเตรียมสอบต่อเปรียญเจ็ด ความฝันของเขาอยู่ที่เปรียญเก้า ก่อนวัย 25 ส่วนฉันหวังแค่สอบผ่านเทอมสุดท้าย เพื่อออกมาทำงานเสียที เวลาดังกล่าวเราจึงพบกันเสมอ จากการสอบหัดทำบล็อกที่เขาหัวดีกว่าฉัน เขาจึงเป็นฝ่ายสอนฉันมาตลอด รวมทั้งสอนให้เดินบอกทางชีวิตด้วยความสุข หลายครั้งเราคุยกันจนเช้า ก่อนต่างแยกย้ายไปทำงาน

เขาบวชมาแต่เด็กวัย 7ขวบ จนอายุ 20 จึงสึกมาเตรียมเกณท์ทหาร ระหว่างรอเกณท์ทหารนั้น เขาก็ทำงานคุมคนงานก่อสร้างบ้านให้คุณลุงไปด้วย มิตรภาพของเราค่อยๆงอกงามอย่างเพื่อนที่ดี เพราะเขาใจเย็นและบวชเรียนมามาก การคุยของเขาจึงมักแทรกคำสอนทางธรรมทีละนิด โดยไม่เคยเอ่ยถึงความเจ็บช้ำน้อยใจกับปัญหาครอบครัวของเขาให้ฉันรู้เลย

ฉันเสียอีกมักออดถึงความเหนื่อยหน่ายและเบื่อกับปัญหารอบด้าน เขาก็มักอ่านอย่างละเอียด และค่อยๆพิจารณาหาทางแก้ไขมาสอนฉัน ในยามนั้นฉันจึงเหมือนมีทั้งพี่และเพื่อนไปในตัว ช่วงขณะหนึ่งที่เขาจากบล็อกไปสอบที่กรุงเทพฯ ในยามนั้นฉันได้พบเพื่อนรุ่นพี่อีกคนที่อายุต่างกันราว 22 ปี การติดต่อกับเพื่อนรุ่นพี่ครั้งนั้น ทำให้ความสนิทของเราสองคนค่อยๆห่างกันออกไป เมื่อเขากลับจากสอบ การเตือนการแนะอะไรของเขา ฉันเริ่มผ่านตาไป

จนวันหนึ่ง เขาเขียนกลอนถึงฉัน เขียนถึงความเจ็บปวดและทรมานของการจาก...จากที่ไม่มีโอกาศได้กลับมา ฉันใจหายวูบไปทันที ลางสังหรณ์บางอย่างดึงฉันกลับมาหาเขา กลับมาติดตามความเปลี่ยนแปลงของเขา จากการที่นิยมเขียนกลอนธรรมะ กลายเป็นเขียนกลอนลาตายทุกบท ทุกวัน บางวันเขียนเป็นสิบๆบท

และแล้วความจริงก็ปรากฎออกมาจริงๆ ยามนั้นในความรู้สึกของฉันช่างเหมือน...มัจจุราชตรงเข้ามากระชากวิญญาณไปทั้งเป็น ช่างเหมือนจู่ๆไฟก็มืดดับไปทั้งโลก อีกทั้งหมด ร่างทั้งร่างถูกกลืนเข้าไปในหมอกพิษ ....เพราะเขาต้องกลับไปแล้ว กลับไปสู่ประตูแห่งความตาย ด้วยวัยเพียง 20 ภาพความหลังต่างๆใน4เดือนก่อน เริ่มลอยขึ้นจากลิ้นชักความทรงจำอีกครั้ง จากการคบกันเพียงไม่กี่เดือนเธอก็หมดโอกาศดูโลกนี้อีก ทิ้งความฝันมากมายที่เธอปรารถนาจะคว้ามันมา ให้หลุดลอยไปในห้วงหลุมมืดดำของจินตนากาล

เหตุการณ์วันที่เขาจากไป ฉันบันทึกลงในไดอารีด้วยน้ำตาตลอดเวลาที่เขียน




“ต้นสัปดาห์ในเดือนขอบคุณพระเจ้า ซึ่งทุกปีเราจะได้พักผ่อนกันอีกครั้งหลังจากเหน็ดเหนื่อยกับงานประจำวัน และการเรียนที่มากมายน่าเบื่อหน่ายนั่นเอง..

วันนั้นฉันเริ่มทุรนทุรายแต่ช่วงยามเย็น และเมื่อเวลาผ่านเข้ายามค่ำ ฉันยิ่งอึดอัดมากขึ้นทุกที ตกดึก คืนนั้นเพื่อนๆกับยายเห็นฉันวิ่งไปมาอยู่ที่ ริมหาดทรายที่เราไปพักผ่อนกัน หน้าตาดูทุกข์เศร้าทรมานมาก ทุกคนรับทราบได้ทันที ฉันต้องสัมผัสถึงลางสังหรณ์อีกแล้ว ลางสังหรณ์ของการ..จากไป

ทว่าเมื่อยายสำรวจพวกเราทุกคนเห็นยังอยู่กันครบถ้วนเป็นปรกติดีทุกอย่าง ยายจึงปลอบฉันว่า “มี่เอ้ย ไปปีนเขากับพวกเพื่อนๆเถิดนะ คงเป็นเพราะปีนี้เหนื่อยมากไปนะ” แต่ในใจฉันกลับมีเสียงหนึ่งเตือนขึ้นมาเสมอ เพื่อนชาวยิปซีเคยบอกฉันว่าสิ่งนั้นเขาเรียกกันว่า “ลางอาลัย”

จะเกิดก็ต่อเมื่อเราจูนกระแสจิตที่อีกฝ่ายร้องเรียกหาเราได้เท่านั้น เนื่องจากการเดินทางไปพักผ่อนครั้งนั้น หาที่ชาร์ทไฟได้ยาก ฉันจึงทิ้งโน๊ตบุ๊คไว้ที่ห้อง แต่ตลอดเวลาของการพักผ่อนเที่ยวนั้น ในสมองฉันมักบรรจุแต่ภาพเธอกำลังจมน้ำ จนฉันแอบคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า “เธอกำลังจะมาบอกลาฉัน”




และแล้วถ้อยความในบันทึกก็เป็นจริง เดือนสุดท้ายที่อาการของมะเร็งเม็ดเลือดขาว เริ่มกระจายไปทั่ว เธอเดินและนั่งไม่ได้แล้ว แต่สิ่งหนึ่งเธอก็ยังทำเพื่อส่งข่าวถึงฉันคือ เธอขอให้เพื่อนร่วมสาบานที่ยังเหลืออีกคนของเธอ อัพกลอนแทนเธอ อัพความในใจของเธอออกมาให้ฉันรู้ให้ได้ ว่าเธอได้กลับไปบ้านเก่าแล้ว...


ปัจจุบันทุกครั้งเมื่อชีวิตต้องพบมรสุมบนเส้นทางเดิน บันทึกนี้จะต้องถูกรื้อออกมาจากลิ้นชักความทรงจำทุกที และหลังอ่านแล้ว สิ่งแรกที่สะดุดอารมณ์ฉันคือ ทุกอย่างรอบด้านสำหรับฉันช่างวังเวงสิ้นดี ทว่าบนอารมณ์วังเวงก็ช่วยให้ฉันเดินทางของชีวิตต่อไปได้อีก บัดนี้เธออยู่บนสวรรค์คงเห็นแล้วทั้งฉันทั้งเพื่อนร่วมสาบานของเธอ กำลังฝ่าฟันความยากเข็ญไปสู่ความฝันที่เธอต้องการ เธอโปรดดูแลเขาด้วยเถิดนะ

เพราะเราขาดสิ้นการติดต่อกันอีกแล้ว ฉันรู้ว่าเขาพยายามมาก พยายามสอบเทียบทุกปี เพื่อเอาเปรียญ7ที่เธอฝันมาปลอบใจเธอที่สวรรค์ ตามสัญญาที่ให้ไว้กับเธอ ฉันเป็นห่วงเขามาก เขาไม่สบายหลายหนในระยะหลังๆ และคงเป็นเพราะฉันพยายามรบเร้าให้เขาพักรักษาสุขภาพก่อนแน่ๆ เขาจึงตัดสินใจหายไปเงียบๆเพื่อสอบให้ได้ก่อน ค่อยออกมาพบฉัน

ยังจำได้เสมอกับกลอนของเธอ

อากาศหนาวยิ่งนักในคืนนี้
ดวงฤดีเจ้าหนาวบ้างหรือไม่
มันหนาวนักหนาวเหน็บถึงข้างใน
หนาวอะไรก็ไม่เท่าหนาวใจตน

คนคนหนึ่งเกิดมาในโลกนี้
ด้วยชีวิที่ผ่านมาน่าสับสน
มันเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าในกมล
แต่ต้องทนฝืนสังขาร..คลาน..ต่อไป

ชีวิตหนึ่งเกิดมาอาภัพมาก
ความลำบากเหลือล้นเกินทนไหว
แต่ต้องสู้กล่ำกลืนฝืนต่อไป
ทั้งที่ใจมันอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง

ชีวิตนี้มีกรรมมันนำชัก
จึงต้องพบอุปสรรคเหมือนฟ้าแกล้ง
แต่จะสู้ต่อไปจนอ่อนแรง
ถึงกรรมแกล้งก็ไม่บ่นทนต่อไป

ทั้งโรคาอาพาธมันบาดลึก
เมื่อมานึกถึงมันแล้วหวั่นไหว
แต่ที่ยังทนอยู่ได้เพราะแรงใจ
ขาดเมื่อไรก็คงล้มจมธรณี

เอาเถิดนะ..วันนี้..ฉันยังสู้
ถึงแม้อยู่อย่างคนไร้สุขี
แต่ร่างกายยังไม่ถมจมปฐพี
จะขอใช้ชีวีกว่าจะหมดพลัง

จะขอใช้เวรกรรมในชาตินี้
ทดแทนที่เคยสร้างมาแต่ปางหลัง
ชาติต่อไปคงไม่มีมาประดัง
ให้ต้องนั่งโศกาแลอาดูร

ได้ฟังคำพระท่านสอนสุนทรว่า
อกุศลกรรมนำพาความสุขให้เสื่อมสูญ
ทั้งยังช่วยส่งผลกรรมให้เพิ่มพูน
หมดผลบุญเมื่อใดกายรับกรรม

หวนคะนึงถึงตัวเราในตอนนี้
คงเป็นเหมือนที่พระท่านเฝ้าสอนพร่ำ
ทั้งโรคาอาพาธมันกระหน่ำ
กายบอบช้ำใจอ่อนล้าแทบวางวาย

ความเหน็บหนาวย่อมมีในคืนนี้
ทุกชีวีต่างก็มีจุดหมาย
เพียงแต่ว่าใครจะไปถึงเส้นชัย
สร้างความหวังที่ฝันไว้ให้เป็นจริง

สำหรับตัวของเราก็เท่านี้
ในชีวีหมดแล้วซึ่งทุกสิ่ง
ได้แต่คิดว่าชาติหน้าถ้ามีจริง
คงดียิ่งกว่าชาตินี้อย่างแน่นอน

ขอลิขิตอักษรวอนมนุษย์
ให้จงหยุดตรองตรึกเป็นอุทาหรณ์
เมื่อทำดีจะได้ดีตามทำนอง
เมื่อทำชั่วก็จะต้องคอยรับกรรม

เปรียบเหมือนตัวของเราในชาตินี้
ชั่วชีวีมีแต่ความชอกช้ำ
หรือเพราะบาปที่เคยทำมันหนุนนำ
ต้องรับกรรมจนกว่าจะสิ้นไป

ก้มลงกราบรูปปั้นพระปฏิมา
ที่เป็นสิ่งสูงค่าแสนยิ่งใหญ่
ขอบูชาองค์พระศาสดาด้วยหัวใจ
ฝากกายไว้ในอ้อมอกของพระธรรม


โดย…… “พ,ป”..........


โดย











Create Date : 24 สิงหาคม 2553
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2558 11:15:30 น. 2 comments
Counter : 620 Pageviews.  

 
.◢\▁▁●●●▁▁/◣
 ◤    ●●●● ◥
▕       ●● ▕
──         ──
── ●     ● ──
──    ﹀    ──
 ◣         ◢
☆ญามี☆ ∞┼∞ ☆ญามี่☆
 ███ ∞┼∞ ███
 ◥█◤ ∞┼∞ ◥█◤
   ═══╧═══
   ███▊███


โดย: ญามี่ วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:19:35:32 น.  

 
ทุกชีวิตล้วนมาเพื่อที่จะไป
นี่คือสัจธรรม

เราล้วนถูกกำหนดด้วยมือที่มองไม่เห็น
กำหนดให้มา....เมื่อถึงวันมา
และถูกกำหนดให้ไป.....เมื่อถึงวันไป

คนที่ไปก่อนคือคนที่เดินนำเราไปข้างหน้า
วันหนึ่งแม้ไม่อยากเดินตาม...เราก็จำต้องตาม

หากเชื่อในกฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด
การอำลาจากไปก็ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว
เพราะแท้จริงเป็นเพียงการถอดเสื้อตัวเก่าไปใส่เสื้อตัวใหม่เท่านั้น
และที่ผ่านมาเราล้วนเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่กันมานับครั้งไม่ถ้วน
เสื้อตัวเก่าที่เราแต่ละคนถอดออกมากองอาจจะสูงท่วมฟ้าแล้วก็ได้

ผู้จากไปเขาไปดีแล้ว
เหลือเพียงผู้ที่ยังอยู่นี่เล่า....จะอยู่ให้ดีได้หรือไม่
และจะอยู่อย่างไรจึงจะไม่ทำให้ทุกคำเตือนของผู้ที่จากไป...ต้องสูญเปล่า




โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:2:00:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ญามี่
Location :
ภูเก็ต Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 260 คน [?]






อัพบล็อกครั้งแรก ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๑
free counters
who's online
คนพูดน้อยคิดบ่อยแต่ไม่เงียบ
ไร้ระเบียบเคลิ้มครุ่นอณูคุ้นฝัน
ไม่ประวิงหากทิ้งจักลืมวัน
พลัดผ่านพลันหากจากยากฝากคอย...











[Add ญามี่'s blog to your web]